คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1 ว่าด้วยเรื่องครอบครัว
เรือนผมยาวสีดำดั่งความมืดแห่งรันติกาลนั้นคล้ายดูดกลืนทุกสิ่งที่เพียงแตะต้องนับเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่งยวด
ดวงตาคมคู่งามสีเหลืองอำพันคล้ายอสรพิษร้ายทำให้ผู้คนต้องขนลุกยามถูกมันจับจ้อง ใบหน้างามล้ำที่ผู้คนใดพบเห็นย่อมสรรเสริญถึงความสมบรูณ์แบบราวกับสวรรค์สรรค์สร้างนั้นแสดงสีหน้าอันเคร่งขรึมเกินวัยจนผู้มองเห็นแล้วยังรู้สึกหวาดเกรงถึงสองส่วน
ผิวสีแทนที่แปลกจากชาวแดนเหนือตามสายเลือดนั้นชวนผิดหูผิดตา
บรรยากาศรอบตัวที่ดูสุขุมนิ่งสงบแต่แฝงไปด้วยความสง่างามนั้นบ่งบอกถึงวุฒิภาวะและการขัดเกลาตนได้เป็นอย่างดี
เครื่องแต่งกายที่ดูแตกแยกจากชาวเฟย์ติสนั้นยิ่งเสริมสร้างให้เด็กหญิงผู้นี้ดูโดดเด่นขึ้นไปอีก
เป็นการแต่งกายคล้ายสตรีก็ไม่เชิงบุรุษก็คล้ายๆอย่างไม่คุ้นตา
มันคือเครื่องแต่งกายของชนเผ่า’ฮันเรย์’อันเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ใหญ่ในดินแดนทางใต้ลงไปของจักรวรรดิเฟย์ติส ซึ่งนับเป็นอิทธิพลมาจากการที่นางเติบโตที่ดินแดนทางใต้แห่งนั้นตั้งแต่ยังเยาว์วัยเมื่อครั้งผู้เป็นบิดาส่งนางไปให้ปู่ของตนรับเลี้ยงแทน....นานครั้งที่จะได้กลับบ้านเกิดเช่นจักรวรรดิเฟย์ติส...
‘เจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งแห่งดินแดนอันแสนยิ่งใหญ่กว้างขวางและเกียงไกร เอลลิโอร่า
เดอ เฟย์ติส’
แม้จะมีพระชันษาได้เพียงสิบสองปี
แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นจนน่าพิศวงและเสียงเล่าลือเล่าอ้างถึงความผิดแปลกจากเจ้าหญิงปกติทั่วไปเหมือนอาณาจักรอื่น
ก็ทำให้นางยิ่งดูโดดเด่นและน่าจับตามองแม้ไม่ขยับกายเลยก็ตาม
นับว่าเจ้าหญิงผู้นี้เกิดมาเพื่อเป็นผู้ยืนอยู่บนจุดสูงและต่ำสุดที่ทำให้ผู้คนต่างต้องเงยหน้าขึ้นมองตามความหมายชื่อของนางอย่างแท้จริง
“เจ้ามาสาย...เอลลิโอร่า”
เป็นเสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ความรู้สึก...แต่ทว่าสำหรับผู้คนที่รู้จักเขาดีย่อมรับรู้ว่ามันแอบแฝงไปด้วยความไม่พอใจเอาไว้
นับเป็นน้ำเสียงที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี...เพราะตลอดระยะสิบสองปีที่เกิดมา...เป็นชายหนุ่มผู้นี้ที่เป็นทั้งบิดาและผู้ชิงชังเธอในเวลาเดียวกัน
เขาคือจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิเฟย์ติส...เป็นชายผู้ปกครองเหนือใครในดินแดนอันแสนกว้างขวางและเกรียงไกรนี้....’องค์จักรพรรดิที่แปด
คาเดย์ เดอ เฟย์ติส’
แม้ช่วงอายุของเขาจะไม่มาก แต่ก็นับว่าไม่น้อยแล้ว...ทว่ารูปลักษณ์ที่ปรากฏให้เห็นนั้นก็ยังคงความเป็นหนุ่มที่มีภูมิฐานได้เป็นอย่างดี
ใบหน้าหล่อเหลาคล้ายรูปปั้นประติมากรรมชั้นยอดแห่งยุคนั้นเย็นชาอยู่เสมอ
เรือนผมสีขาวบริสุทธิ์คล้ายกับเหมันต์อันเย็นยะเยือกชวนให้จับตามอง
ดวงตาสีแดงฉานดุจโลหิตคู่นั้นเองก็นิ่งลึกเสมอจนไร้คลื่นและกลายเป็นความเย็นชาในที่สุด....บรรยากาศรอบตัวของเขานั้นย่อมเปี่ยมไปด้วยอำนาจและบารมีอย่างแท้จริง
เพียงแค่ได้มองก็สามารถรับรู้ได้ในทันทีว่าเขาคือชนชั้นปกครองโดยกำเนิด
รูปลักษณ์ของเขาแตกต่างจากเธออย่างสิ้นเชิง....ราวกับไม่ใช่บุตรและบิดา
“เช่นนั้นก็คงต้องขออภัย....”
