[Fic BAP][Os-BangChan] Tie together - [Fic BAP][Os-BangChan] Tie together นิยาย [Fic BAP][Os-BangChan] Tie together : Dek-D.com - Writer

    [Fic BAP][Os-BangChan] Tie together

    ไทด์ ไทด์ ไทด์ ผมมี 'หน้าที่' ที่ต้องผูกไทด์ให้เขาทุกวัน ..

    ผู้เข้าชมรวม

    833

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    6

    ผู้เข้าชมรวม


    833

    ความคิดเห็น


    7

    คนติดตาม


    17
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  16 ก.ค. 56 / 01:21 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      Title Tie toghther

      Authors SweetToki

      Rate 15+

      ปล.ฟิคนี้อาจมีเนื้อหาที่หยาบคายบ้าง แต่เพื่ออรรถรสในการอ่านนะคะ ^^     



      -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------      




                         เสียงกลองกิจกรรมดังขึ้นแต่เช้าตรู่ เรียกให้ผมต้องตื่นขึ้นมาจากนิทราแสนหวาน ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งอยู่บนเตียงก่อนจะมองหานาฬิกาแล้วคว้ามันมาดู .. หน้าปัดอ้วนกลมตีบอกเวลาแปดนาฬิกาพอดี.. ให้ตายเถอะ

                         ผมล้มลงนอนบนเตียงอีกครั้งแล้วพยายามข่มตาหลับ นี้มันวันเสาร์แท้ๆทำไมผมจะต้องตื่นมาก่อนเวลาด้วยล่ะ

                         “ฮิมชานนนนนน”

                         เสียงเรียกชื่อผมชนิดที่ยาวยานคางและทุ้มต่ำสุดสายเบสดังขึ้น ทำให้ผมที่กำลังจะหลับอีกรอบต้องลืมตามขึ้นมองก็เจอเข้ากับหน้าคมๆที่จ้องลงมาที่ผม ผมขมวดคิ้วใส่ไปหนึ่งครั้งก่อนจะพลิกตัวคว้าหมอนข้างมานอนต่อ

                         “ฮิมชานนนน ลุกขึ้นมาก่อนมึงงง” ไม่ว่าเปล่า มีมืออุ่นๆจับเข้าที่แขนผมแล้วพยายามพลิกให้ผมกลับไป มีหรอผมจะยอมให้มาทำลายการนอนแสนหวานของผม ผมกอดหมอนข้างและขืนตัวเอาไว้มั่น

                         “มาผูกไทด์ให้กูก่อนนนเร็วววว” มือเรียวยาวยังคงยึดและรั้งตัวผมเอาไว้

                         “มึงก็ผูกเองสิเว้ยยย” ผมสะบัดแขนออก ส่งเสียงฟึดฟัดกลับไป พร้อมกับกอดหมอนข้างหนึบ

                         “ไม่เอา ลุกมาผูกให้กูก่อนดิ เดี๋ยวกูต้องออกไปรับน้องนะเว้ย ไปสายเดี๋ยวเพื่อนมันด่า” สะบัดได้ไม่นานมือเรียวยาวก็เกาะเข้าที่แขนผมเหมือนเดิมแล้วออกแรงเขย่า เอ้อ!! ไม่ต้องนอนมันแล้วเว้ย! ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งจ้องคนที่ยืนปั้นหน้าตายอยู่ตรงหน้า ผมเลื่อนสายตาลงมามองไทด์ที่พาดอยู่บนคอก่อนจะดึงเข้ามาแล้วเริ่มผูกปมให้

                         “กูก็สอนมึงไปตั้งหลายรอบแล้วทำไมไม่รู้จักจำวะ!” ผมเอ็ดด้วยความโมโห ปากบ่น แต่มือก็ยังคงไขว้ผ้าไปมาต่อ

                         “จำแล้ว แต่พอมาลองทำก็ทำไม่ได้ว่ะ” คนตรงหน้าผมตอบหน้าตาย มือเรียวยาวยกขึ้นปิดปากหาววอดๆ

                         “ผูกไม่ได้แล้วมึงจะคลายปมออกทำไม!” ผมตลับผ้าออกมาครั้งสุดท้ายสอดผ้าลงตามรูปแบบของมันแล้วรูดขึ้นไปจนชิดคอยาว

                         “แค่กๆๆๆ” คนตรงหน้าไม่ตอบผม แต่กลับไอออกมาแทนเพราะปมไทด์ที่ผมตั้งใจดึง รัดเข้าที่หลอดลมพอดี ผมสะบัดมือออกก่อนที่มือของเจ้าตัวจะคลายมันออก ปั้นหน้าบึ้งใส่อีกทีก่อนจะล้มตัวลงนอน ไม่นานผมก็สัมผัสได้ว่าร่างที่ยืนอยู่ข้างเตียงผมจากไปแล้ว เสียงกุกกักเหมือนคนรื้อของดังขึ้นเบาๆตรงโต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนที่จะมีลมเบาๆพัดวูบผ่านหลังผมไป

                         “เอ้อ วันนี้กูอยู่ที่คณะทั้งวันนะ ถ้าจะกินข้าวก็ไปหากูที่คณะแล้วกัน” เสียงนั้นกล่าวสั่งกับผม ก่อนที่ประตูจะเปิดออกแล้วปิดลง....

       

       




                

           “คุณยงกุกคร๊าบบบ เสด็จมาแล้วหรอคร๊าบบบบ แหม่” เสียงกล่าวทักทายดังโหวกเหวกฝ่าเสียงกลองที่ดังกระหึ่มอยู่ไม่ไกลกัน ผมไม่ตอบอะไรนอกจากเดินเข้าไปทางที่ถูกเรียก              

           “เก๊กหรอมึง”


       

                        เพี๊ยะ!
       

           เสียงหวดหนักๆดังขึ้นที่ข้างหลังผม และตามขึ้นด้วยความเจ็บปวดที่แล่นไปทั้งแผ่นหลัง ผมที่ยืนพิงอยู่กับโต๊ะค่อยๆหันไปมองยังต้นกำเนิด

          “เพื่อนเล่นหรอมึง...” ผมพูดกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติของผม.. ที่ออกไปทางเบสทุ้มต่ำ แล้วก็ทำให้ไอเพื่อนตัวดีที่ง้างมือหมายจะฟาดอีกทีลดมือลงประนม

                         “ขอโทษคร๊าบบบ พี่บังยงกุกกก น้องจะไม่ทำแล้วคร๊าบบบบ อย่ามาว๊ากใส่ผมนะคร๊าบบบบ” มือที่ประนมกันไหว้ประลกๆ ผมส่ายหน้าให้กับท่าทางแบบนั้นแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปมองยังกลุ่มรุ่นน้องที่นั่งอยู่กลางโถงตึกของคณะ ผมมองกวาดไปรอบๆ ก่อนจะไปสบเข้ากับสายตาหนึ่งที่คุ้นเคย.. แดฮยอน.. เพื่อนของผม.. ที่นั่งปะปนอยู่กับรุ่นน้องที่กำลังดูมีความสุขอยู่กับเสียงเพลงและเสียงกลองจากรุ่นพี่ ริมฝีปากหนายกยิ้มขึ้นเล็กน้อยให้กับผม ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับพวกที่ร้องรำทำเพลงอยู่ด้านหน้า

                         “จะเริ่มแล้วหรอวะมึง” เพื่อนคนที่ตีหลังผมเอี่ยวตัวมาใกล้ก่อนจะกระซิบแผ่วเบา

                         “คงงั้นมั้ง มันเป็นคนคุมเกมนินะ” ผมยกมือขึ้นกอดอกดูท่าทีนั้น เฝ้ามองและรอคอยละครหนึ่งฉากที่กำลังจะถูกแสดงให้เห็น... เสียงเพลงยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และเพียงไม่กี่อึดใจ คนที่ผมจับจ้องอยู่ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง

                         “แม่ง โคตรน่าเบื่อเลยว่ะ!!!” เสียงหนักประกาศกร้าว แววตาจริงจังจับจ้องไปยังกลุ่มสันทนาการที่อยู่ด้านหน้า เสียงกลองที่ตีดังก่อนหน้าชะงักลงทันที

                         “น้องมีอะไรรึเปล่าคะ?” หัวหน้าสันทนาการตอบไปอย่างใจเย็น.. เพื่อนที่อยู่ข้างผมหลุดขำออกมาเบาๆกับท่าทางที่เรียก “เพื่อน” ว่า “น้อง” แบบนั้น ผมหันมองก่อนจะผลักหัวมันให้ฟุบไปกับโต๊ะ .. เดี๋ยวเสียแผนกันพอดี

                         “กิจกรรมบ้าบออะไรวะ มีแต่ร้องเพลง น่าเบื่อจะตาย!” เสียงหนักยังคงประกาศกร้าวต่อไป รุ่นน้องที่นั่งรายล้อมแดฮยอนอยู่หันไปมองที่ร่างสูงนั้นเป็นตาเดียว ไม่นานก็มีร่างอีกร่างลุกขึ้นแล้วดึงพยายามดึงให้นั่งลง

