ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : พบเจอ
ตอนที่1 พบเจอ
ติ๊ดดดดๆๆๆ...ติ๊ดดดดๆๆๆ
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเช้าวันใหม่อันสดใส แสงแดดยามเช้าทอประกายลงมา ให้เห็นว่าภายในห้องนั้น
มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนอนขดตัวอย่างสบายอยู่บนเตียง โดยไม่สนใจ เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังอย่างต่อเนื่อง
ติ๊ดดดดๆๆๆ...ติ๊ดๆ... กึก
เสียงนาฬิกาปลุกหยุดลงโดยฝีมือของหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ซึ่งรำคาญกับเสียงนาฬิกาปลุกนี้มาก เธอตะโกนเสียงดังรับวันใหม่ ปลุกไอ้เพื่อนตัวดีที่ไม่ยอมตื่นเสียที
"ไอ้ปลิว นี่แกจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน หา ตื่นเดี๋ยวนี้นะยะ"
"ขอนอนต่ออีกหน่อยสิแก เมื่อคืนฉันกลับดึก ง่วงจะตายอยู่แล้ว" หญิงสาวพูดเสียงงัวเงียออกมาจากใต้ผ้าห่ม
"แต่นี่มันสายแล้วนะโว้ย วันนี้แกมีนัดกับหัวหน้าแก ไม่ใช่เรอะ นี่มันกี่โมงแล้ว แหกตาดูสิแก" หญิงสาวฉวยเอานาฬิกาปลุกที่หัวเตียงมา แล้วโยนมันไปข้างๆตัวเพื่อนตัวดี ที่ยังคงนอนคลุมโปงต่อ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
"โอยๆๆ ไอ้เอื้อง แกจะมาแหกปาก ทำเตี่ยอะไรฮะ ฉันจะนอนน่า ไปไหนก็ไปเลยแก"
"ตามใจแกแล้วกัน แล้วอย่ามาโวยวายทีหลังล่ะ" หญิงสาวทำหน้าบูด แล้วเดินสะบัดตู ด ออกไปเลย
ฝ่ายหญิงสาวบนเตียงก็ยังคงเข้าสู่ห้วงนิทราของเธอต่อไป จนในที่สุดเธอก็ตื่นมาจนได้
"ฮ้าวววว วันนี้นอนเต็มอิ่มดีจัง ไปอาบน้ำดีกว่า" หญิงสาวบิดขี้เกียจ พร้อมพูดพึมพำกับตัวเอง เช้านี้ช่างเป็นเช้าที่สดชื่น
เสียจริง เพราะเธอมีลางสังหรณ์ ว่าการที่หัวหน้าเรียกเธอไปพบเช้านี้ แสดงว่าจะต้องมีงานใหญ่ให้เธอทำแน่ หรือไม่ก็อาจมีการเพิ่มเงินเดือนให้เธอ อิๆๆ คิดแล้วมีความสุขจัง แต่เธอหารู้ไม่ว่าความสุขนั้นมันจะมลายหายไปรวดเร็วเพียงใด เธอเดินผิวปากอย่างสบายอารมณ์ไปหยิบผ้าเช็ดตัวเตรียมตัวไปอาบน้ำ แต่ก่อนหน้านั้นเธอเดินไปเปิดวิทยุเพื่อฟังเพลงซะหน่อย ปกติเธอไม่ใช่คนที่ชอบฟังเพลงในตอนเช้า ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่เธอมักตื่นสายเสมอจนต้องรีบเร่ง อาบน้ำ แต่งตัว เพื่อไปทำงาน
ไม่มีเวลามานั่งจิบกาแฟยามเช้า ชมนกชมไม้อย่างคนอื่นเขาหรอก แต่เช้านี้เธออารมณ์ดีเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงนึกคึกเปิดเพลงฟังซะหน่อย กดหาคลื่นที่ถูกใจอยู่นาน เสียงของดีเจหนุ่มคนหนึ่งที่คุ้นหู ก็ดังขึ้น
"สวัสดีครับ คุณผู้ฟังทุกคน ผมดีเจเป็ด มารับหน้าที่ต่อจากดีเจไก่ เปิดเพลงเพราะให้คุณฟังตอนสายๆ แบบนี้ สำหรับคน
ที่เพิ่งตื่นนอน ตอนนี้ก็สายแล้วนะครับ รีบๆกันหน่อย เดี๋ยวจะไปทำงานกันไม่ทัน ส่วนคนที่ฟังอยู่ในรถ ตอนนี้ รถคงติด
น่าดูนะครับ ยังไงใจเย็นกันหน่อย ใครอยากฟังเพลงสบายๆ ให้ใจเย็นล่ะก็ ส่งSMSมาได้ที่เบอร์xxxxxxxx ครับ ถ้างั้นเราไปฟังเพลงแรกกันเลยดีกว่าครับ..."