เอลลิโอร่าเอ่ยตอบกลับอย่างเรียบเฉยบ่งบอกถึงความไม่ใส่ใจในคำติเตียนของผู้เป็นพ่อ
เด็กหญิงเพียงก้าวเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่เหลือว่างเพียงหนึ่งเดียว
เพราะบนโต๊ะรับประทานอาหารนี้ มีเพียงเธอเท่านั้นที่มาช้าสุด
แล้วใครใช้ให้ข้ารับใช้ของเขามาแจ้งเวลาทานอาหารของเธอช้ากว่ากำหนดกันล่ะ....
สำหรับเอลลิโอร่าแล้วนั้นเธอใช้เวลาอยู่นานนักกว่าที่ตนจะทราบว่าการเกิดใหม่ครั้งนี้เป็นโลกที่ตนรู้จัก...โลกที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับยุคสมัยตะวันตกตอนกลาง
มีเวทมนต์เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันและความเท่าเทียมทางเพศที่ไม่ยุติธรรมดุจดั่งพีระมิดแห่งชนชั้น
หนำซ้ำเรื่องทางเพศก็ดูจะเปิดเผยและรวดเร็วกว่าในโลกเก่ามากนัก ถึงขนาดที่ว่าการอาจพบเจอคนมีเพศสัมพันธ์กันบ่อยครั้งจะกลายเรื่องปกติ...แต่ก็สมเป็นนิยายแนวอย่างว่าที่เพื่อนสนิทของเธอชอบแต่งจริงๆนั่นแหละ...ไวไฟและง่ายดายกันจริงๆ
โลกแห่งนิยาย[BL]แนวสิบแปดบวกที่มีความหลากหลายทางเพศจนเธอต้องปวดหัวและโลกใบนี้ก็ถูกสรรสร้างโดยเพื่อนสนิทของเธอในอดีตชาติ
เพื่อนสนิทของเธอมักเล่าเรื่องราวของนิยายเรื่องนี้ให้ฟังเสมอ...ถึงเรื่องราวความรักของเจ้าชายหนุ่มผู้เป็นถึงว่าที่จักรพรรดิกับทาสหนุ่มที่หลงทางมา...การฝ่าฟันอุปสรรคและการกีดกันเรื่องของยศถาบรรดาศักดิ์
แต่สุดท้ายก็ล้วนจบลงด้วยดี...ฟังแล้วก็ช่างน่าอิจฉา
ซึ่งการจบลงด้วยดีนั้นก็ไม่ใช่สำหรับเธอ...