                         “แดฮยอนนั่งลงเหอะ เป็นบ้าอะไรเนี๊ยะ” มือขาวจับเข้าที่บ่าแล้วพยายามดึงให้นั่งลง ผมขมวดคิ้วมอง.. ดูท่าแผนที่วางไว้จะบิดเบี้ยวไปหน่อยแฮะ

                         “ไม่ต้อง! จงออบนั่งลงไปเลย เรื่องนี้ฉันจัดการเอง” ไหล่สูงสะบัดมือที่เกาะกุมอยู่ออก ดันให้รุ่นน้องคนนั้นนั่งลงแล้วกล่าวต่อ

                         “ถ้าพวกพี่มีปัญญาจัดกิจกรรมได้แค่นี้ผมว่าก็ไม่ต้องจัดหรอก เสียเวลา!” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ตอนนี้รุ่นน้องที่เหลือดูจะแตกตื่นกับเรื่องที่เกิดขึ้น สงสัยผมคงต้องรีบปิดฉากละครเรื่องนี้แล้วล่ะ ผมยันตัวเองออกจากโต๊ะตัวใหญ่ เดินตรงไปทางกลุ่มรุ่นน้อง

                         “มีปัญหาอะไรครับน้อง”  ผมกล่าวเสียงเรียบ แต่ก็ดังพอให้ได้ยินกันโดยทั่ว

                         “พี่ปล่อยพวกผมไปเหอะ กิจกรรมบ้าบอที่พี่จัดไม่เห็นจะได้เรื่องอะไรเลย เสียเวลา!” แดฮยอนจ้องมาที่ผม แววตาคมส่งมาเป็นเชิงท้าทาย ผมตีหน้านิ่งและเก็บอารมณ์ให้ได้มากที่สุด

                         “ถ้าน้องคิดว่ามันน่าเบื่อก็ออกไปเลยครับ!! พวกพี่ไม่ได้ห้าม แต่ขออย่าได้มากลับมาเหยียบคณะนี้อีก!!!” ผมเพิ่มเสียงให้ดังและหนักขึ้นจนมันก้องไปทั่วโถงตึก รุ่นน้องที่มองสลับไปสลับมาระหว่างผมกับแดฮยอนเริ่มหน้าเสีย

                         “เออ.. กูออกแน่..” แดฮยอนยกยิ้ม ก่อนจะเดินแหวกกลุ่มรุ่นน้องมายืนประจันหน้ากับผม

                         “แต่ก่อนกูจะออก... กูขอซักทีเหอะ!!” ว่าจบหมัดหนักๆก็ชกเข้าที่ปลายคางผมทำให้เซไปข้างหลังจนเกือบล้ม ไอแดฮยอนทำไมมึงต่อยจริงวะ!! เมื่อผมตั้งหลักได้ ผมก็กำหมัดแน่น แล้วกระโจนเข้าไปจับเข้าที่คอเสื้อ แล้วปล่อยหมัดลงไปที่หน้าคมหนึ่งที กะให้พอวืด... แต่แม่ง เต็มมือเลยว่ะ..

                         ไม่นานความโกลาหลก็เริ่มก่อตัว ผมตะลุมบอนอยู่กับแดฮยอนพักใหญ่ จนพวกกลุ่มสันนทนาการเริ่มจะมาแยกตัวผมออก และรุ่นน้องบางส่วนที่ลุกขึ้นมาดึงแดฮยอนออกไป

                         “ปล่อยเว้ยย!!!” แดฮยอนดิ้นขลุกขลักอยู่ในกลุ่มรุ่นน้องที่พยายามจะล็อคคอ แขน และขามันไว้.. เอาตุ๊กตาทองไปเลย... ผมมองแดฮยอนที่ดูจะคลุ่มคลั่งเกินบท ก่อนที่จะตั้งหลักยืนตัวตรง ปาดเลือดที่ไหลซึมออกจากมุมปาก

                         “น้องครับ ปล่อยเพื่อน!!.. เดี๋ยวน้องช่วยตามพี่มาด้วยนะครับ!!” ผมตะโกนสั่งรุ่นน้องจนลั่นโถงของตึก ไม่นานรุ่นน้องที่แตกตื่นเริ่มกรูกันกลับไปที่เดิม รุ่นน้องที่จับตัวแดฮยอนอยู่เริ่มคลายออกและกลับลงไปนั่งที่เช่นกัน ผมโฟกัสผ่านแดฮยอนไปยังรุ่นน้องที่อยู่ด้านหลัง สายตาทุกคนเป็นกังวล รุ่นน้องผู้หญิงบ้างคนก็ดูท่าทางเหมือนจะร้องไห้.. มิชชั่นคอมพลีท

                         “กูไม่ไป!!!” แดฮยอนตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง.. ผมมองแดยอนด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง แต่แววตาส่งกลับไปยังตาคมเป็นคำถามว่า “นี้ยังไม่จบอีกหรอวะ?”

                         “อย่าให้พี่ต้องรุนแรงกับน้องนะครับ!! จุนฮง!! ยองแจ!! เอาตัวน้องตามกูมา” ตามเกมกันไป.. ผมออกคำสั่งกับเพื่อนที่นั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนไม่ไกลกัน .. ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับมาผมจึงหันไปมองแล้วถลึงตาให้เป็นเชิงว่ามาจัดการ สองคนที่นั่งอยู่ดูงงๆก่อนจะเข้าใจสถานการณ์แล้วกรูเข้ามาล็อคแขนแดยอนทั้งสองข้าง ผมหันหลังออกจากที่ตรงนั้น แล้วเดินหลบไปยังหลังตึก

                         “ปล่อยกูเว้ยยยยย!!!” เสียงโหวกเหวกจากแดยอนยังคงดังฝ่าออกมา ให้ตายเหอะ.. เยอะไปแล้วครับ..





       

                         “ไอเหี้ย!! เล่นเยอะไปแล้วมึง” เมื่อพวกเราทั้งหมดทิ้งระยะจากที่รุ่นน้องอยู่มาได้ซักพัก ผมก็หันกลับไปตบเข้าที่ผมยุ่งๆสีน้ำตาลนั้นหนึ่งที

                         “อะไรเล่า ก็กูอยากให้น้องเชื่อไง” คนถูกตบยกมือขึ้นลูบหัวป่อยๆ ก่อนจะยิ้มเหยๆออกมาให้

                         “แล้วเรื่องอะไรมึงมาต่อยกูจริงๆวะ!!” ผมง้างมือจะตบอีกที แต่ก็ถูกมือของเจ้าตัวจับเอาไว้

                         “มึงก็ต่อยกูจริงๆเหมือนกันแหละ!” ผมจ้องมองไปที่มุมปาก เลือดสีสดไหลซึมลงมาเล็กน้อย.. เออ.. กูแค่แม่นไปหน่อย ผมสะบัดมือออกจากการเกาะกุมนั้นแล้วปัดเสื้อที่หลุดลุ่ยเบาๆ

                     



       

                         “นี้พวกมึงแค่เล่นละครให้น้องดูถึงกับต้องลงมือกันจริงๆเลยหรอวะ?” ยองแจที่ยืนเงียบอยู่นานกอดอกมอง จิ๊ปากเบาๆ ส่ายหน้ามองสภาพผมทั้งสองคน

                         “อย่างกับลูกหมา” เสียงเสริมจากจุนฮงที่ยืนเกาะไหล่ยองแจอยู่เอ่ยขึ้น ทำให้ผมที่กำลังจัดเสื้อเข้ากางเกงเงยหน้ามอง

                         “อย่าอยู่เลยมึงงงงงงง!!!” ผมไล่เตะเจ้าเพื่อนสูงโยงที่ออกวิ่งทันทีที่ผมตั้งท่า โดยมีแดฮยอนช่วยดักหน้าดักหลังไล่จับอยู่

                         “เฮ้ย เมียมึงมา!” ไอเพื่อนตัวสูงชี้ไปด้านหลังผมทำให้ต้องหยุดชะงัก ก่อนจะหันไปตามมือที่ชี้ก็เจอเข้ากับ “ฮิมชาน” ในสภาพที่เหมือนคนพึ่งลุกจากที่นอน ผมไม่เป็นทรงเสื้อยืดคอวีสีซีด กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะเดินดุ่มๆตรงมาที่ผม ... ใครใช้ให้เข้ามาในสภาพนี้วะ

                         “เมียห่าอะไรล่ะ!” ผมฟาดเข้าที่กลางหลังเพื่อนตัวสูงก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาฮิมชานที่เดินมาทางผม


       

                                      ยังไม่ใช่ เมียหรอกเว้ย.. สำหรับตอนนี้น่ะนะ


       

                         “มาทำไร” ผมถามไป แต่ดูท่าทางและสภาพที่ตะวันส่องตรงกลางหัวแบบนี้คงไม่พ้น..

                         “กูหิวแล้ว” ครับ... เรื่องกิน..