หญิงสาวยืนตะลึง จ้องวิทยุอย่างไม่เชื่อหูเธอรู้แล้วว่าทำไมเสียงดีเจคนนี้ถึงคุ้นหูนัก เพราะมันเป็นเสียงที่เธอได้ยินทุกวัน
ตอนที่เธอขับรถไปทำงานน่ะสิ แล้วที่จริงตอนนี้เธอควรกำลังขับรถอยู่ หรือไม่ก็ไปถึงที่ทำงานเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่มามัวแต่ฟังเพลงสบายอารมณ์อยู่อย่างนี้
"เย็นไว้ๆ ไอ้ปลิว อย่าตกใจ บางทีดีเจคนนี้ อาจจะมาแทนคนที่จัดตอนเช้าก็ได้..." หญิงสาวบอกกับตัวเองเบาๆ มันช่างเป็นคำแก้ตัวที่งี่เง่าสิ้นดี ก็ดีเจน่ะบอกว่าตอนนี้ 'สาย' แล้วน่ะสิ เธอรวบรวมสติที่แตกกระเจิง อย่าบอกนะว่างานที่เธอกำลังจะได้รับมอบหมายให้ทำ กำลังจะหลุดลอยไป เธอหมุนตัวกลับไปดูนาฬิกาที่แขวนไว้บนผนัง
...พระเจ้าช่วยลูกช้างด้วยเถิด ขอให้เป็นอย่างที่ลูกช้างคิดเล้ยยยยย>o<
ฉันมองนาฬิกา โอ้ พระเจ้าo_O 8โมง20นาที ไม่ทันแล้ววววว หัวหน้านัดฉัน 8โมงครึ่ง แล้วกว่าจะขับรถไปอีกล่ะ สาย
อย่างนี้รถติดจะตาย ฮืออออออY_Y งานของฉันกำลังจะหลุดลอยไปอีกแล้ว อย่างนี้ต้องโทษไอ้เอื้องเพราะมันไม่ยอมปลุกฉันให้ดีๆหน่อย (ไม่คิดจะโทษตัวเองเลยใช่มั้ยเนี่ย)
ตึกๆๆๆๆ
ฉันวิ่งลงบันไดด้วยความเร็วสูง มาเจอไอ้เอื้องที่นั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์ส่งยิ้มกวนๆมาให้
"ไง ตื่นจนได้นะแก"
"หนอย ฝากไว้ก่อน แก รอฉันกลับมาก่อนเหอะ" ฉันเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด
"ได้เสมอเพื่อนรัก แต่เร็วๆหน่อยนะ เพราะฉันไม่ชอบรับฝากของใคร โฮะๆๆ^o^...แล้วนี่แกจะไม่กินข้าวเช้าก่อนหรอ"
"กงกิน อะไรกันเล่า ไม่ทันแล้ว นี่ฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะเนี่ย"
"...เฮ้ยo_O"
"เออดิ แต่ฉันล้างหน้า แล้วก็แปรงฟันแล้วเว้ย"
"มันก้อน่าอี๋อยู่ดีแหละ"
"ไม่สนแล้วโว้ย ไปแล้วนะแก" ฉันผุนผลันออกไป โดยมีเสียงถอนหายใจของไอ้เอื้องดังตามมา
ปิ้นนนนๆๆๆ...ปิ้นนนนๆๆๆ
เสียงแตรรถดังมาเป็นระยะๆ ชั่วโมงเร่งด่วนของเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพ ยามนี้ใครๆต่างก็พากันเร่งรีบ บ้างก็มีนัด หรือบ้างก็ต้องไปเข้างานให้ทัน ผู้คนต่างต้องการไปให้ทันเวลา จำนวนรถที่มากเช่นนี้ ทำให้จราจรติดขัด และพลอยทำให้อารมณ์
ของผู้ขับขุ่นมัวได้เช่นกัน
"โว้ยยยยยย ทำไมวันนี้รถมันติดอย่างนี้วะ" หญิงสาววัยยี่สิบต้นๆ บ่นกับตัวเอง เสียงแตรดังกระหึ่มภายนอก ยิ่งพลอยทำให้อารมณ์เสียหนักขึ้นไปอีก
เธอเหลือบตามองนาฬิกาดิจิตอลภายในรถ ตอนนี้8โมง25นาทีแล้ว ตอนนี้เธอไม่หวังว่าจะไปให้ทันนัด หวังแต่ว่าขออย่าให้ไปสายมากนัก เพื่อหัวหน้าจะได้ไม่โกรธ...ไม่สิ ให้หัวหน้าโกรธให้น้อยที่สุดต่างหาก เธอซบหน้าลงกับพวงมาลัยรถ รอเวลาให้รถให้สัญญาณไฟเขียวขึ้นซะที
ปิ้นนนนนนนน...ปิ้นๆๆๆๆๆๆๆ...ปิ้นนนนนนนนน
"เฮ้ย รถคันหน้า ทำไมไม่ไปซักทีวะ"
เสียงกดแตร รัวยาว พร้อมเสียงตะโกนด่าของใครบางคน ที่ดังพอที่จะลอดกระจกใสเข้ามาในรถได้
'คงมีใครหลับในอีกแหงเลย' หญิงสาวคิด ขณะที่ยังคงซบหน้ากับพวงมาลัยอยู่
ก๊อกๆๆๆๆ
ซักพักเหมือนอะไรบางอย่างมาเคาะกระจกรถเธอ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจากพวงมาลัย ก็พบชายหน้าตาบูดบึ้งคนหนึ่งยืนจ้องเธออยู่ เธอกดเลื่อนกระจกลง ชายคนนั้นตะคอกมาทันที
"นี่คุณ หลับในอยู่หรอไง ฮะ ไฟเขียวขึ้นแล้วเนี่ย" เธอมองไปพบว่าไฟเขียวขึ้นแล้วจริงๆ และรถคันที่อยู่ข้างหน้าเธอต่างขับไปกันหมดแล้ว
งั้นเสียงแตรพร้อมเสียงตะโกนด่านั่น ก็ด่าเธอน่ะสิ
"นี่คุณ หลับในอยู่หรอไง ฮะ ไฟเขียวขึ้นแล้วเนี่ย" เธอมองไปพบว่าไฟเขียวขึ้นแล้วจริงๆ และรถคันที่อยู่ข้างหน้าเธอต่างขับไปกันหมดแล้ว งั้นเสียงแตรพร้อมเสียงตะโกนด่านั่น ก็ด่าเธอน่ะสิ
"อ...เอ่อ ขอโทษค่ะ พอดีฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อย" เธอละล่ำละลักพูด พร้อมกับจับพวงมาลัย เหยียบคันเร่ง แล้วแล่นฉิวออกไปเลย พร้อมเสียงตะโกนด่าของผู้ชายคนนั้น ที่ไม่ทันตั้งตัวเนื่องจากล้อรถเกือบทับเท้าเขา
"นี่ คุณ อะไรเนี่ย วันหลังจะไป หัดบอกกันมั่งนะ ผู้หญิงอะไรไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ"
โหยยยยย อะไรวะ เพิ่งเจอกันแท้ๆ มาด่ากันซะได้ ถึงคนจะด่าฉันบ่อยก็เหอะ ไอ้ผู้หญิงไม่ได้เรื่องเนี่ย วันนี้มันวันอะไรกันวะ ซวยสุดยอดเลย ไม่สิ ยังมีเรื่องซวยสุดยอดรออยู่อีก
ฉันมองนาฬิกาข้อมือ 9นาฬิกา ตรงเผง นี่แหละเรื่องซวยสุดยอด ฉันคิด ขณะเลี้ยวรถเข้าสำนักงาน ก่อนจะหาที่จอดซึ่งหาได้ยากเต็มทีเนื่องจาก คนเริ่มมากันหมดแล้ว จากนั้นจึงออกวิ่งด้วยความเร็ว 180กม./ชม. เข้าสำนักงานไป
ก้าวแรกที่ก้าวเข้าไปก็มีเสียงกวนๆของยัย องุ่น เพื่อนร่วมงานดังมา
"ไง ไอ้ปลิว มาสายจังนะแก นาฬิกาปลุกเสียเรอะ"
"เออ ทำนองนั้น" ฉันขี้เกียจต่อปากต่อคำเลยตอบมันไปส่งๆ นาฬิกามันไม่ได้เสียหรอก แต่ไอ้เอื้องมันไม่ยอมปลุกฉันต่างหาก (เอาอีกแล้ว)
"เฮ้ย ปลิว นี่แกเพิ่งจะโผล่หัวมาหรอ รู้ไหม หัวหน้าจะแปลงร่างเป็นยักษ์ ได้อยู่แล้วนะ" เสียงไอ้ทศ เพื่อนร่วมงานอีกคนดังมา มันทำหน้าสยดสยอง พวกเราต่างรู้ดีว่า เวลาหัวหน้าโกรธน่ะ มันน่ากลัวแค่ไหน
"...เออๆ"
"รีบๆไปเลยแก"
"เดี๋ยว ทศ ถ้าฉันเป็นอะไรไปนะ แกช่วยจัดการพินัยกรรม ให้ฉันด้วย ฝากบอกพวกเพื่อนๆด้วยว่า ฉันรักทุกคน ถ้าชาติหน้ามีจริงคงได้เกิดมาเป็น เพื่อนกันอีก..."
