คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1 เด็กทั้งสาม
[ทรวดทรงส่งศรีไม่มีแม้น
อรชนอ้อนแอ้นประหนึ่งเหลา
ผมสลวยสวยขำดำเป็นเงา
ให้ชื่อว่าเจ้าพิมพิลาไลย]
หญิงงามที่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสาวงามแห่งเมืองสุพรรณ...ฐานะร่ำรวยเป็นหน้าเป็นตาชวนคล้ายดอกฟ้าอันเหล่าบุรุษหมายปอง
ทว่าดันโง่งมหมายรักบุรุษผิดคน จนสุดท้ายก็เป็นตัวเองที่ตาย...
เธอไม่ได้เกลียดนางวันทองอะไรมากนัก
แม้จะเป็นผู้หญิงปากจัดและดูโง่ในบางครั้ง แต่หากเทียบกับตัวละครทั้งหมดในเรื่อง
โดยเฉพาะบุรุษสองคนนั้น นางวันทองก็ดูเบาลงไปไม่ใช่น้อย
ไม่รู้เพราะสังคมในยุคสมัยนั้นยังไม่ได้รับการพัฒนาหรือเป็นเพราะมาจากความต้องการของผู้แต่งที่เต็มไปด้วยตัณหากัน
ที่บุรุษเจ้าชู้มากรักอย่างขุนแผนได้รับการเชิดชู
ในขณะที่นางวันทองกลับถูกประหารในตอนสุดท้าย
ไม่เคยมีใครกล่าวถึงขุนแผนยามเมื่อมีภรรยาหลายคน
แต่ทุกคนจะกล่าวถึงนางวันทองว่าเป็นหญิงมักมากเพียงเพราะถูกบุรุษสองคนแย่งตัวกันไปมาและลวงหลอก
“กำลังคิดอะไรอยู่รึ? ลูกรัก”
เสียงของชายหนุ่มในวัยผู้ใหญ่ต้นๆเอ่ยถามบุตรสาวของตน
ยามเมื่อเห็นนางกำลังมองไปข้างนอกหน้าต่างสุดไกลโพ้นราวกับคิดอะไรไว้มากมาย
บุตรสาวของเขาเป็นเด็กประหลาด ผิดแปลกจากลูกสาวบ้านอื่นมากนัก แต่ก็เป็นเด็กหน้าสะสวยตั้งแต่เล็กหนำซ้ำยังเฉลียวฉลาดมากนักจนเขาและภรรยาต่างดีใจและเลือกที่จะมองข้ามความประหลาดของบุตรสาวผู้นี้ไป
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ
ท่านพ่อ”
เด็กหญิงในวัยเพียงห้าขวบปลายตอบกลับผู้เป็นบิดาด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบและเรียบเฉยราวกับคลื่นน้ำ
ดูแล้วช่างเหมือนผู้ใหญ่ผ่านโลกมามากนักไม่ก็ตุ๊กตาไร้ความรู้สึก ในคราแรกที่บิดาและมารดาได้รับรู้ถึงความแปลกประหลาดของนางที่แตกต่างจากเด็กคนอื่น...พวกเขาต่างกระวนกระวายรีบพานางไปหาแม่หมอเพราะกลัวว่าบุตรสาวของตนอาจถูกผีสิง
ซึ่งมันจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก
หากภายในของเด็กหญิงผู้นี้คือหญิงสาววัยรุ่นที่มาจากโลกจริงในอนาคต
ความจริงแล้วในตอนที่นางลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ไม่รู้หรอกว่าตนนั้นได้เกิดใหม่มาอยู่ในโลกที่คล้ายวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนอยู่หลายส่วนหรอก
หากแต่เมื่อได้ยินชื่อบิดาและมารดาของตน ก็เริ่มใคร่สงสัย...และต่อมาก็ทราบนามของตัวเอง
จึงแน่ใจและชี้ชัดว่าตนนั้นคือนางวันทอง
แต่ในโลกนี้ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่บทประพันธ์เขียนไว้เท่าไหร่นัก
ราวกับโลกนี้ผสมผสานยุคสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่เป็นเหมือนต้นฉบับเอาไว้อยู่และเพิ่มเติมรัตนโกสินทร์ตอนปลายเข้ามาบ้าง มีการแต่งกายคล้ายสมัยรัชกาลที่ห้าบ้างหรือสมัยรัตนโกสินทร์ตอนปลายก็มี
มีหลายอย่างที่ที่นี้ไม่ได้ยึดแบบอย่างจากโลกจริงสมัยก่อนขนาดนั้น....ซึ่งมันก็ดี
ง่ายต่อการใช้ชีวิต หากเป็นโลกแบบไทยสมัยก่อนจริงๆ
คงยากลำบากนักที่นางจะได้ทำอะไรที่ต้องการจริงๆ
“ข้าล่ะไม่รู้จริงๆว่าในหัวเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่...”
