คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่10 การพูดคุยหรือการประเมิน
เคยมีสำนวนสุภาษิตของชาวแดนใต้ในชนเผ่าโทอิสกล่าวว่า’เลือดคนแดนเหนือนั้นไซร้เทียบฟ้าลืมกลิ่นดิน’ อันหมายถึงเรื่องความหัวสูงและการหยิ่งทะนงตนในสายเลือดของชาวเฟย์ติสที่ค่อนข้างทำให้ดูโอหังและเหยียดหยามเชื้อชาติอื่นเสมอ
ซึ่งนั่นก็เป็นที่ประจักษ์ดี เมื่อแม้กระทั่งพระเอกของเรื่องราวอย่างอันวาร์ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
เอลลิโอร่าจึงมิได้คาดหวังความเคารพในการปฏิบัติตนของตัวร้ายน้อยตรงหน้าเท่าไหร่นัก
ในหัวพลางคิดว่าอีกไม่ช้าเด็กชายผู้นี้ก็คงแสดงสีหน้าท่าทางรังเกียจกันตามความดัดจริตของคนจักรวรรดินี้
ทว่าคล้ายเป็นเรื่องที่ทำให้เธอต้องแปลกใจ...เมื่อเลอามินไม่ได้แสดงความระแวงหรือรังเกียจอย่างที่ควรเป็น
ดูเหมือนเด็กชายตัวน้อยจะรู้มารยาทและการวางตัวดี
เขานิ่งเงียบด้วยความสงบก่อนกุมผ้าผืนที่ถูกโยนมาเช็ดน้ำตาตัวเองเบาๆอย่างมารยาทสมที่ถูกขัดเกลามาทั้งชีวิตวัยเยาว์
ซึ่งทำให้เอลลิโอร่าที่เห็นก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตามองด้วยความพินิจ....แม้รูปลักษณ์จะมิได้งามปานเทวทูต
ทว่ากิริยามารยาทนี้เองกระมังที่ต่อให้เป็นโฉมยงเพียงใดก็มิอาจเทียบได้
บางทีหากได้เห็นจริตจะก้านบนเตียงคงน่าเอ็นดูไม่หยอก....ความคิดแสนโสมมของงูร้ายผ่านเข้ามาในสมอง
แต่ก็ต้องชั่งใจเมื่อไม่ถึงเวลา...ผลไม้ที่ยังไม่สุกงอมถึงกัดไปก็มิได้หวานเท่าที่ควร...
“ข...ขอบคุณสำหรับผ้านะครับ...”
เลอามินคล้ายทำใจดีสู้เสือพยายามเอ่ยทักคนแปลกหน้าที่ตนไม่คุ้นเคยเพื่อรักษามารยาทที่พึงมีตามนิสัยตระกูลฮาเกน
แม้ในใจจะยังสงสัยถึงเชื้อชาติที่อีกฝ่ายบอกกล่าวก็ตาม
เพราะรูปลักษณ์ของเขานั้นดูแตกต่างจากชาวเฟย์ติสจริงๆ...แต่กระนั้นก็ไม่เสียมารยาทพอที่จะกล้าถาม
“ดูเหมือนคนในครอบครัวเจ้าจะมิได้เป็นที่ปลอบโยนเจ้ากระมัง...จึงได้มาร่ำไห้ลับหลังผู้คนเช่นนี้”
เอลลิโอร่าจงใจเอ่ยปมของเด็กชายขึ้นอย่างผิดวิสัยเพราะใคร่ต้องการกระตุ้นอารมณ์ของเด็กน้อยให้อ่อนไหวกว่าที่เป็นอยู่เพิ่มทวีคูณ
มือไม้ที่หยาบกร้านแสร้งเอื้อมประชิดลูบศีรษะน้อยๆราวกับปลอบโยน
ดวงตาอสรพิษปกปิดความคดเหลือทิ้งไว้เพียงความสุจริตจอมปลอม
และไม่รอให้เด็กน้อยได้ระวังตัวหรือถอยหนี มืออีกข้างหนึ่งของเธอก็ทำเป็นลูบหลังเขาคล้ายประโลมแต่แท้จริงแล้วเพียงหวังกันทางหนีของเหยื่อ
ซึ่งทางด้านเลอามินที่ไม่คิดว่าจะถูกเนื้อต้องตัวโดยคนแปลกหน้าหนำซ้ำยังดูเป็นคนต่างถิ่น
จึงไม่ชอบใจและแสดงท่าทางขัดขืนไม่น้อย อย่างไรเสียตัวร้ายผู้นี้ก็เติบโตมาในตระกูลขุนนางใหญ่
ดังนั้นความถือตนย่อมติดตัวมาเป็นสันดานไม่มากก็น้อย
ดวงตาสีม่วงเข้มฉายแววความไม่พอใจกับการถูกจับตัว
สองมือเล็กพยายามปัดมือที่ใหญ่และหยาบกร้านกว่าตนเท่าตัวอย่างรักษาระยะห่าง เขาเริ่มรู้สึกหวาดระแวงคนตรงหน้าแล้ว....
