คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 7
ห่างเพียงไม่มากคือคมดาบที่หวังฟาดตัดคอของคู่ต่อสู้ ร่างแกร่งของนักฆ่าพร้อมทั้งดาบประจำตัวมาขวางไว้ได้ทัน เสียงดาบกระทบกันอย่างจังดังได้ยินชัด และนั่นหมายความว่าเธอลอดตายได้ด้วยน้ำมือของเพื่อนซี้นักฆ่าแห่งซาเรส คู่ต่อสู้ของเธอกลับกลายเป็นของคิลไปเสียแล้ว แต่จากการต่อสู้เธอก็บาดเจ็บไม่น้อย แองจี้รีบวิ่งเข้ามาใช้มนรักษาให้ในทันที ปล่อยภาระการต่อสู้ให้กับกลุ่มผู้นำทั้ง 5 การต่อสู้ดำเนินไปอีกพัก ผู้บุกรุกก็รู้ว่าตนเองไม่อาจจะต่อกรกับคนกลุ่มนี้ได้ ผู้ที่มีท่าทางจะเป็นหัวหน้าจึงสั่งถอยอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับเวลามา การต่อสู้สิ้นสุดบรรยากาศแห่งความรื่นรมก็กลับมา เวลาอาหารเที่ยงผ่านไปอย่างมีความสุข หลังจากเวลาอาหารผ่านไป ทุกคนยังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร โรเวนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะก็เอ่ยขึ้น
“มีคนรู้ว่าพวกเราเป็นคนคุ้มกันศิรามายามา มันชักยังไงอยู่”
“เราคงต้องระวังตัวมากขึ้นแล้วล่ะโรเวน”
“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะลอรี่ โรวี่”
เฟี้ยว....ฉึก....เสียงมีดแหวกอากาศมาปักเอาต้นไม่ใหญ่ข้างหลังซาตานหน้าเป็นที่หลบ อาวุธของนักบวชจนชำนาญแล้วได้อย่างไม่ยากลำบาก ก่อนที่เจ้าของมีดจะเอ่ยขึ้นอีกว่า
“ถ้านายยังไม่อยากตาย ก็เลิกเรียกฉันแบบนั้นซะไ
แน่นอนว่า นักบวชหน้าบูดพูดทุกครั้งที่ซาตานหน้าเป็นเรียก แต่ก็ไม่เคยทำให้คนถูกขู่ยอมเปลี่ยนการเรียกชื่อแบบนี้ซะที
“พวกนั้นรู้ได้ไงฮะ ว่าศิรามายาอยู่ที่เรา”
“ไม่มีใครรู้หรอกเฟริน หน้าที่ของเราคือคุ้มกันมันไปส่งให้กับทางคาโนวาลเท่านั้น”
“แต่ถ้ามีการแย่งชิงแล้วครั้งนึง มันต้องมีครั้งต่อไปแน่ แต่จะช้าหรือเร็วแค่นั้น การเดินทางจากนี่ไปคาโนวาลต้องใช้เวลากว่า 3 วัน นั้นคือเดินทางทั้งวันด้วยซ้ำ แต่พวกเราหยุดเป็นระยะแบบนี้อาจกินเวลาถึง 4 วัน”
เจ้าชายมาดน้ำแข็งออกความเห็นบ้าง ซึ่งในใจหลายคนก็เห็นด้วย แต่จะเดินทางเร่งรีบเกินไปก็อาจเรียกให้พวกชุดดำเข้ามาหาหลายกลุ่มขึ้น จึงย่นเวลาโดยการทานอาหารในเกวียนและจะไม่หยุดพักเพื่อทานอาหารอีก เกวียนเดินทางต่อไปโดยมีผู้อยู่ในเกวียนครบทีม รวมตัวกันเพื่อเล่นเกมต่างๆภายในห้องพัก