ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่ครานี้เป็นสตรีสองใจนามว่านางวันทอง

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่10 พ่อลูก

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 62


      

    ในท้ายที่สุดความวุ่นวายก็ได้จบลงเมื่อพลายแก้วผู้เดินเข้าป่าไปสามารถกลับมาเองได้อย่างสบายๆทำเอาทุกคนต่างรู้สึกทึ่ง...พลายแก้วถูกผู้เป็นบิดาแทบจับกราบขออภัยกับผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ช่วยกันตามหาตัวเขา ในขณะที่นางและขุนช้างก็ถูกดุเล็กน้อยที่ลงจากเรือนมาโดยไม่บอกผู้ใหญ่ แต่เมื่ออ้างว่าทำลงไปเพราะต้องการช่วยตามหาพลายแก้ว ความผิดจึงเบาบางลง

     

    หลังจากแยกย้ายพลายแก้วก็ถูกต่อว่าอย่างหนักและไม่แคล้วเมื่อกลับบ้านไปก็คงถูกตีเป็นการลงโทษ

     

    และเมื่อเรื่องราวที่น่ายุ่งยากนี้จบลง เวลาก็ล่วงเลยของวันมายามค่ำ บ้านของพันศรโยธาก็เงียบสงบอีกคราอย่างที่ควรเป็น พวกเขาไม่นิยมเสียงดังมากนัก บ่าวไพร่เองส่วนมากก็มักถูกสั่งสอนให้อยู่ในความสงบไม่ตะโกน...แล้วยิ่งกับเจ้าบ้านก็ไม่ต้องพูดถึง...

     

    เป็นพันศรโยธาที่กำลังนั่งอ่านบัญชีและงานเอกสารต่างๆในห้องงานของตน เขานั่งพิงหมอนเอนสามเหลี่ยมด้านข้างด้วยท่าทางสบายๆหากแต่ก็แฝงไปด้วยความสงบ ตะเกียงไฟที่ถูกจุดส่องแสงไม่สว่างเต็มห้อง แต่ก็มากพอที่จะเห็นได้และสามารถทำงานได้อย่างสบายๆ

     

    พันศรโยธาเพียงจับปากกาคอแร้งที่ซื้อมาจากพ่อค้าชาวตะวันตกเขียนลงงานอย่างสบายๆไม่เร่งรีบ...มันมีคุณภาพดีกว่าดินสอที่พวกเขาใช้กันอยู่มากนัก

     

    แต่ไหนแต่ไรแล้วที่พันศรโยธาถูกมองเป็นพวกประหลาดเล็กน้อยเพราะความหัวสมัยใหม่...เขาทำการค้ามามากมายตามฐานะครอบครัวของตนที่เป็นพ่อค้า เขาติดตามบิดาของตนไปค้าขายมาตั้งแต่เด็กๆ เห็นทุกสิ่งมามากมาย เห็นท่าเรือเมื่อครั้งยังเด็ก ผู้คนต่างรูปลักษณ์พากันนำสินค้าลงมาจากเรือใหญ่ บางคนสูงเยี่ยงยักษ์ บางคนมีสีผมแปลกเป็นเหลืองทองดุจฟางข้าว สินค้าต่างๆที่นำเอามาก็ช่างเข้าใจประดิษฐ์

     

    หากเขาสามารถทำเช่นนั้นได้บ้างก็คงจะดี....นำสินค้าของตัวเองร่องเรือไปขายในที่ต่างๆ....ได้เห็นโลกกว้าง...

     

    คุณคิดบ้าอะไรอยู่กัน? เฟ้อฝันจริงๆ

     

    แต่สุดท้ายก็ไม่มีผู้ใดคิดว่าความฝันหรือความคิดของเขาจะทำมันได้.....

