คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 ตอนที่ 1 ล่าสังหาร
ภายใต้แสงพระจันทร์ก่อนวันส่งท้ายปี ร่างของเด็กหนุ่มผมดำสะดุ้งตื่นจากเตียงนอนสองชั้น เสียงหอบหายใจดังเป็นจังหวะ แขนเสื้อถูกยกขึ้นปาดเหงื่อที่กำลังไหลอาบแก้ม ก่อนจะเอื้อมมือหยิบนาฬิกาปลุกที่วางอยู่บนหัวเตียง หน้าปัดบอกว่ามันเพิ่งตีสามกว่า ยังมีเวลาอีกเกือบสามชั่วโมงก่อนจะเช้า
เด็กหนุ่มสูดหายใจอย่างเต็มที่ก่อนจะล้มตัวลงนอน ไม่นานจังหวะหายใจก็กลับมาเป็นปกติ
“เดย์ นายยังฝันแบบเดิมอีกเหรอ” เสียงดังมาจากเตียงด้านล่าง แต่เขาก็หาได้ตอบกลับ ทำเพียงเอื้อมมือคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุม ก่อนที่จะพลิกกายมองไปนอกหน้าต่าง แววตาสีน้ำตาลดำเพ่งไปยังดวงจันทร์ที่กำลังส่องสว่างอยู่บนผืนฟ้า
“จะคิดอะไรมากวะ มันก็แค่ความฝัน” เสียงของพอลเพื่อนสนิทดังขึ้นอีกรอบ ร่างกายเขาคุดคู้อยู่ภายใต้ผ้านวมขนาดใหญ่
เดย์ไวท์ไม่ตอบกลับ ดวงตายังคงจ้องอยู่ที่พระจันทร์เต็มดวงที่จะปรากฏให้เห็นเป็นครั้งสุดท้ายของปี
นี่มันกี่รอบแล้วนะ ถ้าจำไม่ผิด มันเริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา พร้อมกับความรู้สึกยินดีปรีดาที่เกิดขึ้น มันคืออะไรกันแน่
..
เหตุการณ์ประหลาดในความฝัน มันเป็นประกายไฟที่ออกมาจากลูกไฟยักษ์ที่กว้างเหลือคณานับ อุณหภูมิที่อยู่ด้านล่างสูงจนไม่สามารถประมาณได้ รังสีความร้อนหลอมละลายทุกอย่างที่อยู่ในที่โล่ง ถ้าไม่ระเหยกลายเป็นไอก็กลายเป็นเถ้าถ่านทันที คลื่นความร้อนที่เกิดจากลูกไฟยักษ์ แผ่กระจายเผาผลาญทุกอย่างที่ไปถึง บ้านเรือน ต้นไม้ สิ่งมีชีวิตทั้งปวงไม่สามารถต้านทานมันไว้ได้
รังสีความร้อนเคลื่อนที่แบบไม่หยุดยั้ง บริเวณที่ผ่านคงเหลือให้เห็นเพียงผืนแผ่นดินที่ปราศจากสิ่งมีชีวิต เด็กหนุ่มไม่สามารถแยกแยะซากปรักหักพังที่เห็นอยู่ ว่าในอดีตมันเคยเป็นสิ่งก่อสร้างชนิดใด
ถ้ามีเพียงลูกเดียว คงไม่สามารถทำให้ผืนแผ่นดินปราศจากสิ่งมีชีวิต คงจะสลายไปเมื่อเคลื่อนไปได้ระยะหนึ่ง ทว่าไม่ใช่ !! มันมีทุกที่ที่สายตาของเดยไวท์จะสามารถมองเห็น เขารู้แล้วว่า เมื่อมันจบลง ทุกอย่างจะไม่คงเหลือ
เดย์ไวท์ยืนมองลูกไฟยักษ์ลูกแล้วลูกเล่าที่กำลังเกิดขึ้น สายตาเต็มไปด้วยความเศร้าสลด ในใจได้แต่เจ็บปวดที่ไม่สามารถยับยั้งมันได้ เสียงกรีดร้องที่ได้ยิน ความโกลาหลที่เห็น ทิ่มแทงโสตประสาทยิ่งนัก เขาได้แต่ภาวนาให้มันหยุดลงเสียที
แต่ส่วนลึกของอีกใจหนึ่งนั้นช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิง “พวกมันทำตัวของมันเอง” เป็นคำเดียวที่หลุดออกมาอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนที่ผืนแผ่นดินจะไม่มีสิ่งใดเหลือให้เห็นอีกเลย นอกเสียจากแสงสีแดงเพลิงแห่งความหายนะ
..