"แกมีพินัยกรรมกับเขาด้วยหรือไง มีทรัพย์สินอะไรน่ะแก"
"แหม ก็พอมีบ้างแหละน่า"
"เฮ้ย! มัวแต่มายืนพูดเรื่องไร้สาระกันอยู่ได้ รีบไปได้แล้วโว้ยยยยยย ไอ้นี่"
ฉันรีบวิ่งออกไปทันที ลืมเรื่องหัวหน้าไปซะสนิท ฉันกระโจนขึ้นลิฟต์ แล้วก็ออกวิ่งอีกที จนมาถึงหน้าห้องหัวหน้า
แฮ่กๆๆๆๆ ทำไมวันนี้มันเหนื่อยอย่างนี้นะ วิ่งมาราธอนตลอดเลย
"ปลิว เพิ่งมาหรอ รีบเข้าไปเถอะ หัวหน้าโกรธจนจะแปลงร่างเป็นยักษ์ได้อยู่แล้วนะ" เสียงเหมย เลขาหน้าห้องของหัวหน้าดังมา แหม พูดเหมือน ไอ้ทศเปี๊ยบเลยนะ
"อืมๆ" ฉันรับคำ พร้อมกับเอื้อมมือจะไปจับลูกบิดประตู ขอให้หัวหน้าไม่โกรธ ฉันด้วยเถิ้ดดดดด เจ้าประคู้นนนนน
แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ก่อนที่ปลายนิ้วฉันจะแตะลูกบิดประตู...
...ผัลวะ!...
ประตูเปิดออกอย่างแรง ยังผลให้ฉันซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง ได้รับผลกรรมไปเต็มๆ ร่างฉันลอยละลิ่ว ข้ามห้องไป เอ่อ อันนั้น ก็เว่อร์ไปนะ ฉันเสียหลักล้มลงก้นกระแทกพื้นอย่างแรง
"ปลิว เป็นอะไรหรือเปล่า" เหมย พูดอย่างตกใจ
"ม...ไม่เป็นไร" ไม่เป็นไร บ้าน่ะสิ อูยยยย เจ็บก้นชะมัด ใครนะเปิดประตู ไม่ดูตาม้าตาเรือเลย
ฉันเห็นรองเท้าของใครบางคนอยู่ตรงหน้าฉัน เป็นรองเท้าหนังอย่างดี เงาวับจับตา จนฉันสามารถมองเห็นเงาของฉันได้(อ่า...เว่อร์ไปหรอ) เป็นรองเท้าราคาแพงซะด้วย ดูท่าคนใส่คงรวยน่าดู(ท่าจะบ้า มานั่งวิจารณ์รองเท้าคนอื่น)
"ขอโทษนะครับ ที่ผมไม่ระวัง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ" เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น น่าแปลกที่มันเป็นเสียงที่คุ้นมาก...คุ้นมากๆ
ฉันเงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วก็ต้อง อ้าปากค้าง ตกใจสุดขีด
ฉันรู้แล้วว่าทำไม เสียงนี้ถึงคุ้นหูฉันนัก...
...เสียงของคนที่ ฉันเคยเรียกว่า 'เพื่อนรัก' แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็อยากเรียกว่า 'คนรัก' ด้วยเหมือนกัน
...เสียงของคนที่ ฉันยอมทุ่มเทให้หมดหัวใจ
...เสียงของคนที่ ทำให้หัวใจของฉันเจ็บช้ำ
...เสียงของคนที่ฉันคิดว่า ฉันรักมากกว่าตัวฉันเองซะอีก...
มีคนบางคนบอกว่า เราต้องรักตัวเราเองก่อนที่จะไปรักคนอื่น...แล้วอะไรเป็นเหตุผลให้เราไม่ได้รักกัน?...
เพราะฉันรักเขามากกว่าตัวฉันเอง...หรือเพราะเขาไม่เคยรักฉันเลย...
เขาก็ดูตกใจไม่แพ้กัน ดีหน่อยก็ตรงที่ ไม่ได้อ้าปากค้างและทำหน้าตาบิดเบี้ยวแบบฉัน ได้แต่เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ แน่ล่ะ จะไม่ให้แปลกใจได้ไงกัน ก็ดันเจอคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอนี่
"ปลิว " เขาพูด เบาราวเสียงกระซิบ แต่ฉันก็ได้ยินอยู่ดี ยังอุตส่าห์จำชื่อฉันได้อีกนะ แต่เขาไม่เปลี่ยนไปเลย ทั้งรูปร่างสูงใหญ่นั่น หรือแม้แต่ ใบหน้า จมูก ปาก และ ดวงตาหลังแว่นกรอบบาง ที่ยังคงทอประกายอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา
... หรือฉันจะคิดไปเอง
นี่ไอ้ปลิว...แกคิดเรื่องไร้สาระอีกแล้วนะ เลิกคิดได้แล้ว...
"เป็นอะไรหรือเปล่า?..." เขาถามย้ำ พร้อมกับยื่นมือมาทางฉัน ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในน้ำเสียงนั้น เหมือนที่ฉันเคยได้รับบ่อยๆ เมื่อนานมาแล้ว...ความรู้สึกในครั้งนั้นกลับมาอีกครั้ง...