     

    ดวงตาสีพิศวงผู้เป็นต้นแบบดำมืดขึ้น...ค้าขายในประเทศมากมายเท่าไหร่มันก็ยังไม่พอ...ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาทะเยอทะยาน....มันผิดหรือที่เขาอยากไปให้สูงกว่านี้....เขาไม่อยากหยุดอยู่ที่นี้ เฉกเช่นบิดาหรือบรรพบุรุษที่แล้วมา

     

    ท่านพ่อยังไม่นอนอีกเหรอคะ?”

    เป็นเสียงเรียกจากบุตรสาวของตนที่ดึงสติของพันศรโยธาให้กลับมา เขาหันมายิ้มให้กับเด็กหญิงที่ยืนเกาะประตูทางเข้าและจ้องมองเขาด้วยสายตายากที่จะเข้าใจ...

     

    ค่ะ...แต่งานพ่อเหลือไม่มาก คงไม่นานหรอก หนูไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ

    พันศรโยธาโกหกเด็กหญิงด้วยใบหน้ายิ้ม ความจริงแล้วเขาตั้งใจจะทำงานทั้งหมดให้เสร็จภายในคืนนี้

     

    แต่แล้วร่างเล็กของเด็กหญิงก็เดินเข้ามาและนั่งลงเอาหัวซบที่ตักเขาประดุจลูกหมาลูกแมวตัวน้อยที่ออดอ้อน

     

    เหนื่อยไหมคะ?”

    เด็กหญิงเอ่ยพลางจ้องมองบิดาของตนทำงานโดยไม่เข้าไปยุ่งอะไร

     

    พันศรโยธาไม่ตอบเพียงใช้มือที่ถือเอกสารอยู่วางลงและเอื้อมไปลูบหัวของเด็กหญิงอย่างเบาๆ ก่อนที่ร่างเล็กจะถูกยกขึ้นมานั่งตักและซบไหล่ของผู้เป็นบิดา

     

    ระวังแม่เจ้าจะดุหรอกที่ไม่ยอมนอน...

    พันศรโยธาเอ่ยกับเด็กหญิงอย่างขบขัน บ่อยครั้งที่นางไม่ยอมนอนและแอบมาหาเขาในห้องทำงานนี้เสมอ

     

    ไม่รู้เพราะว่านางติดเขาหรือเพราะ...

     

    ท่านพ่อ...ตรงนี้ทำไมต้องซื้อจากที่นี้กัน?”

    เป็นบุตรสาวที่เอ่ยถามเขาพลางชี้ไปยังเอกสารที่เขากำลังนั่งเขียนอยู่....

     

    นับเป็นเรื่องน่าแปลกตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วที่เด็กอย่างนาง หนำซ้ำยังเป็นผู้หญิงสนใจเรื่องพวกนี้...แต่หากเป็นคนปกติก็คงดุนางไม่ให้มายุ่งเรื่องงานเพราะเป็นเด็กผู้หญิง แต่ไม่รู้เพราะพันศรโยธาคิดอะไรแผลงๆ จึงสอนนางโดยไม่ดุอะไรเลยแม้แต่น้อย เพียงเห็นเป็นเรื่องขำๆ

     

    แต่ทว่าเมื่อนานวัน...เขาก็ได้รับรู้ว่าบุตรสาวของตนนั้นเรียนรู้ได้ไวและมีหัวด้านการค้าไม่น้อย...

     

    จากที่เห็นเป็นเรื่องขำๆพันศรโยธาจึงเปิดกว้างให้นางได้ดูงานของตนเพื่อเรียนรู้ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นให้จับเขียนแต่อย่างใด เพราะมันคืองานและนางก็ยังเป็นแค่เด็ก

     

    ตรงนี้ถึงไม่ใช่แหล่งใหญ่....แต่ขายถูกกว่าน่ะ ถึงจะเสียเวลาเดินทางนานขึ้นหน่อย แต่ถ้าคำนวณกำไรที่ได้ เหนื่อยหน่อยแต่ได้กำไรเยอะกว่า

    พันศรโยธาเอ่ยบอกพลางสอนเด็กหญิงว่า อย่ากลัวที่จะเหนื่อยหรือลำบากหากมันสร้างเงิน

     

