คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : บทที่11 เริ่มการล่าแม่มด
เชื้อเพลิงที่จอมมารหนุ่มเป็นผู้วางเอาไว้นั้นแตกผลเป็นไปตามที่ต้องการราวกับรากไม้ที่ฝังลึกลงไปในดิน
เหล่าเจ้าหญิงเจ้าชายทั้งน้อยใหญ่ผู้อยากรู้อยากเห็นและริษยาต่างเริ่มค้นหาความจริง
และผู้ที่ไม่อยู่เฉยที่สุดคงเป็นคาริน่ามารดาผู้โฉมงามของจอมมารหนุ่มที่หลังรับรู้ข่าวลือก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มพลางคิดเรื่องร้าย
สำหรับคาริน่านั้นนางคือเจ้าหญิงผู้เหลือรอดเพียงคนเดียวจากสงครามพี่น้องทั้งหมด
มีหรือจะเป็นสตรีที่จิตใจแม่พระนัก
เหตุผลที่นางได้เป็นหนึ่งในผู้ยืนหยัดคนสุดท้ายหลังการแย่งชิงอำนาจได้
นางย่อมไม่ใช่สตรีไม่รู้ประสีประสาเฉกเช่นหญิงชั้นสูงของทวีปหลัก
ซึ่งความริษยาและความอิจฉาที่เก็บมาเนิ่นนาน...นางย่อมเล็งเห็นทางจะถูกปลดปล่อยในเร็ววันเสียแล้ว
โฉมงามจากดินแดนอันมืดมิดแสยะยิ้มเย็น มือเรียวเท้าคางมองผู้คนภายนอกปราสาทของตนอย่างอารมณ์ดี
เรือนผมดำที่โดดเด่นเสมอยามเมื่ออยู่ในแดนคนต่างถิ่นเฉกเช่นนี้ปกลงที่ใบหน้างามเย้ายวนอย่างไม่จัดทรง
หากแต่ก็ไม่ได้ลดความงดงามของนางลงเลยแม้แต่น้อย
กลับทวีคูณความเสน่หาของสตรีเพศเป็นอย่างดี
เคียร์เนย์เป็นเด็กหนุ่มรูปงามที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาเจ้าชายทั้งมวล
เพราะฉะนั้นมีหรือที่มารดาของเขาจะเป็นสตรีรูปงามธรรมดาสามัญทั่วไป
คาริน่านับเป็นหญิงงาม...และเธอก็เป็นหนึ่งในหญิงงามแห่งยุคที่มีเพียงเจ็ดคนในตอนนี้
ซึ่งเธอก็รู้จักใช้ความงามของตนให้เป็นประโยชน์เป็นอย่างดี....
“กำลังอารมณ์ดีอะไรอยู่เหรอครับ ทูนหัวของผม”
เป็นเสียงของชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นกับเธอ
มือหนาของเขาเอื้อมเข้ามาลูบเรือนผมงามอันโดดเด่นเหนือใครในวังหลวงนี้อย่างรักใคร่
ดวงตาสีดำสนิทดุจความมืดเหลือบมองชายหนุ่มผู้นั้นคล้ายเห็นคนเขลา
หากแต่ก็ฉีกยิ้มบางให้อย่างเอ็นดูพลางเอื้อมมือเรียวไปลูบหัวเขาราวสัตว์เลี้ยง
“นั่นสินะ...แต่ว่าข้าจะอารมณ์ดีมากกว่านี้อีก
หากเจ้าช่วยอะไรบางอย่างให้แก่ข้า”
คาริน่ายิ้มหวานให้แก่ผู้ตกอยู่ในภวังค์ความลุ่มหลงของเธอ นิ้วเรียวเชยคางของบุรุษรุ่นเยาว์กว่าตน
ดวงตาสีดำเป็นประกายคล้ายห้วงลึกของท้องทะเล
“แน่นอนครับ!”