เมื่อเอลลิโอร่านั้นมีสถานะเป็นน้องสาวของพระเอกผู้นี้....เธอเป็นที่ชิงชังของบิดาแตกต่างจากพี่ชายอย่างเขาหรือน้องชายที่เป็นตัวละครรองด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่าเธอเกิดมาเป็นสตรี...ในโลกใบนี้นั้นมีเพศหลักๆอยู่สามเพศเท่านั้นคือ
อัลฟ่า โอเมก้า เบต้า ซึ่งมันก็คล้ายๆนิยายBLเรื่องอื่น
หากแต่ในกลุ่มของเบต้านั้นมีจำนวนประชากรเพศหญิงที่น้อยนิดมากนัก...จนกล่าวกันว่าจะมีเพศหญิงเกิดมาบนโลกนี้เพียงแค่หลักร้อยหรือหลักสิบคนเท่านั้นต่อช่วงระยะเวลาหลายร้อยปี
นับว่าเป็นของหายากยิ่งกว่าอะไรเสียอีก
เพราะเมื่อครั้งอดีตการเกิดของจำนวนประชากรเพศหญิงลดลงจนแทบสูญพันธุ์
ทำให้เพศชายมีการปรับตัวจนเกิดเป็นโอเมก้าในบางส่วนขึ้นเพื่อทดแทนการสืบพันธุ์ของกลุ่ม
ดังนั้นผู้หญิงจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับที่นี้
มุมมองของผู้คนบนโลกใบนี้ก็มองว่าเพศหญิงนั้นอ่อนแอและไม่สามารถทำอะไรได้เท่าเพศชาย
ดังนั้นโอเมก้าที่เป็นเพศสามารถสืบพันธุ์หรือตั้งครรภ์ได้เหมือนกันจึงเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเห็นๆ
เพราะอย่างน้อยสภาพร่างกายก็ยังคงเป็นชายอยู่
จึงไม่ได้บอบบางหรืออ่อนแอเท่าเพศหญิงที่พวกเขาคิดว่าไร้ประโยชน์
ซึ่งก็นับว่าช่างน่าบัดซบโดยแท้...เพราะเป็นเธอที่ดันเกิดมาเป็นเพศหญิงที่โดนดูถูกเสียยิ่งกว่าอะไร
แต่ในความโชคร้ายนั้นก็ยังคงมีความโชคดีอยู่ เมื่อเธอนั้นดันเป็น’อัลฟ่าชั้นสูง’
นับเป็นความย้อนแย้งในเพศที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนจนสร้างความประหลาดใจให้แก่ทุกคนที่ทราบ
ไม่เคยมีอัลฟ่าที่เป็นผู้หญิงเกิดขึ้นมาก่อนในโลกใบนี้....หนำซ้ำยังเป็นอัลฟ่าชั้นสูงที่หายากยิ่งเสียด้วย...ร้อยทั้งร้อยย่อมสร้างความโกลาหลมากกว่าความชื่นชม...ดังนั้นบิดาจึงไม่ได้ยินดีกับการเกิดมาของเธอเท่าไหร่นัก
ในสายตาของเขา...เธอเป็นเพียงตัวประหลาดตัวหนึ่งก็เท่านั้น
ไม่เคยมีความรักอยู่ในสายตาคู่นั้นสำหรับเธอ...
