ตอนที่ 18 : ARCII : กระเรียนไร้ใจ-9-
บทที่9
“ฮองเฮาเสด็จ”เสียงของขันทีดังขึ้น พร้อมกับร่างของหญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง ร่างนั้นสวมใส่อาภรณ์หรูรุ่มร่าม แผ่นหลังบอบบางเหยียดตรงอย่างหยิ่งทระนง ดวงตาเรียวคมกวาดมองทั่วๆก่อนจะหยุดลงที่ร่างของหลิวหยาง
“ถวายพระพรฮองเฮา ขอทรงพระเจริญพันปี พันๆปี”เหล่าสนมชายาและข้ารับใช้ทำความเคารพตามพิธีการ
“วันนี้เปิ่นกงคงฝันไป ไม่คิดเลยว่าในชีวิตนี้จะได้พบเจอหน้าของหลิวไฉเหริน”น้ำเสียงแฝงไปด้วยความประชดประชันและดวงตาเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบัง
“ทูลฮองเฮา เป็นกระหม่อมที่ไร้มารยาท ขอพระองค์ลงพระอาญา”หลิวหยางที่ไม่คิดจะมีเรื่อง สิ่งใดยอมได้เขาก็จะยอม
“หึ เปิ่นกงคงไม่กล้าแตะต้องสนมคนโปรดของฮ่องเต้หรอก แต่ถึงเปิ่นกงจะไม่กล้าก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นไม่กล้าเข้าใจหรือไม่”จ้าวฮองเฮาเหยียดยิ้ม สนมคนอื่นที่ได้ยินเช่นนั้นต่างก็ตาลุกวาว คำพูดของฮองเฮาไม่ต่างอะไรกับบอกว่า พวกนางจะกลั่นแกล้งหลิวไฉเหรินมากเพียงไร พระนางก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
ขอเพียงแค่ไม่มีใครเอาเรื่องไปทูลฮ่องเต้และไม่มีหลักฐาน พวกนางจะทำสิ่งใดก็ย่อมได้
“เอาล่ะ ในเมื่อพบเจอกันครั้งแรก เปิ่นกงเองก็เตรียมของต้อนรับไว้ให้เจ้าแล้ว”จ้าวฮองเฮารับสั่งให้ขันทีนำกล่องไม้ใบหนึ่งเข้ามา หลิวหยางเดินออกไปรับกล่าวขอบคุณตามพิธีก่อนจะกลับมายืนที่เดิม
“เปิ่นกงขอบใจพวกเจ้าทุกคนที่ยังให้เกียรติเปิ่งกงมาทำความเคารพทุกวันไม่ขาด เป็นสนมที่ดี ประพฤติตนเหมาะสม ไม่ยิ่งทระนงหลงใหลไปกับความโปรดปรานเพียงชั่วครั้งชั่วคราวของฝ่าบาท วันนี้เปิ่นกงรู้สึกอ่อนเพลีย เช่นนั้นพวกเจ้าก็ตามสบายเถอะ”
“...”นายเอกก็คือนายเอก จะให้ลุกมาฟาดฝีปากกับฮองเฮาเหมือนนางร้ายก็คงไม่ใช่เรื่อง จ้าวอวี้เองก็หวังว่ามันจะจบลงแค่การจิกกัดทางคำพูด
“อ้อ หลิวไฉเหริน เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าการกกระทำตั้งแต่เข้าวังหลังวันแรกของเจ้าจนถึงวันนี้ทำผิดกฎวังหลังนับไม่ถ้วน เปิ่นกงถึงแม้จะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเจ้าแต่ก็ไม่อาจปล่อยให้สนมนางในคนอื่นๆทำเป็นเยี่ยงอย่าง เพราะฉะนั้นข้าจะต้องลงโทษเจ้า แต่เห็นแก่ที่เจ้ามีใจสำนึกผิด เปิ่นกงจะลงโทษสถานเบา ให้หลิวไฉเหรินคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักคุนหนิง3ชั่วยาม เปิ่นกงหวังว่าเจ้าจะเข้าใจกฎย่อมเป็นกฎ”
“กระหม่อมเข้าใจ ขอบพระทัยฮองเฮาที่เมตตา”
“ดี เช่นนั้นเปิ่นกงคงต้องขอตัว”ว่าจบจ้าวฮองเฮาก็ลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไป
อ่า และนั่นก็เป็นเรื่องราวที่ทำให้นายเอกต้องมานั่งคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักฮองเฮาหกชั่วโมง จ้าวอวี้พยายามเกลี้ยกล่อมไม่ให้หลิวหยางทำตาม แต่คำว่านายเอกมันค้ำคอ แม้จะมีขาทองคำเป็นถึงฮ่องเต้ก็ยังชื่นชอบในการถูกกดขี่(?)
