คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่10 พ่อลูก
ในท้ายที่สุดความวุ่นวายก็ได้จบลงเมื่อพลายแก้วผู้เดินเข้าป่าไปสามารถกลับมาเองได้อย่างสบายๆทำเอาทุกคนต่างรู้สึกทึ่ง...พลายแก้วถูกผู้เป็นบิดาแทบจับกราบขออภัยกับผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ช่วยกันตามหาตัวเขา
ในขณะที่นางและขุนช้างก็ถูกดุเล็กน้อยที่ลงจากเรือนมาโดยไม่บอกผู้ใหญ่ แต่เมื่ออ้างว่าทำลงไปเพราะต้องการช่วยตามหาพลายแก้ว
ความผิดจึงเบาบางลง
หลังจากแยกย้ายพลายแก้วก็ถูกต่อว่าอย่างหนักและไม่แคล้วเมื่อกลับบ้านไปก็คงถูกตีเป็นการลงโทษ
และเมื่อเรื่องราวที่น่ายุ่งยากนี้จบลง เวลาก็ล่วงเลยของวันมายามค่ำ
บ้านของพันศรโยธาก็เงียบสงบอีกคราอย่างที่ควรเป็น พวกเขาไม่นิยมเสียงดังมากนัก
บ่าวไพร่เองส่วนมากก็มักถูกสั่งสอนให้อยู่ในความสงบไม่ตะโกน...แล้วยิ่งกับเจ้าบ้านก็ไม่ต้องพูดถึง...
เป็นพันศรโยธาที่กำลังนั่งอ่านบัญชีและงานเอกสารต่างๆในห้องงานของตน
เขานั่งพิงหมอนเอนสามเหลี่ยมด้านข้างด้วยท่าทางสบายๆหากแต่ก็แฝงไปด้วยความสงบ
ตะเกียงไฟที่ถูกจุดส่องแสงไม่สว่างเต็มห้อง
แต่ก็มากพอที่จะเห็นได้และสามารถทำงานได้อย่างสบายๆ
พันศรโยธาเพียงจับปากกาคอแร้งที่ซื้อมาจากพ่อค้าชาวตะวันตกเขียนลงงานอย่างสบายๆไม่เร่งรีบ...มันมีคุณภาพดีกว่าดินสอที่พวกเขาใช้กันอยู่มากนัก
แต่ไหนแต่ไรแล้วที่พันศรโยธาถูกมองเป็นพวกประหลาดเล็กน้อยเพราะความหัวสมัยใหม่...เขาทำการค้ามามากมายตามฐานะครอบครัวของตนที่เป็นพ่อค้า
เขาติดตามบิดาของตนไปค้าขายมาตั้งแต่เด็กๆ เห็นทุกสิ่งมามากมาย
เห็นท่าเรือเมื่อครั้งยังเด็ก ผู้คนต่างรูปลักษณ์พากันนำสินค้าลงมาจากเรือใหญ่
บางคนสูงเยี่ยงยักษ์ บางคนมีสีผมแปลกเป็นเหลืองทองดุจฟางข้าว
สินค้าต่างๆที่นำเอามาก็ช่างเข้าใจประดิษฐ์
หากเขาสามารถทำเช่นนั้นได้บ้างก็คงจะดี....นำสินค้าของตัวเองร่องเรือไปขายในที่ต่างๆ....ได้เห็นโลกกว้าง...
“คุณคิดบ้าอะไรอยู่กัน? เฟ้อฝันจริงๆ”
แต่สุดท้ายก็ไม่มีผู้ใดคิดว่าความฝันหรือความคิดของเขาจะทำมันได้.....