“เจ้าควรตระหนักในความผิดของตนให้มากกว่านี้นะ”
เป็นน้ำเสียงของเด็กชายที่เปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยันต่อเธอเอ่ยขึ้นอย่างเปิดเผย...ท่าทางแสนหยิ่งยโสนั้นบ่งบอกถึงการตามใจของผู้เป็นบิดา
คำกล่าวถือดีที่กล้าเอ่ยออกมาอย่างไม่เกรงกลัวใครนั้นเป็นมารดาที่ไม่เคยดุ
หากให้เปรียบเทียบเขากับเธอ....เด็กชายผู้นี้เป็นดั่งฝั่งตรงข้าม
เพราะเขานั้นคือบุตรที่ได้รับการโปรดปรานมากที่สุด
’เจ้าชายลำดับที่หนึ่งแห่งจักรวรรดิเฟย์ติส อันวาร์ เดอ เฟย์ติส’
เขาคือพี่ชายร่วมสายเลือดเพียงหนึ่งเดียวของเธอและเป็นพระเอกของเรื่องราวทั้งหมดในนิยายเฮงซวยเรื่องนี้...เด็กชายผู้เกิดเป็น’อัลฟ่า’ที่จะเป็นดั่งเส้นคู่ขนานที่ไม่มีวันมาบรรจบกันของเธอ
ด้วยรูปลักษณ์ที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นบิดาก็ไม่ปานนั้นทำให้ผู้คนที่พบเห็นย่อมสรรเสริญถึงสายเลือดอันเข้มข้นหรือการเจริญตามรอยเท้าบิดาเป็นแน่
ใบหน้าหล่อคมคายที่แม้ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่นักเนื่องจากยังวัยเยาว์นั้นแต่ก็ฉายแววความเป็นหนุ่มรูปงามอย่างเหลือล้น
เรือนผมสีขาวดุจหิมะคล้ายของผู้เป็นบิดานั้นถอนแบบมาถึงเจ็ดส่วน
ดวงตาสีแดงนั้นไม่ได้เป็นสีเลือดเท่าไหร่นักมันออกไปทางสีหม่นเสียมากกว่า
ท่าทางและบรรยากาศรอบตัวที่แผ่ออกมานั้นบ่งบอกถึงความหยิ่งยโสที่ทะนงตนสมสายเลือดชนชั้นปกครอง
หากแต่สำหรับเอลลิโอร่าแล้ว...เด็กชายผู้นี้ก็ไม่ต่างอะไรจากเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่ชอบถือดีเท่านั้น...
“ข้าย่อมสำนึกผิดในการกระทำของตนเสมอ...ท่านพี่อันวาร์”
เป็นเอลลิโอร่าที่ตอบกลับอย่างไม่รีบร้อน
พลางแสร้งยิ้มแสยะดูแคลนคำแซะของเขาที่ไม่เคยทำอะไรเธอได้เลยแม้แต่น้อย แม้จะเป็นพระเอกของเรื่องราวทั้งหมด
แต่อย่างไรเสีย...เด็กก็ยังคงเป็นเด็ก
สายสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของเธอและอันวาร์นั้นค่อนข้างไปในทางที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก
เมื่ออันวาร์ถูกสั่งสอนและเลี้ยงดูตามแบบแผนที่เจ้าชายเลือดบริสุทธิ์เป็นกัน
เขาจึงถือคติและแนวคิดหัวอนุรักษ์นิยมของจักรวรรดิเฟย์ติสเต็มประดา
ดังนั้นการที่เธอเกิดมาเป็นผู้หญิงก็เป็นเรื่องน่าดูแคลนสำหรับเขาไม่ใช่น้อย...แต่ทว่าใจหนึ่งของเขาก็คงอิจฉาริษยาในสถานะอัลฟ่าชั้นสูงของเธอด้วยเช่นกัน
นับว่าเป็นเรื่องน่าตลกอย่างแท้จริง....