แต่เล่นกันไปนานเข้าต่างก็เบื่อขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเย็นลงพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า แสงสุดท้ายดั่งกล่าวคำอำลาแล้วบอกว่าพรุ่งนี้จะมาเจอกันใหม่ วันแห่งความวุ่นวายหมดไปอีกวัน การเดินทางเกือบไม่มีอะไรมากไปกว่าเดิม แต่อยู่ดีๆเกวียนก็หยุดนิ่ง ม้าทั้งคู่พยศอย่างแทบเอาไม่อยู่ รอบด้านมีแต่ความมืดมิด ที่ยังพอมองเห็นได้ก็ไม่ไกลนักด้วยความสว่างจากตะเกียงที่จุดไว้จากมุมทั้งสี่ของเกวียน
การหยุดนิ่งเป็นสัญญาณให้นักรบที่อยู่ภายในต่างออกมาดูเหตุการณ์ข้างนอกทั้งหมด ทุกคนต่างมีอาวุธพร้อมในมือ ไม่มีใครรู้จะเกิดอะไรขึ้น ภายในหนึ่งวันพวกเขาจะต้องเจอผู้เข้ามาชิงศิรามายาถึง 2 ครั้งที่เดียวหรือนี่ ต่างมองไปรอบๆ เขาไม่รู้จริงๆว่าศัตรูจะเข้ามาทางใด แต่การค้นหาก็ไม่กินเวลานานเลย เมื่อหนึ่งในผู้บุรุกปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า และตามมาด้วยบุกคนที่แต่งกายมิดชิดอีก 4 คน บุคคลที่ก้าวมาเป็นคนแรกต่างมองมาที่นักรบจากป้อมอัศวินทั่ง 21 คนที่ยืนประจันหน้ากับพวกเขา โรเวนที่ยืนมองหน้าอยู่เป็นคนแรกเอ่ยขึ้นทันทีว่า
“ต้องการอะไร เราไม่อยากมีเรื่อง โปรดเปิดทางให้เราด้วย”
“เราจะเปิดทางให้ ถ้าพวกเจ้าจะทิ้งจ้าวมังกรไว้ที่นี่ แล้วไปซะ”
คำพูดจากคนที่มีท่าทางเป็นหัวหน้าสร้างความงุนงงให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก เพราะในที่นี้ไม่มีคนที่พวกเขาต้องการ และเป็นที่ผิดคาดเมื่อพวกเขาคุ้มกันศิรามายา แต่พวกมันกลับต้องการคนที่เขาไม่มี แต่คาโลก็หวนนึกถึงหนังสือเล่มนั้น “100,000 ปี ดินแดนมังกร” ขึ้นมาได้จึงเหลือบเห็นแววตาของเฟรินไหวระริกเล็กน้อย แองจี้ผู้ยืนถัดไปรีบเอ่ยทันที
“ที่นี่ไม่มีคนที่เจ้าต้องการ ไปซะเราต้องเดินทางต่อ พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว”
“ไม่มีอะไรผิด ส่งตัวเจ้ามังกรมาแล้วพวกเจ้าจะไปไหนก็ไป ข้าไม่สนแต่ถ้าไม่พวกเจ้าก็ต้องตายอยู่ที่นี่”
กล่าวจบชายชุดดำที่มีท่าทางเป็นหัวหน้าก็พุ่งเข้าใส่ทันที เป้าหมายคือโรเวนก่อนใคร ลอเรนซ์กับลูคัสต่างลงมือเข้าช่วย ชายชุดดำอีก 2 คนจึงออกโรงต่อสู้ด้วย คาโลหันมามองเฟรินอีกครั้ง ใบหน้างามยังคงนิ่งสงบ คิลกับคาโลจึงออกไปต่อกรกับชายชุดดำที่เหลืออย่างรวดเร็ว แต่ในขณะที่ทั้ง 5 กำลังต่อสู้อย่างสูสีกันแผ่นดินก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ดินค่อยๆนูนตัวขึ้นเกิดเป็นนักรบดินหลายตัว