“อย่าหวาดกลัวกับคนที่ผ่านทางมาเช่นข้าเลย...จงหวาดกลัวกับคนที่ทำร้ายเจ้าเสียดีกว่า”
เอลลิโอร่าเพียงแคลนยิ้มในท่าทางใสซื่อของตัวร้ายวัยเยาว์
ไม่แปลกที่เขาคิดหวาดระแวง เมื่อมีคนแปลกหน้าจับเนื้อต้องตัวแบบนี้
ทว่าอสรพิษนั้นไซร้หรือจะปล่อยเหยื่อ...
ดวงตาของงูร้ายแสร้งทำเป็นสอดส่องบาดแผลบริเวณแขนและหน้าของเด็กน้อย
พลางทำเป็นรู้ดีว่าเขาพบเจอกับอะไรมาบ้าง
แม้แท้จริงแล้วจะถูกบอกเล่าผ่านหนังสือที่เคยอ่านก็ตาม
มือกร้านลูบบาดแผลบนใบหน้าของตัวร้ายน้อยราวกับไม่รังเกียจและเข้าใจถึงความเจ็บปวดดี
ทำให้เลอามินที่คราแรกรู้สึกไม่ชอบมาพากลต้องชะงัก
หนำซ้ำตัวร้ายที่แท้จริงอย่างเอลลิโอร่าก็จงใจถกแขนเสื้อคลุมเล็กน้อย
ให้เด็กชายวัยเยาว์ได้เหลือบเห็นเนื้อแขนที่โผล่จากเสื้อคลุมซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลมากมายไม่ต่างจากตน...
เลอามินหยุดมือที่ปัดป้องของคนแปลกหน้า
เขามองอีกฝ่ายด้วยความสงสัยและแปลกใจ
รอยแผลเป็นทั้งหลายที่อยู่บนแขนของเด็กชายปริศนาดูกรีดลึกและลากยาวกว่าเขาเสียอีก....
“เจ็บหรือไม่?”
คำกล่าวเพียงสั้นๆของเอลลิโอร่าทว่ามีความหมายมากมายสำหรับคนที่ถูกกระทำและเมินเฉยนั้นเอ่ยออกมา
เธอรู้ดีว่าเลอามินต้องการอะไร....เฉกเช่นเธอในอดีตที่ไม่เคยได้รับมัน
ความห่วงใยแม้เพียงน้อยนิดก็แสนมีค่าสำหรับคนที่ถูกทำร้ายมาทั้งชีวิต
และความไร้เดียงสาของเด็กน้อยก็ง่ายต่อการล่อลวงนัก....กระต่ายผู้อยู่ในกรงหลวงถูกอสรพิษจากดินโสมมเรียกความสนใจได้สำเร็จ
“ท...ท่านก็เคยถูกทำร้ายร่างกายมาอย่างนั้นเหรอครับ?”
ประโยคแสร้งห่วงใยของงูร้ายสะกดใจของเลอามินที่ยังไม่ทันโลกดี
เขาที่โดนบิดาและมารดาตบตีอยู่เสมอคล้ายน้อยเนื้อต่ำใจและเจ็บปวดจนคิดว่าตนเองนั้นแสนโชคร้ายเพียงลำพัง
ทว่าเมื่อเห็นรอยแผลของอีกฝ่ายแม้แปลกหน้าก็ทำให้เขารู้สึกว่ามีผู้ร่วมชะตากรรมเป็นเพื่อนบนโลกนี้จริงๆ
เอลลิโอร่าเพียงพยักหน้าเบาๆเป็นคำตอบ ก่อนหยิบยกยาชั้นดีซึ่งได้รับมาจากคาเอลรอสผู้เป็นปู่ร่วมสายเลือดที่ประทานมาจากกระเป๋าเสื้อ
“ยาสมุนไพรนี้แม้กลิ่นแรง...ทว่ามีคุณภาพกว่ายาแดนเหนือนัก
ทาเพียงชั่วครู่บาดแผลเจ้าจะจางลง”
จักรวรรดิเฟย์ติสเป็นดินแดนทางเหนือซึ่งปกคลุมด้วยฤดูเหมันต์ถึงแปดส่วน
จึงไม่แปลกเลยที่พืชพรรณต่างๆตลอดจนสมุนไพรจะมิได้หลากหลายหรือเติบโตได้ดีนัก เมื่อเทียบกับดินแดนทางใต้อย่างเนย์ยีร์แล้วความอุดสมบูรณ์ทางธรรมชาตินั้นเหนือกว่าอย่างชัดเจน
ดังนั้นสิ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักๆของดินแดนนี้คืออุตสาหกรรมและพื้นที่การค้าที่ช่วงชิงทรัพยากรจากดินแดนอื่นมาไม่น้อย...สมสัจธรรมของดินแดนใหญ่