แล้วพอจะเดากันได้ไหมว่าพอเป็นอย่างนั้นนายเอกก็เดินไม่ได้ไปหลายวัน พยายามปกปิดหลี่เฉียงฮ่องเต้ แต่สุดท้ายก็ถูกจับได้ หลี่เฉียงฮ่องเต้โกรธเลือดขึ้นหน้าจะไปเอาผิดกับฮองเฮา แต่พ่อนายเอกกคนดีก็เกลี้ยกล่อมอ้อนวอนว่าไม่อยากมีเรื่อง พ่อพระเอกเลยจัดการตบหน้าฮองเฮาด้วยการเลื่อนยศของหลิวหยางเป็นว่าเล่น
คิดดูแล้วกันแค่ยกชาไปให้ก็เลื่อนยศมาอยู่ในขั้นผินแล้ว การถูกเลื่อนยศรายวันแบบนี้ไม่ถูกอิจฉาก็แปลก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอาหารการกิน ในสำรับทุกมื้อต้องมีอย่างน้อยหนึ่งอย่างที่มีพิษผสมอยู่ แม้ฮ่องเต้จะรู้ว่ามียาพิษอยู่ในอาหารแต่สุดท้ายก็จับมือใครดมไม่ได้อยู่ดี
“เจ้าจะไปจริงหรือ”หลี่เฉียงฮ่องเต้เอ่ยถาม หลิวหยางยิ้มขื่นดวงตาของเขาเศร้าหมอง
“พะย่ะค่ะ หากไม่ไปก็เป็นการไม่ไว้หน้าฮองเฮา”หลิวหยางเอ่ยในมือถือเทียบเชิญงานเลี้ยงชมบุปผาที่ถูกจัดโดยฮองเฮา
“เช่นนั้นเจิ้นจะไปด้วย”
ทั้งสองพากันเดินมายังสถานที่จัดงาน เป็นหนึ่งในอุทยานหลวงที่งามที่สุดของราชวัง จ้าวอวี้คอยเดินตามมาเงียบๆ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเขาสังเกตอะไรได้หลายๆอย่าง
หนึ่งคือการที่ฮองเฮายังไม่ลงมือทำอะไรหลิวหยางนอกจากจิกกัดและลงโทษเล็กๆน้อยๆ
สองคือตัวละครทุกตัวดำเนินเรื่องตามบทบาท ไม่มีท่าทีของการoocเลยแม้แต่นิดเดียว
สามคือบัคตัวนั้นเงียบสงบมาก มากจนน่าสงสัย
สี่คือถึงแม้การตรวจoocจะใช้การไม่ได้แล้ว แต่จ้าวอวี้กับเสี่ยวหลันเห็นตรงกันว่าตอนนี้กำลังมีตัวละครบางตัวoocขั้นร้ายแรง เพียงแต่เขาไม่สามารถเดาได้เลยว่าคนๆคือใคร...มันแนบเนียนมาก
...คล้ายกับว่าทุกคนกำลังรอเวลาบางอย่าง
งานเลี้ยงชมบุปผาเป็นงานที่จัดภายในวัง พระสนมหลายคนถูกเชิญให้เข้าร่วม ขุนนางยศใหญ่หลายคนก็ต้องมาร่วมงาน คุณหนูในห้องหอหลายคนก็มาเพื่อจับคู่ดูตัว เรียกได้ว่าคึกคักพอสมควร
งานเลี้ยงถูกจัดไปได้จนถึงครึ่งงาน หลิวหยางได้สิทธิพิเศษในการคอยปรนนิบัติฮ่องเต้ ความโปรดปรานที่หลี่เฉียงฮ่องเต้มีให้หลิวหยางดังกระฉ่อนไปทั้งแคว้น ไม่แปลกอะไรหากในเวลาต่อมาพวกเขาจะได้ยินราชโองการที่ถูกประกาศถี่ในช่วงนี้
