คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บทที่12 ท่าเรือ
ตรงหน้าของพิมพิลาไลยคือสตรีรูปงามโฉมอรชรทะมัดทะแมง....ใบหน้างามคมชวนให้ดูเป็นหญิงมั่นและแข็งกร้าวต่างจากหญิงคนรวยทั่วไป
เรือนผมยาวพอดีสีน้ำตาลออกน้ำผึ้งโดดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ที่นับว่าน่าดึงดูด
ดวงตาสีน้ำผึ้งสดเป็นเอกลักษณ์ส่องประกายความไม่พอใจเท่าไหร่นัก....แม้นางจะไม่เหมือนสตรีตรงหน้าแม้แต่น้อย
แต่สตรีตรงหน้าก็คือมารดาของนาง...
‘นางศรีประจัน’ มารดาผู้ถ่ายทอดนิสัยอันแข็งกร้าวให้แก่นางวันทองถึงสิบส่วนของเรื่องราวทั้งหมดในวรรณคดี
“ลืมข้าไปแล้วล่ะสิ! สองพ่อลูก”
น้ำเสียงกระแทกกระทั้นส่งผ่านมาโดยไม่ปกปิด
พร้อมสายตาหงุดหงิดจับจ้องมาที่นางและบิดา พลางกระทืบเท้าเล็กน้อยแสดงความไม่พอใจ
พิมพิลาไลยและพันศรโยธามองหน้ากันก่อนจะแยกตัวตามแผนที่ทำกันมา
“ไม่ใช่นะ ข้าแค่ออกไปทำธุระกับลูก
ไม่ได้ลืมเจ้าเสียหน่อย”
พันศรโยธาเดินเข้าไปโอบกอดภรรยาของตนอย่างเอาใจ
ที่ดูก็รู้ว่าคงทำบ่อยครั้งจนชำนาญเพราะโดนภรรยาของตนงอนบ่อยเสียเป็นกิจวัตร
“ใช่ค่ะ หนูกับท่านพ่อคิดถึงท่านแม่มากๆเลยนะคะ”
พิมพิลาไลยสวมบทเป็นเด็กซื่อบอกความเท็จหน้าตาย พลางแอบส่งสายตาให้บิดาอย่างรวดเร็วว่า
ไปง้อมารดาเร็วเข้าซะ มิเช่นนั้นคืนนี้บ้านแตกแน่
นางศรีประจันไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรสำหรับพิมพิลาไลย
นางเพียงแค่ไม่ถูกด้วยเฉยๆ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเกลียดชังอะไรในตัวมารดาผู้นี้
“ทำมาเป็นพูดดี...คงไม่ได้ไปหาอีนางขายตัวที่ไหนแล้วเอาลูกไปด้วยหรอกนะ!”
เป็นนางศรีประจันที่เอ่ยต่อว่าทั้งสองด้วยความหวาดระแวง
เพราะฐานะแต่ดั้งเดิมของนางคือแม่ค้าตลาด การได้แต่งงานกับเศรษฐีพ่อค้าใหญ่เช่นพันศรโยธาย่อมไม่ต่างอะไรจากสำนวนที่ว่าหนูตกถังข้าวสาร
ทำให้ผู้คนมากมายต่างติฉินนินทาเสมอและแรงกดดันมากมายนั้นย่อมส่งผลถึงจิตใจ
เพราะตัวของพันศรโยธาเองก็เป็นหนุ่มรูปงามนักผู้หนึ่งหนำซ้ำยังเป็นเศรษฐี
มีหรือที่หญิงอื่นจะไม่คิดจับสามีนาง
ด้วยฐานะที่ต่างกันและเป็นแม่สามีที่กดดันนางอยู่เสมอ
จึงไม่แปลกเลยที่นางศรีประจันจะหวาดระแวงและหวงแหนพันศรโยธาเช่นนี้
เพราะนางหวาดกลัวที่จะโดนทิ้งมากนัก...
“ใจเย็นเสียหน่อย...ศรีประจัน
พี่มิเคยแลหญิงใดนอกจากเจ้ากับบุตร เดินทางครานี้ก็เป็นเพียงบ้านของขุนศรีวิชัยเท่านั้น
อย่าน้อยใจไปเถิดหนา...วันนี้ข้าว่างแล้ว ประเดี๋ยวจะดูแลเจ้าเอง...”
พันศรโยธาเอ่ยตอบกลับอย่างนิ่มนวลพลางโอบมือบางของภรรยาผู้โกรธาให้นิ่งสงบลงด้วยความใจเย็น
ก่อนเอื้อมกระซิบคำหวานส่อให้ไปคุยกันที่ห้องเรือนของตนต่อเสียดีกว่า
การกระทำเช่นนี้มีหรือที่สตรีใดจะไม่อ่อนระทวย
แม้แต่สตรีผู้แข็งกร้าวเช่นนางศรีประจันก็ยังอ่อนลงถึงหกส่วน
ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่ น้อยนักที่จะได้เจอสามีผู้เอาใจหรือปฏิบัติต่อภรรยาอย่างนุ่มนวลและให้เกียรติ์เช่นนี้
หากเป็นครอบครัวปกติ
นางศรีประจันย่อมไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการบ่นพันศรโยธาได้โดยที่ฝ่ายสามีไม่ตอบโต้หรอก
หนำซ้ำความปากจัดของผู้เป็นมารดา
หากได้สามีที่ไม่ใช่พันศรโยธาอาจมีการทะเลาะตบตีกันไม่น้อยแล้ว
หากผู้เป็นมารดาคือไฟ
บิดาผู้นี้ย่อมเป็นน้ำที่นิ่งสงบอย่างแน่นอน พิมพิลาไลยนับถือในความใจเย็นและวุฒิภาวะของพันศรโยธาอยู่เสมอ...