ดวงตาสีพิศวงผู้เป็นต้นแบบดำมืดขึ้น...ค้าขายในประเทศมากมายเท่าไหร่มันก็ยังไม่พอ...ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาทะเยอทะยาน....มันผิดหรือที่เขาอยากไปให้สูงกว่านี้....เขาไม่อยากหยุดอยู่ที่นี้
เฉกเช่นบิดาหรือบรรพบุรุษที่แล้วมา
“ท่านพ่อยังไม่นอนอีกเหรอคะ?”
เป็นเสียงเรียกจากบุตรสาวของตนที่ดึงสติของพันศรโยธาให้กลับมา
เขาหันมายิ้มให้กับเด็กหญิงที่ยืนเกาะประตูทางเข้าและจ้องมองเขาด้วยสายตายากที่จะเข้าใจ...
“ค่ะ...แต่งานพ่อเหลือไม่มาก คงไม่นานหรอก หนูไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”
พันศรโยธาโกหกเด็กหญิงด้วยใบหน้ายิ้ม
ความจริงแล้วเขาตั้งใจจะทำงานทั้งหมดให้เสร็จภายในคืนนี้
แต่แล้วร่างเล็กของเด็กหญิงก็เดินเข้ามาและนั่งลงเอาหัวซบที่ตักเขาประดุจลูกหมาลูกแมวตัวน้อยที่ออดอ้อน
“เหนื่อยไหมคะ?”
เด็กหญิงเอ่ยพลางจ้องมองบิดาของตนทำงานโดยไม่เข้าไปยุ่งอะไร
พันศรโยธาไม่ตอบเพียงใช้มือที่ถือเอกสารอยู่วางลงและเอื้อมไปลูบหัวของเด็กหญิงอย่างเบาๆ
ก่อนที่ร่างเล็กจะถูกยกขึ้นมานั่งตักและซบไหล่ของผู้เป็นบิดา
“ระวังแม่เจ้าจะดุหรอกที่ไม่ยอมนอน...”
พันศรโยธาเอ่ยกับเด็กหญิงอย่างขบขัน บ่อยครั้งที่นางไม่ยอมนอนและแอบมาหาเขาในห้องทำงานนี้เสมอ
ไม่รู้เพราะว่านางติดเขาหรือเพราะ...
“ท่านพ่อ...ตรงนี้ทำไมต้องซื้อจากที่นี้กัน?”
เป็นบุตรสาวที่เอ่ยถามเขาพลางชี้ไปยังเอกสารที่เขากำลังนั่งเขียนอยู่....
นับเป็นเรื่องน่าแปลกตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วที่เด็กอย่างนาง
หนำซ้ำยังเป็นผู้หญิงสนใจเรื่องพวกนี้...แต่หากเป็นคนปกติก็คงดุนางไม่ให้มายุ่งเรื่องงานเพราะเป็นเด็กผู้หญิง
แต่ไม่รู้เพราะพันศรโยธาคิดอะไรแผลงๆ จึงสอนนางโดยไม่ดุอะไรเลยแม้แต่น้อย
เพียงเห็นเป็นเรื่องขำๆ
แต่ทว่าเมื่อนานวัน...เขาก็ได้รับรู้ว่าบุตรสาวของตนนั้นเรียนรู้ได้ไวและมีหัวด้านการค้าไม่น้อย...
จากที่เห็นเป็นเรื่องขำๆพันศรโยธาจึงเปิดกว้างให้นางได้ดูงานของตนเพื่อเรียนรู้
แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นให้จับเขียนแต่อย่างใด เพราะมันคืองานและนางก็ยังเป็นแค่เด็ก
“ตรงนี้ถึงไม่ใช่แหล่งใหญ่....แต่ขายถูกกว่าน่ะ ถึงจะเสียเวลาเดินทางนานขึ้นหน่อย
แต่ถ้าคำนวณกำไรที่ได้ เหนื่อยหน่อยแต่ได้กำไรเยอะกว่า”
พันศรโยธาเอ่ยบอกพลางสอนเด็กหญิงว่า
อย่ากลัวที่จะเหนื่อยหรือลำบากหากมันสร้างเงิน
เด็กหญิงพยักหน้ารับอย่างง่ายดายพลางเฝ้ามองดูบิดาทำงานไปโดยถามในบางคราที่ไม่เข้าใจ
สองพ่อลูกมักทำเช่นนี้เป็นกิจวัตรมาเนิ่นนานแล้ว...ลูกถาม พ่อตอบ
ลูกอยากรู้ พ่อสอน
พิมพิลาไลยและพันศรโยธานั้นเข้ากันได้ดีเสียกว่านางศรีประจันที่เป็นมารดาหรือภรรยาอีก
“ถ้าแม่เจ้าได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้าก็คงจะดีไม่น้อย...”