“หลิวเจาหรงรับราชโองการ เนื่องจากหลิวเจาหรงปรนนิบัติรับใช้เจิ้นมาด้วยความลำบาก เจิ้นจึงอยากตอบแทนน้ำใจอันใหญ่หลวงนี้ หลิวเจาหรงมีความประพฤติดี ฉลาดหลักแลม วางตัวเหมาะสม จึงขอเลื่อนยศเป็นพระชายาลำดับ1 หวงกุ้ยเฟย”อ่า ความวายป่วงในรอบหลายอาทิตย์นี้ จ้าวอวี้เริ่มจะเคยชินขึ้นมาบ้าง เขาอยากจับยกมือขึ้นมานวดขมับจริงๆ
“หลิวเจาหรงรับราชโองการ”
“หม่อมฉันขอค้านเพคะ”เสียงแหลมเสียดหูค้านขึ้นเรียกสายตาของคนทั้งงาน เป็นจ้าวฮองเฮาที่เอ่ยขึ้น
“มีอะไร เจ้าไม่เห็นด้วยกับราชโองการของเจิ้นอย่างนั้นหรือฮองเฮา”หลี่เฉียงฮ่องเต้ขมวดคิ้ว สีหน้าแสดงถึงความไม่พอใจ
“ตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยเป็นตำแหน่งสูงรองจากหม่อมฉัน หม่อมฉันเห็นควรว่าผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนี้จะต้องมีคุณสมบัติที่คู่ควร มีผลงานที่ช่วยยืนยันความมั่นคง หากพระองค์นำความเสน่หามาแต่งตั้งเช่นนี้หม่อมฉันเห็นว่าไม่ควรเพคะ ขอฝ่าบาททรงพิจารณาใหม่อีกครั้งด้วยเถิด”พอเห็นฮองเฮาเป็นเดือนเป็นร้อน ขุนนางตระกูลหลิวและพรรคพวกก็รีบคุกเข่าขอให้ฮ่องเต้พิจารณาใหม่อีกครั้ง
“บังอาจ! สิ่งที่เจิ้นประกาศ เจิ้นย่อมคิดมาอย่างดี ฮองเฮาช่วงนี้เจ้าช่างเหิมเกริมยิ่งนัก กล้าคัดค้านราชโองการของเจิ้น ว่านกงกงนำตัวฮองเฮาไปสงบสติอารมณ์ที่ตำหนักเย็นสองชั่วยาม”
“ฝ่าบาท!”จ้าวฮองเฮาหวีดเสียงร้อง แม้ว่าระยะเวลาลงโทษจะไม่นานแต่การที่คนเป็นถึงฮองเฮาก้าวไปเหยียบตำหนักเย็นก็นับว่าเป็นการหักหน้าที่เจ็บแสบ
เสนาบดีจ้าวกำหมัดแน่นมองบุตรสาวถูกลากตัวออกไป เพลิงร้อนคล้ายลุกโหมอยู่ภายในใจของเขา การกระทำของฮ่องเต้ถือเป็นการตัดขาดกับพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
...ดูท่าเขาจะต้องลงมือในคืนนี้
____________50%______________
เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากปลุกจ้าวอวี้ตื่นขึ้น เขาขมวดคิ้วอย่างสงสัยก่อนจะหันไปถามเสี่ยวหลัน