"อ้าว เปลิกา คุณนั่นเอง ว่างมากหรือไงครับถึงได้ลงไปนั่งอยู่ที่พื้นน่ะ" เสียงนี้ไม่ต้องบอก คงพอจะเดากันได้ ใช่แล้ว หัวหน้าฉัน นั่นเอง ซึ่งตอนนี้กำลังยืน หน้าบึ้ง ถมึงทึง แยกเขี้ยว เตรียม กัด เอ๊ย เตรียมด่า ฉันอยู่พอดี ตายแล้ว ลืมเรื่อง มาสายไปซะสนิทเลยเรา ตายแน่ งานนี้ ไอ้ปลิว ตายแน่ๆ
"เอ่อ...ผมต่างหากครับ ที่เปิดประตูไม่ระวัง จนไปชน เธอเข้าน่ะครับ" แน่นอน ว่านี่ไม่ใช่เสียงหัวหน้าฉันแน่ แล้วจะเป็นใครไปได้ล่ะนอกจาก เขานั่นเอง ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษซะเหลือเกิน แต่จะว่าไป หมอนี่ก็ผิดจริงๆ นั่นแหละ
"งั้นก็ต้องขอโทษแทน เปลิกา ด้วยนะครับ เป็นคนซุ่มซ่ามอย่างนี้ตลอดแหละครับ นี่ขนาดเดินมาให้ประตูชนซะได้"
เฮ้ย อะไรวะ ไปขอโทษ เขาทำม้ายยยยย แล้วนี่กลายเป็นฉันผิดหรอเนี่ย
" ผมต่างหากครับที่ผิด"
"แล้วเปลิกา คุณจะนั่งอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม ลุกขึ้นซะทีสิ... นี่ผมยังไม่ได้สะสาง เรื่องที่คุณมาสายเลยนะ" หัวหน้าหันมาใส่ฉันต่อ ฮือๆๆ วันนี้นี่ มันเป็นวันซวย อภิมหาซวย จริงๆเลย
โดยที่ไม่ต้องรอให้บอกซ้ำสอง ฉันลุกขึ้นยืนทันที
"นี่ไง ครับ คุณพลภาคย์ เปลิกา ทนายความรุ่นใหม่อนาคตไกลของเรา และ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายคนใหม่ของบริษัทคุณ"
เดี๋ยวนะ นี่หัวหน้าพูดเรื่องอะไรกันเนี่ย ฉัน งง ไปหมดแล้ว
" เดี๋ยวนะคะ หัวหน้า นี่มันเรื่องอะไรกันคะ"
"ก็อย่างที่คุณได้ยินแหละ เปลิกา" หัวหน้าพูดอย่างหงุดหงิด "ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป คุณจะต้องไปทำงานที่บริษัทของคุณ พลภาคย์..."
o_O หา? ว่าไงนะ เมื่อกี้ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย โอออออ ฉันว่าที่ฉัน มาเจอเค้านี่ก็แย่พออยู่แล้วนะ นี่จะต้องไปทำงานที่เดียวกันอีก มีอะไรแย่กว่านี้อีกมั้ย?
"ต...แต่ หัวหน้าคะ ฉัน..."
"พอเลยๆ เปลิกา" หัวหน้าพูดพร้อมกับยกมือห้าม "นึกแล้ว ว่าคุณต้องปฏิเสธ แต่นี่เป็นคำสั่ง เข้าใจมั้ยครับ"
ฉันทำหน้าแหย แต่ไม่ได้มองว่าหมอนั่นจะทำหน้าแบบเดียวกันหรือเปล่าน่ะสิ
"งั้น ก็หมดเรื่องแล้ว คุณช่วยเดินไปส่ง คุณพลภาคย์ด้วยนะ"
"แต่ หัวหน้าคะ แบบนี้ก็แปลว่าหัวหน้าไล่ฉันออกหรอคะ"
"เปล่า...แต่นี่ถือเป็นการเลื่อนตำแหน่งต่างหากล่ะ นั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องการมาตลอดไม่ใช่หรือไง"
"เอ่อ แต่ฉันเพิ่งเข้ามาทำงานได้แค่ไม่กี่ปีเองนะคะ "
"ผมมีทางเลือกให้คุณสองทาง หนึ่งคือ ไปทำงานตามที่ผมบอก หรือสอง โดนไล่ออก คุณจะเอายังไง"
"ทำงานค่ะ" ฉันตอบเสียงอ่อย หัวหน้าก็เป็นซะอย่างนี้ อะไร ก็จะไล่ออกๆ
"ดี งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ คุณพลภาคย์ เปลิกาไปส่งด้วย" แล้วหัวหน้าก็หมุนตัวเดินกลับเข้าห้องไปเลย
ฉันซึ่งไม่มีทางเลือก จึงต้องจำยอมเดินไปส่งเขา
"เชิญ ทางนี้ค่ะ" ฉันพูด แล้วก็เดินนำลิ่วไปเลย
"ปลิว..." เสียงเรียกฉันมาจากด้านหลัง ฉันคิดว่าตังเองคงหูฝาด รีบเร่งฝีเท้า
" ปลิว เดี๋ยวก่อนสิ" เสียงนั้นยังคงตามหลอกหลอนไปเรื่อยๆ ฉันเร่งฝีเท้าขึ้นอีก จนตอนนี้จะกลายเป็นวิ่งแล้ว
"ปลิว รอด้วย" คราวนี้ไม่พูดเปล่า แต่ร่างสูงที่เดินก้าวตามทัน คว้าข้อมือฉันไว้ทันที ด้วยความตกใจ ฉันเลยสะบัดมือแรง
แต่คงจะแรงไปหน่อย ทำให้มือนั้นไปฟาดที่ตัวเขาเข้าพอดี
"เอ่อ ขอโทษค่ะ" ฉันมองหน้าเขาที่ตอนนี้ ดูตกใจนิดหน่อย แล้วก็รีบเดินจ้ำอ้าวต่อทันที
"ปลิว รอก่อนสิ จะรีบเดินไปไหนน่ะ ทำไมต้องเดินหนีด้วย"
เราเดินมาถึงลิฟต์จนได้ในที่สุด ฉันรีบกดปุ่มลง
"ฉันมาส่งคุณแค่นี้นะคะ" ฉันพูดน้ำเสียงสุภาพ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันพูดกับเขาแบบนี้
"อืม..." เขาตอบรับแล้วก็ทำท่าจะพูดอะไรต่อ จังหวะนั้น ลิฟต์ก็มาพอดี เขาจึงก้าวเข้าลิฟต์ไป ส่วยฉันก็หมุนตัวเดิน
กลับ
ประตูลิฟต์ปิดลง... เหมือนประตูที่กั้นเราสองคนเอาไว้...ตลอดกาล...