ทุกคนต่างต่อสู้เพื่อทำลายนักรบดินเหล่านั้นทันที เฟรินรู้สึกว่าต้องมีอะไรสักอย่าง คิลกับคาโลที่กำลังต่อสู้อยู่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่ไม่อาจผละจากการต่อสู้ไปช่วยเพื่อนๆได้ เพราะคู่มือของตนนั้นฝีมือร้ายกาจใช่เล่น และยังมีฝีมือที่แปลกประหลาดยิ่ง หากไม่ตั้งใจเต็มที่แล้วนอกจากจะช่วยเพื่อนคนอื่นไม่ได้ ตัวเองก็อาจจะต้องตายด้วย
เฟรินรู้สึกตัวแต่การที่ต้องทุ่มกำลังในการฟันนักรบดินแต่ละตัวก็ต้องใช้แรงอย่างมาก จะผละออกไปจัดการอะไรก็ยาก นักรบดินถ่าโถมเข้าหาทุกคนอย่างต่อเนื่อง การต่อสู้กินเวลาไปเรื่อยๆ หลายคนเมื่อต้องทุ่มกำลังและเวทย์เพื่อทำลายนักรบเหล่านั้น จึงเริ่มเหนื่อยอ่อน ไม่นานเฟรินก็รู้สึกว่ามีใครบางคนมาประชิดแผ่นหลังแตะตนเอง เหลือบมองไปก็เห็นเจ้าขอทานกำมะลอนั่นเอง เฟรินเห็นทางรอดทันที
“โร นายว่าแปลกไหม นักรบดินพวกนี้น่ะ”
“ใช่ พวกที่สู้อยู่ตรงนั้นไม่น่าจะร่ายเวทย์สร้างนักรบดินพวกนี้ได้ เพราะพวกพี่โรเวนก็รับมือกันเต็มที่ ถ้าเป็นพวกนั้นจริงพวกเขาต้องทำอะไรแล้ว”
“ฉันว่ามันต้องมีใครอีกคนอยู่ในที่มืด เห็นเราแต่เราไม่เห็น”
“ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น”
“โร นายน่าจะลองหาซักหน่อยนะ”
“ฉันไปไม่ได้ พวกนั้นเข้ามามาก”
“ไม่ต้องห่วง นายรีบไปหา แล้วจัดการคนๆนั้นซะ ทางนี้พวกเรารับมือเอง”
เสียงจากครี้ด นักรบตาเดียวที่กำลังต่อสู้อยู่ไม่ห่างเอ่ยขึ้นทันที โรรีบส่งกระแสจิตบอกทุกคน รวมถึงพวกที่สูกับชายชุดดำทั้ง 5 ด้วย แล้วเขาก็พุ่งตัวออกไปทันที จากที่หนึงไปอีกที่หนึงแม้จะไม่เร็วนัก แต่ก็ไม่ช้า ในสนามต่อสู้ยังคงเข้มข้น โรเฝ้ามองอยู่เป็นระยะ เพื่อนๆหลายคนหมดแรงแต่ยังยืนหยัดที่จะสู้ต่อไป เขารีบเร่งหาบุคคลปริศนาทันที ไม่นานหญิงสาวคนหนึ่งในชุดสีดำก็เข้ามาในสายตาของเขา ร่างกายนั้นบอกได้ว่าคนๆนั้นคือผู้หญิง เสียงพึงพำเวทย์ที่เขาไม่เข้าใจยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ โรรีบทุ่มกำลังเรียกพลังของเขาขึ้นมาแล้วคว้างพลังกลุ่มนั้นไปยังหญิงสาวนิรนามทันที เวทย์หยุดนักรบดินมลายหาย ชายชุดดำทั้ง 5 หยุดการต่อสู้ในทันที แล้วปล่อยพลังเข้าใส่คู่ต่อสู้ของตนเอง พวกโรเวนกระโดดหลบได้ทันจึงไม่เป็นอะไร แต่เมื่อหันไปอีกครั้งชายชุดดำเหล่านั้นก็หายไป โร เซวาเรสปรากฏตัวเข้ามาในแสงตะเกียงอีกครั้ง ทุกคนต่างรีบใช้เวทย์รักษาตัวเองจากอาการบาดเจ็บทันที