ต่อให้เขาไม่อิจฉาเธอ ก็ได้ทุกสิ่งอยู่แล้ว...ไม่ว่าจะเป็นบิดา
มารดา ความรัก ทรัพย์สิน ฐานะหรือแม้แต่ความสุข
ทุกสิ่งที่เธอไม่เคยได้รับ...เป็นเขาที่ได้ไปหมด
เธอไม่มีอะไรให้เขาน่าอิจฉาด้วยซ้ำ
ตัวละครอย่างเอลลิโอร่านั้นแต่เดิมก็เป็นตัวละครเสมือนตัวเปรียบเทียบระหว่างลูกรักและลูกชัง
หากจะกล่าวว่าเป็นตัวประกอบก็คงไม่ใช่
เป็นนางร้ายก็ไม่เชิง...ในเนื้อเรื่องนั้นเอลลิโอร่าเป็นคนผู้ก้าวร้าวและสวนกระแสทุกสิ่งเสมอ
หากพระเอกไปขวา
นางจะไปซ้าย...นางทำทุกสิ่งที่ครอบครัวเกลียดชังเพื่อตอบสนองความชิงชังของพวกเขา
เป็นเพียงเด็กมีปัญหาคนหนึ่งที่ต่อต้านบ้านอันเฉยชาและผลักไสตน
เอลลิโอร่าเป็นตัวละครที่เกลียดชังพระเอกหาใช่นายเอก
ดังนั้นการเรียกว่านางร้ายจึงไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากนัก
เป็นตัวละครที่ผ่านไปผ่านมาของเรื่องราว นางเพียงหวังให้ชีวิตของพระเอก
ไม่สิ...ทุกคนในครอบครัวพบเจอแต่ความเหน็บหนาวไม่ต่างจากตน จึงสร้างเรื่องวุ่นวายให้พระเอกแตกคอกับสหายรัก
ทะเลาะกับบิดาบ้างหรือแม้แต่ล่อลวงนายเอกให้จงเกลียดจงชังพระเอกเสียเอง
ชีวิตของเอลลิโอร่าประกอบไปด้วยสองอย่างคือ’ความเมินเฉยจนก่อเกิดเป็นความไม่ใส่ใจ’และ’ความรุนแรงต่อร่างกายที่พ่วงด้วยจิตใจ’
ตั้งแต่เกิดมาก็ถูกวางยาพิษหรือลอบทำร้ายอยู่เสมอตามประสาเชื้อพระวงศ์...แต่ที่น่าแปลกกลับไม่เคยมีหมอหลวงคนใดส่งมาเลยสักครั้ง
เป็นเพราะครอบครัวไม่ได้สนใจจนแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบุตรสาวของพวกเขาต้องเกือบตายอยู่หลายครา
พวกเขามัวแต่ไปสนใจกับพระเอกและน้องชายเท่านั้น...จนกระทั่งแม้ตอนอายุได้เพียงหกปีก็เนรเทศเธอไปยังดินแดนทางใต้ให้ปู่เลี้ยงดูแทน...ซึ่งเธอก็โชคดีที่มีแม่เลี้ยงดีคอยดูแลทุกครั้งไป...หากไม่ได้แม่เลี้ยงผู้นี้นับว่าชีวิตในร่างเด็กของเธอย่อมลำบากไม่น้อย
ส่วนเรื่องของความรุนแรงนั้นแม้จะไม่ได้หนักหนาอะไรสำหรับเธอที่มีวุฒิภาวะโตในระดับหนึ่งแล้ว
แต่ทว่ามันก็บ่งบอกถึงความลำเอียงของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ได้เป็นอย่างดี...หากในบรรดาสามพี่น้องทำผิด
พระเอกและน้องชายของเธอจะได้รับการอภัย
หากแต่เมื่อเป็นเธอ...สิ่งที่ได้รับกลับเป็นบทลงโทษด้วยการตีหรือคุกเข่าท่ามกลางความหนาวเย็นอยู่เนิ่นนานจนความรู้สึกของขานั้นขาดหายไป...และเธอก็เป็นเพียงคนเดียวที่ถูกลงโทษให้อยู่ในห้องมืดโดยอดอาหารและน้ำเพียงลำพัง....ร่างกายเด็กน้อยของเธอแทบน่าสมเพชยิ่งหากเทียบกับเจ้าชายเจ้าหญิงคนอื่นๆ
เพราะสุดท้ายเป็นรอยช้ำและแผลเป็นมากมายที่ยังคงหลงเหลือในใต้ร่มผ้านี้
ไม่มีลูกกษัตริย์หรือจักรพรรดิคนใดที่ถูกเลี้ยงดูและทำโทษเช่นเธอ...
เอลลิโอร่าไม่ได้ร้องไห้งอแงในโชคชะตาเยี่ยงเด็กๆ
เธอเพียงรู้สึกขบขันกับมันก็เท่านั้น นิยายเรื่องนี้ช่างไร้เหตุผลยิ่ง
นับว่าเส็งเคร็งดี
“แต่ดูจากสีหน้าของเจ้าแล้วความรู้สึกสำนึกผิดคงต่ำเตี้ยเรี่ยดินกระมั้ง...”