       

      เรื่องกิน.. เรื่องนอน.. ถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ สำหรับ.. ฮิมชาน

       

                         “แล้วนี้.. ไปฟัดกับหมาที่ไหนมา.. สภาพ...” ฮิมชานมองผมตั้งแต่ตัวจรดเท้า ก่อนจะไล่กลับขึ้นมามองหน้า

                         “หมา.. แถวเนี๊ยะ” ผมตอบกลับไป ก่อนจะเหลือบไปทางแดฮยอนที่ล็อคคอจุนฮงเอาไว้.. ยัง.. ยังไม่รู้ตัว

                         “อ้ออออออออออ... ไปเหอะ กูหิวและ... ไปก่อนนะ” ฮิมชานบอกผมแล้วคว้าเอาข้อมือผมไว้ ก่อนจะบอกลาเพื่อนของผมให้เสร็จสรรพ ไอเจ้าพวกที่เหลือก็ทำได้เพียงยิ้มส่งและโบกมือให้เท่านั้น

       








       

                         เพราะผมย้ายของเข้าหอไม่ทันกำหนด มันจึงเต็ม.. และผมก็ไม่มีที่ไปอื่น สุดท้ายผมก็ต้องใช้หอของยงกุกเป็นที่พักชั่วคราว.. ที่นี่เป็นหอวิศวะ บ่อยครั้งที่ผมจะได้ยินเสียงโหวกเหวก บ้างก็จากหน้าห้อง บันได หรือจากตึกคณะที่อยู่ใกล้กันนิดเดียว.. มาครั้งแรกผมก็ตกใจนิดหน่อย แต่พอนานๆไปผมก็ชักจะชินกับไอเสียงพรรนั้นแล้วล่ะ

                         ผมสะบัดผ้าที่กำลังจะตาก มองลอดออกไปยังกรงตาข่ายที่อยู่ติดระเบียง เสียงโหวกเหวกผสมเสียงกลองกิจกรรมยังคงดังอยู่แม้ว่าจะเป็นวันเสาร์ กลางสนามมีกลุ่มเด็กวิศวะใส่ชุดสีเลือดนกกระจายอยู่เต็มสนาม



       

                                            จ๊อกก...

                         เสียงน้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงาน และทำการย่อยผนังกระเพาะ.. ผมมองนาฬิกา มันตีบอกเวลา 11 โมงเกือบเที่ยง.. ผมสะบัดผ้าผืนสุดท้ายพาดไว้กับราว ก่อนจะปิดห้องล็อคกุญแจแล้วเดินลงไปข้างล่างตามที่ยงกุกบอก... 


       

                         “เอ้อ วันนี้กูอยู่ที่คณะทั้งวันนะ ถ้าจะกินข้าวก็ไปหากูที่คณะแล้วกัน”

       

                         “ทำไมต้องให้ลงไปหาด้วยวะ หิวจะตายแล้วเว้ย..” ผมบ่นอุบอิบตลอดทางที่เดิน แดดก็ร้อน คนก็เยอะ เสียงก็ดัง นี้ผมอยู่โลกไหนกัน ... ผมเดินไปทางกลุ่มคนใต้ตึกรวมของคณะ ตอนนี้สภาวะตรงนั้นดูเคร่งเครียดทีเดียว ผมกวาดตามองก็พบว่านั้นเป็นเพื่อนในเอกเดียวกับยงกุก จึงตัดสินใจเดินเข้าไปถาม และได้ความกลับมาว่าหมอนั่นอยู่หลังตึก ผมเดินไปตามทางที่เพื่อนคนนั้นบอกก็พบกับคนจำนวนหนึ่ง ที่วิ่งไล่กันวุ่นอยู่ตรงนั้น

                         เฮ้ย เมียมึงมา!” เพื่อนตัวสูงที่ยงกุกกำลังวิ่งไล่ชี้มาทางผม...

       

                                      เมียพร่อง.. คนยิ่งหิวๆอยู่
       

                         ผมทำได้แต่คิดในใจเท่านั้น ก่อนจะเดินลากเท้าไปหายงกุกที่โวยวายใส่เจ้านั่นก่อนจะวิ่งมาหาผม ผมมองยงกุกตั้งแต่หัวจรดเท้า ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิง ปกเสื้อไม่เป็นระเบียบ ไทด์หลุดลุ่ย เสื้อที่ออกนอกกางเกง...

                         “มาทำไร” ยงกุกยิงคำถามใส่ผม... เห็นหน้ากูแบบนี้มาสร้างตึกให้ใหม่มั้ง?

                         “กูหิวแล้ว” ผมตอบกลับไป

                         “แล้วนี้.. ไปฟัดกับหมาที่ไหนมา.. สภาพ...” และถามถึงสภาพนั้นอีกครั้งให้แน่ใจ

                         “หมา.. แถวเนี๊ยะ” ยงกุกเหลือบมองไปทางเพื่อนสองคนที่นัวเนียอยู่ด้านข้าง อ่อ.. เข้าใจ

                         “อ้ออออออออออ... ไปเหอะ กูหิวและ... ไปก่อนนะ” ผมบอกลาเพื่อนบ้าบอของยงกุก แล้วลากเจ้าตัวออกมา ยงกุกเดินตามผมมาอย่างเงียบๆ

                         “กินไรอ่ะ” ในที่สุดเจ้าตัวก็เอ่ยถามออกมา

                         “อะไรก็ได้ แต่ขอใกล้ที่สุด” ผมตอบกลับไป ยงกุกเขยิบมาเดินข้างผมแล้วเปลี่ยนเป็นลากผมเดินแทน สุดท้ายก็มาจบที่...


       

                                            โรงอาหารคณะ
       

                         “กินไร” ยงกุกถามผมอีกครั้ง ตอนนี้เราสองคนมายืนอยู่กลางโรงอาหาร ถึงคนจะไม่มากแต่ก็รุมกันเต็มทุกร้านแหละนะ...

                         “ข้าว” ผมตอบสั้นๆ ก่อนจะก้าวตรงไปยังร้านข้าวที่อยู่ใกล้ที่สุด แต่ก็ถูกมือเรียวยาวรั้งเอาไว้ซะก่อน

                         “ไปนั่งรอป่ะ เดี๋ยวกูซื้อให้” ยงกุกดึงผมกลับไปเพยิดหน้าไปทางโต๊ะว่างริมโรงอาหาร ผมพยักหน้ารับ แล้วเดินไปนั่งรออย่างว่าง่าย เออดี.. จะได้ไม่ต้องต่อแถวซื้อ


       

                         ระหว่างรอผมยกโทรศัพท์คู่ใจของผมขึ้นมาต่อกับวายฟายของโรงอาหารแล้วเปิดทวิต เช็คความเป็นไปของโลกนอกรั้วมหาวิทยาลัย ผมไล่ดูไปเรื่อยๆจนสุดท้ายก็หมดหน้าทวิตที่สามารถโหลดได้ ผมเหลือบมองไปทางร้านข้าวที่ยงกุกไปซื้อก็ยังเห็นว่าเจ้าตัวยังคงต่อแถวอยู่ตรงนั้น ผมยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ ถึงจะหิวก็เถอะ.. ผมเปลี่ยนมาเข้าไปในกล่องเมนชั่นแล้วตอบคนที่ส่งเข้ามาทักทายผม จนสุดท้ายก็หมดทุกข้อความ ผมเหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าเกือบ 15 นาทีแล้วที่ยงกุกไปซื้อข้าว ผมหันมองไปทางร้านข้าวอีกครั้งก็ไม่เห็นคนที่ผมมองหาอยู่แถวนั้น ผมลุกขึ้นยืนแล้วชะเง้อจนทั่วจนในที่สุดผมก็หาเขาเจอ.. ยงกุกยืนถือข้าวสองจานอยู่กลางโรงอาหาร แต่เขาไมได้กำลังเดิน เขาหยุดอยู่กับที่ จ้องมองไปยังคนตรงหน้าที่น่าจะเป็นรุ่นน้อง เด็กคนนั้นพูดอะไรซักอย่าง ผมเฝ้ามองท่าทางตรงนั้นก่อนที่จะก้าวออกจากโต๊ะเพื่อไปรับข้าวจากยงกุกเอง แต่ก็ต้องหยุดลง เมื่อมือเรียวของเด็กคนนั้นยกขึ้นจรดไทด์สีพื้นของยงกุก แล้วเริ่มผูกมัน....

                         ผมก้าวถอยหลังจนชนเข้ากับโต๊ะไม้ข้างหลัง จู่ๆผมก็รู้สึกจุกและชาไปทั้งตัว.. เพราะผมหิวงั้นหรอ? หรือเพราะอะไรนะ??

       

       

       

       

       

       

       

                         ผมเฝ้ามองฮิมชานที่จับข้อมือผมเอาไว้แน่น แล้วออกแรงลาก.. สงสัยจะหิวมากจริงๆ ผมเดินตามไปเงียบๆโดยไม่พูดอะไร เฝ้ามองแผ่นหลังบางที่อยู่ใต้เนื้อผ้าบางเบา... จะว่าไปใครใช้ให้แต่งตัวแบบนี้ออกมาเดินร่อนไปร่อนมาในดงเสือดงตะเข้อย่างคณะผมนะ.. ไว้กลับหอไปค่อยตะล่อมบอกให้เลิกใส่แบบนี้แล้วกัน

          “กินไรอ่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่องที่คิดอยู่แล้วเอ่ยปากถามคนที่ลากผมอยู่ .. เจ้าตัวออกเดินอย่างไร้จุดหมายขนาดนี้

                         “อะไรก็ได้ แต่ขอใกล้ที่สุด” นั้นไงครับ.. ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไร แต่ขอใกล้ที่สุด โอเค ยงกุกจัดให้...