“ข้างนอกมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรึเปล่าเสี่ยวหลัน”
“มีกลุ่มทหารจำนวนหนึ่งมุ่งตรงไปทางเรือนนอนของนายเอกครับ”ได้ยินแบบนั้นจ้าวอวี้ก็รีบวิ่งไปดูสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะเป็นคนในจึงรู้ว่าทางเชื่อมที่เร็วที่สุดในการไปห้องนอนของหลิวหยางไปทางไหน นับว่าเขามาถึงก่อนคนพวกนั้นก้าวหนึ่ง และเขาไม่ลังเลที่จะรบกวนการนอนของนายเอก
“มีอะไรเหรอเฟิง”ภายในห้องนอนที่มืดสนิท มีเพียงแสงเทียนริบหรี่ที่สาดส่องไปยังใบหน้าของหลิวหยาง อีกฝ่ายนั่งอยู่บนเตียง ไม่ได้มีท่าทีเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน
“หวงกุ้ยเฟย มีกลุ่มคนไม่ทราบเจตนากำลังมุ่งตรงมาทางเรือนนอนของพระองค์ กระหม่อมว่าเราควรรีบหลบ”
“กลุ่มคนอย่างนั้นหรือ?”นายเอกทวนเสียงแผ่ว “แล้วมี...คนของฝ่าบาทเฝ้าอยู่แถวนี้รึเปล่า”
จ้าวอวี้ยังไม่ทันได้ตอบสิ่งใด ประตูเรือนนอนของหลิวหยางก็ถูกถีบจนกระเด็น เขาเพ่งสายตามองก่อนจะพบว่ากลุ่มคนที่ทำการอุกอาจนั้นคือเสนาบดีจ้าว บิดาของฮองเฮา
อ่า...ก็รู้นะว่าคิดจะทำการกบฏ แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะมาเร็วขนาดนี้
“ส่งตัวหวงกุ้ยเฟยมา”เสนาบดีหลิวเอ่ย ในมือของชายวัยกลางคนถือดาบชีหน้าจ้าวอวี้
“เกรงว่านายของบ่าวจะไม่ต้องการเช่นนั้น”จ้าวอวี้เอ่ยเสียงเรียบ “การกระทำอุกอาจต่อพระชายาเช่นนี้มีโทษประการใด ท่านเสนาบดีคงทราบดี”
“แค่บ่าวไพร่ชั้นต่ำ อย่าริมาสั่งสอนข้า”
“บ่าวคงไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายนายของบ่าวได้”จ้าวอวี้เอาดาบที่เขาเคยซื้อไว้ในตอนเข้าป่าขึ้นมาชี้โต้ตอบ ดวงตาของเขาเหลือบมองไปยังร่างของหลิวหยาง
น่าแปลกที่เหตุการณ์คราวนี้นายเอกกลับนิ่งกว่าที่เขาคิด ดวงตาของหลิวหยางที่ทอดมองกลุ่มคนตรงหน้าช่างเดาไม่ได้ว่าภายในใจนั้นคิดสิ่งใดอยู่
“ทหาร ฆ่าบ่าวน่ารำคาญนี่แล้วเอาตัวหวงกุ้ยเฟยมา ข้าอยากให้ฝ่าบาทได้เห็นเสียจริง คนรักที่ถูกข้าผู้นี้ปลิดชีพต่อหน้าต่อตา อ่า ฝ่าบาทคงดิ้นทุรนทุรายและเข้าใจความรู้สึกของบุตรีข้าขึ้นมาบ้าง หึ แค่คิดก็สนุกแล้ว”
