คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ความเป็นมาการสัก
การสักเป็นเรื่องที่มีการปฏิบัติสืบต่อกันมาในหลายๆประเทศเป็นศตวรรษๆแล้ว มีเป้าหมายหลักเพื่อประดับร่างกาย แสดงสถานภาพทางสังคม และบอกเผ่าที่อยู่ไปจนถึงการลงโทษและแสดงสถานภาพชั้นต่ำในสังคม วีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ในญี่ปุ่นหลายคนมีรอยสักทั่วตัว และลวดลายบางลายก็สืบทอดมาถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันการสักทั่วตัวอาจทำให้ถูกมองว่าเป็นพวกยากูซ่า นักเลง มาเฟีย ซึ่งการสักได้แพร่หลายไปทางตะวันตกอย่างช้าๆ เนื่องมาจากการเดินทางไปสำรวจมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ และโพลีนีเชียของกัปตันเจมส์ คุก ในศตวรรษที่ 18 การสักยังคงเป็นที่แพร่หลายมากในปัจจุบันถึงขนาด5% ของประชากรทั้งหมดในอเมริกาจะมรอยสักอย่างน้อย 1 ราย
การสักก็คือการใส่หมึกสีที่ลบไม่ออกลงไปใต้ผิวหนังบริเวณที่ต้องการ ชาวโพลีนีเชีย และชายญี่ปุ่นโบราณนั้นทำการสักโดยใช้กลุ่มเข็มและไม้ไผ่แหลมๆจิ้มผิวหนังด้วยมือ แต่ปัจจุบันการการสักพัฒนาไปมาก เครื่องมือที่เป็นที่นิยมที่สุดเป็นเข็มที่ใช้มอเตอร์ในการทำให้ขยับแทงในผิวหนังลึกระหว่าง0.6-22 มิลลิเมตร เมื่อแทงลงไปหมึกจะแพร่กระจายไปสู่เนื้อเยื่อ ดูดซึมเก็บสะสมไว้ โอกาสที่จะเปิดปฏิกริยาที่เป็นเชิงลบจากหมึกที่ใช้สักมีน้อยมาก โดยปกติแล้วสิ่งแปลกปลอมจะถูกขจัดจากร่างกายโดยใช้กลไกป้องกันตามธรรมชาติ แต่อนุภาคของหมึกนั้นใหญ่เกินกว่าที่จะถูกขจัดออกไปด้วยกลไกนี้ได้
สาเหตุที่คนส่วนใหญ่สักกันก็มีตั้งแต่ ใช้รอยสักเป็นเครื่องแสดงถึงการผ่านอายุ (เช่น จากวัยเด็กขึ้นเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว) อาจใช้เพื่อเป็นทางออกของจิตวิญญาณ หรือการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ อาจใช้เป็นสัญลักษณ์เฉพาะขององค์กร บางทีก็ใช้รอยสักเป็นสัญลักษณ์ของการแข็งข้อหรือการปฏิวัติต่อต้านพ่อแม่หรือสังคม นอกจากนี้ยังมีคนที่ต้องการสักเพราะต้องการให้รอยสัก
เป็นอนุสรณ์ของคนที่รักหรือแสดงความรักอย่างในพวกที่สักเป็นชื่อคน หรือบางทีอาจจะสักเพียงเพราะเห็นว่าลายสักนั้นถูกใจโดยไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมหรือใช้เป็นสัญลักษณ์ใดๆเลย
ส่วนการสักเดี๋ยวนี้จะเจ็บน้อยกว่าหรือมากกว่าในอดีตนั้น น่าจะต้องดูบริเวณที่สักเป็นหลัก ถ้าอยู่ใกล้กระดูกอย่างข้อเท้า ซี่โครง และกระดูกสันหลังจะเจ็บกว่าที่อื่นๆ ส่วนที่มีเนื้อมากมักจะไม่ค่อยเจ็บ
ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก รู้ไปโม้ด โดยน้าชาติประชาชื่น
ความคิดเห็น