ซึ่งตระกูลฮาเกนของตัวร้ายน้อยผู้นี้เองก็มีบทบาทสำคัญในราชสำนักไม่น้อย
เพราะแต่เดิมต้นเชื้อสายของตระกูลฮาเกนมีรากฐานมาจากอาณาจักรอาราราส ดินแดนทางตะวันออกเฉียงใต้สุดของทวีปเหนือ
เป็นดินแดนแห่งการเพาะปลูกและเกษตรกรรมซึ่งค่อนไปด้วยการเลี้ยงปศุสัตว์ ดังนั้นเส้นสายจากสายเลือดเก่านี้เองที่ทำให้ตระกูลฮาเกนมีบทบาทสำคัญในการนำเข้าทรัพยากรประเภทเสบียงอาหารและสิ่งแปรรูปจากอาณาจักรอาราราสและดินแดนข้างเคียงอื่นๆมายังจักรวรรดิเฟย์ติสได้ง่ายดาย
แม้จะขัดแย้งกับตระกูล’เวิลดซาเนีย’ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางหนึ่งในสามมาร์ควิสใหญ่ที่มีเชื้อสายดั้งเดิมของจักรวรรดิเฟย์ติสที่นิยมชมชอบนโยบายการผลิตและบริโภคภายในกันเองก็ตาม
แต่เอาเถิดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก็ล้วนมีไว้ถ่วงดุลอำนาจภายนอกและภายในสำหรับราชสำนักเท่านั้น...การผลิตจริงๆของจักรวรรดิเฟย์ติสยังต้องพัฒนาวิทยาการเพาะปลูกอีกมากกว่าจะพึ่งตัวเองได้ทั้งหมด
ดังนั้นสิ่งที่ตระกูลฮาเกนสนับสนุนก็ไม่ได้ผิดอะไรนัก
ทว่าหากพึ่งการผลิตภายนอกมากเกินไปก็ทำให้ภายในอ่อนแอ
ดังนั้นตระกูลเวิลดซาเนียที่ขึ้นชื่อในจักรวรรดินิยมจึงถูกยกมาเป็นขั้วอำนาจตรงข้ามเพื่อรักษาจุดยืนภายในเช่นกัน
แต่ใช่ว่าเพียงสองตระกูลจะคลุมตำแหน่งของตัวเองได้หมดล่ะนะ...จักรพรรดิคาเดย์แม้จะจัดสรรเรื่องภายในครอบครัวตัวเองไม่ดีเท่าไหร่
ทว่าก็ต้องยอมรับว่าการกระจายอำนาจของเขานับว่าไม่แย่ อำนาจของตระกูลสามมาร์ควิสใหญ่จะหยิ่งผยองเมื่อไร้ใครเทียบ
ดังนั้นจึงวางบทบาทให้ตีกันเองเพื่อลดทอนกันนับว่าเป็นวิธีหนึ่งที่ไม่ต้องลงแรงอะไรมากมายนัก...
ความจริงแล้วมารดาผู้ให้กำเนิดเอลลิโอร่าและพระเอกอย่างอันวาร์รวมถึงโลริสผู้เป็นน้องชายนั้นก็เป็นบุตรสายตรงของตระกูลเวิลดซาเนียที่แต่งเข้ามาตามกฎหมายและธรรมเนียมประเพณีในราชวงศ์เฟย์ติสที่ถูกต้อง
อีกทั้งจักรพรรดิอย่างคาเดย์ก็ทรงรักใคร่นักหนาตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่บทบาทของตระกูลเวิลดซาเนียจึงมิอาจดูแคลนได้นัก
ซึ่งอันวาร์ผู้เป็นพี่ชายของเธอเองก็มีตระกูลเวิลดซาเนียนี้อันเป็นเชื้อสายฝั่งมารดาสนับสนุนในอำนาจอย่างไม่ต้องสงสัย
คิดแล้วก็ช่างน่าอิจฉาในวาสนาของพระเอกผู้แสนโชคดีคนนี้ ที่แม้เพียงเกิดมาก็มีคนสนับสนุนในบัลลังก์เสียแล้ว...
ไม่ง่ายเลยที่จะล้มยักษ์หลับที่มีฐานมั่นคงเช่นนี้....แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกให้มากนัก
เมื่อสิ่งที่ต้องการคืออำนาจสูงสุด....
“ท...ทำไมถึงช่วยข้ากันล่ะครับ?”
เลอามินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกประหลาดและซาบซึ้งเล็กน้อยเมื่อคนแปลกหน้ากระทำดีกับตนแม้เพียงครั้งแรกที่พบกัน
จึงเริ่มตีความคิดของตนว่าอีกฝ่ายอาจเป็นคนดี เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาแทบไม่เคยถูกปฏิบัติอย่างดีด้วยซ้ำ
ความอ่อนต่อโลกของเด็กน้อยนั้นมิได้หยาบกร้านตามอายุจึงไม่แปลกเลยที่ความเชื่อใจจะสร้างง่ายดายเช่นนี้
ทัศนคติของเด็กน้อยนั้นไม่ได้ซับซ้อนอะไรนัก
เอลลิโอร่าชั่งใจเพียงชั่วครูเพื่อหาคำตอบให้ดูดีสวยหรูเสียหน่อย
ก่อนตัดสินใจหยิบยกอดีตของตนบางส่วนมาเล่าอ้างเพื่อให้ดูเป็นคนร่วมชะตากรรมเดียวกันและน่าเชื่อถือ
เรียกคะแนนความน่าเห็นใจกันก็นับว่าไม่แย่อะไร แม้ตัวเธอจะไม่ใช่คนที่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวหรืออดีตของตนก็ตาม...แต่หากมันใช้ประโยชน์ได้
ทิฐิก็เป็นเพียงเส้นกั้นในหัวเท่านั้น
“สมัยก่อนเมื่อครั้งที่ข้ายังเยาว์วัยมากนักก็เคยมาร้องไห้ตรงนี้....เพราะถูกบิดาสั่งตีและฟาดอย่างรุนแรงเสมอมา
และทุกคราที่แสนน้อยใจและตัดพ้อในชะตาชีวิตก็มักแอบหนีมาร้องไห้หลังเสาใกล้เคียงกับเจ้าเช่นนี้
จนสุดท้ายเป็นแม่เลี้ยงของข้าที่ต้องลำบากออกตามหาจนพบเจอทุกครั้งอยู่ร่ำไป”
รอยยิ้มแสนเย้ยหยันในอดีตที่อ่อนแอและประกายความอบอุ่นในตอนท้ายเมื่อเอ่ยถึงคนงามของตนปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเอลลิโอร่าระหว่างกล่าว
เธอไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรให้มากความนัก ทว่าเด็กชายตัวน้อยอย่างเลอามินที่เคยเหลือบไปเห็นรอยแผลเป็นของผู้กล่าวในคราแรกแล้ว
ก็ทำให้เขารู้สึกเชื่อไม่น้อย
“เจ้าทำให้ข้านึกถึงตัวเองในอดีต...”
แม้จะไม่มากก็ตามเถอะ...แต่ก็เอ่ยอ้างไป เพราะความทรงจำที่ผ่านมานั้นไม่ได้น่าจดจำสำหรับเอลลิโอร่าเท่าไหร่นัก
เธอเกือบหลงลืมมันไปหมดแล้ว...
ภาพของเธอเมื่อครั้งตอนยังเป็นเด็กน้อยวัยเยาว์มากนักกำลังร้องไห้ออกมาอย่างน่าสมเพชและน่าสงสารในเวลาเดียวกันไร้ซึ่งผู้คนที่ปลอบโยน
โดยร่างเล็กพยายามอิงแอบหลังเสาใหญ่หวังให้มันปิดบังและปกป้องตนจากสายตาใครๆหรือความว่างเปล่าที่โดดเดี่ยวนั้นเป็นภาพที่คุ้นชิน
รอยแผลสดที่มีเลือดไหลรินออกมาจากหลังและแขนนั้นบ่งบอกถึงความเจ็บปวดได้เป็นอย่างดี....ดวงตาอสรพิษแดงก่ำและสายน้ำที่ไหลรินออกมาจากตาแทบเป็นสายเลือด
มือทั้งสองที่ด้านชาและเริ่มหยาบกระด้างขึ้นมาเล็กน้อยจิกเนื้อแขนของตนเพื่อระบายอารมณ์ที่มีอยู่
เอลลิโอร่าในตอนนั้นรู้สึกเจ็บแสบและหนาวเย็นจากรอยแผลที่สัมผัสอากาศอย่างยิ่งยวด
ดั่งน้ำกรดที่สาดเข้ามายังผิวหนัง หนำซ้ำเพราะหิมะแรกแย้มของฤดูประจำถิ่นแดนเกิดนั้นตกลงมาอย่างโปรยปรายยิ่งทำให้ร่างกายเล็กๆนี้สั่นเทาขึ้นไปอีกโดยไม่ยากเย็น
ทุกครั้งที่ถูกลงโทษเพราะความผิด...มักจบลงด้วยบาดแผลและความไม่เข้าใจของเธอเสมอ
ไม่ว่าเธอจะอยู่ส่วนใดของพระราชวังหรือในใจของครอบครัว....เอลลิโอร่า เดอ เฟย์ติส
ล้วนจะกลายเป็นผู้กระทำผิดตั้งแต่แรกเสียแล้ว ไม่ว่าความผิดนั้นจะเป็นอันวาร์หรือโลริสเป็นผู้ก่อ...พระบิดาก็มักหาแพะรับบาปได้ดีเสมอ