*****************************************************************************************
ลงท้ายแบบนี้เหมือนจะจบเรื่องแล้วเลยเนอะ แต่ยังค่ะ...ยังไม่จบ รอติดตามตอนต่อไปแล้วกันคะ \(^o^)/
ช่วยเม้น+โหวตด้วยนะคะ เพื่อเป็นกำลังใจ แหะๆ ^3^
ติ๊ดดดดๆๆๆ...ติ๊ดดดดๆๆๆ
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเช้าวันใหม่อันสดใส แสงแดดยามเช้าทอประกายลงมา ให้เห็นว่าภายในห้องนั้น
มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนอนขดตัวอย่างสบายอยู่บนเตียง โดยไม่สนใจ เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังอย่างต่อเนื่อง
ติ๊ดดดดๆๆๆ...ติ๊ดๆ... กึก
เสียงนาฬิกาปลุกหยุดลงโดยฝีมือของหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ซึ่งรำคาญกับเสียงนาฬิกาปลุกนี้มาก เธอตะโกนเสียงดังรับวันใหม่ ปลุกไอ้เพื่อนตัวดีที่ไม่ยอมตื่นเสียที
"ไอ้ปลิว นี่แกจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน หา ตื่นเดี๋ยวนี้นะยะ"
"ขอนอนต่ออีกหน่อยสิแก เมื่อคืนฉันกลับดึก ง่วงจะตายอยู่แล้ว" หญิงสาวพูดเสียงงัวเงียออกมาจากใต้ผ้าห่ม
"แต่นี่มันสายแล้วนะโว้ย วันนี้แกมีนัดกับหัวหน้าแก ไม่ใช่เรอะ นี่มันกี่โมงแล้ว แหกตาดูสิแก" หญิงสาวฉวยเอานาฬิกาปลุกที่หัวเตียงมา แล้วโยนมันไปข้างๆตัวเพื่อนตัวดี ที่ยังคงนอนคลุมโปงต่อ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
"โอยๆๆ ไอ้เอื้อง แกจะมาแหกปาก ทำเตี่ยอะไรฮะ ฉันจะนอนน่า ไปไหนก็ไปเลยแก"
"ตามใจแกแล้วกัน แล้วอย่ามาโวยวายทีหลังล่ะ" หญิงสาวทำหน้าบูด แล้วเดินสะบัดตู ด ออกไปเลย
ฝ่ายหญิงสาวบนเตียงก็ยังคงเข้าสู่ห้วงนิทราของเธอต่อไป จนในที่สุดเธอก็ตื่นมาจนได้
"ฮ้าวววว วันนี้นอนเต็มอิ่มดีจัง ไปอาบน้ำดีกว่า" หญิงสาวบิดขี้เกียจ พร้อมพูดพึมพำกับตัวเอง เช้านี้ช่างเป็นเช้าที่สดชื่น
เสียจริง เพราะเธอมีลางสังหรณ์ ว่าการที่หัวหน้าเรียกเธอไปพบเช้านี้ แสดงว่าจะต้องมีงานใหญ่ให้เธอทำแน่ หรือไม่ก็อาจมีการเพิ่มเงินเดือนให้เธอ อิๆๆ คิดแล้วมีความสุขจัง แต่เธอหารู้ไม่ว่าความสุขนั้นมันจะมลายหายไปรวดเร็วเพียงใด เธอเดินผิวปากอย่างสบายอารมณ์ไปหยิบผ้าเช็ดตัวเตรียมตัวไปอาบน้ำ แต่ก่อนหน้านั้นเธอเดินไปเปิดวิทยุเพื่อฟังเพลงซะหน่อย ปกติเธอไม่ใช่คนที่ชอบฟังเพลงในตอนเช้า ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่เธอมักตื่นสายเสมอจนต้องรีบเร่ง อาบน้ำ แต่งตัว เพื่อไปทำงาน
ไม่มีเวลามานั่งจิบกาแฟยามเช้า ชมนกชมไม้อย่างคนอื่นเขาหรอก แต่เช้านี้เธออารมณ์ดีเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงนึกคึกเปิดเพลงฟังซะหน่อย กดหาคลื่นที่ถูกใจอยู่นาน เสียงของดีเจหนุ่มคนหนึ่งที่คุ้นหู ก็ดังขึ้น
"สวัสดีครับ คุณผู้ฟังทุกคน ผมดีเจเป็ด มารับหน้าที่ต่อจากดีเจไก่ เปิดเพลงเพราะให้คุณฟังตอนสายๆ แบบนี้ สำหรับคน
ที่เพิ่งตื่นนอน ตอนนี้ก็สายแล้วนะครับ รีบๆกันหน่อย เดี๋ยวจะไปทำงานกันไม่ทัน ส่วนคนที่ฟังอยู่ในรถ ตอนนี้ รถคงติด
น่าดูนะครับ ยังไงใจเย็นกันหน่อย ใครอยากฟังเพลงสบายๆ ให้ใจเย็นล่ะก็ ส่งSMSมาได้ที่เบอร์xxxxxxxx ครับ ถ้างั้นเราไปฟังเพลงแรกกันเลยดีกว่าครับ..."