ไม่นานดวงตาของเด็กหนุ่มก็เลื่อนปิดลง ทิ้งไว้แต่เพียงความเงียบสงัดของค่ำคืนรอบหอพักนักเรียนชาย
..
ก่อนรุ่งสาง
“ไป !! ไปเร็ว !! พาลูกหนีไป !!” ผู้เป็นสามีตะโกนบอกภรรยาที่กำลังยืนอุ้มบุตรตรีอายุประมาณสามขวบ เศษ นางเข้าจูบสามีเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะวิ่งออกทางประตูหน้า แล้วมุ่งตรงไปยังถนนใหญ่ที่เห็นอยู่ไม่ไกลนัก เสียงเด็กน้อยร่ำไห้ดังไม่ขาดสาย
“พวกมันเป็นตัวอะไรกันวะ ” เขาสบถ พร้อมกับบรรจุลูกกระสุนอีกสองนัดในปืนลูกซองสีน้ำตาลแดง ก่อนที่จะตรงขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง เหงื่อไหลออกจากใบหน้าปานสายน้ำ ซากกระดูกสุนัขขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็นก่อนถึงประตูห้องนอน แต่ก่อนมันเคยเป็นสุนัขพันธุ์อัลเซเชี่ยนที่เขารัก แต่บัดนี้กลับเหลือเพียงโครงกระดูกสีขาวโพลนเพียงเพราะต้องการช่วยเหลือนายของมัน
กรี๊ด !! เสียงร้องของภรรยาดังขึ้น เขาจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงใคร ผู้เป็นสามีวิ่งไปยังต้นเสียงทันที
“ปล่อยพวกเขาเดี๋ยวนี้” เขาตะโกน เมื่อเห็นภรรยาและลูกสาวสุดที่รักกำลังโดนไอ้ชุดขาวจับอยู่หน้าบ้าน
“แกต้องการอะไร” เขาถามมันอีกรอบ อาวุธในมือพร้อมทำงานเต็มที่ ปากกระบอกชี้ตรงไปที่มัน
“คุณคะ
ข้างหลัง”
อาจเพราะเสียงเตือน ทำให้เขาหลบได้อย่างหวุดหวิด ชายหนุ่มยอบตัวต่ำลง ใบเคียวห่างจากศีรษะเพียงเล็กน้อย พร้อมกับที่ผู้เป็นสามีได้ตัดสินใจลั่นไก
ปืนลูกซองทำงานอย่างแม่นยำ ร่างสีขาวที่ลอบเข้ามาโจมตีลอยตามแรงอัด แล้วกระแทกเข้ากับกำแพงปูน ผู้เป็นสามีไม่รีรอ เขารีบบรรจุกระสุนชุดใหม่อย่างรวดเร็ว
แต่แล้วสิ่งที่ทำให้หัวใจของเขาแตกสลายก็เกิดขึ้น เมื่อตัวที่จับภรรยาและบุตรสาวไว้มันทำในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ
“ไม่ !!” เสียงร้องลั่น ใบเคียวตัดร่างของผู้เป็นที่รักทั้งสอง น้ำตาแห่งความเสียใจไหลออกอย่างไม่ขาดสาย เขาวิ่งตรงเขาไปยังกองกระดูกกองนั้น พร้อมกับสับไกใส่มัน
เสียงปืนดังอีกครั้ง ร่างของมันกระเด็นตามวิถีกระสุนทันที
ผู้เป็นทั้งสามีและพ่อเข้าโอบกอดโครงกระดูกที่กองอยู่เบื้องหน้า เขาร่ำไห้ปานจะขาดใจ
“แก....พวกแกต้องชดใช้ !!” แล้วความเสียใจก็กลายเป็นความโกรธแค้น ชายหนุ่มลุกขึ้นทั้งน้ำตา ก่อนที่จะเดินตรงไปยังร่างสีขาวที่พยายามจะลุก กระสุนชุดใหม่ถูกบรรจุ
แต่เขาก็ไม่มีโอกาสได้ทำ เมื่อใบเคียวสีดำจากตัวแรกตัดเข้ากลางลำตัวอย่างรวดเร็ว ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาต้องเบิกโพลงพร้อมกับร่างที่ทรุดลงกับพื้น แล้วสติของผู้เป็นสามีก็หายไป
..