คิลมีบาดแผลหลายที่ แต่ก็สร้างความพอใจให้เขาอย่างมากเมื่อเจ้าหญิงคนงามเรนอนเป็นผู้ดูแลรักษาให้เขา แองจี้รีบเข้าไปดูแลซีบิลทันที เพราะซีบิลมีท่าทางอ่อนแรงอยู่มาก ส่วนมาทิลด้าฝืนยืนอยู่ครู่ก่อนจะถูกโรอุ้มกลับห้องไปพักผ่อน เฟรินรีบเข้าไปดูคาโลที่ยืนโงนเงนจากการใช้พลังไปมากในการต่อสู้ ก่อนจะพยุงเขากลับขึ้นเกวียนไป นอกนั้นต่างช่วยกันพยุงเพื่อนที่บาดเจ็บกลับไปพักบนเกวียน พนักงานภายในเกวียนเพราะไม่เคยฝึกการต่อสู้จึงวิ่งวุ่นพยาบาลเหล่านักรบที่บาดเจ็บกลับมาทุกคน ไม่นานเหล่านักรบก็กลับไปพักตามห้องของตัวเอง โดยมีคนรักคอยดูแลอยู่เคียงข้าง เพราะเหนื่อยจากการต่อสู้คาโลเมื่อกลับถึงห้องก็หลับไปทันที เฟรินเป็นห่วงคาโลอย่างมาก และแม้ว่าจะง่วงนอนขนาดไหนก็ฝืนนั่งดูอาการคาโลจนรุ่งเช้า ตลอดคืนนั้นทุกคนต่างพักผ่อนอย่างสงบ เพราะรู้สึกได้ถึงพลังของใครบางคนที่เข้ามาปกป้องเกวียนนี้ไว้ คืนนั้นเกวียนหยุดพักอยู่ที่ชานหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เพราะกว่าที่จะมาถึงก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว
หมู่บ้านชายแดนย่อมมีการตรวจเวรยามในเวลากลางคืนเพื่อความปลอดภัย เกวียนจึงหยุดพักไม่ห่างจากหมู่บ้านมากนัก แสงแดดยามเช้าส่องลอดบานหน้าต่างห้องของคาโลเข้ามาปลุกให้คนตื่นง่ายลุกลืมตาลุกขึ้นจากเตียง เสียงเดินไปเดินมาจากห้องข้างๆที่เขารู้ดีว่าเป็นห้องของเฟริน บอกให้รู้ว่าเจ้าของห้องตื่นแล้ว เขาจึงลุกขึ้นอาบน้ำแล้วลงไปที่ห้องทานข้าวข้างล่าง ที่นั่นพวกรุ่นพี่และเพื่อนทุกคนมากันครบแล้ว ขาดก็แค่เขากับเฟรินเท่านั้น เมื่อเขานั่งลงเรียบร้อยอาหารก็เข้ามาเสริฟทันที โรเวนขมวดคิ้วก่อนจะห้าม
“อย่าเพิ่งรอเฟรินก่อน”
“ไม่ต้องรอหรอกค่ะ เจ้าหญิงเฟลิโอน่ามรับสั่งว่าจะไม่มาร่วมโต๊ะในวันนี้ค่ะ เชิญทุกท่านรับประทานอาหารได้เลยค่ะ”
“ทำไม ปกติเฟรินไม่เคยพลาดเรื่องการกินนี่หน่า เป็นอะไรหรือเปล่า”
คำถามที่ดูจะยาวที่สุดจากเจ้าชายน้ำแข็งดังขึ้น ทุกคนบนโต๊ะต่างพร้อมใจกันรับว่าจริง เรื่องการกินของเฟรินนั้นเจ้าตัวถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ จะขาดไม่ได้ แต่ว่าวันนี้กลับบอกว่าจะไม่มาทาน ทุกคนต่างเป็นกังวลว่าเจ้าตัวยุ่งจะไม่สบายไป แต่พนักงานก็ไม่ได้ตอบอะไรนอกจากบอกว่า