ไม่ว่าผู้คนจะเป็นเช่นไร
จะเป็นพันศรโยธาที่เปิดรับและเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย นางไม่เคยเห็นบุรุษใดที่ทำตัวคล้ายกลมกลืนและอยู่ร่วมต่อทุกคนได้ราวกับเป็นธรรมชาติเท่าบิดาในชาตินี้อีกแล้ว
บางทีพิมพิลาไลยก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้นักว่าในหัวของผู้เป็นบิดาจะมองผู้คนเป็นเช่นไรกันแน่? นางไม่เคยสามารถเข้าใจความคิดของเขาได้อย่างแท้จริงเลยสักครั้ง....
มันเป็นความชื่นชมและน่าขนลุกในเวลาเดียวกัน...
แม้จะนึกคิดอยู่นั้นพิมพิลาไลยก็โบกมือให้กับมารดาที่ดูเหมือนจะถูกบิดาล่อซื้อได้สำเร็จเสียแล้ว
พลางมองภาพของมารดาที่ถูกบิดาโอบกอดและพาเดินไปยังห้องเรือนของตนด้วยความง่ายดายให้ลับสายตาไป...ทว่าก่อนจางหายไปในสายตาของนาง
บิดาคนดีก็ไม่วายเหลือบดวงตาสีพิศวงไม่ต่างกันมามองนางและส่งยิ้มให้ จากนั้นจึงขยับปากเอ่ยอย่างไร้เสียงไปตามสายลมว่า
‘วันนี้พ่อไม่มีเวลาเล่นด้วยนะคะ…ของ้อมารดาก่อน’
ซึ่งมันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นและพิมพิลาไลยเองก็ไม่ใช่คนงี่เง่า
นางจึงเพียงทำท่ามือส่งสัญญาณบอกไปว่า เชิญจัดการให้เสร็จสิ้นเสียเถอะ....ประเดี๋ยวคืนนี้นางจะนอนแต่หัวค่ำให้เลย...
และสุดท้ายแล้วในรุ่งเช้าต่อมาความเงียบสงบก็กลับคืนมาสู่เรือนพ่อค้าใหญ่เช่นพันศรโยธา
ทำเอาบ่าวไพร่หลายคนล้วนสรรเสริญในความสามารถของผู้เป็นนายที่สามารถทำให้นายหญิงสงบลงได้
นับว่าวิเศษยิ่ง!
เพราะหากผู้เป็นนายเหนืออย่างพันศรโยธาไม่ทำ
ผู้รับกรรมคงไม่แคล้วเป็นชั้นผู้น้อยเช่นพวกมัน
ใครๆก็รู้ดีว่านายหญิงแห่งเรือนพ่อค้าใหญ่นี้นั้นปากจัดและมือหนักเพียงใด...ย่อมไม่มีคนโง่เขลาพอกล้าพิสูจน์
.
.
.
“วันนี้เราไปท่าเรือกันนะคะ”
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่พิมพิลาไลยต้องออกจากบ้านอย่างงุนงง
เพราะอยู่ๆผู้เป็นบิดาก็เอ่ยปากให้ไปดูงานกับตนเสียอย่างนั้น
ซึ่งเด็กหญิงผู้ติดพ่อยิ่งอย่างนางนั้นก็ไม่มีทางเอ่ยปฏิเสธอยู่แล้ว...
การเดินทางที่แม้ยาวนานและไม่ได้สะดวกสบาย
หากแต่มีบิดาคอยประคบประหงมตลอดทางนั้นจึงไม่ได้สร้างความเหนื่อยล้าหรือความลำบากให้แก่เด็กหญิงเลยแม้แต่น้อย
บ่าวไพร่ที่ติดตามมาด้วยก็แทบไม่ต้องดูแลคุณหนูของตน
เพราะผู้เป็นนายเหนือดันแย่งหน้าที่และดูเหมือนจะทำได้ดีกว่าบ่าวไพร่จริงๆอย่างพวกมันเสียอีก
เกิดมาครานี้พวกมันก็พึ่งได้เห็นว่า’ลูกรักจริงๆ’มันเป็นอย่างไร
“อีกสักครู่ก็คงใกล้ถึงท่าเรือแล้ว...ใส่ผ้าคลุมเสียเถอะ
ข้างนอกแดดร้อนนัก”
พันศรโยธาเอ่ยกับบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง
มือหนาเอื้อมหยิบผ้าสีครามมาคลุมหัวให้อย่างเบามือจากนั้นจึงทัดเรือนผมยาวด้านหน้าของเด็กหญิงไม่ให้นางรู้สึกเกะกะ...
บ่าวไพร่ที่ได้ยินและเห็นการกระทำของนายเหนือก็อดไม่ได้ที่จะคิ้วขมวดและสายตาประท้วงเล็กน้อย
ภายนอกแทบไม่มีแดดเลยด้วยซ้ำ ดูก็รู้ว่านายเหนือของพวกมันแค่หวงบุตรสาว! ออกมาข้างนอกก็ไม่ยอมให้ใครเห็นหน้าเสียแล้ว
ดูท่าอนาคตของชายผู้จะมาเป็นสามีของคุณหนูย่อมยากลำบากนัก
“หากท่านพ่อต้องการเช่นนั้น...”