       

                                            ใกล้ที่สุดตอนนี้ก็คงเป็น... “โรงอาหารคณะ”
       

                         ผมเป็นฝ่ายจูงฮิมชานมาที่นี้ พอพ้นจากทางเชื่อมเข้าสู่โรงอาหารของคณะก็ทำให้ผมอยากจะหันหลังกลับทันที.. ผมเหลือบมองคนข้างๆ... ดูท่าจะไม่ดีแน่ถ้าทำแบบนั้น...  ผมพาฮิมชานมาอยู่กลางโรงอาหาร เป็นจุดที่ดูเหมือนคนจะน้อยที่สุด ตอนนี้รอบตัวผมเต็มไปด้วยคนจากคณะของผม แล้วส่วนมากนะครับ.. ผู้ชาย.. ผมมองรอบๆ ตอนนี้ถึงคนจะไม่มากแต่ทุกร้านก็เต็มไปด้วยคน..

                         “กินไร” ผมเอ่ยถามคนที่ยืนมองรอบๆอยู่ข้างผมเพื่อเป็นการดูเชิง

                         “ข้าว” แล้วนั้นก็เป็นคำตอบที่ส่งกลับมา... โคตรระบุเลยครับ.. หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วิเมื่อเจ้าตัวตอบจบก็ก้าวออกจากผมไปทางร้านข้าวทันที... เฮ้ย ไม่ได้นะ! คนเป็นฝูง .. เอ้ย กลุ่ม ขนาดนั้น ผมเอื้อมมือไปรั้งแขนขาวๆเอาไว้ ขืนปล่อยให้ไปลุยซื้อข้าวกับพวกคนในคณะผมแบบนั้น กับสภาพเสื้อยืดบางๆกางเกงสั้นๆแบบนี้.. เปลืองตัวนะครับฮิมชาน..

                         “ไปนั่งรอป่ะ เดี๋ยวกูซื้อให้” ผมดึงฮิมชานกลับมาแล้วเผยิดหน้าทางโต๊ะไม้ที่อยู่ริมสุดของโรงอาหาร ตรงนั้นดูไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านมากนัก เจ้าตัวพยักหน้ารับก่อนจะเดินเลี่ยงผู้คนออกไป ผมมองตามแผ่นหลังบางจนถึงที่หมาย แล้วหายใจเข้าสุดปอด พร้อมลุยกับกลุ่มคนที่รอซื้อข้าวอย่างกับแจกฟรี...

                         “ทำไมคนแม่งเยอะจังวะ..” ผมสบถออกมาเบาๆทันทีที่ไปถึงหน้าร้าน ผมมองรอบๆแล้วหาแถวเพื่อต่อตามคิว ผมกอดอกมองแถวที่ค่อยๆขยับทีล่ะนิดสลับกับฮิมชานที่นั่งอยู่อีกฟากของโรงอาหาร ตอนนี้เจ้าตัวกำลังจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์ในมือ.. โอเคครับ อย่างน้อยก็ยื้อความหิวของกระเพาะเจ้าตัวและยงกุกที่อาจจะโดนเหวี่ยงฟาดงวงฟาดงาจนหัวเบะเพราะซื้อข้าวช้าคนนนี้ไปได้บ้าง..

       

                         สุดท้ายก็มาถึงคิวของผม ผมสั่งกับแม่ค้าในแบบเดียวกันสองจาน จัดการจ่ายเงินและรับจานออกมา ผมตรงไปยังฮิมชานที่นั่งรออยู่ตรงโต๊ะไม้ แต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อมีอะไรบางอย่างมาขวางผมเอาไว้

                         “พี่ครับ!” เป็นผู้ชายร่างเล็กกว่าผมเล็กน้อย ที่คอห้อยป้ายรูปเกียร์เขียนว่า “จงออบ” ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยมองแล้วก็หวนนึกขึ้นได้ว่านี้คือรุ่นน้องคนที่พยายามจะดึงแดฮยอนลงตอนที่เริ่มเล่นละคร

                         “..........” ผมไม่ตอบอะไรกลับไปนอกจากมองและรอให้เด็กคนนั้นพูดออกมาเอง

                         “พี่ทำอะไรกับแดฮยอนครับ!” สุดท้ายเด็กคนนั้นก็พูดออกมา ผมจ้องมองกลับไป แววตาหรี่เล็กคลอไปด้วยน้ำใสๆ

                         “แค่ตักเตือนครับ” ผมตอบกลับไป ก่อนจะก้าวไปด้านข้างเพื่อเลี่ยงตัวออก แต่ก็ถูกดักเอาไว้

                         “พี่ทำอะไรกับเขา ตอนนี้เค้าอยู่ไหน ให้ผมไปหาเขาได้ไหมครับ” เด็กคนนั้นเกาะเข้าที่แขนของผม แววตาหรี่เล็กที่คลอไปด้วยน้ำใสจ้องมาที่ผมอย่างไม่เกรงกลัว ไอแดฮยอน... บอกให้ไปแฝงตัวกับน้อง นี้มึงไปป้อน้องรึไงวะ! ผมสบถในใจก่อนจะตีหน้านิ่งตอบกลับไปเหมือนเดิม

                         “ไม่ได้ครับ” ผมตอบไปเพียงเท่านั้นก่อนจะก้าวไปอีกทางเพื่อเลี่ยงตัวออก แต่แขนเล็กก็กางกั้นผมเอาไว้

                         “พี่ครับ แดฮยอนเค้าไม่ได้ตั้งใจพูดแบบนั้นหรอกนะครับ อย่าทำอะไรเขาเลยนะครับ” มือเล็กเกาะเข้าที่แขนผมแล้วเขย่าเบาๆ น้ำใสที่คลออยู่เริ่มรินออกมา..



       

                                      ชิบ.. อย่าร้องสิครับน้อง น้ำตานั้นไม่น่าไปเสียให้มันเล๊ยยย...

       

            ผมลอบถอนหายใจออมาเบาๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

                         “พี่จะให้ผมทำอะไรผมทำให้พี่ได้หมดเลยนะครับ แต่ขอร้องเถอะครับ อย่าทำอะไรแดฮยอนเลยนะครับ” มือเล็กที่เกาะแขนผมอยู่ตอนแรกเปลี่ยนมาจัดเสื้อที่ยับเยินของผมแล้วลามมาที่ไทด์ ผมสะดุ้งแล้วถอยหลังไปเล็กน้อยกับท่าทางตรงนั้น

                         “ไม่เป็นไรครับน้อง” ผมปฏิเสธและพยายามเลื่อนตัวออก แต่ก็ไม่พ้น เด็กคนนั้นเริ่มที่จะผูกไทด์หลุดลุ่ยของผมให้เข้าที่ทั้งน้ำตา ผมอยากจะเอามือน้องออก แต่ติดที่ว่ามือทั้งสองข้างของผมถือจานข้าวอยู่.. จะวางลงบนพื้นก่อนหรอ.. ไม่ใช่ที่นะยงกุก

                         “นะครับพี่ ปล่อยแดฮยอนมาเถอะ ผมยอมรับใช้พี่ตลอดเทอมเลยก็ได้ พี่จะให้ผมทำอะไรผมทำให้หมดเลยนะครับ”

                         “ไม่เป็นไรจริงๆครับน้อง ปล่อยเถอะ” ผมพยายามที่ดึงตัวออก แต่ก็ทำได้แค่ถอยหลังออกไป เด็กคนนั้นก็ยังคงดื้อดึงอยู่แบบนั้นสุดท้ายไทด์ที่หลุดลุ่ยของผมก็กลับสู่สภาพเดิม

                         “นะครับพี่ยงกุก ปล่อยแดฮยอนเถอะครับ อย่าไปถือโทษเขาเลย เอาผมไปแทนเขาก็ได้” มือเล็กถูไปมาตรงหน้าผม ดวงตาหรี่เล็กเต็มไปด้วยคำขอวิงวอน

                         “เรื่องนี้มีพี่หลายคนจัดการ ไว้พี่จะไปคุยให้แล้วกันนะครับ” ในที่สุดผมก็หยิบยกเรื่องหมู่มากขึ้นมาอ้าง อย่างน้อยก็ทำให้ผ่านสถานการณ์ตรงนี้ไปได้ล่ะนะ ... จะให้ผมบอกน้องไปว่านั้นเป็นเรื่องแกล้งเล่นคร๊าบ ละครล้วนๆเลยแบบนี้มันก็ยังไม่ถึงเวลา.. นี้ล่ะครับดีที่สุด..

                         “จริงหรอครับ ขอบคุณนะครับพี่ ขอบคุณจริงๆ” เด็กคนนั้นโค้งตัวลงจนหัวแทบชิดเข่า คำกล่าวขอบคุณนับล้านออกมาจากปากบาง ก่อนที่ผมจะพยักหน้ารับ แล้วเดินเลี่ยงออกมาเอง..