“ไม่ทราบซิคะ ดิฉันมีหน้าที่ทำตามคำสั่งเท่านั้น เชิญทุกท่านทานเถอะค่ะ”
คำเชิญนั้นได้อาการลุกจากที่นั่งของเจ้าชายน้ำแข็งเป็นคำตอบ ตามด้วยรุ่นพี่ที่ลุกขึ้นเดินตามกันออกไป ทั้งหมดเดินตรงไปยังห้องที่ถูกจัดเป็นห้องพักของเฟริน ที่หน้าห้องคาโลยืนเป็นคนแรกและลงมือเคาะเรียกทันที แต่ไม่ว่าจะเคาะนานเท่าไรก็ไม่มีเสียงตอบรับจากภายในห้องเลย คาโลจึงเลื่อนมือไปจับลูกบิดประตู เพื่อเปิดเข้าไปในห้องนั้นแต่กลับติดล็อค ที่เจ้าตัวคงลงไว้ก่อนจะเข้านอน คาโลจึงร่ายเวทย์เปิดประตูเข้าไป ภายในห้องตกแต่งอย่างหรูหราสมฐานะการเป็นเจ้าหญิงแห่งเดมอส เตียงกว้างมีร่างบางของเฟรินนอนอยู่ เฟรินนอนหันหน้ามาทางประตูผู้ที่เข้ามาจึงเห็นเจ้าของห้องยังคงหลับตาพลิ้มอยู่บนเตียง ผ้าปูเตียงสีขาวกับผ้าห่มสีขาวผืนหนาขับชุดนอนสีฟ้าตัวสวยให้ดูเด่นยิ่งขึ้น คาโลเดินเข้าไปใกล้เผื่อจะปลุกร่างบางให้ตื่นขึ้นมา แต่สุนัขตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของเฟรินได้กลิ่นคาโลเข้าจึงลุกขึ้น แล้วเริ่มต้นเห่าเสียงดังอย่างลูกสุนัขในทันที
แล้วทุกคนก็ได้เห็นลูกสุนัขตัวสีขาวสะอาด ขนไม่ยาวนักแต่ก็สวยในแบบที่ใครสาวไหนเห็นเป็นต้องขอกอดสักที แน่นอน 3 สาวป้อมอัศวินก็เช่นกัน ต่างอยากเข้าไปกอดเหลือเกิน แต่เสียงเห่าของมันเนี่ยซิปลุกให้ร่างบางตื่นขึ้นมาจนได้ เสียงอู้อี้อย่างคนเพิ่งตื่นนอนก็เอ่ยขึ้นโดยที่ตายังไม่ลืมด้วยซ้ำ ก่อนจะหันไปอีกทางหนึง
“เงียบน่า คาลินคนจะนอน”
แต่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์เพราะเจ้าสุนัขที่ได้ชื่อว่าคาลินยังคงเห่าต่อไป ทุกคนมองเห็นการกระทำนั้นแต่น่าแปลกที่ไม่มีใครเลยเขาไปจนถึงตัวเฟริน แต่กลับจ้องมองลูกสุนัขตัวนั้นกันอย่างไม่วางตา ก็จะไม่มองได้ยังไงก็ในเมื่อหางของลูกสุนัขอันควรจะมีหางเดียว แต่มันดันมีหางถึง 9 หางนี่หน่า จิ้งจอก 9 หาง จิ้งจอกที่ควรจะสูญพันธ์ไปแล้วกลับปรากฏอยู่ที่เตียงของเฟริน แถมคงเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดเสียด้วย คาลินยังคงเห่าต่อไป แต่เมื่อเหมือนผู้เป็นนายจะไม่สนใจแถมยังหันไปอีกด้าน แล้วผู้บุกรุกก็ไม่มีทีท่าว่าจะขยับมันจึงหยุดเห่า แล้วตั้งหน้ามองดูทุกคนอยู่ครู่ก่อนจะหันหลังไปปีนนายเพื่อข้ามไปอีกฝาก เป็นภาพที่น่ารักอย่างยิ่งสำหรับ 3 สาวที่ยื่นดูอยู่ เมื่อมันข้ามได้เป็นผลสำเร็จมันก็เห่าอีก 2-3 ครั้งก่อนจะหันไปเสียหน้าของเฟริน