ความรับผิดชอบทั้งหลายล้วนถูกโยนมาให้กับบุตรผู้ไม่โปรดปรานอย่างง่ายดาย
และด้วยเพราะเป็นถึงจักรพรรดิกระมัง...พระบิดาผู้นี้จึงมิคิดลงโทษเองให้เปลืองมือตน
หากแต่สั่งการข้ารับใช้บริพารให้สั่งสอนบุตรแทนอย่างไม่ใส่ใจสมพ่อคนที่ลำเอียง ซึ่งนั่นก็เปิดโอกาสให้ข้ารับใช้ตลอดจนอัศวินผู้รับคำสั่งคิดสนุกและเล่นพิเรนทร์กับเด็กที่เกิดมาแปลกแยกเช่นเธอโดยไม่เกรงกลัว
ความจริงแล้ววัฒนธรรมการสั่งสอนบุตรของชาวเหนือตามประสาสามัญชนทั่วไปนั้นส่วนมากมักจะนำหญ้าพื้นยาวที่มีลักษณะคล้ายหญ้าแฝกแต่มีความสูงกว่ามากนักมามัดรวมกัน
จากนั้นจึงชุบด้วยน้ำให้มีน้ำหนัก แล้วจึงค่อยตีมาที่แผ่นหลังของเด็กเพื่อเป็นทำโทษ
ซึ่งมันก็ไม่ได้สร้างความเจ็บปวดอะไรให้มากมาย อีกทั้งยังไม่สร้างรอยแผลอะไร
จึงนับว่าเป็นวิธีที่ไม่เลวเลยทีเดียวสำหรับลงโทษเด็กน้อย
หากแต่เพราะรูปลักษณ์ที่ผิดแปลกเชื้อไขและความไม่โปรดปรานของพระบิดา
จึงทำให้เหล่าผู้รับหน้าที่สั่งสอนมิได้ตระหนักว่าเธอเป็นเชื้อพระวงศ์หรือแม้แต่ชาวเฟย์ติสเลยด้วยซ้ำไป...คมดาบจากฝักอัศวินถูกกระแทกลงที่หลังของเด็กน้อยอย่างรุนแรง
ปลายมีดครัวก็มักถูกคนใช้เขี่ยลงที่แขนเล่นอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน....สาบานเลยว่าเธอพยายามดิ้นรนหนีอย่างน่าสมเพชอยู่ตลอดเวลาเลย
หากแต่ร่างของเด็กน้อยมีหรือจะสู้แรงของผู้ใหญ่ในวัยโตเต็มที่ได้...
องค์จักรพรรดิผู้เป็นบิดาแม้จะไม่ใช่ผู้กระทำ หากแต่เขาเองก็ปิดหูปิดตามองข้ามความเลวทรามของข้ารับใช้ที่ลงโทษเธออยู่เรื่อยไป
รอยแผลที่เห็น คำร้องเรียกที่เอ่ย...ไม่เคยได้รับความเห็นใจจากบิดาบังเกิดเกล้าผู้นี้เลย
เอลลิโอร่าทำได้เพียงจดจำใบหน้าของเหล่าผู้กระทำอย่างขึ้นใจและหวังในอนาคตที่จะฆ่าพวกมันเสีย...ความเคียดแค้นที่สะสมมาเนิ่นนานนั้นแสนคับใจนัก...
ซึ่งเพียงแค่คิดถึงอดีตที่น่าสังเวชของตนในวัยเยาว์ก็ทำให้เลือดในกายดิ้นพล่านราวกับสารปรอทที่ถูกฉีดเข้ามาแล้ว...
และในระหว่างห้วงความคิดที่ฝังลึกนั้นเอง...เสียงเอ่ยทักท้วงของคนสนิทอย่างวาคินรีนส์ก็ล่องลอยขึ้นมาตามสายลมจากด้านหลัง
ชักจูงให้สติอันบิดเบี้ยวไปด้วยอารมณ์ของเอลลิโอร่าหยุดลง...ดวงตาอสรพิษถอนสายตาหมางเมินเด็กชายตัวน้อยผู้เป็นคู่สนทนาเมื่อครู่ราวกับมิเคยได้ใส่ใจเหมือนท่าทีในตอนแรกเริ่ม
“องค์จักรพรรดิแห่งเฟย์ติสเรียกพบเจ้า”
เป็นภาษาฮันเรย์ที่กล่าวขึ้นมาอย่างกระชับไร้น้ำเนื้อใดๆ
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นรับรู้ถึงข่าวสารต่างๆของนายเหนือคนสนิทของตน พลางใช้ดวงตาสีชาอันอันคลุมเครือสอดส่องเด็กน้อยชาวเฟย์ติสอันแปลกหน้าที่หลงถิ่นเข้ามา
ก่อนเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นสัญญาณบอกใบ้กับผู้เป็นทั้งสหายและนายของตนว่า
จะเก็บเด็กผู้นี้ไปทิ้งข้างนอกให้เอาหรือไม่
ซึ่งเอลลิโอร่าก็เพียงเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นคำตอบกลับ
ก่อนขยับปากเอ่ยอย่างไร้เสียงว่า เบามือด้วยแล้วกัน
.
.
.