เป็นชายหนุ่มวัยเยาว์ที่เอ่ยตกลงในทันทีอย่างไม่รู้อะไรเพราะความลุ่มหลงในตัวนาง
แม้เขาจะไม่ได้มีอายุที่เยอะอะไร
หากแต่ตำแหน่งในราชการวังหลวงก็ไม่ใช่ตำแหน่งผู้น้อยแต่อย่างใด เขาเป็นขุนนางยศเคานต์และทำหน้าที่เป็นฝ่ายกรองข้อมูลของเสนาธิการใหญ่
แม้อาจไม่ใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้เล็กน้อยแต่อย่างใด
ซึ่งคาริน่าก็รู้ดีว่าขุนนางหนุ่มผู้ไฟแรงมีอนาคตคนนี้นั้นกำลังหลงใหลตนอย่างชัดเจน
อาจเพราะยังเป็นแค่ชายหนุ่มผู้ไม่รู้รักหรืออ่อนต่อโลก จึงทำให้เธอที่เพียงแค่หยอกล้อนิดหยอกล้อหน่อยก็ติดบ่วงเสียแล้ว
นับเป็นลูกกวางจริงๆ
คาริน่ามีความสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคนในเบื้องหลังสังคมชั้นสูงนี้
หลายคนเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่ หลายคนเป็นผู้มีอิทธิพลและหลายคนก็ทำประโยชน์ให้เธอ...ผู้ชายทุกคนที่เธอมีความสัมพันธ์ด้วยล้วนสร้างประโยชน์และอำนาจให้กับเธอ
คาริน่านั้นต้องการความมั่นคงในสถานะทางสังคมของตัวเอง
ไม่ใช่ในฐานะของสนมแห่งองค์กษัตริย์หรือเจ้าหญิงจากทวีปมืดที่แต่งงานเข้ามา...อำนาจคือสิ่งค้ำจุน
สังคมการแย่งชิงอำนาจของราชวงศ์มีลาธาเป็นสิ่งที่สั่งสอนและปลูกฝังเจ้าหญิงผู้นี้ได้เป็นอย่างดี...
ความจริงแล้วด้วยฐานะของเจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งผู้มาจากจักรวรรดิอันเกรียงไกรอย่างคาริน่านั้นย่อมสมควรแต่งให้ราชวงศ์อื่นในฐานะพระราชินีด้วยซ้ำไป
หาใช่ตำแหน่งที่ต่ำลงมาเฉกเช่นพระสนม
หากแต่เพราะด้วยข้อตกลงระหว่างมีลาธาและวาสตินจึงทำให้เธอมีตำแหน่งเช่นนี้
ทางราชวงศ์วาสตินมีขนบธรรมเนียมที่ว่าราชินีของอาณาจักรนั้นจะต้องเป็น’ชาววาสติน’โดยกำเนิดและสายเลือด พวกเขาถือตนเป็นลูกหลานของเทพยูเรียสที่ตำนานเล่าว่าลงมาจุติเป็นองค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์วาสติน
จึงคิดว่าสายเลือดของตนนั้นสูงส่งและไม่ควรให้สายเลือดภายนอกเข้ามาทำให้แปดเปื้อนได้
ดังนั้นราชีนีแห่งวาสตินจึงเป็นสตรีชนชั้นสูงของอาณาจักรวาสตินเอง
ในขณะที่สตรีต่างเชื้อชาติที่แม้จะมากอำนาจหรือสูงส่งปานใดก็จะได้ตำแหน่งสนมไปแทนโดยอ้างเหตุผลทางขนบธรรมเนียมของอาณาจักร
นับเป็นความน่าขบขันทีเดียว...
เพราะอาณาจักรวาสตินไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือเกรียงไกรอะไรเลย
ทรัพยากรหรือการผลิตก็ไม่ได้มากอะไรนักแถมพื้นที่อาณาจักรก็เล็กนักหากเทียบกับอาณาจักรอื่นๆ
เรียกได้ว่าที่อาณาจักรวาสตินยังคงมีชื่อ
ก็คงเพราะถูกเชิดชูเป็นอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนมากมายบนพื้นทวีปหลักต่างนับถือราวกับเป็นดินแดนพื้นแรกของพระผู้สร้าง
หนำซ้ำวีรชนและบุคคลสำคัญที่คอยค้ำจุนโลกในอดีตล้วนเป็นคนของอาณาจักรวาสติน
จึงไม่แปลกที่แม้จะไม่ได้มีอำนาจทางกำลังทหารหรือทรัพยากรมากมาย
อาณาจักรอื่นยังต้องเกรงใจอยู่ส่วนหนึ่ง...แต่นั้นก็ไม่ได้มากพอจะทำให้อาณาจักรอื่นต้องก้มหัวให้แต่อย่างใด
ทว่าในทางกลับกันแล้วจักรวรรดิมีลาธานั้นกว้างใหญ่เสียจนถูกเรียกเป็นทวีปหนึ่งได้อย่างเต็มปาก
หนำซ้ำยังนับเป็นดินแดนที่เกรียงไกรและมากอำนาจกำลังพลทหารที่สุดในหมู่ดินแดนมนุษย์ทั้งหมด
หากแต่จักรวรรดิมีลาธาหรือทวีปมืดที่ผู้คนเรียกขานนั้นกลับไม่ได้เป็นที่ยอมรับสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเองนัก
เพราะในสายตาของชาวทวีปหลักแล้ว ผู้คนในทวีปมืดก็ไม่ต่างอะไรจากคนเถื่อน ไม่สิ คนไร้อารยธรรมเท่าไหร่นัก...
กล่าวกันว่าจักรวรรดิมีลาธาค่อนข้างถูกมองว่าเป็นดินแดนที่ยังไม่พัฒนาเท่าไหร่นัก
วิถีชีวิตดั้งเดิมของชนพื้นเมืองทวีปมืดเองก็ป่าเถื่อนหากเทียบกับทวีปหลักแล้ว
แต่นั่นก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะสัตว์ป่าหรือสิ่งมีชีวิตบนผืนทวีปมืดนั้นดุร้ายและแข็งแกร่งกว่าทวีปหลักอย่างมาก
ดังนั้นการดำรงชีวิตในการล่าสัตว์ของผู้คนที่ทวีปมืดย่อมดูแข็งกร้าวจนดูป่าเถื่อนไป
ซึ่งเหตุผลในการแต่งงานของคาริน่าและกษัตริย์หนุ่มจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีองค์ประกอบหลักอยู่สองอย่าง
อย่างแรกคือผลประโยชน์ที่อาณาจักรทั้งสองจะได้รับ
เพราะด้วยอาณาจักรวาสตินเป็นดินแดนเล็กๆจึงไม่มีกองกำลังทหารมากมายนัก
การได้เชื่อมสัมพันธ์กับจักรวรรดิมีลาธาที่ขึ้นชื่อเรื่องอำนาจทางการทหารย่อมเสริมสร้างอำนาจกำลังพลและการเกื้อหนุนในสงครามหรือป้องกันตัวเองได้เป็นอย่างดี
ในทางกลับกันแล้วจักรวรรดิมีลาธาก็ได้รับการยกระดับความน่าเชื่อถือจากภาคีกลุ่มรักษาสันติภาพแห่งมวลมนุษย์เพราะการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับวาสตินที่ค่อนข้างเป็นอาณาจักรที่ถูกจัดว่าน่าเชื่อถือมากที่สุดอาณาจักรหนึ่ง
ดังนั้นจึงทำให้การติดต่อหรือการค้าของจักรวรรดิมีลาธากับทวีปหลักจะสะดวกและเปิดกว้างยิ่งขึ้น
ส่วนเหตุผลที่สองนั้นคือความปลอดภัยของตัวคาริน่าเอง
อาณาจักรเล็กๆแห่งนี้แทบไม่มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นที่รุนแรงอะไรเลยหากเทียบกับที่ทวีปมืด
หนำซ้ำยังเป็นอาณาจักรที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วย จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่เฉกเช่นมีลาธาก็ตัดสินใจส่งเจ้าหญิงคนสำคัญที่เหลือรอดเพียงคนเดียวมาที่แห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรเสีย...อำนาจก็คืออำนาจ
คาริน่าที่แม้แต่งงานออกไปหรือเป็นสนมขององค์กษัตริย์ในอาณาจักรเล็กๆ
เธอก็ยังคงเป็นเจ้าหญิงแห่งทวีปมืดอยู่ดี...