                      ไอแดฮยอน.. ก่อเรื่องแล้วไหม.. ให้ไปอยู่กับน้อง ทำความสนิทกับน้อง.. แต่น้องเล่นมาวิงวอนขนาดนี้ไปสาดเสน่ห์ใส่น้องสินะ... ผมสบถในใจแล้วเดินกลับไปยังโต๊ะไม้ที่อยู่ริมสุด แต่ก็ไม่พบใครอยู่ตรงนั้นแล้ว...

       

       

       




       

                         ผมจ้องมือเล็กของเด็กคนนั้นที่กำลังจับไทด์ของยงกุกอยู่และเริ่มผูกมัน ยงกุกไม่มีการกล่าวปฏิเสธ..  สงสัยจะมีคนใหม่คอยผูกให้แล้วสินะ.. ดี.. ผมจะได้ไม่ต้องคอยมาตามผูกให้ทุกวันหรือแม้แต่ในวันเสาร์ที่ผมควรจะได้นอนยาวๆแล้วใช้ชีวิตแบบสุขสงบ ไม่ต้องดั้นด้นลากกระเพาะหิวๆมาหาที่คณะ ดี!!!

                         ผมไม่รอให้เด็กคนนั้นผูกจนเสร็จ ก็หมุนตัวออกจากตรงนั้นทันที เดินออกไปจากโรงอาหาร ผ่านตึก ผ่านกลุ่มคนที่กำลังทำกิจกรรม ไปที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ตรงนี้... ใช่.. ผมจะไปจากตรงนี้.. ไปจากที่นี่!

                         ผมล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์สีขาวปอดออกมา กดเบอร์ที่คุ้นเคยดีแล้วโทรออก

                         [อื้มว่าไง] ปลายสายตอบรับผมกลับมา

                         “ซูโฮนี้ฉันนะ ฮิมชาน นายทำอะไรอยู่”

                         [อ้อ พักกินข้าวน่ะ เดี๋ยวขึ้นไปทำแลปต่อและ] ปลายสายตอบกลับมาด้วยเสียงอู้อี้เหมือนกำลังเคี้ยวข้าวอยู่

                         “อ้อ.. หอที่คณะนายมีว่างบ้างไหม” ผมเอ่ยประเด็นหลักที่ผมต้องการทันที ปลายสายเงียบไปพักนึงก่อนจะตอบกลับ

                         [เต็มแล้วนะ นายก็รู้นี้ว่าน้องปีหนึ่งปีนี้เยอะกว่าทุกปีน่ะ]

                         “หรอ..” ผมตอบเสียงอ่อย.. สงสัยผมต้องออกไปซื้อเต้นท์สนามแล้วกางนอนหน้าตึกคณะแล้วมั้ง?

                         [เอ้ย! แต่เมทฉันพึ่งย้ายออกไป นายจะมาอยู่กับฉันไหมล่ะ] ซูโฮเสนอความเห็นให้ผม ทำให้ความคิดว่าจะไปซื้อเต้นท์ร้านไหนของผมดูดกลับหายไป

                         “จริงหรอ ไปสิ!” ผมตอบกลับไปอย่างลิงโลด

                         [แล้วจะมาเมื่อไหร่ล่ะ]

                         “ไม่เกินเย็นนี้.. แค่นี้นะ” ผมตอบกลับแล้วกดวาง ผมจะไม่ต้องมาทนอยู่กับที่ที่โหวกเหวกโวยวายตลอดทั้งวันแบบนี้แล้ว ไม่ต้องมาทนเดินไกลเพื่อหาที่กินข้าว ไม่ต้องทนกับสายตาแปลกๆของคนคณะนี้ที่ชอบมองผม ไม่ต้องมาคอยทนอยู่กับเจ้าบ้ายงกุก ไม่ต้อง..

                         ผมชะงักเท้าลงก่อนจะขมวดคิ้วแน่น.. จู่ๆผมก็รู้สึกว่าโลกมันกำลังหมุน ตัวเบาหวิว ผมพยายามหายใจเข้าลึกๆและตั้งสติ มือควานหาที่ยึดแต่ก็ดูเหมือนว่าผมจะคว้าได้แต่อากาศ.. และไม่เพียงอึดใจความมืดมิดก็เข้ามาแทนที่...

       




       

                         ผมวางจานข้าวลงก่อนจะมองไปรอบๆเผื่อหวังว่าเจ้าตัวอาจจะอยู่แถวนี้ แต่ก็ไม่มีแม้แต่เงา มองไปทางไหนก็เจอแต่ไอพวกหน้าเดิมๆที่อยู่ในคณะผม .. ผมชะเง้อมองข้ามโรงอาหารไปอีกฝั่งก็ไม่เห็น.. วันนี้คณะผมใส่เสื้อสีเลือดนกกับชุดนักศึกษา ผู้ชายผิวขาวๆกับเสื้อยืดสีซีดลากแตะไม่น่าจะหายากขนาดนั้นนิหน่า..

                         ผมนั่งลงบนเก้าอี้ มองข้ามกลุ่มคนไปทางร้านน้ำก็ไม่มีวี่แวว มองตัดกลับมาที่ร้านขนมหวานที่อยู่ตรงข้ามกันก็ไม่มีพบใครที่พอจะเข้าเค้าว่าเป็นฮิมชาน สงสัยคงเข้าห้องน้ำมั้ง.. ผมก้มลงมองนาฬิกาตีบอกเวลาเกือบบ่าย รออีกนิดก็แล้วกัน...

                         “เฮ้ย ไอยงกุกๆๆๆๆ” เสียงโหวกเหวกดังขึ้นที่หน้าโรงอาหาร ผมมองไปตามต้นเสียงก็เจอกับยองแจที่วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา เหงื่อกาฬใหญ่ไล้ลงมาตามใบหน้า

                         “ยงกุก... มึง.. ยงกุก” มือของยองแจวางเท้ากับโต๊ะไม้ที่ผมนั่ง เจ้าตัวพยายามที่จะพูด แต่ก็มีแค่ชื่อผมสลับกับเสียงหอบหายใจเท่านั้น

                         “อะไรมึง..ใจเย็น” ผมมองคนตรงหน้าที่พยายามกอบอากาศเข้าปอด มันกลืนน้ำลายลงคอหนึ่งทีแล้วเริ่มเรียบเรียงคำพูด

                         “เมื่อกี๊ตอนที่กูเดินผ่านทางเชื่อมโยธากับไฟฟ้า กูเจอคนมุงอยู่เต็มเลยว่ะ” ยองแจพูดและทำมือประกอบสลับกับอาการหอบเหนื่อยเป็นระยะ

                         “ทำไม ใครชกกันอีกรึไง?” ผมเลิกคิ้วมอง มันเป็นปกติอยู่แล้วถ้าจะมีการมุงแล้วเกิดเป็นเวทีมวยเล็กๆ ยองแจที่หายจากอาการหอบโบกมือไปมาพร้อมๆกับส่ายหน้า ก่อนจะค่อยๆตอบออกมา

                         “ฮิมชานเป็นลม”

                         “อะไรนะ!!!!” ผมลุกพรวดและหลุดอุทานออกไปทันที เสียงทุ้มเบสของผมดังก้องไปทั่วโรงอาหารทำให้คนที่อยู่บริเวณนั้นหันมามองเป็นตาเดียว

                         “ตามนั้น” ยองแจพยักหน้ารับเร็วๆ ผมไม่รอให้อีกคนหายเหนื่อยดีหรือพูดอะไรต่อ ขายาวๆผมก้าวออกจากโรงอาหารทันที  ผมก้าวไปข้างหน้าจนกลายเป็นการวิ่ง... โดยไม่สนใจคนที่วิ่งตามอยู่ข้างหลัง ผ่านผู้คนที่เดินแยกย้ายกันกลับหอหลังจากเสร็จกิจกรรม ผมวิ่งลัดตึกจนมาถึงทางเชื่อมในที่สุด ผมมองไปยังทางเชื่อม ตรงนั้นเต็มไปด้วยผู้คน ถึงจะไม่มากแต่ก็มุงกันอยู่จนแทบมิด

                         “ขอทางหน่อยครับ ขอทางหน่อย” ผมตะโกนลั่นและพยายามแหวกกลุ่มคนเข้าไป ก็เป็นจริงดังที่ยองแจบอก ผู้ชายตัวขาวที่นอนอยู่ตรงนั้นเป็นฮิมชาน ที่นั่งยองๆอยู่ข้างกันเป็นเซโล่ เพื่อนเอกเดียวกับผมที่พยายามปัดป้องไม่ให้คนมุงกันจนแน่นเกินไป ผมรีบเข้าไปช้อนร่างนั้นขึ้นมาไว้แนบอก ก่อนจะเดินแหวกกลุ่มคนออกมา

                         “มึงมาเจอนานรึยัง” ผมถามเซโล่ที่เดินตามอยู่ข้างๆ คอยพัดให้มีลมระบายไปบนผิวหน้าซีดเซียวของคนในอ้อมกอดผม

                         “แปปเดียวแหละ”

                         “แล้วทำไมไม่มีใครช่วย ทำไมถึงปล่อยให้นอนอยู่แบบนั้น” ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