พิมพิลาไลยไม่ปฏิเสธความหวงแหนของผู้เป็นบิดาแต่อย่างใด
เพียงเมินเฉยต่อความมากเกินของเขาเพราะเห็นเป็นเรื่องปล่อยผ่านได้ การมีบิดาที่โปรดปรานตนย่อมดีกว่ามีบิดาที่ชิงชังตนอยู่แล้ว....
พันศรโยธายกยิ้มให้กับบุตรสาวของตนที่แม้จะนิ่งสงบจนดูไร้ชีวา
หากแต่ก็ยังตามใจตนผู้เป็นบิดาเสียยิ่งกว่าใคร
มันเป็นความรู้สึกพิเศษไม่น้อยที่ตนได้รับความพิเศษเพียงหนึ่งเดียวของเด็กคนนี้ต่างจากคนอื่น...สำหรับพันศรโยธาแล้วเขาปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความดีเสมอ
ดังนั้นผู้คนจึงไม่ได้มีความต่างกันสำหรับเขา แต่ไม่ใช่กับบุตรสาวผู้นี้
นางนิ่งเฉยต่อทุกสิ่ง มารดา
บ่าวไพร่หรือแม้แต่ผู้คนมากมายย่อมล้วนไม่ได้อยู่ในสายตาของเด็กคนนี้...แต่นางกลับยอมรับเขา
เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่นางยอมอ่อนข้อให้...
เขาที่เพียงทำดีต่อผู้คนทั้งหลาย...ไม่นานนักพวกมันก็ล้วนเปิดใจให้
เพราะมันคือธรรมชาติของมนุษย์ ผู้หนึ่งจริงใจ ผู้หนึ่งหวังผลประโยชน์...มีผู้คนมากมายและหลากหลายในสังคมนี้
แต่ทุกอย่างล้วนไม่สำคัญเท่าสิ่งที่เขาจะได้รับจากพวกมัน
“เอาล่ะ ดูเหมือนจะถึงเสียแล้ว...มาเถิด
เดี๋ยวพ่อจะอุ้มเจ้าเอง”
พันศรโยธาห่วงนักว่าขาเล็กๆของบุตรสาวจะต้องปวดเมื่อยหากเมื่อเดินลงท่าเรือใหญ่ที่กว้างขวางและมันก็ปลอดภัยกว่าเมื่อนางอยู่ในโอบกอดของเขา
การลักพาตัวเด็กไปขายเป็นทาสนั้นเกิดขึ้นทุกที่ หนำซ้ำบุตรสาวของเขาก็งดงามยิ่งนัก
มีหรือจะไม่สะดุดตาใคร...
พิมพิลาไลยที่ถูกบิดาอุ้มหรือบริการมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วก็ทำตามอย่างว่าง่าย
เมื่อผู้เป็นบิดาพายมือทั้งสองข้างเข้ามาโอบกอดและยกนางขึ้นจึงไม่ได้แสดงทีท่ารำคาญใจแต่อย่างใด
“นั่นแหละ เด็กดีของพ่อ”
.
.
.
ไกลสายตาออกไปคือแม่น้ำที่กว้างใหญ่และเรือสินค้ามากมายที่ล่องลอยอยู่กลางลำน้ำอันแสนวุ่นวายนี้...เพียงเหลือบมองรองลงมาคือท่าเรือและผู้คนที่หลากหลาย
สินค้านับไม่ถ้วนล้วนถูกส่งมาที่นี้
เสียงนำเสนอค้าขายดังขึ้นอยู่ตลอดเวลาและสิ่งที่ขาดไปไม่ได้คือตลาดลงสินค้าที่ตั้งอยู่ที่ท่าเรือแห่งนี้
จะบอกว่าที่นี้เป็นประเทศไทยหรือสยามในอดีตก็คงไม่ถูกต้องนัก
พิมพิลาไลยตระหนักถึงความแตกต่างของโลกนี้ได้ตั้งแต่เห็นรูปแผนที่ภูมิประเทศแล้ว
มันไม่ได้มีลักษณะเหมือนโลกก่อนที่วรรณคดีนี้อ้างอิงเท่าไหร่นัก
ดังนั้นดินแดนอื่นทั้งหลายก็คงแปลกไปไม่ต่างกัน....ที่นี้ไม่ใช่โลกเดิมที่นางรู้จักดีอย่างแน่นอน
“ผ้าแพรผืนเหล่านั้นล้วนมาจากดินแดนตะวันออกกลาง
เนื้อผ้าเบาและนุ่มนวลกว่าดินแดนของเรามากนัก แต่ราคาของมันย่อมแพงกว่าเช่นกัน
ส่วนมากจะขายออกก็กับพวกมีเงินขึ้นไปเท่านั้น
ลูกค้าหลักจึงเป็นขุนนางและพวกเชื้อพระวงศ์....ส่วนจานกระเบื้องที่แต่งแต้มด้วยลวดลายละเอียดนั้นมาจากดินแดนหยาง
เพราะราคาไม่แพงมากนักสามัญชนจับต้องได้
จึงเป็นที่นิยมในช่วงแรกเริ่ม...ทว่าเมื่อพ่อค้าทั้งหลายเห็นว่าขายดีจึงแย่งขนส่งกันมา
นานวันสินค้าจึงมากเกินจนเกลื่อนกลาด ราคาสินค้าของมันจึงตกลงไปมากนัก....”