เธอฆ่าน้องสาวต่างมารดาของตัวเองไปมากมายด้วยมือคู่นี้....และเธอก็ล่อลวงพี่ชายและน้องชายต่างมารดาให้ตกหลุมพรางของสงครามแห่งอำนาจ
เพราะฉะนั้นการกำจัดสิ่งที่ขัดหูขัดตาของเจ้าหญิงแห่งแดนมืดอย่างคาริน่า...จึงไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไร
.
.
.
เบื้องหน้าท่ามกลางดวงตาสีอรุณของมัวเรลล์ที่เบิกกว้างเพราะความตกใจและหวาดกลัวนั้นคือ
กลุ่มคนมากมาย...เธอไม่รู้จักพวกเขา พวกเขาเข้ามาที่นี้ได้อย่างไง?....เกิดบ้าอะไรขึ้น? เคียร์เนย์เปิดทางลับให้พวกเขาเข้ามาหรือ?
ตลอดระยะเวลาสิบสองปีของมัวเรลล์ที่มีชีวิตอยู่ในโลกแห่งนี้
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เธอพบเจอ แต่ไม่ใช่กับกลุ่มคนเหล่านี้
“ดูความงดงามที่เอาไว้ล่อลวงคนนั่นสิ...อย่างที่เขาลือกันเลย...”
“อย่าถูกรูปลักษณ์นั้นหลอกเอานะ มีคนบอกแล้วไม่ใช่เหรอ
นั่นน่ะไม่ใช่มนุษย์...มันเป็นสัตว์ประหลาด”
“ใช่ มิเช่นนั้นก็คงไม่ถูกล่ามโซ่มากมายเยี่ยงเดรัจฉานเช่นนี้หรอก”
คำพูดมากมายเอ่ยขึ้นราวกับวิจารณ์สัตว์ตัวหนึ่งในสวนสัตว์
พวกเขาจับจ้องมาที่เธอคล้ายไม่ใช่มนุษย์ ปากพร่ำบอกว่ารูปลักษณ์ของเธอคือความจอมปลอมที่เอาหลอกคนให้เข้ามาติดกับ
มัวเรลล์ค่อนข้างรู้สึกไม่พอใจที่ถูกกล่าวถึงอย่างเสียมารยาทและจ้องมองเธอราวกับสัตว์...คนกลุ่มนี้เข้ามาที่นี้โดยไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน
เพราะไม่มีใครถูกอนุญาตให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเธอได้
หนำซ้ำพอเข้ามาก็จับกลุ่มพูดเรื่องเธออย่างเสียมารยาทอีก
ดวงตาสีอรุณหรี่ตาลงมองกลุ่มคนแปลกหน้าด้วยความไม่ไว้วางใจ...เคียร์เนย์ก็ไม่อยู่เสียด้วย
ช่างตรงจังหวะซะเหลือเกิน...