หญิงสาวยืนตะลึง จ้องวิทยุอย่างไม่เชื่อหูเธอรู้แล้วว่าทำไมเสียงดีเจคนนี้ถึงคุ้นหูนัก เพราะมันเป็นเสียงที่เธอได้ยินทุกวัน
ตอนที่เธอขับรถไปทำงานน่ะสิ แล้วที่จริงตอนนี้เธอควรกำลังขับรถอยู่ หรือไม่ก็ไปถึงที่ทำงานเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่มามัวแต่ฟังเพลงสบายอารมณ์อยู่อย่างนี้
"เย็นไว้ๆ ไอ้ปลิว อย่าตกใจ บางทีดีเจคนนี้ อาจจะมาแทนคนที่จัดตอนเช้าก็ได้..." หญิงสาวบอกกับตัวเองเบาๆ มันช่างเป็นคำแก้ตัวที่งี่เง่าสิ้นดี ก็ดีเจน่ะบอกว่าตอนนี้ 'สาย' แล้วน่ะสิ เธอรวบรวมสติที่แตกกระเจิง อย่าบอกนะว่างานที่เธอกำลังจะได้รับมอบหมายให้ทำ กำลังจะหลุดลอยไป เธอหมุนตัวกลับไปดูนาฬิกาที่แขวนไว้บนผนัง
...พระเจ้าช่วยลูกช้างด้วยเถิด ขอให้เป็นอย่างที่ลูกช้างคิดเล้ยยยยย>o<
ฉันมองนาฬิกา โอ้ พระเจ้าo_O 8โมง20นาที ไม่ทันแล้ววววว หัวหน้านัดฉัน 8โมงครึ่ง แล้วกว่าจะขับรถไปอีกล่ะ สาย
อย่างนี้รถติดจะตาย ฮืออออออY_Y งานของฉันกำลังจะหลุดลอยไปอีกแล้ว อย่างนี้ต้องโทษไอ้เอื้องเพราะมันไม่ยอมปลุกฉันให้ดีๆหน่อย (ไม่คิดจะโทษตัวเองเลยใช่มั้ยเนี่ย)
ตึกๆๆๆๆ
ฉันวิ่งลงบันไดด้วยความเร็วสูง มาเจอไอ้เอื้องที่นั่งจิบกาแฟอย่างสบายอารมณ์ส่งยิ้มกวนๆมาให้
"ไง ตื่นจนได้นะแก"
"หนอย ฝากไว้ก่อน แก รอฉันกลับมาก่อนเหอะ" ฉันเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด
"ได้เสมอเพื่อนรัก แต่เร็วๆหน่อยนะ เพราะฉันไม่ชอบรับฝากของใคร โฮะๆๆ^o^...แล้วนี่แกจะไม่กินข้าวเช้าก่อนหรอ"
"กงกิน อะไรกันเล่า ไม่ทันแล้ว นี่ฉันยังไม่ได้อาบน้ำเลยนะเนี่ย"
"...เฮ้ยo_O"
"เออดิ แต่ฉันล้างหน้า แล้วก็แปรงฟันแล้วเว้ย"
"มันก้อน่าอี๋อยู่ดีแหละ"
"ไม่สนแล้วโว้ย ไปแล้วนะแก" ฉันผุนผลันออกไป โดยมีเสียงถอนหายใจของไอ้เอื้องดังตามมา
ปิ้นนนนๆๆๆ...ปิ้นนนนๆๆๆ
เสียงแตรรถดังมาเป็นระยะๆ ชั่วโมงเร่งด่วนของเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพ ยามนี้ใครๆต่างก็พากันเร่งรีบ บ้างก็มีนัด หรือบ้างก็ต้องไปเข้างานให้ทัน ผู้คนต่างต้องการไปให้ทันเวลา จำนวนรถที่มากเช่นนี้ ทำให้จราจรติดขัด และพลอยทำให้อารมณ์
ของผู้ขับขุ่นมัวได้เช่นกัน
"โว้ยยยยยย ทำไมวันนี้รถมันติดอย่างนี้วะ" หญิงสาววัยยี่สิบต้นๆ บ่นกับตัวเอง เสียงแตรดังกระหึ่มภายนอก ยิ่งพลอยทำให้อารมณ์เสียหนักขึ้นไปอีก
เธอเหลือบตามองนาฬิกาดิจิตอลภายในรถ ตอนนี้8โมง25นาทีแล้ว ตอนนี้เธอไม่หวังว่าจะไปให้ทันนัด หวังแต่ว่าขออย่าให้ไปสายมากนัก เพื่อหัวหน้าจะได้ไม่โกรธ...ไม่สิ ให้หัวหน้าโกรธให้น้อยที่สุดต่างหาก เธอซบหน้าลงกับพวงมาลัยรถ รอเวลาให้รถให้สัญญาณไฟเขียวขึ้นซะที
ปิ้นนนนนนนน...ปิ้นๆๆๆๆๆๆๆ...ปิ้นนนนนนนนน
"เฮ้ย รถคันหน้า ทำไมไม่ไปซักทีวะ"
เสียงกดแตร รัวยาว พร้อมเสียงตะโกนด่าของใครบางคน ที่ดังพอที่จะลอดกระจกใสเข้ามาในรถได้
'คงมีใครหลับในอีกแหงเลย' หญิงสาวคิด ขณะที่ยังคงซบหน้ากับพวงมาลัยอยู่
ก๊อกๆๆๆๆ
ซักพักเหมือนอะไรบางอย่างมาเคาะกระจกรถเธอ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจากพวงมาลัย ก็พบชายหน้าตาบูดบึ้งคนหนึ่งยืนจ้องเธออยู่ เธอกดเลื่อนกระจกลง ชายคนนั้นตะคอกมาทันที
"นี่คุณ หลับในอยู่หรอไง ฮะ ไฟเขียวขึ้นแล้วเนี่ย" เธอมองไปพบว่าไฟเขียวขึ้นแล้วจริงๆ และรถคันที่อยู่ข้างหน้าเธอต่างขับไปกันหมดแล้ว
งั้นเสียงแตรพร้อมเสียงตะโกนด่านั่น ก็ด่าเธอน่ะสิ
"นี่คุณ หลับในอยู่หรอไง ฮะ ไฟเขียวขึ้นแล้วเนี่ย" เธอมองไปพบว่าไฟเขียวขึ้นแล้วจริงๆ และรถคันที่อยู่ข้างหน้าเธอต่างขับไปกันหมดแล้ว งั้นเสียงแตรพร้อมเสียงตะโกนด่านั่น ก็ด่าเธอน่ะสิ
"อ...เอ่อ ขอโทษค่ะ พอดีฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อย" เธอละล่ำละลักพูด พร้อมกับจับพวงมาลัย เหยียบคันเร่ง แล้วแล่นฉิวออกไปเลย พร้อมเสียงตะโกนด่าของผู้ชายคนนั้น ที่ไม่ทันตั้งตัวเนื่องจากล้อรถเกือบทับเท้าเขา
"นี่ คุณ อะไรเนี่ย วันหลังจะไป หัดบอกกันมั่งนะ ผู้หญิงอะไรไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ"
โหยยยยย อะไรวะ เพิ่งเจอกันแท้ๆ มาด่ากันซะได้ ถึงคนจะด่าฉันบ่อยก็เหอะ ไอ้ผู้หญิงไม่ได้เรื่องเนี่ย วันนี้มันวันอะไรกันวะ ซวยสุดยอดเลย ไม่สิ ยังมีเรื่องซวยสุดยอดรออยู่อีก
ฉันมองนาฬิกาข้อมือ 9นาฬิกา ตรงเผง นี่แหละเรื่องซวยสุดยอด ฉันคิด ขณะเลี้ยวรถเข้าสำนักงาน ก่อนจะหาที่จอดซึ่งหาได้ยากเต็มทีเนื่องจาก คนเริ่มมากันหมดแล้ว จากนั้นจึงออกวิ่งด้วยความเร็ว 180กม./ชม. เข้าสำนักงานไป
ก้าวแรกที่ก้าวเข้าไปก็มีเสียงกวนๆของยัย องุ่น เพื่อนร่วมงานดังมา
"ไง ไอ้ปลิว มาสายจังนะแก นาฬิกาปลุกเสียเรอะ"
"เออ ทำนองนั้น" ฉันขี้เกียจต่อปากต่อคำเลยตอบมันไปส่งๆ นาฬิกามันไม่ได้เสียหรอก แต่ไอ้เอื้องมันไม่ยอมปลุกฉันต่างหาก (เอาอีกแล้ว)
"เฮ้ย ปลิว นี่แกเพิ่งจะโผล่หัวมาหรอ รู้ไหม หัวหน้าจะแปลงร่างเป็นยักษ์ ได้อยู่แล้วนะ" เสียงไอ้ทศ เพื่อนร่วมงานอีกคนดังมา มันทำหน้าสยดสยอง พวกเราต่างรู้ดีว่า เวลาหัวหน้าโกรธน่ะ มันน่ากลัวแค่ไหน
"...เออๆ"
"รีบๆไปเลยแก"
"เดี๋ยว ทศ ถ้าฉันเป็นอะไรไปนะ แกช่วยจัดการพินัยกรรม ให้ฉันด้วย ฝากบอกพวกเพื่อนๆด้วยว่า ฉันรักทุกคน ถ้าชาติหน้ามีจริงคงได้เกิดมาเป็น เพื่อนกันอีก..."