    เด็กหญิงพยักหน้ารับอย่างง่ายดายพลางเฝ้ามองดูบิดาทำงานไปโดยถามในบางคราที่ไม่เข้าใจ

     

    สองพ่อลูกมักทำเช่นนี้เป็นกิจวัตรมาเนิ่นนานแล้ว...ลูกถาม พ่อตอบ ลูกอยากรู้ พ่อสอน

     

    พิมพิลาไลยและพันศรโยธานั้นเข้ากันได้ดีเสียกว่านางศรีประจันที่เป็นมารดาหรือภรรยาอีก

     

    ถ้าแม่เจ้าได้สักครึ่งหนึ่งของเจ้าก็คงจะดีไม่น้อย...

    พันศรโยธาได้แต่เอ่ยอย่างเหนื่อยใจ

     

    โดนท่านแม่บ่นอีกแล้วเหรอคะ?”

    พิมพิลาไลยมักเห็นบิดาของตนโดนมารดาบ่นอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องครอบครัว

     

    อืม...พอบอกเรื่องที่อยากทำทีไร ก็โดนแม่เจ้าดุว่าเฟ้อฝันทุกที

    พันศรโยธาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจื่อน เขาค่อนข้างให้ความเคารพนางศรีประจันในฐานะภรรยาไม่น้อย เพราะฉะนั้นเวลาทำอะไรจึงคิดบอกนาง แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ภรรยาของเขาไม่ยอม

     

    นางกล่าวว่า จะเสี่ยงไปทำไม? กิจการค้าขายที่มีอยู่ก็เพียงพอทำให้ครอบครัวหรือแม้กระทั่งลูกหลานในอนาคตสุขสบายไปทั้งชาติอยู่แล้ว

     

    ท่านพ่ออยากจะทำอะไรเหรอคะ?”

    พิมพิลาไลยเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้

     

    อยากลองค้าขายที่ต่างแดนก็คงเปิดตลาดไม่น้อย

    พันศรโยธาเอ่ยโดยไม่ได้คาดหวังอะไรจากบุตรสาวนัก เขาลูบหัวนางเบาๆและนั่งทำงานไปด้วยต่อ

     

    ทางด้านพิมพิลาไลยที่ได้ยินก็ไม่ได้รู้สึกว่าความคิดของพันศรโยธาไม่ได้บ้าอะไรขนาดนั้น นางมาจากโลกที่การค้าระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่พบเห็นได้และทำได้

     

    ฐานะของครอบครัวพันศรโยธาในโลกนี้ก็ดูเหมือนจะร่ำรวยกว่าที่บทประพันธ์กล่าวอย่างมากมายนัก ร่ำรวยขนาดที่ว่าสามารถซื้อที่ดินมากมายจนนับไม่ถ้วนโดยเงินไม่ขาดเหลืออะไร....ร่ำรวยอย่างมหาศาลและดูเกินกว่าที่คิดไว้ไปมาก...

     

    นางไม่รู้ว่าเหตุใดครอบครัวพันศรโยธาจึงมีเงินมากมายขนาดนั้น...บ้านเรือนที่นางอยู่ก็กว้างขว้างมากนัก บ่าวไพร่เองก็มีมากมายจนจำหน้าไม่ได้...

     

    ไม่อยากจะคิดว่าครอบครัวขุนช้างที่ร่ำรวยกว่านางล่ะจะเงินทองมากมายเช่นไหนหรือราชาในโลกนี้ล่ะจะมีเงินในคลังมากมายเท่าใด

     

    ก็ดีนิคะ

    พิมพิลาไลยเอ่ยชื่นชอบความคิดของบิดา โดยไม่ได้มองว่าบิดาของตนเฟ้อฝันอะไร เขาเพียงแค่เป็นพ่อค้าคนหนึ่งที่หัวคิดก้าวไกล แต่แค่สภาพสังคมโดยรอบไม่เอื้ออำนวยเท่านั้นเอง

     

    ซึ่งคำตอบที่เด็กหญิงคิดว่าปกตินั้นกลับไม่ปกติสำหรับพันศรโยธา...เขาผู้ถูกผู้คนโดยรอบปฏิเสธความคิดมาโดยตลอด...