ลิ้นอุ่นๆเล็กๆที่มาเลียแก้มของเฟริน ปลุกให้หญิงสาวตื่นขึ้นมาจนได้ เฟรินกระพริบตาปริบๆเพราะแสงที่แยงเข้าตา หลังจากม่านตาปิดรับแสงไปเป็นครู่ เมื่อต้องเปิดกะทันหันจึงยังปรับสภาพตัวเองไม่ทัน สักพักเฟรินก็ตื่นเต็มที่ ปัดเอาเจ้าลูกจิ้งจอก 9 หางสีขาวให้ออกพ้นหน้าตัวเองไปเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นทันที ก่อนจะลุกขึ้นแล้วอุ้มเจ้าลูกสุนัขเข้ามาในอ้อมแขน
“ตื่นแล้วๆ คาลิน มีอะไรเห่าจังนะเรา”
แล้วเจ้าตัวยุ่งก็เริ่มรู้สึก ภายในห้องที่เงียบไม่ได้มีแค่ตัวเองกับเจ้าคาลิน ลูกจิ้งจอก 9 หางเสียแล้ว เมื่อหันไปจึงได้เห็นทุกคนยืนจ้องมองเธอกับคาลินอยู่ แต่เงียบไรซึ่งเสียงอย่างที่มันควรจะเป็น ทั้งที่ในห้องตอนนี้มีคนอยู่ถึง 21 คน กับ 1 ตัว แต่กลับมีแค่เสียงเห่าของลูกสุนัขเท่านั้นดังขึ้นนานๆครั้ง ทั้ง 2 ฝ่ายต่างอึ้ง เฟรินอึ้งที่มีคนเข้ามาเห็นจิ้งจอก 9 หางตัวนี้ ส่วนอีกฝ่ายอึ้งที่สั ตว์ที่ควรจะสูญพันธ์ไปแล้วยังอยู่ในความครอบครองของเฟริน คนที่อึ้งน้อยกว่าถอนหายใจหลุบเปลือกตาลงอย่างซ้อนแววตาเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับชายคนแรกที่ยืนอยู่ต่อหน้าเธอ
“พวกนายมีอะไรหรอถึงเข้ามาในห้องฉันเนี่ย”
คาโลหลุดจากอาการค้างทันทีที่เฟรินเอ่ยขึ้น เขาจึงกล่าวตอบพาให้เพื่อนๆรู้สึกตัวเช่นเดียวกัน แล้วมองมาที่เจ้าตัวยุ่งเจ้าของห้อง
“พวกเราเห็นนายไม่ลงไปทานข้าว พวกเราก็เลยขึ้นมาตามน่ะ”
“แล้วนายมีจิ้งจอก 9 หางได้ไงเฟริน มันสูญพันธ์ไปแล้วไม่ใช่หรอ” มาทิลด้าเอ่ยถามทันทีที่มีโอกาส หลังจากคาโลกล่าวจบ ซึ่งเป็นคำถามที่อยู่ในใจของทุกคน เฟรินหันมาหาคนถามก่อนจะตอบออกไปว่า
“มีคนคนนึง มีความสามารถทำให้สัตว์สูญพันธ์ไปแล้วกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง”
“ใคร” ทุกคนถามขึ้นมาพร้อมกัน รวมถึงโร เซวาเรส ผู้ได้รับฉายาว่าห้องสมุดเคลื่อนที่ด้วย เพราะเขาเองก็คิดไม่ออกและไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย
“มันเป็นความลับ ฉันบอกไม่ได้” แล้วเจ้าตัวก็เดินจากไป เข้าห้องน้ำทิ้งความสงสัยให้กับเพื่อนทุกคน ไม่นานเสียงน้ำก็ดังขึ้นภายในห้องน้ำนั้น ส่วนเจ้าตัวที่เป็นจุดสนใจตอนนี้กำลังนั่งมองคาโลอยู่ ซักพักมันก็โดดลงจากเตียงวิ่งมาหาคาโลเห่าก่อนนั่งลิ้นห้อยอย่างน่ารักมองคาโล แล้วคาโลก็ก้มลงอุ้มมันขึ้นมาในอ้อมแขน คาลินเสยหน้าคาโลหางทั้ง 9 สั่นไปมาอย่างถูกใจพร้อมกับเห่าเหมือนจะทักทาย ไม่นานทุกคนก็ล้อมเข้ามาดูเจ้าลูกสุนัขคาลิน มีเพียงพวกรุ่นพี่ที่ลงไปรอข้างล่างหลังจากเห็นว่าคงไม่มีเรื่องอะไรแล้ว