เป็นพันศรโยธาที่เอ่ยสอนบุตรสาวตลอดทางเดินในตลาดท่าเรือ
หากนางอยากดูสิ่งใดเป็นพิเศษ ผู้เป็นบิดาเช่นเขาล้วนก้าวเดินไปตามใจโดยไม่เกี่ยง
หนำซ้ำสิ่งใดที่เขารับรู้ ย่อมถ่ายทอดให้นางโดยไม่ปิดบัง
เขาอุ้มบุตรสาวอย่างหวงแหนทว่าก็ไม่เคยขัดที่นางจะเรียนรู้
พิมพิลาไลยเองก็ไม่เคยปฏิเสธความรู้ที่บิดามอบให้
เผลอๆยังรู้สึกยินดีที่ได้รับมันเสียอีก...นางในชาติก่อนแหลกเหลวและโง่เขลาจนนาทีสุดท้ายของชีวิต
จึงตระหนักถึงคุณค่าของความรู้อย่างยิ่งยวดและพยายามไขว่คว้ามัน
ในชาตินี้ไม่มีใบเกรดใดที่บ่งบอกผลการเรียน
ทว่าการนำไปใช้ได้ต่างหากที่บ่งบอกกว่า...
“เออ...นายท่านขอรับ
บางทีคุณหนูอาจจะอยากไปดูเครื่องประดับสวยๆด้านนั้นก็ได้นะขอรับ”
บ่าวไพร่คนสนิทของพันศรโยธาเอ่ยกระซิบเสียงเบากับผู้เป็นนายอย่างเหงื่อตก
มีบิดาที่ไหนพา’เด็กอายุเพียงห้าปีเศษ’หนำซ้ำยังเป็น’บุตรสาว’มาดูงานกัน หากเป็นบุตรชายก็ยังพอทำเนา....แต่นายเหนือคิดกระไรพาคุณหนูมาสอนมาฟังเรื่องพวกนี้แทนที่จะได้เล่นเฉกเช่นเด็กทั่วไป
พันศรโยธาเลิกคิ้วเล็กน้อยทว่าก็ไม่ได้ติเตียนคำแนะนำของบ่าวคนสนิทให้มันหวาดหวั่น
ก่อนฉีกยิ้มบางให้แก่บุตรสาวในโอบกอดที่ตนอุ้มอย่างนิ่มนวลว่า
“ลูกไม่ชอบฟังพ่อสอนเหรอคะ?”
ทำเอาพิมพิลาไลยอยากกรอกตาให้กับบิดาผู้เป็นเลิศของตน
นางคอยประจบให้เขาสอนอยู่บ่อยครั้ง หนังสือใดอยากอ่านก็ออดอ้อนให้ได้มา
พออยากรู้สิ่งใดที่นอกเหนือก็ล้วนขออาจารย์จากเขาทั้งสิ้น....ทั้งหมดนี้มีหรือที่เธอจะไม่ชอบ
รู้คำตอบอยู่แล้วแท้ๆ....
“ลูกย่อมชอบฟังสิ่งที่ท่านพ่อสั่งสอนทั้งสิ้นเจ้าค่ะ...."
พิมพิลาไลยตอบไปตามจริงโดยไม่ใส่ใจนัก
ที่บิดาเอ่ยถามทั้งที่รู้ดีนั้นก็คงไม่แคล้วอยากให้บุตรสาวเอ่ยถึงตนด้วยปากตัวเอง
สร้างความดีความชอบว่าเป็นบิดาที่เข้าใจบุตรของตนยิ่งกว่าใคร
“เจ้าคงได้ยินแล้วกระมั้ง...”
เป็นพันศรโยธาที่กล่าวลอยๆด้วยรอยยิ้มบางประดับอยู่กับบ่าวคนสนิทของตนคล้ายพูดเสริม
แต่มันก็ไม่ต่างอะไรจากการตบหน้าบ่าวคนนั้นเบาๆ
นับเป็นคนที่แม้จะแซะคนก็ยังคงประดับรอยยิ้มไว้บนใบหน้าอย่างแท้จริง
“แต่เอาเถิด พวกเจ้าไปเตรียมซื้อสินค้าในแผ่นกระดาษนี้เสีย...ประเดี๋ยวข้าจะพาลูกไปเที่ยวเล่นเสียหน่อย”
พันศรโยธากล่าวงานกับคนของตนก่อนหันไปมองสินค้าอีกมากที่ถูกขนลงจากเรือใหญ่
พวกมันล้วนเป็นผ้าชั้นดีจากแดนตะวันออกกลางที่สูงลิ่ว
พลางคิดจะซื้อมันให้แก่บุตรสาวของตนได้สวมใส่
แม้ปกติแล้วเนื้อผ้าที่ตนซื้อให้แก่นางสวมใส่ตลอดมาจะคุณภาพดีไม่น้อยเลยก็ตาม
หากแต่ขึ้นชื่อว่าสตรีย่อมคงต้องการสวมใส่ชุดใหม่ๆเป็นรื่นเริงนัก
“ลูกอยากได้ชุดใหม่ไหมคะ?”