ภายใต้แสงเชิงเทียนแกะสลักอันวิจิตรสมอารยชนที่เป็นดินแดนใหญ่นั้นสาดส่องไปทั่วห้องอันยิ่งใหญ่ไม่แคล้วกัน...ความโอ่อ่าของโครงสร้างและเครื่องประดับห้องนั้นทำให้เห็นแล้วชวนรู้สึกฟุ่มเฟือยอย่างยิ่งยวด
ภาพวาดสีน้ำมันของศิลปินเอกแห่งยุคเลื่องชื่อล้วนถูกครอบครองไว้ที่นี้ทั้งสิ้น สถาปัตยกรรมของจักรวรรดิเฟย์ติสนั้นใกล้เคียงกับอังกฤษผสมผสานรัสเซียเล็กน้อย
จึงนับว่าเป็นความงดงามมาตรฐานที่เห็นแล้วยังรู้สึกเข้าใจได้และไม่ผิดแปลกอะไร แม้หากจะให้เทียบกับวัฒนธรรมหรือประเพณีที่อาจต้องปรับตัวอยู่เล็กน้อยก็มิใช่ปัญหาอะไร...ดวงตาอสรพิษอดไม่ได้ที่จะย้อนมองถึงแรงงานทาสและเงินภาษีของประชาชนทั้งหลายที่ถูกใช้เพื่อสร้างความงดงามที่สุรุ่ยสุร่ายนี้...
และเป็นองค์จักรพรรดิผู้เกรียงไกรที่นั่งอยู่ภายใต้ความสง่างามเหล่านี้ดูแล้วคู่ควรสมค่าฐานันดรศักดิ์เชื้อสายที่เกิดมายิ่ง...ไม่ว่าจะท่าทางการนั่งหรือสายตายามสื่อมองก็ล้วนสมเป็นชนชั้นปกครองอย่างแท้จริง
เอลลิโอร่าอดไม่ได้ที่จะยิ้มเย้ยหยันในใจถึงความสมบูรณ์พร้อมนี้...ผู้ได้รับการศึกษาและการอบรมที่ดี
ย่อมมีบุคลิกและรูปพรรณที่ดี
“ขอให้ดวงจันทร์แห่งเลเนียผู้ส่งสารอนาคต...จงสุกสกาวข้างพระวรกายของพระองค์และจักรวรรดิเฟย์ติสตราบจนนิรันดร์ด้วยเถิด”
เอลลิโอร่ากล่าวเอ่ยตามมารยาทที่พึงมีต่อผู้เป็นบิดาในฐานะองค์จักรพรรดิ
หาใช่...ครอบครัว...น้ำเสียงนั้นไม่ได้แสดงถึงความเคารพนับถือหรือความเกลียดชังจนฟุ้งเฟ้อ
มีเพียงความเรียบเฉยและไร้สัมพันธ์ใดๆที่ปรากฏออกมาในนัยน์ตา ดูแล้วคล้ายข้าราชบริพารขุนนางผู้รับใช้มากกว่าจะเป็นบุตรในสายเลือดของพระองค์
ซึ่งแน่นอนว่าคาเดย์ผู้ป็นบิดาบังเกิดเกล้าเพียงใช้ดวงตาสีเลือดอันแสนเย็นเยือกเหลือบมองบุตรสาวที่ตนชิงชังนักหนาโดยไม่ตอบอะไร...ก่อนเลื่อนความสนใจไปยังกองงานเอกสารของตนตามเดิมราวกับการมีอยู่ของเด็กหญิงตรงหน้าเป็นเพียงธาตุอากาศที่ไร้ค่า
มีเพียงเสียงจากปลายปากกาขนนกและแผ่นกระดาษที่สับเปลี่ยนกันที่ดังขึ้นตลอดเวลาในความน่าอึดอัดนี้
ทางด้านของเอลลิโอร่าที่แม้ทราบว่าพระบิดาทรงตั้งใจเมินตน
ก็มิได้คิดจะส่งเสียงทักเอ่ยต่อแต่อย่างใด หากแต่เพียงยืนนิ่งในท่ายืนพักตามระเบียบที่ถูกปู่ร่วมสายเลือดสั่งสอนมาจนเป็นวินัยเยี่ยงนายทหาร
ใบหน้านิ่งตรงไม่แสดงชักสีหน้าที่ไม่พอใจ แขนทั้งสองข้างถูกเก็บเอาด้านหลังโดยกำมือแน่น
ปลายเท้าแยกออกจากกันเล็กน้อย
ว่ากันตามตรงแล้วบุคลิกภาพและนิสัยส่วนหนึ่งของเอลลิโอร่านั้นถูกบ่มเพาะให้เป็นทหารที่หยาบกร้านราวครึ่งส่วนของตัวตน
เพราะคาเอลรอสผู้เป็นปู่ร่วมสายเลือดของเธอได้รับการศึกษามาจากโรงเรียนเตรียมทหารตั้งแต่ครั้นวัยเยาว์และเมื่อเติบใหญ่ก็เติบโตในกองทัพเพราะเวลาชีวิตส่วนหนึ่งของเขานั้นเต็มไปด้วยสงครามจากการล่าอาณานิคม
จึงไม่แปลกเลย...ที่แนวทางการเลี้ยงดูแลและการอบรมสั่งสอนของเขาจะเป็นแบบแผนที่คล้ายการฝึกนายทหารอยู่พอสมควร
หนำซ้ำตัวเธอเองก็เติบโตมาโดยการใช้ชีวิตอยู่เยี่ยงชนเผ่าเร่รอนที่เป็นนักล่าอีก
และเพราะด้วยเหตุนี้เองกระมังที่ทำให้เอลลิโอร่าค่อนข้างมิได้อ่อนช้อยและขาดความสง่างามในรูปแบบชนชั้นสูง
จนถูกกล่าวล้อเลียนว่าเป็นเจ้าหญิงบ้านนอกที่ไร้การศึกษาอบรม...แม้ตัวเธอจะไม่ยี่หระกับมันก็ตามที...