จ้าวอวี้ใช้ดาบตั้งรับการโจมตีจากทหารฝ่ายกบฏที่เข้ามาพร้อมกัน นับว่ายากเกินไปจริงๆที่จะต่อสู้ไปด้วยแล้วคอยปกป้องหลิวหยางไปด้วย
“หวงกุ้ยเฟย! หนีไป! หนีไปหาฝ่าบาท”จ้าวอวี้ตะโกน ในขณะที่มือแกว่งดาบบั่นคอศัตรู หลิวหยางนั่งอยู่บนเตียงนิ่งๆ ดวงตาของนายเอกสบกับดวงตาของจ้าวอวี้ ก่อนที่รอยยิ้มขื่นขมจะเผยออกมา
“เกรงว่าข้าจะไปไม่ได้น่ะสิ”เสียงที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด จ้าวอวี้ไม่เข้าใจเกิดอะไรขึ้นกับนายเอกกันแน่
“เสี่ยวหลัน เอาดาบมาอีกอัน”ในเมื่อบอกให้ไปแล้วไม่ไปงั้นก็นั่งดูเขาสู้แบบนั้นไปแล้วกัน จ้าวอวี้รับดาบอันใหม่มาถือในมือซ้าย เขายังคงฟาดฟันศัตรูอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เสนาบดีเริ่มวิตก เมื่อคิดว่าการนำตัวกุ้ยเฟยไปจะเป็นเรื่องง่าย แต่กลับไม่ใช่อย่างที่คิด ดวงตาของชายวัยกลางคนทอดมองกำลังพลที่เริ่มเหลือน้อยลง ให้ตายเถอะเขาไม่น่าประมาทเอาคนมาแค่นิดเดียวเลย
เพราะคิดจะก่อกบฏ เขาจึงแบ่งกองออกเป็นสองกอง กองหนึ่งไปจัดการกับฮ่องเต้ ส่วนกองเล็กๆที่มีทหารไม่ถึงสิบคนไปจับตัวหวงกุ้ยเฟย ไม่คิดจริงๆว่าบ่าวรับใช้ของหวงกุ้ยเฟยจะมีฝีมือมากขนาดนี้
...เขาเสียทหารไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“ทหาร ถอย กลับไปสมทบกับกองหลัก เปลี่ยนเป้าหมายเป็นหลี่เฉียงฮ่องเต้คนเดียว”เสนาบดีจ้าวยอมละทิ้งความสะใจที่คิดจะใช้หลิวหยางเป็นเครื่องมือ เขาต้องยอมปล่อยปลาเล็กเพื่อที่จะได้จับปลาใหญ่ได้สำเร็จ
จ้าวอวี้มองตามหลังพวกที่หนีไป เขาไม่ได้คิดไล่ตาม จากเนื้อเรื่องเขามั่นใจว่าหลี่เฉียงฮ่องเต้ต้องจัดการพวกกบฏได้แน่ จ้าวอวี้หันกลับไปมองหลิวหยาง ดวงตากลมที่เอาแต่ทอดมองแสงเทียน
“หวงกุ้ยเฟย อย่าได้กังวล ทุกอย่างจะเรียบร้อย”
“มาใกล้ๆข้าหน่อยสิเฟิง”หลิวหยางเอ่ย จ้าวอวี้เดินเข้ามาใกล้ มือบางของหลิวหยางเอื้อมมาลบคราบเลือดบนใบหน้า ดวงตาของนายเอกมีน้ำตาคลอหน่วย
“เป็นอะไรไป หวงกุ้ยเฟย”
“เจ้าใช่ไหมเฟิง เจ้าคือคนที่ช่วยข้าไว้ในตอนนั้นใช่ไหม”คำถามของหลิวหยางทำให้จ้าวอวี้ชะงักไป