"แกมีพินัยกรรมกับเขาด้วยหรือไง มีทรัพย์สินอะไรน่ะแก"
"แหม ก็พอมีบ้างแหละน่า"
"เฮ้ย! มัวแต่มายืนพูดเรื่องไร้สาระกันอยู่ได้ รีบไปได้แล้วโว้ยยยยยย ไอ้นี่"
ฉันรีบวิ่งออกไปทันที ลืมเรื่องหัวหน้าไปซะสนิท ฉันกระโจนขึ้นลิฟต์ แล้วก็ออกวิ่งอีกที จนมาถึงหน้าห้องหัวหน้า
แฮ่กๆๆๆๆ ทำไมวันนี้มันเหนื่อยอย่างนี้นะ วิ่งมาราธอนตลอดเลย
"ปลิว เพิ่งมาหรอ รีบเข้าไปเถอะ หัวหน้าโกรธจนจะแปลงร่างเป็นยักษ์ได้อยู่แล้วนะ" เสียงเหมย เลขาหน้าห้องของหัวหน้าดังมา แหม พูดเหมือน ไอ้ทศเปี๊ยบเลยนะ
"อืมๆ" ฉันรับคำ พร้อมกับเอื้อมมือจะไปจับลูกบิดประตู ขอให้หัวหน้าไม่โกรธ ฉันด้วยเถิ้ดดดดด เจ้าประคู้นนนนน
แต่ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ก่อนที่ปลายนิ้วฉันจะแตะลูกบิดประตู...
...ผัลวะ!...
ประตูเปิดออกอย่างแรง ยังผลให้ฉันซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง ได้รับผลกรรมไปเต็มๆ ร่างฉันลอยละลิ่ว ข้ามห้องไป เอ่อ อันนั้น ก็เว่อร์ไปนะ ฉันเสียหลักล้มลงก้นกระแทกพื้นอย่างแรง
"ปลิว เป็นอะไรหรือเปล่า" เหมย พูดอย่างตกใจ
"ม...ไม่เป็นไร" ไม่เป็นไร บ้าน่ะสิ อูยยยย เจ็บก้นชะมัด ใครนะเปิดประตู ไม่ดูตาม้าตาเรือเลย
ฉันเห็นรองเท้าของใครบางคนอยู่ตรงหน้าฉัน เป็นรองเท้าหนังอย่างดี เงาวับจับตา จนฉันสามารถมองเห็นเงาของฉันได้(อ่า...เว่อร์ไปหรอ) เป็นรองเท้าราคาแพงซะด้วย ดูท่าคนใส่คงรวยน่าดู(ท่าจะบ้า มานั่งวิจารณ์รองเท้าคนอื่น)
"ขอโทษนะครับ ที่ผมไม่ระวัง เป็นอะไรหรือเปล่าครับ" เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้น น่าแปลกที่มันเป็นเสียงที่คุ้นมาก...คุ้นมากๆ
ฉันเงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วก็ต้อง อ้าปากค้าง ตกใจสุดขีด
ฉันรู้แล้วว่าทำไม เสียงนี้ถึงคุ้นหูฉันนัก...
...เสียงของคนที่ ฉันเคยเรียกว่า 'เพื่อนรัก' แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็อยากเรียกว่า 'คนรัก' ด้วยเหมือนกัน
...เสียงของคนที่ ฉันยอมทุ่มเทให้หมดหัวใจ
...เสียงของคนที่ ทำให้หัวใจของฉันเจ็บช้ำ
...เสียงของคนที่ฉันคิดว่า ฉันรักมากกว่าตัวฉันเองซะอีก...
มีคนบางคนบอกว่า เราต้องรักตัวเราเองก่อนที่จะไปรักคนอื่น...แล้วอะไรเป็นเหตุผลให้เราไม่ได้รักกัน?...
เพราะฉันรักเขามากกว่าตัวฉันเอง...หรือเพราะเขาไม่เคยรักฉันเลย...
เขาก็ดูตกใจไม่แพ้กัน ดีหน่อยก็ตรงที่ ไม่ได้อ้าปากค้างและทำหน้าตาบิดเบี้ยวแบบฉัน ได้แต่เลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ แน่ล่ะ จะไม่ให้แปลกใจได้ไงกัน ก็ดันเจอคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอนี่
"ปลิว " เขาพูด เบาราวเสียงกระซิบ แต่ฉันก็ได้ยินอยู่ดี ยังอุตส่าห์จำชื่อฉันได้อีกนะ แต่เขาไม่เปลี่ยนไปเลย ทั้งรูปร่างสูงใหญ่นั่น หรือแม้แต่ ใบหน้า จมูก ปาก และ ดวงตาหลังแว่นกรอบบาง ที่ยังคงทอประกายอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา
... หรือฉันจะคิดไปเอง
นี่ไอ้ปลิว...แกคิดเรื่องไร้สาระอีกแล้วนะ เลิกคิดได้แล้ว...
"เป็นอะไรหรือเปล่า?..." เขาถามย้ำ พร้อมกับยื่นมือมาทางฉัน ฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในน้ำเสียงนั้น เหมือนที่ฉันเคยได้รับบ่อยๆ เมื่อนานมาแล้ว...ความรู้สึกในครั้งนั้นกลับมาอีกครั้ง...