พันศรโยธาเอ่ยถามบุตรในโอบกอดอย่างนิ่มนวลพลางชี้นิ้วไปยังสินค้าที่พึ่งลงจากเรือเพียงชั่วครู่
เพราะบุตรของตนไม่ใช่คนช่างพูด ดังนั้นบิดาเช่นเขาจึงต้องเป็นฝ่ายไถ่ถามเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่บุตรสาวต้องการ
หาใช่การยัดเหยียด
พิมพิลาไลยเพียงส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ
เสื้อผ้าของนางไม่เคยขาดเหลือ หนำซ้ำตัวนางเองก็ไม่ใช่คนชอบแต่งกายอะไร จึงเอ่ยปากขอบิดาเป็นอีกสิ่งแทนว่า
“ข้าอยากได้หนังสือเสียมากกว่า....ท่านพ่อ”
เมื่อได้ฟังบุตรสาวคนโปรดพูดเช่นนี้
พันศรโยธาก็อดไม่ได้ที่จะยกมือหนาขึ้นมาลูบหัวของนางอย่างรักใคร่และเอ็นดู การมีลูกใฝ่รู้ตั้งแต่วัยเยาว์นั้นนับว่าประเสริฐ
หากแต่บิดาอย่างเขาก็ไม่ได้เห็นด้วยไปเสียหมด....
“การใฝ่รู้นับเป็นเรื่องดี แต่ความรู้นั้นก็ไม่ได้อยู่ในหนังสือเพียงที่เดียว...ออกไปเล่นบ้าง
ใช้แรงเสียหน่อย พบคนให้มากมาย นั่นก็นับเป็นความรู้อย่างหนึ่ง...ความรู้การใช้ชีวิต”
เขาผู้เป็นบิดาไม่เคยหวงเงินตราที่จะซื้อสิ่งใดให้แก่บุตรสาว
หนังสือเล่มใดที่นางอยากได้ ตำราใดที่นางอยากเรียน...พวกมันล้วนเป็นของนางทั้งสิ้น
หากแต่ใจของผู้เป็นบิดาอย่างไรเสียก็คงไม่อาจให้บุตรสาวของตนเรียนรู้สิ่งต่างๆจากหน้ากระดาษที่เพียงเขียนหมึกเท่านั้นว่าเป็นคำตอบของความรู้ทั้งหมด
ชีวิตยังมีอะไรอีกมากมายที่หนังสือใดตำราใดล้วนไม่อาจจดมันลงหน้ากระดาษได้หมดสิ้น
เขาไม่อยากให้ชีวิตในวัยเยาว์ของนางหมดไปกับหน้ากระดาษจนหมดสิ้น...
“ลูกจะจดจำไว้ค่ะ....”
พิมพิลาไลยรู้ดีว่าการหมกมุ่นของตนนั้นทำให้บิดาเป็นห่วง
แต่สุดท้ายเขาก็ตามใจนางทุกครั้งไป
“กลับไปประเดี๋ยวพ่อจะหาตำราจากพวกข้าหลวงที่รู้จักให้
วันนี้ก็จงเที่ยวเล่นเถิด...”
พันศรโยธานั้นแม้เอ่ยปากห้ามเป็นนัยๆ
แต่สุดท้ายก็ยอมตามใจบุตรสาวดั่งที่นางคาดอยู่เสมอ
นับว่าเขาไม่เคยดุหรือติเตือนนางอย่างจริงจังเลยสักครั้ง
จนทำให้เกิดความกังวลว่าการเลี้ยงลูกอย่างตามใจเช่นนี้ อาจทำให้นางกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจและไม่รู้ความ
แต่ทว่าเมื่อบุตรสาวเติบโตมาความกังวลนั้นก็สูญหายไปสิ้น
หนำซ้ำยังต้องคิดหนักแทนเสียมากกว่าเมื่อบุตรสาวโตเกินวัยและนิ่งสงบเกินไป
อย่างน้อยถ้านางงอแงเสียหน่อย
เอาแต่ใจและโวยวายเสียบ้าง...เขาก็คงเดาความคิดนางง่ายกว่านี้
เขารักบุตรสาวของเขาอย่างแน่แท้...ทว่านี่คงเป็นสิ่งเดียวที่เขาไม่ชอบในตัวนางคือ‘การไม่รู้ว่านางคิดอะไร’
สำหรับตัวเขาที่ทำดีกับผู้คนมากมาย เข้าหาพวกมันและปรับตัวกับพวกมัน ผลลัพธ์ที่ได้มันเป็นเรื่องปกติที่จะเข้าใจความคิดของพวกมันในระดับหนึ่งไม่มาก็น้อย
ซึ่งมันทำให้เขาควบคุมทุกอย่างได้สะดวก...
แต่ไม่ใช่กับบุตรสาวของตน นอกเหนือจากความรักของบุตรที่มีต่อตนแล้ว ที่เหลือทุกอย่างล้วนดูคลุมเครือยิ่งนัก...เขาไม่ชอบอะไรที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของตนได้สักเท่าไหร่นัก...แต่อย่างไรเสีย
เขาก็โปรดปรานบุตรคนนี้มากพอที่จะมองข้ามมันไป
แม้จะครุ่นคิดอยู่ แต่เท้าของพันศรโยธาก็ยังคงก้าวเดินเพื่อพาบุตรสาวชมสิ่งต่างๆเรื่อยๆ
หากบุตรสาวอยากดูสิ่งใดเป็นพิเศษก็พาก้าวเดินไปดู อยากได้สิ่งไหน
ก็ซื้อมันอย่างง่ายดาย...
จนกระทั่งผลไม้ต่างถิ่นสีแปลกตากลิ้งมากระทบเท้าของเขา...ดวงตาผู้เป็นต้นแบบสีพิศวงนั้นเลื่อนสายตามองไปยังต้นเหตุ...พบแรงงานชั้นผู้น้อยคนหนึ่งที่ทำงานผิดพลาดขนกล่องไม้บรรจุผลไม้เหล่านี้ล้มลงกับพื้น
จนผลไม้เหล่านั้นเกลื่อนกลาด
คล้ายพันศรโยธาหยุดนิ่งเพื่อชั่งใจ
ก่อนตัดสินใจเก็บผลไม้นั้นและก้าวเดินไปมอบให้แก่แรงงานชั้นผู้น้อยอย่างไม่นึกรังเกียจ...
