คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 ตอนที่ 2 เรื่องเล่าในอดีต
ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ ร่างของเด็กหนุ่มสองคนที่ผมรู้จักเป็นอย่างดีกำลังพากันนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงปฐมพยาบาลที่อยู่บริเวณในสุดของห้อง ผมใช้เวลาไม่นานในการสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น น่าแปลกที่ทั่วร่างของทั้งคู่แทบจะไม่มีบาดแผลใด ๆ เกิดขึ้นเลย ทั้งที่สภาพที่เกิดเหตุไม่น่าจะปลอดภัยได้ถึงเพียงนี้
ผมละมือจากทั้งคู่ แล้วตรงไปยังร่างของชายชาวต่างชาติที่นอนสลบอยู่บนเตียงใกล้กับเด็กหนุ่มทั้งสอง จากที่เห็น ผมสีทองของเขาดูยุ่งเหยิงพิกล ทั่วทั้งร่างมีบาดแผลเล็ก ๆ ไม่ต่ำกว่าสิบแห่ง ผมเริ่มใส่ยาฆ่าเชื้อให้อีกรอบ มันทำงานอย่างเต็มที่ ฟองขาวนูนขึ้นอย่างทันใจ แต่ร่างกายของชายชาวต่างชาติก็หาได้รู้สึกอะไร เขาไม่สะทกสะท้านต่อยาฆ่าเชื้อเสียด้วยซ้ำ
หลังจากปฐมพยาบาลเสร็จผมก็ปลีกตัวออกมา คาดเดาได้เลยว่าน่าจะอีกนานกว่าทั้งสามจะฟื้น ก่อนจะเดินตรงไปยังโต๊ะที่ใช้ทำงานอยู่เป็นประจำ มันอยู่อีกด้านของห้อง แล้วหยุดลงหน้าอุปกรณ์บางชิ้นที่ผมกำลังรอผลจากมัน
กลิ่นสารเคมีภายในห้องลอยกระทบเข้ากับจมูกอยู่เป็นระยะ ผมทอดตัวลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างก่อนจะเอนตัวลงเพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าของร่างกาย เจ้าเครื่องปริ้นเตอร์เลเซอร์สีขาวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะคายแผ่นกระดาษอะไรออกมา
ผมละสายตาจากมัน แล้วเพ่งตรงไปยังทั้งสามร่างที่อยู่อีกฝาก โดยเฉพาะเพื่อนทั้งสอง แววตาพินิจที่ทั้งคู่อยู่นาน ถ้าไปไม่ทัน พวกเขาทั้งสามจะเป็นยังไงกันนะ
ความลังเลเกิดขึ้นในใจเล็กน้อยก่อนที่จะยิงออกไป เสียงปืนดังติดต่อกันสองครั้ง ลูกกระสุนทั้งสองนัดจากลำกล้องสมิธแอนด์เวสสัน รุ่น SW910S เข้าเป้าอย่างแม่นยำ นัดแรกทำให้อาวุธของมันหลุด อีกหนึ่งพุ่งสู่หลังศีรษะ ทำให้ร่างของมันเซไปข้างหน้า ก่อนจะล้มฟุบลงกับพื้น
แต่สิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นก็ทำให้ไม่อาจคลายปืนในมือลงได้ บาดแผลของมันหาได้มีเลือดออกมาไม่ ผมก้าวเท้าขึ้นชั้นสองอย่างไม่เร่งรีบ ผนวกเข้ากับความระมัดระวังอย่างเต็มเปี่ยม ก่อนที่จะมาหยุดอยู่ใกล้กับร่างของพอลและเดย์ไวท์ หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะทำให้คลายใจได้เปาะหนึ่ง ทั้งคู่แค่สลบไปเท่านั้น
สมองยังไม่ตัดสินใจให้เข้าไปหาอาจารย์โทมัส ผมเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง โดนแค่นี้ไม่น่าจะทำให้มันตาย
