ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    แด่เธอผู้เป็นสตรีของจอมมาร

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่11 เริ่มการล่าแม่มด

    • อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 63


      

    เชื้อเพลิงที่จอมมารหนุ่มเป็นผู้วางเอาไว้นั้นแตกผลเป็นไปตามที่ต้องการราวกับรากไม้ที่ฝังลึกลงไปในดิน เหล่าเจ้าหญิงเจ้าชายทั้งน้อยใหญ่ผู้อยากรู้อยากเห็นและริษยาต่างเริ่มค้นหาความจริง และผู้ที่ไม่อยู่เฉยที่สุดคงเป็นคาริน่ามารดาผู้โฉมงามของจอมมารหนุ่มที่หลังรับรู้ข่าวลือก็อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้มพลางคิดเรื่องร้าย

     

    สำหรับคาริน่านั้นนางคือเจ้าหญิงผู้เหลือรอดเพียงคนเดียวจากสงครามพี่น้องทั้งหมด มีหรือจะเป็นสตรีที่จิตใจแม่พระนัก เหตุผลที่นางได้เป็นหนึ่งในผู้ยืนหยัดคนสุดท้ายหลังการแย่งชิงอำนาจได้ นางย่อมไม่ใช่สตรีไม่รู้ประสีประสาเฉกเช่นหญิงชั้นสูงของทวีปหลัก

     

    ซึ่งความริษยาและความอิจฉาที่เก็บมาเนิ่นนาน...นางย่อมเล็งเห็นทางจะถูกปลดปล่อยในเร็ววันเสียแล้ว

     

    โฉมงามจากดินแดนอันมืดมิดแสยะยิ้มเย็น มือเรียวเท้าคางมองผู้คนภายนอกปราสาทของตนอย่างอารมณ์ดี เรือนผมดำที่โดดเด่นเสมอยามเมื่ออยู่ในแดนคนต่างถิ่นเฉกเช่นนี้ปกลงที่ใบหน้างามเย้ายวนอย่างไม่จัดทรง หากแต่ก็ไม่ได้ลดความงดงามของนางลงเลยแม้แต่น้อย กลับทวีคูณความเสน่หาของสตรีเพศเป็นอย่างดี

     

    เคียร์เนย์เป็นเด็กหนุ่มรูปงามที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาเจ้าชายทั้งมวล เพราะฉะนั้นมีหรือที่มารดาของเขาจะเป็นสตรีรูปงามธรรมดาสามัญทั่วไป คาริน่านับเป็นหญิงงาม...และเธอก็เป็นหนึ่งในหญิงงามแห่งยุคที่มีเพียงเจ็ดคนในตอนนี้

     

    ซึ่งเธอก็รู้จักใช้ความงามของตนให้เป็นประโยชน์เป็นอย่างดี....

     

    กำลังอารมณ์ดีอะไรอยู่เหรอครับ ทูนหัวของผม

    เป็นเสียงของชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นกับเธอ มือหนาของเขาเอื้อมเข้ามาลูบเรือนผมงามอันโดดเด่นเหนือใครในวังหลวงนี้อย่างรักใคร่

     

    ดวงตาสีดำสนิทดุจความมืดเหลือบมองชายหนุ่มผู้นั้นคล้ายเห็นคนเขลา หากแต่ก็ฉีกยิ้มบางให้อย่างเอ็นดูพลางเอื้อมมือเรียวไปลูบหัวเขาราวสัตว์เลี้ยง

     

    นั่นสินะ...แต่ว่าข้าจะอารมณ์ดีมากกว่านี้อีก หากเจ้าช่วยอะไรบางอย่างให้แก่ข้า

    คาริน่ายิ้มหวานให้แก่ผู้ตกอยู่ในภวังค์ความลุ่มหลงของเธอ นิ้วเรียวเชยคางของบุรุษรุ่นเยาว์กว่าตน ดวงตาสีดำเป็นประกายคล้ายห้วงลึกของท้องทะเล

     

    แน่นอนครับ!”