พันศรโยธาได้แต่เอ่ยอย่างเหนื่อยใจ
“โดนท่านแม่บ่นอีกแล้วเหรอคะ?”
พิมพิลาไลยมักเห็นบิดาของตนโดนมารดาบ่นอยู่ไม่น้อย
ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องครอบครัว
“อืม...พอบอกเรื่องที่อยากทำทีไร ก็โดนแม่เจ้าดุว่าเฟ้อฝันทุกที”
พันศรโยธาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจื่อน เขาค่อนข้างให้ความเคารพนางศรีประจันในฐานะภรรยาไม่น้อย
เพราะฉะนั้นเวลาทำอะไรจึงคิดบอกนาง แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ภรรยาของเขาไม่ยอม
นางกล่าวว่า จะเสี่ยงไปทำไม? กิจการค้าขายที่มีอยู่ก็เพียงพอทำให้ครอบครัวหรือแม้กระทั่งลูกหลานในอนาคตสุขสบายไปทั้งชาติอยู่แล้ว
“ท่านพ่ออยากจะทำอะไรเหรอคะ?”
พิมพิลาไลยเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้
“อยากลองค้าขายที่ต่างแดนก็คงเปิดตลาดไม่น้อย”
พันศรโยธาเอ่ยโดยไม่ได้คาดหวังอะไรจากบุตรสาวนัก
เขาลูบหัวนางเบาๆและนั่งทำงานไปด้วยต่อ
ทางด้านพิมพิลาไลยที่ได้ยินก็ไม่ได้รู้สึกว่าความคิดของพันศรโยธาไม่ได้บ้าอะไรขนาดนั้น
นางมาจากโลกที่การค้าระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่พบเห็นได้และทำได้
ฐานะของครอบครัวพันศรโยธาในโลกนี้ก็ดูเหมือนจะร่ำรวยกว่าที่บทประพันธ์กล่าวอย่างมากมายนัก
ร่ำรวยขนาดที่ว่าสามารถซื้อที่ดินมากมายจนนับไม่ถ้วนโดยเงินไม่ขาดเหลืออะไร....ร่ำรวยอย่างมหาศาลและดูเกินกว่าที่คิดไว้ไปมาก...
นางไม่รู้ว่าเหตุใดครอบครัวพันศรโยธาจึงมีเงินมากมายขนาดนั้น...บ้านเรือนที่นางอยู่ก็กว้างขว้างมากนัก
บ่าวไพร่เองก็มีมากมายจนจำหน้าไม่ได้...
ไม่อยากจะคิดว่าครอบครัวขุนช้างที่ร่ำรวยกว่านางล่ะจะเงินทองมากมายเช่นไหนหรือราชาในโลกนี้ล่ะจะมีเงินในคลังมากมายเท่าใด
“ก็ดีนิคะ”
พิมพิลาไลยเอ่ยชื่นชอบความคิดของบิดา
โดยไม่ได้มองว่าบิดาของตนเฟ้อฝันอะไร
เขาเพียงแค่เป็นพ่อค้าคนหนึ่งที่หัวคิดก้าวไกล แต่แค่สภาพสังคมโดยรอบไม่เอื้ออำนวยเท่านั้นเอง
ซึ่งคำตอบที่เด็กหญิงคิดว่าปกตินั้นกลับไม่ปกติสำหรับพันศรโยธา...เขาผู้ถูกผู้คนโดยรอบปฏิเสธความคิดมาโดยตลอด...