แล้วก็เป็นจริง สายตาทั้งคู่เห็นมันกำลังพยายามจะลุก แต่ผมก็ไม่รีรอ ตัดสินใจลั่นไกปืนอีกครั้ง กระสุนทั้งสามนัดเจาะเข้ากลางลำตัว แต่คราวนี้มันแทบไม่สะทกสะท้าน ร่างของมันแค่เซตามแรงกระสุน ก่อนที่จะยืนขึ้นมาเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แล้วมันก็จ้องมา
หน้ากากที่แตกละเอียดจากพิษของลูกกระสุนครั้งแรก เผยใบหน้าอันขาวซีดที่ถูกซ่อนออกมาให้เห็น มันไร้แม้กระทั่งสีเลือด ปากที่ปิดสนิทและหนังที่แห้งติดกับกระดูกทำให้แทบผวา แววตาของมันไม่หลงเหลือเค้าความเป็นมนุษย์เลยสักนิด นี่หรือที่ในจารึกเรียกกันว่า เจตภูต เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตัวเป็น ๆ กับตาของตัวเอง
แล้วหัวใจก็ต้องเต้นรัวเมื่อมันก้าวเข้าหา อาวุธในมือมีแค่ปืนโครงสร้างอัลลอยด์สแตนเลส ที่สำคัญไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย หนทางที่ดีที่สุดสำหรับเหตุการณ์อย่างนี้ คือต้องหนีอย่างเดียวเท่านั้น แต่ทำยังไงถึงจะหนีจากมันพ้น นั่นล่ะปัญหา
เจตภูตไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะเข้าโจมตี มันวาดเคียวอันคมกริบหมายจะตัดเข้ากับลำคอ ผมรีบก้มตัวหลบอย่างรวดเร็ว คมดาบตัดเข้ากับฮู๊ดของเสื้อกันหนาวที่ห่อหุ้มร่าง ขนทั่วร่างชูชันขึ้นทันที ผมพยายามกลิ้งตัวหลบออกห่างมันให้มากที่สุด
แต่มันไม่ละความตั้งใจ กลับตามเข้ามาหมายจะเอาให้ตาย เจตภูตง้างอาวุธก่อนที่จะสับลง ผมใช้เท้าถีบตัวเองให้พุ่งไปข้างหน้า เคียวสีดำทะมึนปักห่างจากขาแบบเฉียดฉิว
ร่างของผมไถลผ่านมัน ก่อนที่จะมาหยุดอยู่ใกล้กับร่างของอาจารย์โทมัส แล้วตัดสินใจตอบโต้มันไปอีกครั้ง ถึงจะรู้ว่าไม่ได้ผลก็ตาม แต่ก็ใช่ว่าจะศูนย์เปล่า มันทำให้มองเห็นโอกาสที่จะหนี
ลูกกระสุนเฉียดใบหน้าที่เหมือนซากศพ ก่อนที่จะทะลุกระจกหน้าต่างด้านหลังออกไป
ตอนนี้ทุกคนอยู่บนชั้นสองของห้องสมุด หน้าต่างที่นี่ถูกสร้างขึ้นด้วยกระจกทั้งบาน มันถูกออกแบบให้เปิดโดยการดันออกไปด้านนอก ถึงผมจะไม่ค่อยชอบแบบนี้ก็เถอะ ทำไมนะ ทำไมไม่ทำแบบเลื่อนเอา ออกจะสะดวกกว่าตั้งเยอะ
แล้วเสียงจากลำกล้องของสมิธแอนด์เวสสันก็ดังอย่างไม่ขาดสาย วิถีกระสุนเน้นเข้าเฉพาะท่อนบน ร่างของมันเซถลาไปด้านหลังตามแรงของลูกปืน
ปืนในมือถูกยิงกระหน่ำ ปลอกกระสุนกระดอนออกจากรังเพลิงอย่างไม่ขาดสาย ร่างของมันสะบัดซ้ายขวาอยู่ตลอดเวลา
แต่แล้วเสียงจากลำกล้องก็หยุดลง พร้อมกับร่างของมันที่หยุดเซ “เวรล่ะ กระสุนหมด !!” รอยยิ้มบนใบหน้าของผมจางหาย ชั่วครู่เหมือนกับเห็นมันยิ้มออกมาอย่างสะใจ
อีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะมีโอกาสพาทุกคนหนี ผมไม่ยอมพลาดโอกาสนี้ไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย ดังนั้นจึงตัดสินใจวิ่งเข้าหามันอย่างรวดเร็ว สายตาทั้งคู่จดจ้องอยู่แต่อาวุธสีดำสนิท ถ้าหลบพ้นโอกาสก็จะมาถึง