    เป็นชายหนุ่มวัยเยาว์ที่เอ่ยตกลงในทันทีอย่างไม่รู้อะไรเพราะความลุ่มหลงในตัวนาง แม้เขาจะไม่ได้มีอายุที่เยอะอะไร หากแต่ตำแหน่งในราชการวังหลวงก็ไม่ใช่ตำแหน่งผู้น้อยแต่อย่างใด เขาเป็นขุนนางยศเคานต์และทำหน้าที่เป็นฝ่ายกรองข้อมูลของเสนาธิการใหญ่ แม้อาจไม่ใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้เล็กน้อยแต่อย่างใด

     

    ซึ่งคาริน่าก็รู้ดีว่าขุนนางหนุ่มผู้ไฟแรงมีอนาคตคนนี้นั้นกำลังหลงใหลตนอย่างชัดเจน อาจเพราะยังเป็นแค่ชายหนุ่มผู้ไม่รู้รักหรืออ่อนต่อโลก จึงทำให้เธอที่เพียงแค่หยอกล้อนิดหยอกล้อหน่อยก็ติดบ่วงเสียแล้ว นับเป็นลูกกวางจริงๆ

     

    คาริน่ามีความสัมพันธ์กับผู้ชายหลายคนในเบื้องหลังสังคมชั้นสูงนี้ หลายคนเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่ หลายคนเป็นผู้มีอิทธิพลและหลายคนก็ทำประโยชน์ให้เธอ...ผู้ชายทุกคนที่เธอมีความสัมพันธ์ด้วยล้วนสร้างประโยชน์และอำนาจให้กับเธอ คาริน่านั้นต้องการความมั่นคงในสถานะทางสังคมของตัวเอง ไม่ใช่ในฐานะของสนมแห่งองค์กษัตริย์หรือเจ้าหญิงจากทวีปมืดที่แต่งงานเข้ามา...อำนาจคือสิ่งค้ำจุน สังคมการแย่งชิงอำนาจของราชวงศ์มีลาธาเป็นสิ่งที่สั่งสอนและปลูกฝังเจ้าหญิงผู้นี้ได้เป็นอย่างดี...

     

    ความจริงแล้วด้วยฐานะของเจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งผู้มาจากจักรวรรดิอันเกรียงไกรอย่างคาริน่านั้นย่อมสมควรแต่งให้ราชวงศ์อื่นในฐานะพระราชินีด้วยซ้ำไป หาใช่ตำแหน่งที่ต่ำลงมาเฉกเช่นพระสนม หากแต่เพราะด้วยข้อตกลงระหว่างมีลาธาและวาสตินจึงทำให้เธอมีตำแหน่งเช่นนี้

     

    ทางราชวงศ์วาสตินมีขนบธรรมเนียมที่ว่าราชินีของอาณาจักรนั้นจะต้องเป็นชาววาสตินโดยกำเนิดและสายเลือด พวกเขาถือตนเป็นลูกหลานของเทพยูเรียสที่ตำนานเล่าว่าลงมาจุติเป็นองค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์วาสติน จึงคิดว่าสายเลือดของตนนั้นสูงส่งและไม่ควรให้สายเลือดภายนอกเข้ามาทำให้แปดเปื้อนได้ ดังนั้นราชีนีแห่งวาสตินจึงเป็นสตรีชนชั้นสูงของอาณาจักรวาสตินเอง ในขณะที่สตรีต่างเชื้อชาติที่แม้จะมากอำนาจหรือสูงส่งปานใดก็จะได้ตำแหน่งสนมไปแทนโดยอ้างเหตุผลทางขนบธรรมเนียมของอาณาจักร

     

    นับเป็นความน่าขบขันทีเดียว...