“ลูกไม่คิดว่ามันเกินตัวเหรอ?”
พันศรโยธาเอ่ยถามบุตรสาวจากนั้นมือที่จับปากกาทำงานก็โอบหลังของเด็กหญิง
“ข้าไม่รู้…แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้มิใช่รึไงคะ?”
พิมพิลาไลยเอ่ย พลางจ้องมองบิดาก่อนที่นางซบไหล่ของเขาไปเฉยๆ
และเพียงสิ้นสุดคำตอบของเด็กหญิง พันศรโยธาก็เผลอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
จากนั้นเขาก็กอดลูกสาวในโอบตักแน่น พิมพิลาไลยเพียงเงยหน้ามองบิดาที่ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางที่ดูมีความสุขอย่างตาไม่วาง
เขาพูดกับนางเบาๆ...ไม่สิ เขาบอกกับตัวเองซะมากว่าว่า สมเป็นลูกสาวของเขาจริงๆ
อยู่หลายรอบ
ซึ่งพิมพิลาไลยที่ได้ยินคล้ายมีน้ำอุ่นเข้ามาอาบหัวใจของนาง...นางกอดบิดาตอบแน่น
โดยที่ใบหน้าที่เรียบเฉยนั้นมีรอยยิ้มขึ้นมานิดนึง...แม้จะไม่มาก
แต่ก็แสดงให้เห็นว่านางมีความสุขเพียงใด
นี่คงเป็นความภาคภูมิใจ....นางรู้สึกดีที่เขาภาคภูมิใจที่นางเป็นลูกของเขา...ใช่แล้ว...ตอนนี้นางเป็นบุตรสาวของเขา...
คิดแล้วร่างเล็กก็กอดบิดาแน่นขึ้นไปอีก....ดีจริงๆที่ได้ชายผู้นี้มาเป็นบิดา...เขาไม่เหมือนพ่อในชาติก่อนเลยสักนิด....ไม่เลย...
“เสียชาติเกิด”
คำพูดเพียงแค่ไม่กี่คำในชาติก่อนและสายตาที่เย็นจากพ่อในอดีต
ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกเหมือนการเกิดมาของตนเป็นอะไรที่ไร้ค่าและไม่ต้องการ
สุดท้ายเป็นสองพ่อลูกที่นั่งพูดคุยเรื่องต่างๆกันอย่างสนุกสนานพลางทำงานไปด้วย...
“จะว่าไปบุตรชายทั้งสองของเพื่อนพ่อ ลูกชอบพวกเขารึเปล่า? พวกเขาอายุใกล้เคียงกับลูกน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ดีนะ”
พันศรโยธาเอ่ยถามในขณะจ้องมองบุตรสาว
ลูกสาวของเขาทำตัวไม่เหมือนเด็กทั่วไปสักเท่าไหร่ ลูกขุนมูลนายที่รู้จักก็ไม่ยอมเล่นด้วย
ลูกบ่าวไพร่ก็ไม่ยอมให้ติดตาม จนนางไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่น้อย
ทำให้บิดาเช่นเขากังวลใจ
“ลูกไม่ชอบพวกเขา...”
เมื่อเอ่ยถึงเด็กชายสองคนนั้น
พิมพิลาไลยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ชอบใจนัก
นางตอบอย่างชัดเจนพร้อมส่งสายตาประท้วงบิดาที่หวังให้นางเป็นเพื่อนกับหายนะเหล่านั้น
“แต่ลูกควรมีเพื่อนบ้างนะ”
พันศรโยธาได้แต่ถอนหายใจ เขาคาดหวังให้บุตรสาวของตนมีเพื่อนบ้าง
เพื่อแก้เหงา
เขาอาจไม่มีเวลาตลอดที่จะอยู่เล่นกับนางจึงกลัวว่าบุตรสาวของตนจะต้องอยู่คนเดียว
“มีแค่ท่านพ่อก็พอแล้ว...”