เฟรินได้ยินเสียงเจี๋ยวจ๋าวจากในห้อง หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยเฟรินก็เดินออกมาด้วยชุดขาวทั้งชุดเป็นชุดแบบเด็กผู้ชาย แต่ผมยาวสยายหมาดน้ำก็ยังมีน้ำหยดอยู่ มือบางใช้ผ้าเช็ดผมเดินออกมา แป้งคาลินได้ยินเสียงเปิดประตูและเมื่อเห็นว่าเป็นเจ้านายของตน จึงดิ้นลงจากอ้อมแขนของคาโลแล้ววิ่งไปหาเจ้านายที่เดินไปนั่งหน้ากระจก แล้วเห่าเพื่อให้เจ้านายอุ้ม
“เดี๋ยวคาลิน เดี๋ยวนะแต่งตัวก่อนเดี๋ยวจะหาอะไรให้กิน”
เฟรินแต่งตัวจนเสร็จ ผมเส้นยาวยังไม่แห้งดีคาโลจึงเดินมาเช็ดผมให้ คิลกับทุกคนเห็นว่าตัวเองเป็นส่วนเกินจึงเดินมาอุ้มเจ้าคาลินแล้วพาออกจากห้องไปก่อน เฟรินเห็นเพื่อนๆเดินออกไปเหลือแค่คาโลแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
“นายน่าจะบอกฉันได้นะ ว่าคาลินรอดมาได้ยังไง”
“เฮ้อ ฉันบอกแล้วว่าไม่ได้คาโล อย่าถามเลยนะ” เฟรินถอนหายใจก่อนจะตอบ เมื่อผมแห้งดีแล้ว เฟรินก็รับผ้าไปตากไว้ที่ราวในห้องน้ำ ก่อนจะเดินกลับมาหาชายหนุ่มที่ยังอยู่ภายในห้อง เพื่อจะชวนกันลงไปทานอาหารที่ห้องอาหารของเกวียน แต่คำถามที่ทำให้ต้องชะงักเมื่อเฟรินก้าวเข้ามาถึงตัวจากปากคาโลเนี่ยซิ
“พวกเมื่อคืนมาหานายใช่ไหมเฟริน”
หลายนาทีที่เฟรินต้องอึ้งไป ก่อนต้องถอนหายใจอีกครั้งแล้วพูดว่า
“ทำไมนายถึงถามอย่างนั้น ทำไมคิดว่าพวกนั้นมาหาฉัน”
“เพราะหนังสือเล่มนั้น ที่นายไม่ยอมให้ฉันดูมันเขียนถึงจ้างมังกร กษัตริย์แห่งดินแดนมังกรด้วย มันคืออะไรเฟริน”
คาโลจ้องมองในตาที่ไหวตลอดเวลาที่เขาพูด แล้วร่างของเฟรินก็ก้าวเข้ามาชิด คาโลกำลังคิดว่าเฟรินจะใช้วิธีเดียวกับตอนที่เอาหนังสือไปจากมือเขา แต่เปล่าเฟรินเพียงก้าวเข้ามาใกล้ก้มหน้าลง ก่อนจะเงยหน้ามองแย้มยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า
“นายคิดว่าคนอย่างฉันจะเป็นจ้าวได้หรือไง แค่ลูกจ้าวปีศาจเป็นเจ้าหญิงฉันยังไม่เคยเป็นได้เลย มันไม่เหมาะกับฉันหรอก นายเข้าใจผิดแล้วล่ะ”
แล้วเจ้าตัวยุ่งก็เดินออกจากห้องไป แต่ถ้าจะมีใครสักคนมองเห็นใบหน้าของเฟรินตอนนี้ก็จะได้เห็นใบหน้าที่เครียดเคร่งที่แทบจะไม่เคยเกิดบนใบหน้าของเจ้าตัวยุ่งประจำป้อมอัศวิน
ความคิดเห็น