อันวาร์ผู้ถือตนมีหรือจะยอมหยุดแซะน้องสาวร่วมสายเลือดที่โดนพูดกรอกหูตั้งแต่ครั้งวัยเยาว์ว่าน่าอับอายเพียงใดเมื่อมีนางเกิดมาในราชวงศ์และยิ่งเห็นท่าทางไม่ทุกข์ร้อนของนางก็คล้ายน้ำมันที่สาดเข้ามายังกองไฟ
เด็กหญิงที่ได้ฟังก็อยากกรอกตามองบนไม่น้อย
หากแต่ก็ยังรักษามารยาทเพียงนิ่งเงียบอย่างที่เคยเป็น
ไม่ตอบโต้และไม่สนใจ...แม้ตอนที่เธอตายจะไม่ได้โตเป็นผู้ใหญ่หรือบรรลุนิติภาวะอะไร
แต่อย่างน้อยเธอก็มีความคิดพอเข้าใจได้ว่า การพูดกับคนมีอคติ
ย่อมไม่มีการเปิดรับใดๆ...มันจึงไร้ประโยชน์ที่จะเอ่ยอะไร
“ท่านพี่อันวาร์อย่าถือโทษโกรธเคืองท่านพี่เอลลิโอร่ามากเลยนะครับ…ไหนๆก็อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ท่านพี่หญิงยิ่งไม่ค่อยเดินทางมาหาพวกเราสักเท่าไหร่นัก
ปล่อยว่างบ้างเสียเถอะครับ”
เป็นน้ำเสียงนุ่มนวลของเด็กชายที่เยาว์วัยกว่าเอ่ยขึ้นอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัย
แตกต่างจากผู้เป็นพี่ทั้งสองอย่างชัดเจน ท่าทางหรือคำพูดนั้นบ่งบอกถึงความอ่อนโยนและนิ่มนวลที่ได้รับจากผู้เป็นมารดาอย่างล้นเหลือนัก
ดวงตาอสรพิษของเด็กหญิงเหลือบสายตามองไปยังน้องชายร่วมสายเลือดที่ดูจะฉลาดอยู่ในสังคมกว่าพี่ชายเป็นไหนๆอย่างพินิจพิจารณา
เธอไม่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกับครอบครัวเหมือนเด็กคนอื่นๆนัก จึงทำให้ความสนิทสนมหรือความรู้จักที่พบเห็นนั้นเป็นเพียงแค่เปลือกนอกแสนผิวเผินเท่านั้น...และน้องชายผู้นี้เองก็ไม่ใช่ความสนิทสนิมของเธอ
เพราะฉะนั้นเอลลิโอร่าจึงพยายามมองคำกล่าวและการกระทำของเขาเพื่อหาจุดประสงค์ของเขา
แม้เด็กชายผู้นี้จะเป็นถึงตัวละครรองของนิยายเรื่องนี้
หากแต่บทบาทของเขากลับไม่ได้เป็นอะไรนอกไปเสียจากคนให้กำลังใจพระเอกและนายเอกหรือการให้คำปรึกษาในความรักของทั้งคู่...เป็นตัวละครที่เพื่อนสนิทของเธอเขียนแสดงไว้แต่ด้านดี...ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าเด็กชายผู้นี้จะเป็นคนดีได้เพียงเพราะเอาใจช่วยพระเอกและนายเอก
ดังนั้นการที่เธอไม่ได้เชื่อใจเขาจึงไม่ใช่สิ่งที่แปลกอะไร
‘เจ้าชายลำดับที่สองแห่งจักรวรรดิเฟย์ติส โลริส เดอ
เฟย์ติส’
น้องชายผู้นี้ถอดแบบมาจากผู้เป็นมารดาไม่แคล้วกัน
ด้วยใบหน้างดงามหวานล้ำประดุจสตรีหรือโอเมก้าบางส่วนนั้นทำให้ถูกเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้ง
ทั้งที่แท้จริงแล้วก็เป็น’อัลฟ่า’ไม่ต่างกัน
เรือนผมสีน้ำตาลเข้มคล้ายสีเปลือกไม้ของพฤกษ์อันนิ่งสงบชวนให้ผ่อนคลายนั้นทำให้ผู้คนต่างชมชอบเสมอ
ดวงตาสีม่วงดุจอเมทิสต์ถูกยกยอว่าเป็นดวงตาที่งดงามยิ่งกว่าอัญมณีใด
รูปลักษณ์ที่แสนอ่อนโยนและนิ่มนวลนี้ถูกถ่ายทอดมาจากมารดาผู้เป็นโอเมก้าถึงสิบส่วน
จึงเป็นไปได้ว่าน้องชายร่วมสายเลือดผู้นี้จะเจริญตามรอยมารดามากกว่าใคร...