                         “ก็เค้าไม่รู้ว่าเป็นคนคณะไหน.. อีกอย่างคนมันก็ตกใจด้วยนั้นแหละ” ยองแจที่เดินตามมาผมมาทีหลังเอ่ยตอบแทนเซโล่ ผมไม่ตอบอะไรกลับไปนอกจากพยักหน้ารับแล้วก้าวให้เร็วขึ้น

                         “กูฝากเรื่องน้องด้วยแล้วกัน” ผมกล่าวสั่งกับทั้งสองก่อนจะข้ามถนนกลับไปยังหอพัก

                         ผมเฝ้ามองคนในอ้อมกอดไปตลอดทางที่เดิน ใบหน้าขาวๆที่มักจะมีสีเลือดฝาดตอนนี้กลับขาวสีจนแทบเป็นกระดาษ มือเย็นเฉียบวางพาดอยู่ที่ต้นคอของผม เมื่อมาถึงทางขึ้นหอผมก้าวข้ามขั้นบันไดตรงไปยังห้องพักที่อยู่ชั้นสาม ผมวางฮิมชานลงให้ยืนพิงอยู่กับตัวเอง ก่อนจะไขประตูห้องเข้าไปด้านใน อุ้มคนที่ไม่ได้สติอีกครั้งไปวางลงบนเตียงนุ่ม

                         “คนเป็นลม.. เค้าทำกันยังไงวะ..” ผมสบถออกมาเบาๆแล้วมองคนที่นอนไม่ได้สติอยู่ตรงนั้น ผมยกมือขึ้นยีหัวตัวเองอย่างคนเสียสติ ให้ตายเถอะ ตอนมัธยมก็เรียนวิธีปฐมพยาบาลทำไมไม่จำว่ะ.. ผมเคาะหัวตัวเองไปสองสามทีก่อนความคิดนึงจะแล่นเข้ามาในหัว... จริงสิ ฮิมชานมีหนังสือปฐมพยาบาลนิหน่า น่าจะช่วยได้...

                         เมื่อคิดได้ดังนั้นผมจึงตรงไปยังกองหนังสือที่กองสุมอยู่บนโต๊ะผม.. อ่าใช่ครับ.. โต๊ะผม.. เพราะหนังสือฮิมชานเยอะจนล้น เค้าจึงขนมันมาไว้ที่โต๊ะผมแทน.. ผมรื้อๆหนังสือที่กองสูง.. นี้มันอังกฤษ ไม่ใช่.. นี้อนาโตมี.. ไม่ใช่.. สุดท้ายผมก็เจอหนังสือเล่มหนาขนาดหมอนรองคอ หน้าปกพิมพ์ตัวใหญ่ว่าการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ผมเปิดไปที่สารบัญแล้วไล่หาทันที... เมื่ออ่านจบผมก็ปิดมันลงแล้วกลับมาหาคนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ผมหยิบหมอนอิงมาหนุนขาเรียวๆให้สูงขึ้นเล็กน้อย เสียงลมหายใจแผ่วๆยังคงดังออกมาจากเจ้าตัว ผมเอื้อมมือไปจับกับมือขาวนั้นก็พบว่ามันยังเย็นเฉียบอยู่

                         ผมวิ่งกลับเข้าห้องน้ำ รินน้ำใส่ในกะละมัง คว้าเอาผ้าขนหนูผืนเล็กมาพาดบ่า ก่อนจะวางลง ผมนั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง จุ่มผ้าลงในกะละมัง บิดน้ำออกให้ผ้าหมาดๆแล้วเช็ดไปตามตัวของฮิมชาน

                         “ฟื้นสิฮิมชาน..” ผมพึมพำออกมาเบาๆ ผ้าขนหนูผืนเล็กซับลงบนใบหน้าเรียวที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อ

                         “อื้อ...” มีเสียงฮึมฮัมออกมาจากคอ ทำให้ผมหยุดชะงักแล้วออกปากเรียกอีกครับ

                         “ฮิมชาน” ผมตบเบาๆที่แก้มใสเพื่อเรียกสติอีกคน คิ้วมนขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนที่จะคลายออกแล้วนิ่งไป..

                         “ใกล้ฟื้นแล้วมั้ง?” ผมเช็ดตัวให้กับฮิมชานอย่างเบามืออีกครั้ง ก่อนจะทิ้งผ้าลงพาดกับกะละมัง ยันตัวลุกขึ้นรื้อตู้เก็บอาหารแห้งก็เจอเข้ากับน้ำหวานสีสดที่ผมซื้อติดตู้เอาไว้เวลาที่เหนื่อยจัดๆแล้วต้องกินมัน ผมรินน้ำหวานสีสวยลงในแก้วสูง ก่อนจะเทน้ำที่อยู่ในอุณหภูมิกำลังพอเหมาะลงไป คนจนเข้ากัน.. น่าจะใช้ได้ล่ะ

                         “อื้อ...” เสียงฮึมฮัมดังมาจากเตียง พอดีกับที่ผมหันไปเห็นฮิมชานที่กำลังยกมือขึ้นปัดป่ายไปมาแล้วพยายามจะยันตัวขึ้น ผมวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะที่ใกล้ที่สุดก่อนจะตรงเข้าไปพยุงร่างนั้นไว้

                         “อย่าพึ่งลุกสิ” ผมออกคำสั่งฮิมชานที่กึ่งยังดูมึนๆอยู่ ก่อนจะพยายามผลักให้เจ้ากลับลงไปนอน แต่ก็ดูเหมือนว่าฝืนเอาไว้

                         “อื้อออ..” มือของเจ้าตัวเริ่มปัดป่ายไปมา และพยายามที่จะดันผมออก ผมจึงทำได้แค่ล็อคเอาไว้และพยายามกดให้ลงนอน

                         “นอนลงไป” ผมออกคำสั่งนิ่งๆ ทำให้เจ้าตัวที่พยายามจะปัดผมออกตอนแรกชะงักลง ก่อนที่ตาสวยจะเงยขึ้นสบกับผม

                         “ไม่ต้องมายุ่ง!” ฮิมชานตวาดใส่ผมเสียงดัง ผมชะงักไปชั่วขณะหนึ่งทำให้เจ้าตัวได้จังหวะแกะมือผมออก ร่างที่ดูเหมือนจะเดินแทบไม่ไหวเพราะพึ่งฟื้น พยายามที่จะยันตัวขึ้น แล้วออกเดินไปยังตู้เสื้อผ้า ผมหันกลับไปคว้าแขนฮิมชานเอาไว้ แต่เจ้าตัวก็จะสะบัดออกท่าเดียว

                         “เป็นอะไร!” สุดท้ายความอดทนผมก็ขาดผึ่งเพราะความงี่เง่าของคนตรงหน้า เผลอขึ้นเสียงออกไปอย่างเคยชิน ทำให้ฮิมชานถึงกับหยุดการกระทำทั้งหมด

                         “ไปนอนพักก่อนป่ะ.. มึงพึ่งฟื้นนิ” ผมเลื่อนจากการจับแขนเปลี่ยนไปจับที่ข้อมือเล็กและออกแรงลากกลับไปเบาๆ แต่เจ้าตัวก็ขืนเอาไว้

                         “ปล่อยกู” ใบหน้าเรียวจ้องมองไปที่พื้น แต่คำพูดนั้นมันส่งมาถึงผมโดยตรง

                         “กูบอกให้มึงไปพักก่อนก็คือพักก่อน” ผมพยายามออกแรงดึงอีกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล เจ้าตัวกลับบิดมือผมออก แล้วเดินเซกลับไปที่เตียงด้วยตัวเอง ผมมองตาม และลอบถอนหายใจเพื่อคลายความกังวลออกมาเบาๆ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างน่าจะสงบลงแล้ว ผมจึงเดินไปหยิบน้ำหวานที่ชงเอาไว้หวังจะมาให้อีกคน แต่เมื่อหันมาก็เจอเข้ากับฮิมชานที่กำลังดึงผ้าปูที่นอนในส่วนของตัวเองออก

                         “มึงจะทำอะไรน่ะ” ผมวางแก้วลงแล้ววิ่งเข้าไปรั้งมือเล็กเอาไว้ ฮิมชานหันขึ้นมามองผม ก่อนจะสลัดมือออก จัดการหยิบหมอนผ้าห่มของตัวเองใส่ลงในผ้าปูและห่อมัน

                         “กูถามว่ามึงจะทำอะไร!” ผมรั้งผ้าปูที่กำลังจะถูกผูกเอาไว้แล้วจ้องไปที่หน้าหวานนิ่ง

                         “กูจะย้ายออกไปนอนหอเพื่อน” เหมือนกับว่าฟ้าผ่าลงมากลางตัวผม.. จริงๆมันก็เป็นสิทธิ์ของฮิมชานที่จะย้ายออกไปจากห้องของผมเมื่อเขาต้องการ แต่ในรูปการแบบนี้ ตอนนี้ ผมว่า.. มันไม่ปกติแล้วล่ะ