พิมพิลาไลยเอ่ยพลางเอื้อมมือไปกอดบิดา จากนั้นจึงกระซิบข้างหูของบิดาเบาๆพร้อมสายตาเย็นที่ไม่ให้บิดาได้เห็น
“มีคนหนึ่งรู้อาการป่วยของลูกแล้ว....เด็กชายผู้นั้นชื่อขุนช้าง”
และเมื่อได้ฟังคำบุตรสาว สายตาที่อ่อนโยนก็แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นยะเยือกราวกับไม่ใช่คนเดียวกัน
ซึ่งเป็นเรื่องน่าตลกหรืออย่างไร...ที่เมื่อสองพ่อลูกกอดกันทำให้ใบหน้าไปคนละฝั่ง
จึงไม่เห็นสายตาที่ไม่ต่างกันในตอนนี้
พิมพิลาไลยพยายามเก็บซ่อนมันเพื่อเป็นเด็กดีของบิดา....และพันศรโยธาเองก็ไม่ได้อ่อนโยนทั้งหมด
เขาก็ไม่ต่างจากเด็กหญิงหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
แต่ก็เลือกที่จะแสดงด้านอ่อนโยนต่อหน้าผู้คน....โดยเฉพาะบุตรสาวตรงหน้า....เขาไม่อยากให้นางรู้ว่าบิดาของนางไม่ใช่คนใจดีหรืออ่อนโยนจริงๆอย่างที่คิด...
“อาการกำเริบอย่างนั้นหรือ?”
พันศรโยธาเอ่ยถามบุตรสาวขณะลูบหลังของนางที่กอดเขาอยู่...
“หนูขอโทษค่ะ...”
พิมพิลาไลยไม่มีคำแก้ตัวใดๆ....นางสร้างความลำบากให้เขาอีกแล้ว....
“อย่าโทษตัวเองสิ ลูกป่วยนะ....พ่อรู้ว่าเราก็ไม่ได้อยากเป็น”
พันศรโยธายอมรับว่าตนรักบุตรสาวคนนี้มากนัก
แม้จะไม่ได้เกิดมาเป็นบุตรชายอย่างที่คาดหวัง...ไม่รู้เพราะอะไรจึงทำให้เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้มาตั้งแต่เกิดมากนักและเมื่อโตมานางก็เป็นเด็กหน้าตาดีและฉลาดอย่างมากมาย
ทั้งยังเข้าใจความคิดของเขาได้ดีกว่าใคร มีหรือที่เขาจะไม่รัก
เรื่องอาการป่วยของบุตรสาว พันศรโยธาก็ศึกษามาจากหมอผู้เป็นคนวินิจฉัยของนาง
เพราะเขากังวลเกี่ยวกับอาการของนางยิ่ง...ซึ่งก็นับเป็นเรื่องโชคดีมากนักของพิมพิลาไลยที่ได้บิดาที่ใส่ใจตนขนาดนี้
มีเพียงคำขอบคุณมากมายจากเด็กหญิงจากอีกด้านหนึ่งของฝั่ง
พันศรโยธาไม่อาจเห็นสีหน้าของนางได้ มีเพียงน้ำเสียงสั่นเท่านั้นที่เขาพอจับทางได้
นางมักขอบคุณเขาเสมอมาตั้งแต่เริ่มพูดได้...แม้จะรู้ว่านางขอบคุณก็เถอะ แต่เขาก็ไม่เข้าใจการกระทำย้ำไปย้ำมาของบุตรสาวเท่าไหร่นัก....นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องแปลก...
.
.
.
ความคิดเห็น