     

    เพราะอาณาจักรวาสตินไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือเกรียงไกรอะไรเลย ทรัพยากรหรือการผลิตก็ไม่ได้มากอะไรนักแถมพื้นที่อาณาจักรก็เล็กนักหากเทียบกับอาณาจักรอื่นๆ เรียกได้ว่าที่อาณาจักรวาสตินยังคงมีชื่อ ก็คงเพราะถูกเชิดชูเป็นอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนมากมายบนพื้นทวีปหลักต่างนับถือราวกับเป็นดินแดนพื้นแรกของพระผู้สร้าง หนำซ้ำวีรชนและบุคคลสำคัญที่คอยค้ำจุนโลกในอดีตล้วนเป็นคนของอาณาจักรวาสติน จึงไม่แปลกที่แม้จะไม่ได้มีอำนาจทางกำลังทหารหรือทรัพยากรมากมาย อาณาจักรอื่นยังต้องเกรงใจอยู่ส่วนหนึ่ง...แต่นั้นก็ไม่ได้มากพอจะทำให้อาณาจักรอื่นต้องก้มหัวให้แต่อย่างใด

     

    ทว่าในทางกลับกันแล้วจักรวรรดิมีลาธานั้นกว้างใหญ่เสียจนถูกเรียกเป็นทวีปหนึ่งได้อย่างเต็มปาก หนำซ้ำยังนับเป็นดินแดนที่เกรียงไกรและมากอำนาจกำลังพลทหารที่สุดในหมู่ดินแดนมนุษย์ทั้งหมด หากแต่จักรวรรดิมีลาธาหรือทวีปมืดที่ผู้คนเรียกขานนั้นกลับไม่ได้เป็นที่ยอมรับสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเองนัก เพราะในสายตาของชาวทวีปหลักแล้ว ผู้คนในทวีปมืดก็ไม่ต่างอะไรจากคนเถื่อน ไม่สิ คนไร้อารยธรรมเท่าไหร่นัก...

     

    กล่าวกันว่าจักรวรรดิมีลาธาค่อนข้างถูกมองว่าเป็นดินแดนที่ยังไม่พัฒนาเท่าไหร่นัก วิถีชีวิตดั้งเดิมของชนพื้นเมืองทวีปมืดเองก็ป่าเถื่อนหากเทียบกับทวีปหลักแล้ว แต่นั่นก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ เพราะสัตว์ป่าหรือสิ่งมีชีวิตบนผืนทวีปมืดนั้นดุร้ายและแข็งแกร่งกว่าทวีปหลักอย่างมาก ดังนั้นการดำรงชีวิตในการล่าสัตว์ของผู้คนที่ทวีปมืดย่อมดูแข็งกร้าวจนดูป่าเถื่อนไป

     

    ซึ่งเหตุผลในการแต่งงานของคาริน่าและกษัตริย์หนุ่มจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นมีองค์ประกอบหลักอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือผลประโยชน์ที่อาณาจักรทั้งสองจะได้รับ เพราะด้วยอาณาจักรวาสตินเป็นดินแดนเล็กๆจึงไม่มีกองกำลังทหารมากมายนัก การได้เชื่อมสัมพันธ์กับจักรวรรดิมีลาธาที่ขึ้นชื่อเรื่องอำนาจทางการทหารย่อมเสริมสร้างอำนาจกำลังพลและการเกื้อหนุนในสงครามหรือป้องกันตัวเองได้เป็นอย่างดี ในทางกลับกันแล้วจักรวรรดิมีลาธาก็ได้รับการยกระดับความน่าเชื่อถือจากภาคีกลุ่มรักษาสันติภาพแห่งมวลมนุษย์เพราะการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับวาสตินที่ค่อนข้างเป็นอาณาจักรที่ถูกจัดว่าน่าเชื่อถือมากที่สุดอาณาจักรหนึ่ง ดังนั้นจึงทำให้การติดต่อหรือการค้าของจักรวรรดิมีลาธากับทวีปหลักจะสะดวกและเปิดกว้างยิ่งขึ้น

     