คราวนี้มันวาดอาวุธเข้ากลางลำตัว ผมทิ้งตัวเองให้ราบลงกับพื้น แล้วใช้มือทั้งสองดันตัวเองกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มันไม่ทันที่จะได้วาดอาวุธเข้าใส่เป็นครั้งที่สอง ร่างของมันก็ถูกผมผลักกระเด็นให้หลุดออกนอกหน้าต่าง แล้วร่วงหล่นสู่พื้นเบื้องล่าง
เวลาไม่เคยรีรอ ผมรีบประคองร่างของอาจารย์โทมัสเข้าไปหาพอลและเดย์ไวท์ พร้อมกับรีบกดปุ่มที่อยู่ด้านข้างของนาฬิกาข้อมือที่ใส่ ปุ่มไฟสีเขียววิ่งขึ้นรอบ ๆ หน้าปัด มันวิ่งเป็นวงกลมอย่างต่อเนื่อง
ห้า
.สี่
.ผมเริ่มนับถอยหลัง
แต่แล้วมันก็โผล่มาภายนอกหน้าต่าง เสียงกลืนน้ำลายของผมดังเฮือกใหญ่ บัดนี้ร่างสีขาวของมันถูกย้อมไปด้วยฝุ่นผง คาดว่าคงจะโกรธน่าดู
เจตภูตไม่รีรอ มันพุ่งเข้าหาทั้งสี่คนอย่างรวดเร็ว
สาม
.ผมนับแข่งกับเวลา เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า
สอง
.เจตภูตง้างอาวุธ รู้สึกได้เลยว่าใบหน้าของผมซีดเผือด
หนึ่ง
.แล้วมันก็ฟันลง พร้อมกับไฟกระพริบสีเขียวที่หยุดวิ่ง ผมหลับตาสนิท
ศูนย์
.แล้วร่างของทั้งสี่ก็หายไปพร้อมกับปลายอาวุธของมันที่ปักอยู่บนพื้นห้อง
นัยน์ตาดำขลับจดจ้องอยู่ที่สิ่งประดิษฐ์ชิ้นที่สองที่อาจารย์โทมัสเป็นคนสร้าง มันยังไม่เคยออกสู่สายตาของคนทั้งโลก มีน้อยคนนักที่พอจะทราบรายละเอียดเกี่ยวกับนวัตกรรมชิ้นนี้ ตามที่อาจารย์โทมัสเล่า มันถูกสร้างขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อนในสมัยที่เขายังทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สมบูรณ์ ความใหญ่โตของเครื่องกำเนิดพลังงานไม่สะดวกต่อการนำไปใช้ และความไม่เสถียรต่อผลที่ได้ทำให้โครงการของอาจารย์ถูกยกเลิก รวมถึงโครงการนั้นด้วย
เมื่อความรู้ทางปฏิกิริยานิวเคลียร์ล้ำหน้ามากยิ่งขึ้น อาจารย์โทมัสจึงได้รื้อมันขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาไม่ต้องการจะให้โลกได้รับรู้ จึงค้นคว้าอย่างลับ ๆ เขาพบว่าต้องสร้างสิ่งที่จะสามารถให้พลังงานกับมันให้ได้ก่อน
ห้าปีต่อมาสิ่งประดิษฐ์ชิ้นแรกก็เกิดขึ้น
“ทางเคมีเรียกไฮโดรเจนที่จับกันอยู่สามอะตอมว่าตริเตียม (Tritium) หรือ 3H เมื่อนำตริเตียม 2 โมเลกุลมารวมตัวกัน จะทำให้เกิดพลังงานอย่างมหาศาล” อาจารย์โทมัสเล่า
แคปซูลขนาดจิ๋วที่อยู่ภายในนาฬิกาข้อมือคือสิ่งประดิษฐ์ชิ้นแรก มันบรรจุตริเตียมไว้หลายร้อยล้านโมเลกุล เมื่อให้กระแสไฟเพียงเล็กน้อย ตริเตรียมแต่ละโมเลกุลจะเกิดการรวมตัวกันอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดพลังงานอย่างมหาศาล ซึ่งเพียงพอต่อการนำไปใช้ในสิ่งประดิษฐ์ชิ้นที่สอง
เมื่อมันได้รับพลังงานถึงขีดสุด ผู้สวมใส่จะสามารถ จั้มป์ (Jump) ไปยังสถานที่ใดก็ได้ที่ถูกระบุไว้ เพียงแต่สถานที่นั้นต้องมีไมโครชิพที่ลิ้งค์ (Link) กับอุปกรณ์ชิ้นนี้อยู่
แคปซูลไฮโดรเจนและอุปกรณ์เคลื่อนย้ายสสาร เป็นชื่อที่เขาตั้งให้กับสิ่งประดิษฐ์ทั้งสองชิ้น ที่สามารถทำให้ พาพวกเขาหนีมาได้อย่างปลอดภัย