ทำให้แรงงานหนุ่มน้อยผู้นั้นตกตะลึงไปชั่ววูบ
ก่อนรีบกล่าวขอบคุณอย่างร้อนลน...ปกติแล้วไม่มีสามัญชนที่ไหนทำดีกับชนชั้นแรงงานอย่างมันนัก
เพียงเข้าใกล้ก็รังเกียจแล้ว เพราะความสกปรกที่ได้รับจากงานหนักและเป็นพวกชนชั้นที่ดีกว่าบ่าวไพร่เพียงเล็กน้อยเอง
ทว่ากลับมีชายหนุ่มรูปงามนักผู้หนึ่งที่ดูจากเครื่องแต่งกายและกริยาท่าทางที่สง่าก็รับรู้ได้ว่ามิใช่สามัญชนทั่วไป
น่าจะเป็นคนรวยไม่ก็ขุนนางผู้หนึ่งก็เป็นได้...กลับช่วยเก็บของให้กับเขาและยื่นมือมาอย่างไม่รังเกียจ
“ผลไม้พวกนั้นมากมายจนล้นกล่องและสูงกว่าหัวเจ้า
ลองใส่แต่พอดีเสียเถิดแล้วค่อยขนใหม่จนหมด ถึงช้าหน่อย
แต่ย่อมดีกว่ารีบร้อนแล้วสินค้าจะเสียหายเพราะความเร่งรีบของเจ้า”
พันศรโยธาเอ่ยกับแรงงานผู้นั้นด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความรังเกียจ
คล้ายเป็นความหวังดีจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง ก่อนเอ่ยกับบุตรสาวให้รอหน่อย
และก้มเก็บผลไม้บางส่วนที่ตกพื้นให้อีก
“ข...ขอบพระคุณมากๆเลยขอรับ”
แรงงานหนุ่มน้อยผู้เกิดมาชาตินี้ยังไม่เคยได้รับการกระทำดีๆจากผู้คนที่เหนือชนชั้นตนแทบทำตัวไม่ถูกนัก
มันไม่เคยคิดว่านอกเหนือจากชนชั้นของพวกมันเองและเจ้านายเพียงคนเดียวของมันจะมีใครปฏิบัติกับมันดีด้วย
“ไม่เป็นไร ขยันทำงานนั้นดีแล้ว แต่ต้องประมาณตนเสียบ้างถึงจะถูก”
พันศรโยธาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นทุกครั้ง
มันเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ทำให้ใครๆล้วนต่างเปิดใจกับมัน
เมื่อสร้างความดีเสร็จแล้ว...จึงหันกลับไปอุ้มบุตรสาวของตนและก้าวเดินจากไป
ทิ้งให้แรงงานหนุ่มน้อยมองภาพของเขาให้ขึ้นใจ
พลางพึ่งตระหนักว่าชายหนุ่มผู้นั้นเป็นคนดีมีเมตตานัก
ดวงตาสีพิศวงนั่นก็โดดเด่นด้วยเช่นกัน....
“ทำไมท่านถึงทำดีกับเขากันล่ะคะ?”
พิมพิลาไลยเอ่ยปากถามผู้เป็นบิดา
หลังภาพของแรงงานหนุ่มตัวน้อยลับสายตาไปแล้ว ตลอดระยะเวลาที่อยู่กับพันศรโยธามา
ทำให้นางแน่ใจในระดับหนึ่งว่า เขาไม่ได้มองทุกคนอย่างเท่าเทียม
ก็เหมือนผู้คนบนโลกนี้ทั่วไปที่ถือชนชั้น...บ่าวไพร่ในเรือนเองก็ล้วนถูกปฏิบัติอย่างบ่าวไพร่ทั่วไป
เขาเป็นเจ้านายที่ดีแต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตของชนชั้นอยู่ดี
แต่การไปยื่นมือช่วยแรงงานที่ท่าทางสกปรกคนนั้นโดยไม่รังเกียจ
มันผิดวิสัยคนทั่วไปในโลกใบนี้...
“แล้วการทำดีจำเป็นต้องมีเหตุผลหรือ”
พันศรโยธาที่ได้ยินคำถามของบุตรสาวก็อดไม่ได้ที่จะเอ็นดูนัก
ดูท่านางคงสัมผัสได้ว่าที่เขาทำดีนั้นไม่ใช่เพราะเป็นคนดี....นับว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ
สายเลือดของบ้านเขาช่างสร้างลูกหลานให้มีแนวความคิดไม่ต่างกันจริงๆ
เมื่อเห็นผู้เป็นบิดาไม่ตอบดั่งเช่นที่ผ่านมา เด็กหญิงจึงเลิกสนใจเขาและหันมาซบไหล่แทนพลางกวาดสายตามองดูร้านค้าและสินค้าต่างๆผ่านด้านหลังของเขาแทน
“ท่านเคยมองผู้คนต่างกันบ้างหรือไม่คะ?”