                         “ทำไม” ผมถามกลับ และพยายามจ้องไปที่ดวงตาของอีกฝ่าย แต่ฮิมชานก็หลบมัน

                         “หอเพื่อนมันว่างพอดี แล้วก็ใกล้คณะกูมากกว่า” ฮิมชานตอบกลับมา ผมปล่อยมือออกจากการเกาะกุม ฮิมชานกลับไปจัดผ้าปูแล้วผูกให้มันเป็นปมหลวมๆ ร่างเล็กเดินผ่านผมไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเอาเสื้อผ้าในส่วนของเจ้าตัวออกมากองที่เตียง ผมได้แต่มองตามเงียบๆ.. ถ้ามันเป็นการตัดสินใจของเขาผมก็คงห้ามไม่ได้

                         เมื่อฮิมชานวางผ้ากองโตลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวก็เดินกลับไปที่ตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง ก่อนที่ใช้แขนขาวๆเอื้อมขึ้นไปหมายจะหยิบกระเป๋าเดินทางใบโตที่วางอยู่บนตู้ลงมา ผมเห็นอย่างนั้นจึงคิดจะเข้าไปช่วย แต่ก็ไม่ทันการ ฮิมชานที่พึ่งฟื้นจากอาการเป็นลมเซไปข้างหลังเพราะการเปลี่ยนมุมมองที่เร็วเกินไปจากมุมมองปกติเป็นมุมมองสูงทำให้อาการเวียนหัวกลับมาอีกครั้ง และพอดีกับที่เจ้าตัวแตะถึง กระเป๋าที่วางอยู่หมิ่นเหม่นั้นกำลังจะร่วงลงมา

                         “ฮิมชาน!” ผมวิ่งเข้าไปดึงเจ้าตัวออกแล้วเอาตัวผมบังเอาไว้ กระเป๋าเดินทางหนักๆที่กำลังจะร่วงหล่นกระแทกเข้ากลางหลังผมอย่างจัง ความเจ็บปวดแล่นไปทั่ว แต่สำหรับผม.. มันไม่เป็นไรหรอก  

                         ผมก้มมองคนในอ้อมกอดของผมที่ตอนนี้หลับตาปี๋ห่อตัวแน่น ผมมองภาพนั้นก่อนจะหัวเราะเบาๆแล้วยกมือขึ้นลูบผมสีดำขลับ

                         “ไม่เป็นอะไรแล้ว” ฮิมชานค่อยๆลืมตาขึ้นมาสบกับผม และเพียงเสี้ยววินาที เจ้าตัวก็ผลักผมออก ผมเผลอร้องออกมาเบาๆเพราะหลังของผมที่ไปกระแทกเข้ากับตู้เสื้อผ้าอีกครั้ง... ช้ำไปทั้งตัวแล้วมั้งครับบังยงกุก

                         “พักก่อนไหม ให้ดีขึ้นก่อนค่อยไป” ผมพยุงตัวเองเดินไปหาฮิมชานที่ค่อยๆก้มเก็บกระเป๋าเดินทางใบโตที่นอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้น เพราะพึ่งฟื้นเจ้าตัวจึงดูเหมือนจะล้มลงไปทับกระเป๋ายังไงอย่างนั้นนะ

                         “ไม่เป็นไร” ฮิมชานตอบผมกลับมาก่อนจะค่อยๆพยุงตัวเองและกระเป๋าเดินทางไปที่เตียง ฮิมชานดึงไม้แขวนเสื้อออกจากเสื้อ แล้วพับเสื้อลงไปในกระเป๋าทีล่ะตัว ..


       

                                                      แน่ใจแล้วหรอบังยงกุกที่จะปล่อยเขาไป
       

                         จู่ๆความคิดนี้ก็แล่นเข้ามาในหัวผม .. ดูก็รู้ว่าการไปของเจ้าตัวไม่ปกติ.. ทำไมฮิมชานไม่พูดกับผมดีๆเหมือนทุกที หรืออย่างน้อยก็น่าจะบอกจะผมล่วงหน้าว่าเจ้าตัวจะไป.. จะปล่อยไปจริงๆหรอ...

                         ผมมองยังแก้วน้ำหวานที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเดินข้ามห้องไปคว้ามันแล้วเดินไปยังฮิมชานที่กำลังจัดเสื้อใส่กระเป๋า

                         “กินนี้ก่อนเหอะ ยังไม่ได้กินอะไรเลยนิ” ผมยื่นแก้วน้ำไปตรงหน้าฮิมชาน เจ้าตัวไม่ตอบอะไรผม และเลือกที่จะเบี่ยงตัวหลบแทน

                         “มึงพึ่งฟื้นกินเข้าไปเหอะน่า จะได้มีแรง เดี๋ยวเป็นลมมาอีกคราวนี้กุไม่ช่วยแล้วนะ” ผมจับที่แขนเล็กเบาๆแล้วยื่นแก้วน้ำให้ ฮิมชานสะบัดแขนออกจากมือผมอีกครั้ง หน้าเรียวหันกลับมาจ้องผมตาเขม็ง

                         “ก็ไม่ได้จะให้ช่วยปล่อยกูไว้แบบนั้นแหละ!” ฮิมชานกระแทกเสียงใส่ผม ก่อนจะเดินเลี่ยงไปทางโต๊ะหนังสือ แต่ยังไม่ทันจะถึงผมก็รั้งเอาไว้ซะก่อน.. ตามสเตปเดิม ฮิมชานเลือกที่จะสะบัดและแกะมือผมออก แต่คราวนี้ผมล็อคมันเอาไว้แน่น

                         “ปล่อยกูเว้ย เจ็บ!!” เมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้ เจ้าตัวก็เลยเลือกที่จะโวยวายแทน

                         “มึงกำลังงี่เง่าอยู่นะรู้ตัวป่ะ!!” ผมตะโกนกลับไปแข่งกับเสียงของเจ้าตัว ... ดูก็รู้เลยว่าฮิมชานไม่เหมือนเดิม..

                         “...............” ฮิมชานไม่ตอบอะไรกลับ มือเล็กที่พยายามแกะมือผมก็ละออก หน้าเรียวหันมองไปทางอื่น.. หลบตา.. แสดงว่าพูดถูก...

                         “มีอะไรก็พูดกันมาดีกว่าไหม?” ผมลดเสียงลง มือที่เผลอบีบแขนขาวๆจนแน่นก็เริ่มคลายออกเช่นกัน

                         “.................” เงียบครับ... มีแต่ความเงียบ.. เป็นไม้ตายสุดท้ายของฮิมชานที่เขาจะใช้กับผม

                         “เอานี้ไปกินก่อนป่ะ” ผมยื่นแก้วน้ำในมือไปให้เจ้าตัว ฮิมชานยังคงยื่นนิ่งอยู่แบบนั้น ผมยกแก้วน้ำขึ้นแตะที่ริมฝีปากบางเบาๆ แต่เจ้าตัวก็ปัดมัน ทำให้น้ำที่อยู่เกือบเต็มแก้วกระฉอกออกเหลือครึ่งแก้ว

                         “..................” นิ่ง และเงียบ... ฮิมชานครับ.. มายืนด่ายงกุกแบบเมื่อกี๊ยังดีกว่า แบบนี้ไม่รู้จะทำยังไงนะเว้ย!!

                         “คุยดีๆกันก่อนไหม? ทำไมอยู่ๆถึงย้ายออก” ผมถามคำถามออกไป..

                         “..................” เงียบครับ ... เว้ยเฮ้ย! นี้มันสงครามประสาทหรือไงฟร่ะ

                         “ย้ายออกได้กูไม่ว่านะ แต่พรุ่งนี้ได้ไหม นี้มันก็จะค่ำแล้วด้วย มึงจะขนของไปยังไง?” ผมพยายามที่จะใจเย็นกับคนตรงหน้า แต่เจ้าตัวก็ไม่ตอบอะไรผมกลับมาเหมือนเคย แขนเล็กบิดตัวออกจากการเกาะกุมของผม ก่อนจะหันหลังให้ผมแล้วเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ

                         “มีอะไรก็พูดออกมาสิ มึงเอาแต่เงียบๆๆแล้วกูจะรู้ไหม!”ความประณีประนอมที่ผมหยิบยื่นให้ไม่เป็นผล  ความอดทนผมขาดผึ่ง ผมคว้าตรงจุดเดิมแล้วออกแรงดึงจนฮิมชานเซมาชนเข้ากับผม

           “มึงช่วยตอบอะไรกูหน่อยได้ไหม อย่าพึ่งมางี่เง่าได้ไหม!!              เสียงทุ้มเบสต่ำและน้ำเสียงที่ผมมักจะเอาไว้สำหรับว๊ากน้องตอนนี้กำลังเกิดขึ้นในห้องนี้ มันดังก้องไปทั่วจนผมเองก็ตกใจ

           “คำก็งี่เง่า สองคำก็งี่เง่า!! เอ้อ!! กูมันงี่เง่า ใครจะไปเหมือนเด็กใหม่มึงล่ะ!!” ฮิมชานตะโกนกลับแข่งกับเสียงของผม

           “แล้วมึง....!” ผมกำลังจะพูดต่อแต่ก็ชะงักลง... อะไรนะ?