พันศรโยธาได้แต่เอ่ยลอยๆและเอื้อมมือของตนไปลูบหัวบุตรสาวของตนเบาๆด้วยความเอ็นดู
เขาและภรรยาของเขาก็ถือว่าไม่ใช่คนหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่แต่อย่างใดถือว่าหน้าตาดีในระดับหนึ่ง
ทว่าบุตรสาวที่ได้รับมานั้นกลับหน้าตาสะสวยมากเสียจนพวกเขาเอ็นดูตั้งแต่แรกเห็นเพียงนางพึ่งแรกเกิด
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาก็หลงใหลในรูปโฉมของบุตรสาวของตนและรู้สึกยินดีที่ทายาทของตนมีใบหน้าสง่าราศีเช่นนี้
มันย่อมเป็นผลดีแก่วงศ์ตระกูลอยู่แล้ว
“ท่านพ่อ...ท่านจะตีลูกไหมคะ?....หากสักวันลูกสร้างความอับอายให้ท่าน...”
เป็นอีกครั้งที่พันศรโยธาไม่อาจเข้าใจบุตรสาวของตนได้
คำถามที่มักเกินตัวเด็กและราวกับรู้อะไรบางอย่างอยู่ออกจากปากเล็กๆและดวงตาที่นิ่งสงบนั่น....เขาจึงทำได้เพียงตอบกลับไปว่า
เขานั้นรักลูกเพียงใด มีหรือจะเฆี่ยนตีลูกให้เจ็บปวดได้ลงคอ
แม้จะตอบไปเช่นนั้น...แต่ดวงตาของเด็กหญิงก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงก่อนที่มันจะหม่นลงจนกลายเป็นไร้แวว
.
.
.
“นี่ๆ รู้หรือไม่ ลูกสาวบ้านพ่อพันศรโยธากับแม่นางศรีประจันหน้าตาสะสวยตั้งแต่เล็กเลยเชียว”
“แต่เห็นว่ามีนิสัยแปลกประหลาดผิดกับลูกสาวบ้านอื่นด้วยเช่นกันนะ”
“ถึงกระนั้นพ่อพันศรโยธาล่ะหวงลูกสาวคนนี้มากนัก เห็นว่าเฉลียวฉลาดมากนักจนหาอาจารย์มาสอนเรียนหนังสือหนังหาให้”
เสียงเล่าลือเสียงเล่าอ้างดังแพร่สะพัดไปไกลตามสายลมและลมปากคน
วิถีมนุษย์มักนินทาและจับจ้องติฉินกัน
ไม่เว้นแม้แต่บ้านพ่อค้าที่ร่ำรวยนักหนาอย่างบิดาของเด็กหญิง
และในระหว่างที่เสียงของชาวบ้านมากมายที่กำลังพูดคุยกัน
ชายหนุ่มในวัยผู้ใหญ่ต้นๆชะงักฟัง...เขามีร่างกายภูมิฐานแข็งแรงกำยำและเป็นสง่าสมชายชาตรีชาติทหาร
รูปหน้าคมคายสมบุรุษไทย นับเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง
“หืม?...เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ชายหนุ่มในวัยผู้ใหญ่ต้นๆพึมพำออกมาเบาๆพลางพยักหน้า
ก่อนจะหันไปมองบุตรชายที่ตนเองจูงมืออยู่ด้วยและเอ่ยว่า
“พลายแก้ว...พ่อกะจะไปเยี่ยมเพื่อนเก่าเสียหน่อย...เจ้าอยากได้เพื่อนเล่นหรือไม่?”