“...”เขาไม่รู้จะตอบอะไร จึงได้นิ่งเงียบ
“ไม่เป็นไร เจ้าไม่พูดก็ไม่เป็นไร”หลิวหยางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ขอบคุณ...ขอบคุณมากเลยนะเฟิง สำหรับทุกๆอย่าง”หลิวหยางกัดริมฝีปากแน่น เขาไม่อาจห้ามหยาดน้ำตาที่รินไหล
“หวงกุ้ยเฟย พระองค์เป็นอะไร”
“เฟิง ข้าเหนื่อยเหลือเกิน ข้าเหนื่อย ที่นี่ช่างโหดร้ายกับข้ายิ่งนัก”นายเอกซุกใบหน้าลงกับฝ่ามือ ปล่อยโฮออกมาอย่างน่าสงสาร
“ทุกคนย่อมต้องพานพบอุปสรรคก่อนที่จะค้นพบความสุขไม่ใช่หรือ”
“แล้วถ้าข้าบอกว่าฝ่าบาทคือความสุขของข้าเล่า ฮึก”
“ย่อมไม่แปลก ฝ่าบาทเป็นพระสวามีของพระองค์ เป็นคนที่พระองค์รัก นั่นเท่ากับท่านพบพานความสุขของตนแล้วไม่ใช่หรือ มีอะไรน่าเศร้าใจกัน พระองค์ไม่ต้องห่วงฝ่าบาทหรอก อีกไม่นานฝ่าบาทก็จะเดินเข้ามาปลอบประโลมท่าน”
“ไม่...เขาไม่มา”หลิวหยางเงยใบหน้าขึ้น ดวงตาของชายร่างบางแดงกร่ำจากการร้องไห้ “เขาไม่มาหรอกเฟิง”
“เหตุใดพระองค์กล่าวเช่นนั้น ฝ่าบาทรักพระองค์ออกปานนั้น พระองค์ก็เห็นไม่ใช่หรือ”คำปลอบของจ้าวอวี้คล้ายจะส่งไปไม่ถึง หลิวหยางจิกฝ่ามือตัวเองแน่น เขาสะอึกสะอื้นราวกับจะขาดใจ มือเรียวเอื้อมมากำเสื้อของจ้าวอวี้เสมือนเด็กน้อยต้องการที่พึ่งพิง
“ฮึก เขา...ไม่ได้รักข้า ไม่ได้รัก และไม่เคยรัก”หลิวหยางกัดฟันเอ่ย ประโยคนั้นเสียดแทงไปทั้งหัวใจของเขา แม้จะรู้ตัวมากสักพักแต่เขาก็พยายามปั้นยิ้มมีความสุข
ทั้งๆที่ภายในใจ...ไม่เคยมีรอยยิ้มที่แท้จริงเลยตั้งแต่เหยียบเข้ามาในวังหลังแห่งนี้
“เหตุใดเขาต้องหลอกลวงว่ารักข้า”
“...”
“เหตุใดเขาต้องทำเป็นโปรดปรานข้า”
“...”
“เหตุใดตอนที่เจ้าเอ่ยให้ข้าหนีไปถึงได้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกับตอนที่เขาเอ่ยให้ข้าหนีไป”
“...”
“เหตุใดเขาจึงไม่แตะต้องข้าทั้งๆที่มาหาข้าในทุกค่ำคืน เหตุใดเขาถึงยังไม่ลืมคนรักเก่าของตน เหตุใดจึงต้องใช้ข้าเป็นตัวแทน ในหัวของข้ามีแต่คำถามพวกนี้ซ้ำไปซ้ำมา และคำตอบที่ข้าได้ก็มีเพียงคำตอบเดียว”หลิวหยางเหยียดยิ้มทั้งๆที่น้ำตาไหลอาบแก้ม
“...”