          “เมื่อกี๊มึงว่าไงนะ?”  ผมถามย้ำ เมื่อรู้สึกได้ถึงการเถียงกลับของฮิมชานที่ดูไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่นัก

                        “เด็กใหม่มึงไง ปีหนึ่งใช่ไหมล่ะ มีหอรึยังล่ะ ให้น้องมาอยู่กับมึงก็ได้นะ เตียงกูว่างแล้วนิ!” ฮิมชานประกาศก้อง แววตาใสที่พึ่งดีขึ้นจากอาการก่อนหน้าจ้องผมเขม็ง ผมฟังประโยคที่หลุดออกมาจากปากคนตรงหน้าอย่างตั้งใจก่อนจะหัวเราะออกมาลั่น

                       “ใครคือเด็กใหม่ที่มึงว่า?” ผมแหย่คนตรงหน้าไปอีกหนึ่งคำถาม ฮิมชานที่เริ่มหลุดอาการออกมาตอบกลับมาเป็นชุด

                       “ก็น้องปีหนึ่งตัวเล็กๆคนนั้นที่มึงจู๋จี๋ด้วยที่โรงอาหารไงล่ะ คนที่ผูกไทด์ให้มึงนี้ไง ผูกสวยดีนิ! วันหลังให้น้องเค้าผูกให้ทุกวันก่อนไปเรียนเลยนะ!” มือสวยยกขึ้นมาดึงไทด์ของผมแล้วสะบัดไปมาก่อนจะปล่อยให้มันตีเข้าที่อกของผม

                       “หึงกูหรอ..?” ผมยิงคำถามสุดท้ายออกไป ฮิมชานที่กำลังอ้าปากโต้ผมด้วยอารมณ์ที่พลุงพล่านต้องชะงักลง หน้ขาวซีดเริ่มขึ้นสีเลือดฝาด

                       “ว่าไง...?” ผมถามย้ำ ฮิมชานที่ถูกต้อนจนจนมุมยืนนิ่งมองหน้าผมด้วยใบหน้าขึ้นสีเรื่อ .. จี้จุดอ่ะดิ๊..

                       “กูไม่ได้หึงเว้ย! มึงจะชอบใคร จะไปจีบใครมันเกี่ยวอะไรกับกู!” ฮิมชานสะบัดแขนออกจากมือของผม ก่อนจะยกขึ้นกอดที่อกแน่น หน้าเรียวที่ขึ้นสีหันมองทางอื่น .... ครับไม่หึง.. แต่อินเนอร์มาเต็มครับ..

                       “จะว่าไปน้องเค้าก็ผูกไทด์สวยดีโนะ...” ผมขยับไทด์ลงแล้วก้มดูปมที่ผูก ฮิมชานที่มองทางอื่นอยู่หันกลับมามองที่ผมอีกครั้ง ตาสวยจับจ้องไปที่ปมไทด์นั้น ผมยกยิ้มก่อนจะดึงไทด์ลงจนปมหลุดออกจากกัน..

                        “แต่ยังไงก็สวยไม่เท่ามึงผูกหรอก” ผมดึงมือที่กอดอกอยู่ของฮิมชานให้มาจับที่ไทด์ทั้งสองข้างของผม ก่อนที่จะมือของผมจะกุมมือสวยเอาไว้หลวมๆ ผมจ้องเข้าไปในตาใสที่เงยหน้าขึ้นมองผมพอดี.. แล้วระบายยิ้มขึ้นบนใบหน้า



       

                                          ยังไงหน้าที่ผูกไทด์มันก็เป็นของมึงแต่แรกอยู่แล้ว.. และจะเป็นตลอดไป.. คิมฮิมชาน

       

       

       

       

       

       

       

       

       




                         “ตกลงว่าเมื่อกี๊หึงกูจริงป่ะ” ผมที่กำลังยกกระเป๋าเดินทางใบโตที่เคยหล่นมากระแทกหลังผมเสียดังอั่กกลับขึ้นไปไว้บนตู้

                          

                                       บั่ก
      !

                          “โอ๊ยย!” ผมร้องลั่นเมื่อสัมผัสได้ถึงของแข็งๆที่กระแทกเข้าที่กลางหลังผม ก่อนที่จะหันกลับไปมองสิ่งๆนั้น ที่พื้นห้องมีไม้แขวนเสื้ออันเขื่องนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้น ผมเงยมองไปยังที่มาก็พบว่าฮิมชานเล็งอันที่สองมาทางผม

                         “เฮ้ย อย่าปานะเว้ย!!” ผมก้มลงเก็บไม้แขวน และห่อตัวหลบ

                         “ถ้ามึงยังหลุดคำว่า หึง ออกมาอีกทีคราวนี้ล่ะไปทั้งแผงแน่!” ฮิมชานชี้ไม้แขวนมาที่ผมในขณะที่อีกมือกำลังโกยเอากองไม้แขวนที่อยู่ข้างๆมาสมทบกับอันที่อยู่ในมือ

                         “เอ้อๆๆ กูไม่พูดแล้วก็ได้ วางลง.. วางลงก่อน..” ผมค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ทีล่ะนิด มือคอยปรามและเป็นการตั้งการ์ดไปในตัวถ้าเกิดว่าเจ้าตัวเปลี่ยนขว้างมันขึ้นมา จนในที่สุดผมก็คว้าไม้แขวนได้ ผมรวบที่อยู่ในมือเจ้าตัวทั้งหมดมาไว้รวมทั้งอันที่กองอยู่บนเตียงด้วย

                         “เป็นอะไรว๊า.. คุยกันดีๆก็ได้” ผมนั่งข้างๆฮิมชานที่กำลังสะบัดผ้าที่พับไว้ออก ดูจากแรงสะบัดบวกกับความเร็วลมที่เกิด.. น่าจะมาจากอารมณ์ที่กำลังขึ้นสู่จุดเดือดสูงสุด...

                          “.................” ฮิมชานไม่ตอบอะไรผม.. โอเคครับ ยงกุกไม่รู้ก็ได้..




       

                    จ๊อกกกกกกก.....

                         ความเงียบที่ปกคลุมไปทั่วห้องก่อนหน้าถูกแทรกด้วยเสียงปริศนาที่ดังฝ่ามวลอากาศออกมา.. ผมหันมองไปที่ต้นกำเนิดเสียงตามสัญชาตญาณ.. ไปทางฮิมชาน.. ที่ลดความเร็วในการสะบัดผ้าลง

           “มึงหิวหรอ?” ผมถามออกไป

                          “เออ!” ฮิมชานตอบกลับมาด้วยความไวแสง  ผมว่าผมพอจะเข้าใจสถานการณ์แล้ว...



       

      เรื่องกิน.. เรื่องนอน.. ถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ สำหรับ.. คิมฮิมชาน

                       “โมโหหิวป่ะ?” ผมพูดแหย่

                          “เอ้อ!” ห้วน สั้น ง่าย ได้ใจความ และตอบโจทย์ทั้งหมดที่ยาวเป็นหน้ากระดาษ
       

                                                      คิมฮิมชาน.. โมโหหิว..

                           จะว่าไป.. เจ้าตัวก็ยังไมได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า.. ยันเที่ยง .. และยันเย็นใกล้ค่ำแบบนี้...

                           “หัวเราะอะไร!” เสียงดังลั่นแหวกอากาศมาทางผมที่กำลังพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดความสามรถแล้วแต่ก็ยังมีเสียงคิกคักออกไปอยู่ดี

                           “หิวมากป่ะ?”

                           “เอ้อเด่ะ!” ฮิมชานตะหวัดสายตาตอบผม ก่อนจะหันกลับไปสะบัดผ้าแรงๆอีกสองสามที

                           “ร้านข้าวก็อยู่ไกลน๊อ.. ลองกินยงกุกรองท้องไปก่อนป่ะ?”

       

       

                                    ผลั๊ว!

                            สิ้นประโยคคำถาม ไม้แขวนเสื้อทั้งแผงก็ฟาดเข้าที่กลางหลังผม ความเจ็บแล่นแปลบบบตั้งแต่ปลายประสาทส่วนล่างส่วนขึ้นไปส่วนบนแล้ววิ่งวนไปทั่วหลัง ซ้ำรอยเดิมที่กระเป๋าอันเขื่องวิ่งตามแรงโน้มถ่วงมากระแทกหลังผมก่อนหน้านั้น ผมหันไปหมายจะว๊ากใส่ซักทีในแบบหน้าที่ที่ผมทำกับรุ่นน้อง แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นว่าคนข้างผมอย่างฮิมชานตอนนี้ใบหน้าขาวๆเริ่มขึ้นสีจนแดงเป็นลูกมะเขือเทศ .. ให้ตายเหอะ..

                             “อร่อยนะ..” ผมก้มลงกระซิบที่ใบหูเล็กนั้นอีกครั้ง เรียกให้เลือดสูบฉีดไปทั่วใบหน้าเรียวมากขึ้นไปอีก..

                             “บัง ยง กุก!!!!

                                       ผลั๊ว!

                                                          บังยงกุก.. ไม่พิการก็เลี้ยงไม่โตแล้วครับ...






      END

      จบดีกว่า 5555555555555555 ยังไงก็ฝากแนะนำติชมด้วยนะคะ รวมทั้งฟิคสั้นและฟิคยาวในส่วนอื่นๆด้วยนะคะ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×