ซึ่งสงครามประสาทย่อมๆนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไปคล้ายกำลังวัดเกณฑ์วุฒิภาวะของคนทั้งสองอยู่กระมัง...และสุดท้ายก็เป็นองค์จักรพรรดิผู้ปราชัยที่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับดวงตาอสรพิษที่ตนแสนเกลียดชัง
ไม่เหนือความคาดหมายของเอลลิโอร่าที่พินิจดูแล้วว่าพระบิดานั้นก็มีนิสัยถือดีไม่ต่างจากอันวาร์ผู้เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของตน...นับว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ...
“ตอนนี้เจ้าสอบวัดระดับเกณฑ์ภาษาเฟย์ติสได้ขั้นที่เท่าไหร่แล้ว?”
เป็นองค์จักรพรรดิคาเดย์ที่เอ่ยปากถามออกมาคล้ายกำลังตรวจสอบข้อมูลของเด็กหญิงตรงหน้าอยู่...ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่ได้ไต่ถามมันเพราะความเป็นห่วงแต่อย่างใด
เอกสารในมือยังคงจัดเรียงเพื่อขึ้นเขียนต่อไป
ในขณะที่ดวงตาสีเลือดเพียงเหลือบมองเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจ
“ระดับการฟังและพูดของข้าอยู่ในเกณฑ์ขั้น’เจนิวา’สามารถยื่นสอบเข้าระดับชั้นมหาลัยและสถาบันการศึกษาเฉพาะทางในแผนสามัญชนได้…ส่วนการอ่านและการเขียนอยู่ในเกณฑ์ขั้น’อานิวา’ หากแต่ตอนนี้กำลังทำเรื่องยื่นสอบเลื่อนระดับเป็นเจนิวาอยู่”
เอลลิโอร่าเอ่ยตอบคำถามของผู้เป็นบิดาอย่างราบเรียบคล้ายกำลังรายงานตน
แม้จริงอยู่ที่ว่าสัญชาติที่ได้รับมาโดยกำเนิดนั้นจะเป็นเฟย์ติส ทว่าเพราะตัวเธอเติบโตในดินแดนทางใต้...จึงไม่ได้เข้ารับการศึกษาขั้นพื้นฐานภาคบังคับของจักรวรรดิเฟย์ติสหรือหากจะให้เปรียบเทียบนั้นก็คงคล้ายกับการศึกษาภาคบังคับในโลกอดีตชาตินั้นแล
และด้วยเหตุนี้เองทำให้เอลลิโอร่ามิได้มีวุฒิบัตรที่แสดงยืนยันระดับความรู้พื้นฐานของชาวเฟย์ติสทั่วไป
เธอจึงจำเป็นต้องสอบวัดระดับความรู้พื้นฐานในนอกรอบอย่าง’นิวา’อีกที....ซึ่งโดยการสอบนี้ส่วนมากมักเป็นชาวต่างชาติหรือผู้อพยพลี้ภัยเข้ามาในจักรวรรดิเฟย์ติสที่ใช้สอบวัดระดับคะแนนเพื่อยื่นเรื่องขอเข้าทำงานหรือขอสัญชาติกันอีกที
ใกล้เคียงกับการสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาต่างประเทศอย่างโทอิคหรือโทเฟลอยู่ส่วนหนึ่งเลยทีเดียว
ซึ่งเกณฑ์การจัดวัดระดับขั้นของนิวานั้นมิได้ซับซ้อนอะไรมากนัก
อีกทั้งยังเป็นระบบการศึกษานอกรอบที่ทวีปมนุษย์ใช้เป็นหลักสากล หากจะให้อธิบายโดยคร่าวๆนั้นคงแบ่งความชำนาญขั้นออกเป็นสามส่วนคือ
’เจนิวา’ขั้นระดับความรู้มาตรฐานใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากับพลเมืองเฟย์ติส
สามารถยื่นสอบเข้าระดับชั้นมหาลัยและสถาบันการศึกษาเฉพาะทางในแผนสามัญชน
อีกทั้งมีสิทธิได้รับการพิจารณาในการทำงานในจักรวรรดิเฟย์ติสและขอสัญชาติได้ถูกต้องตามกฎหมาย
‘อานิวา’ขั้นระดับความรู้มาตรฐานใช้ในสถานการณ์ชีวิตประจำวันได้
มีสิทธิเข้ารับการศึกษาเพิ่มเติมในสถาบันที่เปิดรับ สามารถเข้ารับการทำงานในบางประเภทได้เช่น
ผู้ใช้แรงงาน กรรมกรก่อสร้าง หรืองานบริการ เป็นต้น
และ’เคนิวา’ ขั้นระดับความรู้พื้นฐาน ที่ยังคงท่องจำคำศัพท์และอักษร
ส่วนมากยังต้องได้รับการศึกษาพื้นฐานอยู่
ยังไม่สามารถทำงานในฐานะแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมายได้
“เหตุใดจึงช้ายิ่งนัก...เจ้าควรสอบภาษาเฟย์ติสได้ขั้นเจนิวาทั้งหมดตั้งแต่ปีก่อนเสีย....”