“เขาคือกระเรียนไร้ใจ กระเรียนที่มีรักมั่นคงชั่วนิรันดร์...แต่ข้าไม่ใช่ ไม่ใช่คนที่เขาเลือกให้มาเป็นรักนิรันดร์ ข้าจึงได้ถามตัวเองอีกครั้ง ว่าทำไมข้าต้องมายืนอยู่ตรงนี้ เฝ้ารอคอยเศษความรักจากคนที่ตายไปแล้ว ทำไมจะต้องเป็นข้าที่มาเจอเรื่องโหดร้ายในวังแห่งนี้”
“หวงกุ้ยเฟย...ไม่สิ นายน้อย ท่านฟังข้า”จ้าวอวี้จับไหล่ทั้งสองข้างของหลิวหยาง บังคับให้คนตัวบางหันมาเผชิญหน้า “บนโลกนี้มีความรักมากมายหลายรูปแบบ ท่านไม่จำเป็นต้องงมงายรักคนเพียงคนเดียว และถึงแม้ท่านจะบอกว่าเขาคือคนที่มีรักมั่นคง แต่ข้าไม่เชื่อ ไม่เคยเชื่อว่าคนเราจะรักใครสักคนตราบชั่วรันดร์ คำว่านิรันดร์ไม่มีจริง สักวันทั้งฝ่าบาททั้งนายน้อยจะเจอความรักที่เป็นของตัวเองจริงๆ”
“เฟิง ข้าเองก็คิดแบบนั้น ถึงได้พยายามและอดทนมาโดยตลอด สำหรับคนอื่นข้ามั่นใจว่ามันเป็นอย่างที่เจ้าพูด แต่กับฝ่าบาท เขาทำให้ข้าเชื่อว่าต่อให้พยายามมากสักเพียงไรก็ไม่มีวันเข้าไปในใจของเขาได้”
“...”
“ข้าเหนื่อยเหลือเกินเฟิง ข้าไม่อยากอยู่ในวังวนพวกนี้อีกแล้ว...ขอโทษนะ”ว่าจบร่างของจ้าวอวี้ก็ถูกผลักลงไปกองกับพื้น หลิวหยางคว้าถ้วยน้ำชาขึ้นมาดื่ม จ้าวอวี้เบิกตาโพลง
อย่าบอกนะว่าในถ้วยชามียาพิษ!
“นายน้อย! หลิวหยาง! หลิวหยาง!”จ้าวอวี้รีบลุกไปรับร่างของหลิวหยางที่กำลังทรุดลงกับพื้น ร่างบากกระอักเลือดออกมา ดวงตาของหลิวหยางพร่ามัว แต่เขาก็ยังดีใจ...เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นสีหน้าแบบนี้จากเฟิง...และเป็นครั้งสุดท้าย
จ้าวอวี้เขย่าตัวนายเอก แต่ทุกอย่างกลับไร้การตอบสนอง
หลิวหยาง...ได้ตายลงแล้ว
จ้าวอวี้ได้ตระหนักในตอนนั้นเอง ความรู้สึกที่บอกว่ามีตัวละครกำลังoocอย่างรุนแรง...คนๆนั้นคือหลิวหยาง เขาขบริมฝีปากแน่น ดวงตาสีดำขลับเหลือบไปมองสร้อยข้อมือไข่มุกที่เขาใส่ติดตัวไว้ตลอด
...ครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยเป็นแบบหลิวหยาง
...ทั้งที่ๆจำเรื่องราวก่อนจะมาเป็นเจ้าหน้าที่ไม่ได้ แต่เขามั่นใจ ตอนที่ฟังหลิวหยางระบายความในใจ ความรู้สึกของเขากลับเห็นด้วยกับหลิวหยาง ราวกับว่ามันคือประสบการณ์ที่ครั้งหนึ่ง...เขาเองก็เคยพบเจอ
_____________________
#savexiaozhan ToT
อยากหอมหัวปลอบโยนน้อง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ภาพนี้เซียวจ้านสวยมากกกกก มาจากเรื่องอะไรเหรอคะ
มีกลิ่นดราม่าโชยมาเลยฮือออออ
กับต่ายน้อยพี่มีใจน้าาาาาา
(บัคไม่ได้กล่าวไว้)