“ข้าไม่ทราบหรอกนะคะว่าพวกท่านเป็นใคร?...แต่ข้าค่อนข้างมั่นใจว่าตนนั้นมิได้กระทำอันใดให้พวกท่าน
ดังนั้นต่างคนต่างอยู่เถิด”
มัวเรลล์เอ่ยกับผู้มาเยือนอย่างรักษามารยาท
ไม่เอาอารมณ์ความหงุดหงิดในคำพูดของพวกเขามาปะปนความคิด
เพราะเธอรู้ตัวดีว่าสภาพของตัวเองนั้นไม่ได้มีทางสู้กับผู้คนขนาดนั้น
โซ่ที่ล่ามเอาไว้ทำให้เธอไม่สามารถขยับนอกเหนือเขตปราสาทของตนได้
“มันพูดได้ล่ะ....”
“อย่าไปฟังที่มันพูดนะ บางทีมันอาจล่อลวงพวกเราก็ได้”
“ใช่แล้ว บางทีมันอาจแสร้งทำตัวไร้พิษภัยแล้วจับพวกเรากินก็เป็นได้”
คล้ายคำกล่าวเยี่ยงสุภาพชนของมัวเรลล์จะเข้าไปไม่ถึงคนกลุ่มเหล่านั้น...เด็กหญิงได้แต่ถอนหายใจและรู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เธอก็เป็นมนุษย์นะ...เหตุใดจึงพูดราวกับว่าเธอเป็นปีศาจร้ายที่ล่อลวงผู้อื่นกัน
“เอาเถอะ ที่สำคัญกว่านั้นพวกเรามาที่นี้เพื่อจัดการปีศาจร้ายที่ล่อลวงพี่สามอยู่ไม่ใช่เหรอ...”
เหล่าคนมากมายในกลุ่มต่างเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม...
คล้ายมัวเรลล์เริ่มรับรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของกลุ่มคนเหล่านี้....
เท้าที่ถูกโซ่ตรวนล่ามเอาไว้เริ่มขยับเพื่อหาทางหนีราวกับสัญชาตญาณได้บอกเธอ...ดวงตาสีอรุณเริ่มก่อความหวาดระแวงอย่างมากเพราะเริ่มตื่นตระหนกถึงความอันตรายนี้
สุดท้ายเป็นมือหนาของคนหนึ่งในกลุ่มแปลกหน้าที่เอื้อมเข้ามาบีบใบหน้าของมัวเรลล์
มีเพียงแค่เงาจากฝ่ามือและรอยยิ้มแสยะของคนผ่านนิ้วมือหนาที่ดวงตาสีอรุณของเธอเห็นมัน
พวกเขาจะทำอะไรเธอ?
.
.
.
“คงใกล้ถึงเวลาเริ่มการล่าแม่มดแล้วล่ะมั้ง...”
เป็นจอมมารหนุ่มที่ขบยิ้มออกมาราวกับรับรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเหมือนเป็นฉากหนึ่งของบทละครที่เขาวางเอาไว้
มือหนาเพียงโยนผลแอปเปิ้ลสีดำประหลาดน่าขนลุกเล่น
ก่อนกัดกินผลแอปเปิ้ลในมือนั้นอย่างเรียบเฉย
“ห่วยแตก”
บางทีรสชาติของ’ผลไม้ต้องห้าม’ก็ไม่ได้เรื่องสักทีเดียว…ผู้สร้างควรปรับรสชาติใหม่
ดวงตาสีเลือดเหลือบมองผลไม้ที่ผู้คนทั้งโลกต่างปรารถนาในมัน
ว่ากันว่ามันให้ความรู้ทั้งมวลแก่ผู้กัดกินมัน หรือว่ากันว่ามันสามารถมอบความปรารถนาให้แก่ผู้ครอบครอง
มีตำนานที่หลากหลายเกี่ยวกับผลไม้ประหลาดนี้
แต่แท้จริงใครจะรู้....
เป็นจอมมารหนุ่มที่แสยะยิ้มออกมาอย่างขบขันและดูแคลน
ผลไม้ที่ผู้คนต่างยกยอว่าล้ำค่านักหนาถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี....
.
.
.
ความคิดเห็น