"อ้าว เปลิกา คุณนั่นเอง ว่างมากหรือไงครับถึงได้ลงไปนั่งอยู่ที่พื้นน่ะ" เสียงนี้ไม่ต้องบอก คงพอจะเดากันได้ ใช่แล้ว หัวหน้าฉัน นั่นเอง ซึ่งตอนนี้กำลังยืน หน้าบึ้ง ถมึงทึง แยกเขี้ยว เตรียม กัด เอ๊ย เตรียมด่า ฉันอยู่พอดี ตายแล้ว ลืมเรื่อง มาสายไปซะสนิทเลยเรา ตายแน่ งานนี้ ไอ้ปลิว ตายแน่ๆ
"เอ่อ...ผมต่างหากครับ ที่เปิดประตูไม่ระวัง จนไปชน เธอเข้าน่ะครับ" แน่นอน ว่านี่ไม่ใช่เสียงหัวหน้าฉันแน่ แล้วจะเป็นใครไปได้ล่ะนอกจาก เขานั่นเอง ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษซะเหลือเกิน แต่จะว่าไป หมอนี่ก็ผิดจริงๆ นั่นแหละ
"งั้นก็ต้องขอโทษแทน เปลิกา ด้วยนะครับ เป็นคนซุ่มซ่ามอย่างนี้ตลอดแหละครับ นี่ขนาดเดินมาให้ประตูชนซะได้"
เฮ้ย อะไรวะ ไปขอโทษ เขาทำม้ายยยยย แล้วนี่กลายเป็นฉันผิดหรอเนี่ย
" ผมต่างหากครับที่ผิด"
"แล้วเปลิกา คุณจะนั่งอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม ลุกขึ้นซะทีสิ... นี่ผมยังไม่ได้สะสาง เรื่องที่คุณมาสายเลยนะ" หัวหน้าหันมาใส่ฉันต่อ ฮือๆๆ วันนี้นี่ มันเป็นวันซวย อภิมหาซวย จริงๆเลย
โดยที่ไม่ต้องรอให้บอกซ้ำสอง ฉันลุกขึ้นยืนทันที
"นี่ไง ครับ คุณพลภาคย์ เปลิกา ทนายความรุ่นใหม่อนาคตไกลของเรา และ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายคนใหม่ของบริษัทคุณ"
เดี๋ยวนะ นี่หัวหน้าพูดเรื่องอะไรกันเนี่ย ฉัน งง ไปหมดแล้ว
" เดี๋ยวนะคะ หัวหน้า นี่มันเรื่องอะไรกันคะ"
"ก็อย่างที่คุณได้ยินแหละ เปลิกา" หัวหน้าพูดอย่างหงุดหงิด "ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป คุณจะต้องไปทำงานที่บริษัทของคุณ พลภาคย์..."
o_O หา? ว่าไงนะ เมื่อกี้ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย โอออออ ฉันว่าที่ฉัน มาเจอเค้านี่ก็แย่พออยู่แล้วนะ นี่จะต้องไปทำงานที่เดียวกันอีก มีอะไรแย่กว่านี้อีกมั้ย?
"ต...แต่ หัวหน้าคะ ฉัน..."
"พอเลยๆ เปลิกา" หัวหน้าพูดพร้อมกับยกมือห้าม "นึกแล้ว ว่าคุณต้องปฏิเสธ แต่นี่เป็นคำสั่ง เข้าใจมั้ยครับ"
ฉันทำหน้าแหย แต่ไม่ได้มองว่าหมอนั่นจะทำหน้าแบบเดียวกันหรือเปล่าน่ะสิ
"งั้น ก็หมดเรื่องแล้ว คุณช่วยเดินไปส่ง คุณพลภาคย์ด้วยนะ"
"แต่ หัวหน้าคะ แบบนี้ก็แปลว่าหัวหน้าไล่ฉันออกหรอคะ"
"เปล่า...แต่นี่ถือเป็นการเลื่อนตำแหน่งต่างหากล่ะ นั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องการมาตลอดไม่ใช่หรือไง"
"เอ่อ แต่ฉันเพิ่งเข้ามาทำงานได้แค่ไม่กี่ปีเองนะคะ "
"ผมมีทางเลือกให้คุณสองทาง หนึ่งคือ ไปทำงานตามที่ผมบอก หรือสอง โดนไล่ออก คุณจะเอายังไง"
"ทำงานค่ะ" ฉันตอบเสียงอ่อย หัวหน้าก็เป็นซะอย่างนี้ อะไร ก็จะไล่ออกๆ
"ดี งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ คุณพลภาคย์ เปลิกาไปส่งด้วย" แล้วหัวหน้าก็หมุนตัวเดินกลับเข้าห้องไปเลย
ฉันซึ่งไม่มีทางเลือก จึงต้องจำยอมเดินไปส่งเขา
"เชิญ ทางนี้ค่ะ" ฉันพูด แล้วก็เดินนำลิ่วไปเลย
"ปลิว..." เสียงเรียกฉันมาจากด้านหลัง ฉันคิดว่าตังเองคงหูฝาด รีบเร่งฝีเท้า
" ปลิว เดี๋ยวก่อนสิ" เสียงนั้นยังคงตามหลอกหลอนไปเรื่อยๆ ฉันเร่งฝีเท้าขึ้นอีก จนตอนนี้จะกลายเป็นวิ่งแล้ว
"ปลิว รอด้วย" คราวนี้ไม่พูดเปล่า แต่ร่างสูงที่เดินก้าวตามทัน คว้าข้อมือฉันไว้ทันที ด้วยความตกใจ ฉันเลยสะบัดมือแรง
แต่คงจะแรงไปหน่อย ทำให้มือนั้นไปฟาดที่ตัวเขาเข้าพอดี
"เอ่อ ขอโทษค่ะ" ฉันมองหน้าเขาที่ตอนนี้ ดูตกใจนิดหน่อย แล้วก็รีบเดินจ้ำอ้าวต่อทันที
"ปลิว รอก่อนสิ จะรีบเดินไปไหนน่ะ ทำไมต้องเดินหนีด้วย"
เราเดินมาถึงลิฟต์จนได้ในที่สุด ฉันรีบกดปุ่มลง
"ฉันมาส่งคุณแค่นี้นะคะ" ฉันพูดน้ำเสียงสุภาพ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันพูดกับเขาแบบนี้
"อืม..." เขาตอบรับแล้วก็ทำท่าจะพูดอะไรต่อ จังหวะนั้น ลิฟต์ก็มาพอดี เขาจึงก้าวเข้าลิฟต์ไป ส่วยฉันก็หมุนตัวเดิน
กลับ
ประตูลิฟต์ปิดลง... เหมือนประตูที่กั้นเราสองคนเอาไว้...ตลอดกาล...
*****************************************************************************************
ลงท้ายแบบนี้เหมือนจะจบเรื่องแล้วเลยเนอะ แต่ยังค่ะ...ยังไม่จบ รอติดตามตอนต่อไปแล้วกันคะ \(^o^)/
ช่วยเม้น+โหวตด้วยนะคะ เพื่อเป็นกำลังใจ แหะๆ ^3^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น