    ส่วนเหตุผลที่สองนั้นคือความปลอดภัยของตัวคาริน่าเอง อาณาจักรเล็กๆแห่งนี้แทบไม่มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นที่รุนแรงอะไรเลยหากเทียบกับที่ทวีปมืด หนำซ้ำยังเป็นอาณาจักรที่ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ด้วย จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่เฉกเช่นมีลาธาก็ตัดสินใจส่งเจ้าหญิงคนสำคัญที่เหลือรอดเพียงคนเดียวมาที่แห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย

     

    อย่างไรเสีย...อำนาจก็คืออำนาจ คาริน่าที่แม้แต่งงานออกไปหรือเป็นสนมขององค์กษัตริย์ในอาณาจักรเล็กๆ เธอก็ยังคงเป็นเจ้าหญิงแห่งทวีปมืดอยู่ดี...

     

    เธอฆ่าน้องสาวต่างมารดาของตัวเองไปมากมายด้วยมือคู่นี้....และเธอก็ล่อลวงพี่ชายและน้องชายต่างมารดาให้ตกหลุมพรางของสงครามแห่งอำนาจ

     

    เพราะฉะนั้นการกำจัดสิ่งที่ขัดหูขัดตาของเจ้าหญิงแห่งแดนมืดอย่างคาริน่า...จึงไม่ได้เป็นเรื่องยากอะไร

     

     

    .

    .

    .

     

    เบื้องหน้าท่ามกลางดวงตาสีอรุณของมัวเรลล์ที่เบิกกว้างเพราะความตกใจและหวาดกลัวนั้นคือ กลุ่มคนมากมาย...เธอไม่รู้จักพวกเขา พวกเขาเข้ามาที่นี้ได้อย่างไง?....เกิดบ้าอะไรขึ้น? เคียร์เนย์เปิดทางลับให้พวกเขาเข้ามาหรือ?

     

    ตลอดระยะเวลาสิบสองปีของมัวเรลล์ที่มีชีวิตอยู่ในโลกแห่งนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เธอพบเจอ แต่ไม่ใช่กับกลุ่มคนเหล่านี้

     

    ดูความงดงามที่เอาไว้ล่อลวงคนนั่นสิ...อย่างที่เขาลือกันเลย...

    อย่าถูกรูปลักษณ์นั้นหลอกเอานะ มีคนบอกแล้วไม่ใช่เหรอ นั่นน่ะไม่ใช่มนุษย์...มันเป็นสัตว์ประหลาด

    ใช่ มิเช่นนั้นก็คงไม่ถูกล่ามโซ่มากมายเยี่ยงเดรัจฉานเช่นนี้หรอก

     

    คำพูดมากมายเอ่ยขึ้นราวกับวิจารณ์สัตว์ตัวหนึ่งในสวนสัตว์ พวกเขาจับจ้องมาที่เธอคล้ายไม่ใช่มนุษย์ ปากพร่ำบอกว่ารูปลักษณ์ของเธอคือความจอมปลอมที่เอาหลอกคนให้เข้ามาติดกับ

     

    มัวเรลล์ค่อนข้างรู้สึกไม่พอใจที่ถูกกล่าวถึงอย่างเสียมารยาทและจ้องมองเธอราวกับสัตว์...คนกลุ่มนี้เข้ามาที่นี้โดยไม่ถูกต้องอย่างแน่นอน เพราะไม่มีใครถูกอนุญาตให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเธอได้ หนำซ้ำพอเข้ามาก็จับกลุ่มพูดเรื่องเธออย่างเสียมารยาทอีก

     

    ดวงตาสีอรุณหรี่ตาลงมองกลุ่มคนแปลกหน้าด้วยความไม่ไว้วางใจ...เคียร์เนย์ก็ไม่อยู่เสียด้วย ช่างตรงจังหวะซะเหลือเกิน...