ซึ่งในบรรดาลูกทั้งสามคน...มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่ไม่มีเรือนผมหรือสีตาใดเหมือนบิดามารดา...
ดังนั้นเมื่อเกิดมาคราแรกจึงถูกตั้งครหาหนักอย่างหลากหลาย
ทั้งเรื่องเพศหรือความแตกต่างนี้ ผู้คนมากมายต่างเชื่อว่ามารดาของเธอเล่นชู้ ทว่าโชคดีนักที่รูปลักษณ์ของเธอดันคล้ายถอดแบบมาจากปู่ร่วมสายเลือดของตนราวกับภาพพิมพ์...อดีตจักรพรรดิที่เจ็ด’คาเอลรอส’ ‘จักรพรรดิจอมบ้าคลั่งแห่งสงคราม’ชายผู้ครั้งหนึ่งเคยล่าอาณานิคมให้แก่จักรวรรดิเฟย์ติสถึงครึ่งแผ่นดินโลก...แต่เดิมไม่ใช่ชาวเฟย์ติสโดยสายเลือดหรือไม่ได้เป็นแม้แต่ผู้อพยพเข้ามา
ทว่าเป็นองค์ชายจากชนเผ่าฮันเรย์อันเป็นใหญ่ในดินแดนทางใต้ซึ่งส่งมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับเจ้าชายลำดับที่หนึ่งอย่าง’แอนโทเซีย’ผู้เป็นย่าของเธอในกาลปัจจุบัน....
หลังสละราชบัลลังก์ให้แก่บุตรชายเพียงหนึ่งเดียวอย่างคาเดย์
เขาก็เดินทางจากจักรวรรดิสู่ดินแดนทุ่งกว้างทางใต้อันเป็นบ้านเกิดโดยไม่หวนกลับมา...นับเป็นช่วงปลายชีวิตของชายที่ผ่านสนามรบมามากมายคนนี้...ช่างดูเรียบสงบเสียจริงๆ
“บางทีเจ้าก็ดูเหมือนพวกชนเผ่ามากกว่าจะเป็นชาวเฟย์ติสนะ
น้องหญิงของข้า...”
แม้น้องชายร่วมสายเลือดจะพยายามห้ามปรามแล้ว
ทว่ามีหรือที่เจ้าชายผู้แสนยโสจะยอมหยุด เหตุใดบิดาจึงไม่ไล่นางไปอยู่ดินแดนทางใต้ถาวรกัน
แล้วไฉนท่านปู่จึงโปรดปรานมัน...เป็นความหงุดหงิดและริษยาต่อน้องสาวร่วมสายเลือดคนนี้
เกิดเป็นหญิงแท้ๆ เหตุใดจึงยังลอยหน้าลอยตาเหมือนเท่าเทียมกับเขากัน...
“เป็นชนเผ่าแล้วอย่างไร เป็นชาวเฟย์ติสแล้วอย่างไร…มันต่างกันตรงไหนหรือ ท่านพี่อันวาร์”
เอลลิโอร่ารับรู้ดีว่าทุกครั้งที่เธอกลับมายังพระราชวังแห่งนี้จะไม่เป็นที่พอใจของเด็กชายผู้นี้อย่างยิ่งยวด
ซึ่งมันก็ทำให้เธอรู้สึกดีไม่น้อย เพราะเพียงเห็นหน้าเธอ
พี่ชายผู้นี้ก็ทำตัวจะเป็นจะตายแล้วทั้งๆที่เธอยังไม่ทันลงมือด้วยซ้ำ น่าขำดี...