     

    ลูกไม่คิดว่ามันเกินตัวเหรอ?”

    พันศรโยธาเอ่ยถามบุตรสาวจากนั้นมือที่จับปากกาทำงานก็โอบหลังของเด็กหญิง

     

    ข้าไม่รู้แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้มิใช่รึไงคะ?”

    พิมพิลาไลยเอ่ย พลางจ้องมองบิดาก่อนที่นางซบไหล่ของเขาไปเฉยๆ

     

    และเพียงสิ้นสุดคำตอบของเด็กหญิง พันศรโยธาก็เผลอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

     

    จากนั้นเขาก็กอดลูกสาวในโอบตักแน่น พิมพิลาไลยเพียงเงยหน้ามองบิดาที่ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางที่ดูมีความสุขอย่างตาไม่วาง เขาพูดกับนางเบาๆ...ไม่สิ เขาบอกกับตัวเองซะมากว่าว่า สมเป็นลูกสาวของเขาจริงๆ อยู่หลายรอบ

     

    ซึ่งพิมพิลาไลยที่ได้ยินคล้ายมีน้ำอุ่นเข้ามาอาบหัวใจของนาง...นางกอดบิดาตอบแน่น โดยที่ใบหน้าที่เรียบเฉยนั้นมีรอยยิ้มขึ้นมานิดนึง...แม้จะไม่มาก แต่ก็แสดงให้เห็นว่านางมีความสุขเพียงใด

     

    นี่คงเป็นความภาคภูมิใจ....นางรู้สึกดีที่เขาภาคภูมิใจที่นางเป็นลูกของเขา...ใช่แล้ว...ตอนนี้นางเป็นบุตรสาวของเขา...

     

    คิดแล้วร่างเล็กก็กอดบิดาแน่นขึ้นไปอีก....ดีจริงๆที่ได้ชายผู้นี้มาเป็นบิดา...เขาไม่เหมือนพ่อในชาติก่อนเลยสักนิด....ไม่เลย...

     

    เสียชาติเกิด

    คำพูดเพียงแค่ไม่กี่คำในชาติก่อนและสายตาที่เย็นจากพ่อในอดีต ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกเหมือนการเกิดมาของตนเป็นอะไรที่ไร้ค่าและไม่ต้องการ

     

    สุดท้ายเป็นสองพ่อลูกที่นั่งพูดคุยเรื่องต่างๆกันอย่างสนุกสนานพลางทำงานไปด้วย...

     

    จะว่าไปบุตรชายทั้งสองของเพื่อนพ่อ ลูกชอบพวกเขารึเปล่า? พวกเขาอายุใกล้เคียงกับลูกน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ดีนะ

    พันศรโยธาเอ่ยถามในขณะจ้องมองบุตรสาว ลูกสาวของเขาทำตัวไม่เหมือนเด็กทั่วไปสักเท่าไหร่ ลูกขุนมูลนายที่รู้จักก็ไม่ยอมเล่นด้วย ลูกบ่าวไพร่ก็ไม่ยอมให้ติดตาม จนนางไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่น้อย ทำให้บิดาเช่นเขากังวลใจ

     

    ลูกไม่ชอบพวกเขา...

    เมื่อเอ่ยถึงเด็กชายสองคนนั้น พิมพิลาไลยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ชอบใจนัก นางตอบอย่างชัดเจนพร้อมส่งสายตาประท้วงบิดาที่หวังให้นางเป็นเพื่อนกับหายนะเหล่านั้น

     

    แต่ลูกควรมีเพื่อนบ้างนะ

    พันศรโยธาได้แต่ถอนหายใจ เขาคาดหวังให้บุตรสาวของตนมีเพื่อนบ้าง เพื่อแก้เหงา เขาอาจไม่มีเวลาตลอดที่จะอยู่เล่นกับนางจึงกลัวว่าบุตรสาวของตนจะต้องอยู่คนเดียว

     

    มีแค่ท่านพ่อก็พอแล้ว...