     

    ข้าไม่ทราบหรอกนะคะว่าพวกท่านเป็นใคร?...แต่ข้าค่อนข้างมั่นใจว่าตนนั้นมิได้กระทำอันใดให้พวกท่าน ดังนั้นต่างคนต่างอยู่เถิด

    มัวเรลล์เอ่ยกับผู้มาเยือนอย่างรักษามารยาท ไม่เอาอารมณ์ความหงุดหงิดในคำพูดของพวกเขามาปะปนความคิด เพราะเธอรู้ตัวดีว่าสภาพของตัวเองนั้นไม่ได้มีทางสู้กับผู้คนขนาดนั้น โซ่ที่ล่ามเอาไว้ทำให้เธอไม่สามารถขยับนอกเหนือเขตปราสาทของตนได้

     

    มันพูดได้ล่ะ....

    อย่าไปฟังที่มันพูดนะ บางทีมันอาจล่อลวงพวกเราก็ได้

    ใช่แล้ว บางทีมันอาจแสร้งทำตัวไร้พิษภัยแล้วจับพวกเรากินก็เป็นได้

     

    คล้ายคำกล่าวเยี่ยงสุภาพชนของมัวเรลล์จะเข้าไปไม่ถึงคนกลุ่มเหล่านั้น...เด็กหญิงได้แต่ถอนหายใจและรู้สึกหงุดหงิดยิ่งขึ้นกว่าเดิม

     

    เธอก็เป็นมนุษย์นะ...เหตุใดจึงพูดราวกับว่าเธอเป็นปีศาจร้ายที่ล่อลวงผู้อื่นกัน

     

    เอาเถอะ ที่สำคัญกว่านั้นพวกเรามาที่นี้เพื่อจัดการปีศาจร้ายที่ล่อลวงพี่สามอยู่ไม่ใช่เหรอ...

    เหล่าคนมากมายในกลุ่มต่างเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม...

     

    คล้ายมัวเรลล์เริ่มรับรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของกลุ่มคนเหล่านี้....

     

    เท้าที่ถูกโซ่ตรวนล่ามเอาไว้เริ่มขยับเพื่อหาทางหนีราวกับสัญชาตญาณได้บอกเธอ...ดวงตาสีอรุณเริ่มก่อความหวาดระแวงอย่างมากเพราะเริ่มตื่นตระหนกถึงความอันตรายนี้

     

    สุดท้ายเป็นมือหนาของคนหนึ่งในกลุ่มแปลกหน้าที่เอื้อมเข้ามาบีบใบหน้าของมัวเรลล์ มีเพียงแค่เงาจากฝ่ามือและรอยยิ้มแสยะของคนผ่านนิ้วมือหนาที่ดวงตาสีอรุณของเธอเห็นมัน

     

    พวกเขาจะทำอะไรเธอ?

     

    .

    .

    .

     

    คงใกล้ถึงเวลาเริ่มการล่าแม่มดแล้วล่ะมั้ง...

    เป็นจอมมารหนุ่มที่ขบยิ้มออกมาราวกับรับรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเหมือนเป็นฉากหนึ่งของบทละครที่เขาวางเอาไว้ มือหนาเพียงโยนผลแอปเปิ้ลสีดำประหลาดน่าขนลุกเล่น

     

    ก่อนกัดกินผลแอปเปิ้ลในมือนั้นอย่างเรียบเฉย

     

    ห่วยแตก

     

    บางทีรสชาติของผลไม้ต้องห้ามก็ไม่ได้เรื่องสักทีเดียว…ผู้สร้างควรปรับรสชาติใหม่

     

    ดวงตาสีเลือดเหลือบมองผลไม้ที่ผู้คนทั้งโลกต่างปรารถนาในมัน ว่ากันว่ามันให้ความรู้ทั้งมวลแก่ผู้กัดกินมัน หรือว่ากันว่ามันสามารถมอบความปรารถนาให้แก่ผู้ครอบครอง มีตำนานที่หลากหลายเกี่ยวกับผลไม้ประหลาดนี้

     

    แต่แท้จริงใครจะรู้....

     

    เป็นจอมมารหนุ่มที่แสยะยิ้มออกมาอย่างขบขันและดูแคลน ผลไม้ที่ผู้คนต่างยกยอว่าล้ำค่านักหนาถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใยดี....

     

    .

    .

    .



    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×