เป็นคำถามแผ่วเบาที่เอ่ยถามบิดาอย่างเลื่อนลอยแม้สายตาจะไม่ได้มองที่เขาก็ตาม
พิมพิลาไลยรู้สึกได้ว่าบิดาไม่เคยปฏิบัติกับใครเป็นพิเศษ เขาทำดีกับทุกคนและด้วยเหตุนั้นทุกคนจึงไม่ได้มีความพิเศษอะไร
ไม่เว้นแม้แต่มารดาหรือนางเองก็ตาม
พันศรโยธาหยุดนิ่งไปเมื่อได้ยินคำถามของบุตรสาวในครานี้
ดวงตาสีพิศวงไม่แคล้วกันจับจ้องไปยังเด็กหญิงในโอบกอดอย่างลุ่มลึก
บางทีบุตรสาวของเขาก็เหมือนเขามากเกินจริงๆนั่นแหละ....
“จงทำดีกับผู้คนให้มาก สวมหน้าให้มิด
อย่าได้เผยความคิดออกมา....แล้วหาผลประโยชน์เป็นสิ่งตอบแทนเจ้า”
นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยอย่างเปิดเผยกับผู้อื่นที่ไม่ใช่ตน
อาจเพราะนางคล้ายตน อาจเพราะนางเป็นบุตร จึงทำให้ช่องว่างที่เต็มไปด้วยสีดำยอมเปิดเผยออกมาได้อย่างน่าแปลก
“ให้อาหารกับหมา มีหรือหมาจะไม่เชื่องในสักวัน...”
พิมพิลาไลยที่เห็นบิดาเปรียบเทียบคนเป็นหมา
ก็เข้าใจได้ในทันทีว่าบิดาผู้นี้ก็คงไม่ต่างจากตน ไม่สิ...สมเป็นบิดาเธอจริงๆนั่นแหละ
“แต่ไม่ใช่หมาทุกตัวที่จะเป็นหมาดี...ย่อมมีหมาไม่รู้ความคิดแว้งกัด”
เด็กหญิงเอ่ยกับคำกล่าวของบิดา ไม่ใช่มนุษย์ทุกคนจะรู้คุณ
มันอาจใช้ความดีนั้นมาหาผลประโยชน์ก็ได้
“แน่นอน...ก็วางยาเบื่อมันเสีย”
พันศรโยธาเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
แม้ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม....เขาไม่ได้ชอบการทำดีและไม่เคยอยากทำมัน แต่เพราะหน้ากากคนดีนั้นเป็นเรื่องง่ายที่จะทำและหลอกลวงผู้คนให้หลงเชื่อได้อย่างน่าประหลาดจึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะทำ
“ท่านเคยจริงใจกับใครบ้าง...ท่านพ่อ”
พิมพิลาไลยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความสงสัยอย่างแท้จริง
นางมิได้เอ่ยแซะ หากแต่เป็นความอยากรู้เท่านั้น อยากรู้เสียว่าความคิดอันแสนยากจะหยั่งถึงของบิดาจะออกมาเป็นเช่นไร
แต่สุดท้ายก็มีเพียงรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนเสมอเท่านั้นที่เป็นคำตอบ...ทำให้เด็กหญิงตระหนักได้ว่าบิดาของตนช่างลึกลับซับซ้อนและน่ากลัวเกินไป....
“น่าสงสารท่านแม่จริงๆ”
แม้จะไม่ถูกกับมารดา
ทว่าก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตร่วมเรือนกันมา...หากมารดารับรู้ว่าชายที่ตนหลับนอนด้วยกันทุกวันไร้ใจเพียงใด
คงอกแตกตายกระมั้ง...
“อย่าพูดเช่นนั้นสิ...มารดาเจ้าเป็นหญิงที่บิดาเลือกดีแล้ว
นางค่อนข้างซื่อตรงดีนัก ไม่มีความรู้มากมาย ไร้เล่ห์เหลี่ยม
โกรธเช่นไรแสดงเช่นนั้น เจ้าไม่คิดว่านางดูออกง่ายและง่ายควบคุมบ้างเหรอ”
พันศรโยธาเอ่ยกับบุตรสาวของตนราวกับเป็นเรื่องปกติ
รอยยิ้มบนใบหน้าก็มิเคยจางหาย แม้ภรรยาของตนจะค่อนข้างแข็งกระด้างไปบ้าง
แต่ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขา หากเทียบกับหญิงสาวที่มารดาของเขาพยายามยัดเหยียดมาให้ในครั้งอดีต
พวกนางล้วนเสแสร้งเก่งและฉลาดคิดดี...ซึ่งเขาไม่ชอบเท่าไหร่นัก ถึงจะรับมือไม่ยากอะไรสำหรับเขา
หากแต่ก็เป็นเรื่องน่ารำคาญ...ดังนั้นคนที่ดูออกง่ายๆเช่นนางศรีประจันจึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ดี
เขาไม่ได้ต้องการสตรีฉลาดหรือมีความสามารถ เพราะหากเขาต้องการสิ่งใดก็ล้วนทำเอง...
“ก็จริง...”
พิมพิลาไลยอดไม่ได้ที่จะเห็นด้วยกับความจริงข้อนี้
มารดาของนางเป็นหญิงชาวบ้าน ดังนั้นพื้นฐานการศึกษาและเล่ห์กลย่อมไม่มากเท่าชนชั้นพ่อค้าหรือขุนนาง...