“อยากขอรับ ท่านพ่อ”
เด็กชายวัยละอ่อนที่แม้จะเยาว์วัยนัก
แต่ก็ฉายแววหนุ่มรูปงามอย่างชัดเจนพยักหน้าตอบบิดาของตน
พลางฉีกยิ้มกว้างดีใจที่ตนจะได้มีเพื่อนเล่นเสียที เดิมทีแล้วบิดาของตนได้พาเขาและมารดาย้ายจากกาญจนบุรีมาที่สุพรรณบุรี
จึงทำให้เขาไม่มีเพื่อนที่นี้เลยนักเพราะพึ่งย้ายมา
.
.
.
“ดูเหมือนพ่อพันศรโยธาจะมีลูกสาวดียิ่งนัก...สงสัยคงต้องไปดูให้เห็นกับตาเสียหน่อยแล้ว
ว่าเฉลียวฉลาดจริงหรือไม่? หรือชาวบ้านโม้โอ้อวดกันไปเอง...”
ห่างไกลจากที่ชาวบ้านพูดคุยกันอยู่นั้น
เป็นบ้านเรือนหลังใหญ่สมฐานะและบารมีของเจ้าบ้านยิ่ง เมื่อผู้เป็นเจ้าของนั้นคือขุนศรีวิชัย
เขาเป็นชายหนุ่มในวัยผู้ใหญ่ต้นๆไม่ต่างจากบิดาคนอื่นๆ
แม้จะไม่ได้มีรูปร่างกำยำแข็งแรงสมชายชาติทหาร
ทว่าก็มีรูปร่างเป็นสง่างามสมเป็นขุนนาง ใบหน้าไม่ได้คมเข้มแต่ก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่แม้แต่น้อย
เป็นบุรุษที่ไม่ได้ดูแข็งแรงแต่กลับดูสง่างามมากกว่า
“ถ้าเช่นนั้นก็พาขุนช้างไปด้วยสิเจ้าคะ...ลูกเราจะได้มีเพื่อนเล่นเสียบ้าง”
เสียงหวานของภรรยาเอ่ยกับขุนศรีวิชัยอย่างแช่มช้อย
พลางกุมใบหน้าด้วยความเหนื่อยใจยามเมื่อนึกถึงบุตรชายขี้โรคของตนที่วันๆก็อยู่แต่เรือน
หากไม่ป่วยจนลุกไม่ขึ้นก็นั่งอ่านหนังสือไม่สนผู้ใดจนข้าวปลาไม่กิน
“ก็ดี...ได้ยินแล้วใช่หรือไม่?”
ขุนศรีวิชัยตอบรับคำเสนอแนะของภรรยาโดยไม่ปฏิเสธอะไร
พลางเหลือบไปมองบุตรชายของตนที่นั่งหนังสืออยู่เงียบๆ
“ขอรับ...ท่านพ่อ...”
เด็กชายรูปร่างบอบบางไม่แข็งแรงแต่ก็ดูสง่างามและเผยเค้าโครงความเป็นหนุ่มรูปงามออกมานั้นตอบกลับบิดาของตนอย่างว่าง่าย
เขาไม่ได้รู้สึกอยากไปนัก แต่เพราะผู้เป็นบิดาสั่งจึงต้องจำยอม
.
.
.
เนื้อเรื่องมีการดัดแปลงจากต้นฉบับจริงๆอยู่เยอะนะคะ
มีการเพิ่มเติมหรือปรับแต่งไปมาก หากใครจริงจังกับเนื้อหาที่ต้องถูกต้องทั้งหมด คงต้องขออภัยด้วย
ความคิดเห็น