แล้วสติก็ถูกกระตุ้นให้หลุดจากภวังค์ ด้วยเสียงของเครื่องปริ้นเตอร์ที่อยู่ข้าง ๆ ผมรีบหัวขวับไปทันที กระดาษขนาดเอสี่ ถูกคายออกมาหนึ่งแผ่น ชื่อของเพื่อนทั้งสองปรากฏอยู่หน้าแถบเส้นสีแดงสลับเขียวและขาว ทั้งสองเส้นเรียงเป็นเส้นตรงแนวนอนอยู่กลางหน้ากระดาษ ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ไม่น่าจะสะกดเป็นคำเรียงอยู่ภายใต้แถบสีแต่ละอัน คงจะมีเพียงไม่กี่คนที่จะเข้าใจความหมายของมัน
มือทั้งสองหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมา พลันสายตาก็สแกนอย่างรวดเร็ว ผมแทบระงับความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่เมื่อลายพิมพ์ดีเอ็นเอ (DNA fingerprint) ที่อยู่ต่อหน้าบอกข้อมูลหลาย ๆ อย่างที่พยายามค้นคว้ามายาวนาน
ถึงเจตภูตจะน่ากลัว แต่วันนี้มันก็ได้ทำบางสิ่งที่จะพลิกชะตาชีวิตของเพื่อนทั้งสองด้วยเช่นกัน
“นาวา ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่” เสียงนั้นทำให้ผมสะดุ้ง แล้วรีบเก็บข้อมูลที่ได้ไว้ใต้โต๊ะทันที ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาเดย์ไวท์ที่เพิ่งได้สติขึ้นมา
อาหารในจานที่วางอยู่ตรงหน้าแทบไม่ลดเลยสักนิด รอยยิ้มจางหายจากใบหน้าของพอลและเดย์ไวท์ ทั้งคู่แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“กินข้าวกันต่อเถอะ” เสียงของอาจารย์โทมัสที่นั่งอยู่หัวโต๊ะดังขึ้น แขนซ้ายของเขาถูกผันไว้ด้วยผ้าผันแผลแล้วคล้องอยู่กับลำคอ ทั้งสี่นั่งรับประทานอาหารในห้องเล็ก ๆ ที่แยกออกจากห้องโถงขนาดใหญ่ พอลและเดย์ไวท์ลงมือจัดการกับอาหารต่อ แต่เพราะรสชาติของอาหารหรือบรรยากาศในห้องสี่เหลี่ยมอับ ๆ กันแน่ถึงทำให้ทั้งคู่รู้สึกเฝื่อนคอได้ถึงขนาดนี้
ภายนอกพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า แต่พวกเขาก็ไม่มีโอกาสได้ยลความงามในครั้งสุดท้ายของปี ทั้งสี่ต้องหลบซ่อนอยู่ภายในห้องแลปที่อยู่ใต้บ้านเรือนไทย สวนด้านหน้าเต็มไปด้วยต้นไม้ขนาดกลางที่ยืนต้นอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวสด ถนนอิฐรูปตัวหนอนตัดผ่านสนามหญ้ากลายเป็นทางยาวมาถึงหน้าบันได ฮอนด้าแจ๊สคันโปรดถูกจอดอยู่ในโรงรถฝั่งตะวันตกของบ้าน ทุกอย่างรายล้อมด้วยกำแพงคอนกรีตสูงประมาณสองเมตร และโรงเรียนที่ทุกคนคุ้ยเคยก็ห่างจากนี่ไม่กี่ช่วงตึก
หลังอาหารเย็น พอลและเดย์ไวท์ช่วยกันพยุงอาจารย์โทมัสไปพักผ่อนที่โซฟาหน้าทีวี เขายังเดินได้ไม่คล่อง เราทั้งสามแทบไม่ได้พูดอะไรกันเลย ผมยังให้เวลาทั้งคู่ตัดสินใจ
“นาวา นายเป็นอะไรกันแน่” พอลถามขึ้นขณะที่เดินสวนกัน
ผมวางจานลงบนโต๊ะด้านข้างแล้วถามกลับ “นายอยากรู้จริง ๆ” สายตาของเราทั้งคู่จดจ้องกันเขม็ง ผมเลื่อนเก้าอี้ออกมาแล้วทอดตัวลงไป พอลและเดย์ไวท์นั่งลงตรงข้าม
“ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นเหมือนพวกนาย แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว” ผมเริ่มเล่า
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อยี่สิบสามปีก่อน ตอนนั้นผมยังเป็นเพียงเด็กชายอายุสิบขวบ ในแต่ละวันก็ไปเรียนตามปกติ มีครอบครัวที่รักเรา และมีเพื่อนที่เรารัก ใช้ชีวิตตามประสาเด็กทั่วไป เพียงแต่มีบางอย่างที่ผิดปกติต่อร่างกาย
มันก็แค่บางเวลาที่อยู่ ๆ ก็สามารถทำให้สิ่งของล่องลอยขึ้นได้ ตอนนั้นผมคิดแค่ว่า มันก็เท่านั้นเอง
แล้ววัยเด็กก็จบลง ด้วยอุบัติเหตุที่ถูกทำให้เกิดขึ้น หลังจากนั้นผมก็ไม่มีโอกาสได้กลับบ้านอีกเลย
มันเป็นศูนย์ค้นคว้าถึงมนุษย์อีกแบบที่มีวิวัฒนาการสูงขึ้น พวกนั้นลักลอบพาตัวผมที่กำลังไปทัศนศึกษากับทางโรงเรียน แล้วให้เหตุผลกับทางบ้านว่าผมพลัดหลงทางแล้วหายตัวไป
ตลอดหนึ่งปีที่ต้องโดนกักขังอยู่อย่างโดดเดี่ยว ความรู้สึกโกรธต่อสิ่งที่เป็นคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ต้องพยายามอยู่ต่อให้ได้ พยายามนึกถึงครอบครัวที่รักเรา แต่ความอ้างว้าง ความเหงา ก็เกิดขึ้นแทบทุกวันจนรู้สึกชิน คนพวกนั้นทดลองเสมือนกับผมใช่มนุษย์ไม่ เลือด เนื้อ ตลอดจนร่างกายถูกนำไปวันแล้ววันเล่า
ในแต่ละวันผมพยายามหลบหนี แต่ก็ไม่สำเร็จ
แต่แล้วในวันหนึ่งโอกาสก็มาถึง เมื่อผมยอมอ่อนข้อจนพวกนั้นตายใจ
ผมไม่ออกมาโดยเปล่าประโยชน์ ข้อมูลต่าง ๆ ที่พวกนั้นเคยมีได้ถูกทำลายลง พวกมันไม่สมควรจะได้ไปเสียด้วยซ้ำ
แต่แล้วก็ไปไม่รอด ระหว่างทางผมถูกลอบยิงแล้วก็เสียชีวิตลง
หนึ่งปีให้หลัง เมื่อไม่มีตัวทดลอง ศูนย์วิจัยก็ไม่มีข้อมูลที่จะส่งให้กับรัฐบาลที่เป็นผู้สนับสนุน การทดลองต่าง ๆ ได้ถูกยกเลิก ศูนย์ถูกยุบกลายเป็นสถานที่รกร้างว่างเปล่า ไม่นานก็ถูกทุบทิ้งแล้วถูกสร้างกลายเป็นบ้านไม้สักเรือนไทย ส่วนที่ดินที่เหลือก็กลายเป็นโรงเรียนจวบจนทุกวันนี้
ตลอดเวลาที่ร่างกายสูญสลาย หากแต่จิตวิญญาณอันแรงกล้ายังคงอยู่ ดอกเตอร์ที่เคยเป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยแห่งนั้นได้ทำการสร้างผมขึ้นมาใหม่โดยวิธีการโคลนนิ่ง (Cloning) ทุกคนที่เคยทำงานที่ศูนย์ไม่รู้เลยว่าที่แห่งนั้นยังมีห้องลับใต้ดิน มันลึกลงไปถึงเจ็ดสิบเมตร เขาสร้างผมจากเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) ที่เก็บไว้ในห้องใต้ดินแห่งนี้ นอกจากนั้นแล้วยังทำให้ผมผิดแปลกจากมนุษย์ทั่วไปอีกหลายอย่าง ยีนที่ทำให้แตกต่างจากคนอื่นถูกถ่ายทอดลงมาในแบบของพันธุกรรม
แล้วผมก็ได้เกิดใหม่อีกครั้ง ร่างกายเจริญเติบโตตามปกติ เว้นแต่ความทรงจำในอดีตเท่านั้นที่กลับจางหาย แต่สมองและความคิดกลับพัฒนาอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