“อย่าให้มารดาเจ้ารู้เชียว
ไม่งั้นเราสองพ่อลูกได้โดนด่าจนหูชาเป็นแน่แท้”
เป็นคำกล่าวชวนติดตลกของผู้เป็นบิดาที่เอ่ยต่อ
จากนั้นจึงก้าวเดินไปต่อหลังหยุดนิ่งเพื่อพูดคุยมาชั่วครู่
มีเพียงความเงียบที่คงอยู่ตลอดระยะทางเดินที่ก้าวไป
ไม่ใช่เพราะนางและเขามองหน้ากันไม่ติด แต่เป็นเพียงความเงียบที่เกิดจากการมัวครุ่นคิดของทั้งสองฝ่าย
และเพียงก้าวไปต่อไม่กี่ก้าว...ภาพของท่าเรือและลำน้ำก็ปรากฏขึ้นชัดเจนในสายตาของเด็กหญิง
มันทั้งยิ่งใหญ่และแปลกตาสำหรับนาง...
ภาพของแม่น้ำที่กว้างใหญ่กว่าแม่น้ำที่ใดที่เธอเคยเจอช่างดูน่าขนลุกในความไพศาลของมัน
เรือลำใหญ่ที่สูงเหนือหัวของนางไปมากมายเท่าใดก็ไม่รู้กำลังล่องลอยอยู่ดุจดั่งเจ้าพระยาแห่งลุ่มน้ำนี้
ผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติกำลังขนสิ่งต่างๆลงจากเรือ บ้างเป็นพ่อค้า บ้างเป็นนักเดินเรือ
หรือแรงงาน...
แสงแดดสาดส่องตกกระทบลงที่ผู้คนที่แข็งขันเหล่านั้น
เรือทั้งมวลและคลื่นน้ำที่สั่นกระเพื่อม มันยิ่งขับความงามตรงหน้าให้เฉิดฉายและสุกสกาว
ดั่งภาพของหนังภาพยนตร์ย้อนยุคที่แสนสะกดตา
นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดมันจึงตราตรึงใจของบิดาได้....เพราะนางเองก็เช่นกัน...
ชีวิตในอดีตชาติมีเพียงบ้านและตึกสูงที่รายล้อม
ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงปูนไม้ที่มนุษย์สร้างเพื่ออยู่ ไม่มีอะไรพิเศษในสายตาของนาง
ทว่านี่คือธรรมชาติและวิถีของมนุษย์ในยุคที่ไร้สิ้นเทคโนโลยี...ธรรมชาติที่กว้างใหญ่ได้สะกดสายตาของนางเสียแล้ว
“ท่านพ่อ...สักวันข้าอยากจะล่องเรือในที่กว้างใหญ่เช่นพวกเขา...ไม่สิ
หากท่านทำมันสำเร็จก่อนช่วยพาข้าไปด้วยนะคะ....”
พิมพิลาไลยเอ่ยขึ้นแม้ดวงตาของตนยังคงจับจ้องไปยังภาพเบื้องหน้าโดยไม่วางตา...
พันศรโยธาที่คล้ายเห็นภาพของบุตรสาวในยามนี้ทับซ้อนภาพของตนในอดีตเมื่อครั้งยังเยาว์วัยนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันและขนลุกเล็กน้อย
ดูเหมือนความฝันของเขาจะไม่ได้มีเพียงเขาผู้เดียวแล้ว...ผู้ร่วมเดินทางที่เข้ามาแต่งเติมฝันของเขานั้นคงเป็นบุตรสาวเข้ามาเพิ่ม
ซึ่งเขาก็ไม่ได้เกลียดอะไร...บางทีอาจรู้สึกยินดีด้วยซ้ำไป
“แน่นอน...”
พันศรโยธาเอ่ยตอบรับคำของบุตรสาว
พลางคิดอยากเห็นแสงประกายในดวงตาที่ไร้คลื่นของนาง
มือหนาเอื้อมไปสัมผัสผ้าคลุมสีครามที่ตนคลุมให้แก่เด็กหญิงและยกขึ้นเล็กน้อยเพื่อหวังเห็นใบหน้าและดวงตาในตอนนี้ของนาง
และเมื่อได้เห็นสีหน้าของบุตรสาวของตน
จึงรีบเลื่อนมือปิดผ้าคลุมในทันที ไม่ใช่เพราะผิดหวังหรือนางไม่แสดงสีหน้า
หากแต่เพราะนางแสดงสีหน้านั้นจึงทำให้เขาหวงแหนยิ่ง มิอยากให้ผู้ใดได้เห็นแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
อา...หากโตไปมีเด็กหนุ่มคนใดมาขอนาง
เขาคงเรียกค่าสินสอดมากมายจนพวกมันจ่ายไม่ไหวอย่างแน่แท้
“บางทีคำตอบที่เจ้าถามว่าข้าเคยจริงใจกับผู้ใด...ย่อมควรเป็นเจ้าที่รู้ดีที่สุดนะ
ลูกรัก”
เป็นคำกล่าวของพันศรโยธาที่เอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอยพลางมองภาพเบื้องหน้าไปพร้อมกับบุตรสาว
เขาไม่ใช่คนดี ไม่เคยเลย...หากแต่ก็ไม่ได้ไร้ใจ...
เขาเลี้ยงดูนางมากับมือ
เลือดเนื้อก็เป็นของเขา...มีหรือเขาจะไม่รักนาง
นางเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขาเชียวนะ
.
.
.
ถ้าพิมพ์ผิดหรือบางจุดงงๆก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ
พอดีตอนเขียนยังไม่ได้นอนมาวันหนึ่งเลยค่ะ555
ปล.เรือคุณพ่อแรงมาก
แต่ลงไม่ได้555เพราะบาปหนามากกกก-----โดนยมบาลทิ่มตูดแน่ค่ะ
ปล.ที่สอง เรื่องนี้ดองเก่งอยู่นะคะ เผื่อใจไว้ได้เลยค่ะ555------
ความคิดเห็น