“พูดอะไรโง่ๆ
พวกเราชาวเฟย์ติสย่อมเหนือและอยู่สูงกว่าพวกชนเผ่าเร่ร่อนอยู่แล้ว----“
ด้วยการศึกษาเยี่ยงจักรวรรดินิยมของอันวาร์
ดินแดนและชาติพันธุ์ของเขาจึงยกตนสูงกว่าชนเผ่าหรือแม้แต่อาณาจักรอื่นๆอย่างแน่นอน
ซึ่งคำตอบนั้นก็ไม่ผิดจากที่เอลลิโอร่าคาดคิดเลยแม้แต่น้อย
“หากท่านปู่ได้ยินเช่นนั้นคงเสียใจและโกรธาแย่....อีกทั้งลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าเฟย์ติสที่แท้จริงมันไม่มีอยู่จริง
แม้กระทั่งท่านด้วยนะ....ท่านพี่อันวาร์”
เอลลิโอร่าที่เห็นเด็กชายติดกับคำพูดของตนก็อดไม่ได้ที่จะฉายแววตาขบขัน....พระเอกผู้นี้เหยียดเชื้อชาติอื่นที่ไม่ใช่เฟย์ติส
ทั้งๆที่แท้จริงแล้วเขาเองก็เป็นลูกเสี้ยวของชนเผ่าฮันเรย์อันเป็นเชื้อสายจากผู้เป็นปู่ของเขามิใช่หรือ
อีกทั้งจักรวรรดิเฟย์ติสเองแต่เดิมก็เป็นผู้อพยพทั้งหลายเข้ามาอยู่
การสร้างชาติไม่ได้ยาวนานเสียจนเรียกตนว่าเป็นต้นเชื้อสายหรืออารยธรรมได้
“เลิกพูดสร้างความแตกแยกได้แล้ว เอลลิโอร่า”
เป็นเสียงเย็นยะเยือกจากผู้เป็นบิดาที่ส่งผ่านมายังเด็กหญิง
เมื่อเห็นบุตรสาวผู้นี้ชาญฉลาดกว่าบุตรชายของตนมาก...นางรู้จักที่จะพูดให้บุตรชายของเขาติดกับได้อย่างไม่ยากเย็น
นับว่าน่าชัง...
บุตรชายที่ตนคาดหวังให้เหนือใครกลับยังคงเป็นเด็กตามอายุ
ส่วนบุตรสาวที่ตนผลักไสและเมินเฉยกลับหัวดีสร้างปัญหาได้
ดูเหมือนอนาคตข้างหน้าคงเกิดปัญหาไม่น้อย....
“อีกไม่นานเจ้าก็กลับแดนใต้แล้ว อย่าสร้างปัญหาให้มาก”
แม้จะถูกบิดากล่าวเช่นนั้น....บุตรสาวผู้ถูกเกลียดชังก็หาได้แสดงบทเศร้าโศกไม่
มีเพียงรอยยิ้มเย้ยหยันที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางเท่านั้น...
ความลำเอียงที่ไม่เคยได้รับการขัดเกลานี้...ช่างไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยจริงๆ
.
.
.
[ตอนวาดน้องก็ยังรู้สึกว่าหล่อมากกว่าสวยแฮะ5555 สมเป็นพระเอกของเรื่องจริงๆ!(?)]
ปล.เรื่องนี้ตัวเอกไม่เก่งแมรรี่ซูนะคะ แต่เก่งเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งพยายาม แล้วก็เนื้อหามีการต่อสู้ทางการเมืองผสมเล็กๆ(?) ไล่เก็บฮาเร็ม ดาร์คเล็กน้อย(?)
ปล.ที่สอง คนแต่งดองเก่งมาก(?) หายไปอย่าแปลกใจนะคะ5555
ความคิดเห็น