ยังคงเป็นคำติเตียนของผู้เป็นบิดาที่เอ่ยออกมาอย่างง่ายดาย
พร้อมดวงตาสีเลือดที่ฉายแววความดูแคลนและไม่พอใจเล็กน้อยต่อผลประเมินที่ออกมาไม่ตรงตามความต้องการนัก
แม้จะเป็นบุตรที่ตนชิงชังที่สุดทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กหญิงตรงหน้านั้นก็ยังคงดำรงตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์เฟย์ติสอยู่ดี
ภาพลักษณ์และความสามารถจึงมิอาจอ่อนด้อยได้...
“เช่นนั้นต้องขออภัยอย่างยิ่งที่ตัวข้านั้นไร้ความสามารถ...
“
เอลลิโอร่าเพียงเอ่ยตอบกลับอย่างหอมปากหอมคอเพื่อรักษามารยาทเท่านั้น
รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นมาเบาบางบนใบหน้า แม้ในใจจะขุ่นเคืองเล็กน้อยต่อความปากดีและคิดง่ายของพระผู้เป็นบิดาก็ตามที...คิดว่าภาษามันเรียนง่ายๆหรือไรกัน
ครูอาจารย์ก็มิเคยส่งมาหนำซ้ำยังไล่ตนไปเติบโตที่ดินแดนทางใต้อีก...ซึ่งนับว่าโชคยังดีหน่อยที่คาเอลรอสผู้เป็นปู่ร่วมสายเลือดนั้นรู้ภาษาเฟย์ติสและอาลีนผู้เป็นแม่เลี้ยงเองก็เป็นชาวเฟย์ติสโดยกำเนิด
จึงทำให้เธอสามารถเรียนรู้ภาษาแม่ได้โดยไม่ยากลำบากมากมายนัก
“แล้ววางแผนการศึกษาหลังจากนี้หรือยัง?”
เป็นองค์จักรพรรดิคาเดย์ที่เอ่ยปากถามต่อโดยสังเกตชั่งใจเด็กหญิงตรงหน้าที่ดูเหมือนไม่ไหวติงต่อคำกล่าวว่าก่อนหน้านี้...ดูเหมือนการควบคุมอารมณ์และการวางตัวของบุตรสาวผู้นี้จะถอนแบบมาจากองค์จักรพรรดิที่เจ็ดผู้เป็นปู่ของตนอย่างไม่ผิดเพี้ยน
ช่างสั่งสอนหลานของตนได้ดีจริงๆ
ซึ่งทางด้านเอลลิโอร่าที่ได้ยินคำถามของผู้เป็นบิดาก็เพียงหยุดนิ่งเพื่อครุ่นคิด...เพราะตามเนื้อเรื่องหลักของบทนิยายนั้นตัวละครอย่างเอลลิโอร่าเลือกที่จะร้องขอเข้า’สถาบันการศึกษาแห่งทวีปมนุษย์อย่างมหาลัยคาอีสเทียร์’ อันเป็นสถานที่ของพระเอกและเหล่าตัวละครหลักทั้งหลายที่ใช้ศึกษาเล่าเรียน...แน่นอนว่ามันเป็นสถาบันการศึกษาลำดับหนึ่งของทวีปมนุษย์ จึงไม่แปลกเลย...ที่ผู้คนทั้งหลายต่างใฝ่ฝันอยากเข้าเรียนที่นั่น
ทว่าในตอนนี้เอลลิโอร่ามิใช่เป็นตัวละครตามบทนิยายที่ผู้ใดเขียน....เพราะฉะนั้นสถาบันการศึกษาลำดับหนึ่งที่แม้ดูเหมือนเป็นตัวเลือกที่ใครๆต่างใฝ่ฝันถึง....จะไม่ใช่ทางเลือกของเธอ...ว่าแล้วใบหน้าที่ราบเรียบก็แสยะยิ้มบางออกมาราวกับวางแผนการบางอย่าง
“ข้ามีความประสงค์เข้ารับการศึกษาที่’สถานบันการศึกษาโรงเรียนเตรียมทหารฮาร์ดแซน’”
.
.
.
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ พอดีติดปัญหาธุระในชีวิตจริงพอสมควร555
ซึ่งเนื้อเรื่องหลังจากนี้สักระยะหนึ่งจะเริ่มเป็นวัยเรียนของน้องแล้วค่ะ! แต่ก็อาจจะไม่ได้ใสเหมือนโรงเรียนเวทมนต์อะไรขนาดนั้น(ฮา) เพราะชีวิตน้องไม่เหมือนเด็กทั่วไปอยู่แล้ว(・∀・)
ความคิดเห็น