อาจารย์โทมัสผู้เคยเป็นหัวหน้าศูนย์วิจัยได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ครั้งแรกเขาพยายามเกลี้ยกล่อมพ่อและแม่ของผมให้พาตัวไปรักษาที่ศูนย์แห่งนั้น แต่ทั้งคู่ไม่เห็นด้วย พวกเขาบอกว่าเป็นพรสวรรค์ที่ประเจ้าประทานมา หาใช่โรคร้ายแรงไม่
ที่สำคัญอาจารย์โทมัสเล่าให้ฟังอีกว่าหลังจากที่ผมเสียชีวิต ในทุก ๆ คืนที่เขาหลับจะต้องเห็นผมมาหาในความฝัน เพื่อบอกให้นำผมกลับมายังโลกนี้อีกครั้ง
ภายหลังที่รู้เรื่องราวทั้งหมด ผมแทบอยากจะฆ่าเขาเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้ทำ ในเมื่อเขาทำให้ผมกลับมาในสภาพสมบูรณ์พร้อมในทุก ๆ ด้าน แต่มีอย่างเดียวเท่านั้นที่ไม่ใช่ คือผมไม่สามารถทำอย่างเดิมได้อีก แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการเป็นอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน
เพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นของคนกลุ่มหนึ่ง ทำให้ชีวิตในอดีตของเด็กคนหนึ่งต้องพังทลาย มันช่างตรงข้ามกันยิ่งนัก ที่เทคโนโลยีที่เจริญเติบโต และพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่จิตใจของผู้คนกลับตกต่ำลง สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่ผมยอมไม่ได้ เกิดเหตุการณ์เช่นนี้จะต้องไม่เกิดกับเด็กคนอื่น ดังนั้นจึงตัดสินใจลงมือศึกษาค้นคว้าเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ข้อมูลจากอาจารย์โทมัสถูกถ่ายทอดมาจนหมดสิ้น
ตลอดเวลาสิบปีที่ค้นคว้า ไม่มีสักครั้งที่รู้สึกท้อ วัฒนธรรมหรืออารยะธรรมในแต่ละยุคแต่ละสมัย ทำให้ผมรู้อะไรต่าง ๆ มากมาย จนค้นพบหลักฐานที่ยังหลงเหลือให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นมหาพีระมิดแห่งอียิปต์ (The Great Pyramid of Egypt) ที่เคยใช้เป็นสถานที่ในการปกปักษ์รักษาบุคคลผู้หนึ่งเมื่อประมาณห้าพันปีที่แล้ว
แล้วความจริงบางอย่างก็เปิดเผย มันหาใช่พรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานมาไม่ หากแต่เป็นเพียงสายเลือดที่ถูกสร้างขึ้นมาเท่านั้น และที่สำคัญพวกนักค้นคว้าในสมัยก่อนใช้คำผิด ไม่ใช่มนุษย์ที่มีวิวัฒนาการสูงขึ้น หากแต่เป็น มนุษย์ไซคิก ต่างหาก
พลังความคิดอันแรงกล้าเป็นตัวขับเคลื่อนจิตวิญญาณให้ปฏิบัติตาม นั่นคือสิ่งที่ทำให้มนุษย์ไซคิกแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป
เสียงของผมหยุดลง เมื่อเห็นอาจารย์โทมัสพยายามประคับประคองตัวเองเข้าหาเราทั้งสาม “นาวา มันเริ่มแล้ว” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความวิตก สีหน้าบอกถึงความกังวล
ผมยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ รู้สึกได้เลยว่าสมองบางส่วนกำลังขับเคลื่อนการทำงาน สายตาทั้งคู่จับอยู่ที่เพื่อนทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ถึงเวลาแล้วที่พวกนายต้องเลือก”
ความคิดเห็น