    พิมพิลาไลยเอ่ยพลางเอื้อมมือไปกอดบิดา จากนั้นจึงกระซิบข้างหูของบิดาเบาๆพร้อมสายตาเย็นที่ไม่ให้บิดาได้เห็น

    มีคนหนึ่งรู้อาการป่วยของลูกแล้ว....เด็กชายผู้นั้นชื่อขุนช้าง

     

    และเมื่อได้ฟังคำบุตรสาว สายตาที่อ่อนโยนก็แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นยะเยือกราวกับไม่ใช่คนเดียวกัน

     

    ซึ่งเป็นเรื่องน่าตลกหรืออย่างไร...ที่เมื่อสองพ่อลูกกอดกันทำให้ใบหน้าไปคนละฝั่ง จึงไม่เห็นสายตาที่ไม่ต่างกันในตอนนี้

     

    พิมพิลาไลยพยายามเก็บซ่อนมันเพื่อเป็นเด็กดีของบิดา....และพันศรโยธาเองก็ไม่ได้อ่อนโยนทั้งหมด เขาก็ไม่ต่างจากเด็กหญิงหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ แต่ก็เลือกที่จะแสดงด้านอ่อนโยนต่อหน้าผู้คน....โดยเฉพาะบุตรสาวตรงหน้า....เขาไม่อยากให้นางรู้ว่าบิดาของนางไม่ใช่คนใจดีหรืออ่อนโยนจริงๆอย่างที่คิด...

     

    อาการกำเริบอย่างนั้นหรือ?”

    พันศรโยธาเอ่ยถามบุตรสาวขณะลูบหลังของนางที่กอดเขาอยู่...

     

    หนูขอโทษค่ะ...

    พิมพิลาไลยไม่มีคำแก้ตัวใดๆ....นางสร้างความลำบากให้เขาอีกแล้ว....

     

    อย่าโทษตัวเองสิ ลูกป่วยนะ....พ่อรู้ว่าเราก็ไม่ได้อยากเป็น

    พันศรโยธายอมรับว่าตนรักบุตรสาวคนนี้มากนัก แม้จะไม่ได้เกิดมาเป็นบุตรชายอย่างที่คาดหวัง...ไม่รู้เพราะอะไรจึงทำให้เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กคนนี้มาตั้งแต่เกิดมากนักและเมื่อโตมานางก็เป็นเด็กหน้าตาดีและฉลาดอย่างมากมาย ทั้งยังเข้าใจความคิดของเขาได้ดีกว่าใคร มีหรือที่เขาจะไม่รัก

     

    เรื่องอาการป่วยของบุตรสาว พันศรโยธาก็ศึกษามาจากหมอผู้เป็นคนวินิจฉัยของนาง เพราะเขากังวลเกี่ยวกับอาการของนางยิ่ง...ซึ่งก็นับเป็นเรื่องโชคดีมากนักของพิมพิลาไลยที่ได้บิดาที่ใส่ใจตนขนาดนี้

     


    มีเพียงคำขอบคุณมากมายจากเด็กหญิงจากอีกด้านหนึ่งของฝั่ง พันศรโยธาไม่อาจเห็นสีหน้าของนางได้ มีเพียงน้ำเสียงสั่นเท่านั้นที่เขาพอจับทางได้ นางมักขอบคุณเขาเสมอมาตั้งแต่เริ่มพูดได้...แม้จะรู้ว่านางขอบคุณก็เถอะ แต่เขาก็ไม่เข้าใจการกระทำย้ำไปย้ำมาของบุตรสาวเท่าไหร่นัก....นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องแปลก...


     ขอบคุณนะคะ...ขอบคุณมากจริงๆ....ขอบคุณที่เข้าใจหนู....ขอบคุณที่หนูเกิดมาเป็นลูกพ่อ....

     

    .

    .

    .




    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×