ฟ้าสาง
ถึงแม้ในทุกปีฤดูหนาวจะหดสั้น แต่สภาพอากาศของเช้าตรู่ของวันนี้ช่างดีเสียนี่กระไร ท้องฟ้ากว้างไร้ซึ่งเมฆหมอกมาปกคลุม สายลมเอื่อย ๆ พัดอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งแสงตะวันยามแรกรุ่งก็ยังไม่รุนแรง มันส่องกระทบเข้ากับด้านหน้าตึกสี่ชั้น ก่อให้เกิดเงาสีดำทอดยาวไปบนสนามหญ้าด้านหลัง สภาพอากาศช่างเหมาะกับวันส่งท้ายปีเก่ายิ่งนัก
ภายใต้อาคารปูนที่ต้องกับแสงแรก เด็กหนุ่มสองคนในชุดลำลอง กำลังพากันเดินออกจากสถานที่ที่พวกเขาเรียกว่าบ้านหลังที่สอง รองจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ทั้งคู่เดินเลาะริมฟุตบาทมุ่งตรงไปยังป้ายสีน้ำเงินที่อยู่เบื้องหน้า
ตัวหนังสือสีขาวตัดกับพื้นช่างเตะตาผู้ที่เดินผ่าน ลูกศรติดกับตัวหนังสือที่เขียนว่า “ห้องสมุด
ตลอดระยะทางที่เดินผ่านยังไร้ซึ่งผู้คน มันน่าจะเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เช้าวันอาทิตย์ในสภาพอากาศเช่นนี้ คงจะมีน้อยคนนักที่อยากจะลุกออกจากความฝันของตัวเอง
“เฮ้อ !! อาจารย์
“นายจะบ่นไปทำไม รีบไปดีกว่า จะได้เสร็จ ๆ” พูดจบ เด็กหนุ่มอีกคนก็ก้าวนำหน้าอย่างฉับไว
คิ้วของพอลขมวดลง เมื่อเห็นท่าทีของเพื่อนผิดปกติ “เป็นบ้าอะไรของมันแต่เช้าว่ะเนี่ย” พอลขยับเป้ที่สะพายอยู่บนหลังก่อนจะรีบเดินตาม
พอลและเดย์ไวท์เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ด ทั้งคู่รูปร่างไม่ต่างกันมากนัก ทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมห้องกัน ถึงจะมาจากคนละที่ แต่ก็มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่คล้ายกันจึงทำให้ทั้งคู่สนิทกันมาก
“นี่นายยังฝันถึงมันอยู่อีกเหรอ” พอลถามขึ้นเมื่อเขาเดินตามเพื่อนทัน
แต่เดย์ไวท์หาได้ตอบกลับ สายตาของเขายังจ้องอยู่ที่พื้นอิฐรูปตัวหนอน แต่แค่นั้นก็มากพอแล้วสำหรับคำตอบ
“ไม่เอาน่า จะคิดอะไรมากมันก็แค่ความฝัน คนปกติเขาก็ฝันกันทั้งนั้น”
“แล้วทุกคนเขาฝันเรื่องเดียวอยู่ทุกคืนหรือเปล่าล่ะ” คราวนี้เขาตอบ ใบหน้าของพอลเจื่อนลงทันที ที่เขาพูดออกไปก็แค่จะปลอบเพื่อนเท่านั้น
ทั้งคู่เลี้ยวซ้ายอีกครั้งเมื่อถึงทางแยก ก่อนจะลับหายไปจากสายตาของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ประกายแสงสีแดงวูบหนึ่งเปล่งออกจากหน้ากากสีขาว ใบเคียวสีดำทะมึนที่พาดอยู่กลางหลังตัดกับชุดขาวที่สวม มันยืนนิ่งอยู่ไม่ถึงนาที ก่อนจะล่องลอยขึ้นสู่เบื้องบน
..
อาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมที่สร้างขึ้นจากปูนทั้งหลัง ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของเด็กหนุ่มทั้งสองที่พึ่งมาถึง ทั้งสามชั้นของอาคารถูกแบ่งเป็นหมวด ๆ แต่ละหมวดมีชั้นวางหนังสือเรียงตามลำดับตัวอักษร ภายในยังมีโต๊ะ เก้าอี้ ไว้ให้เด็กนักเรียนได้มานั่งอ่านหนังสือกันตามสบาย
“มากันตรงเวลาดีจัง” สำเนียงไทยที่ไม่ค่อยชัดดังขึ้นต้อนรับการมาถึงของทั้งคู่ ชายวัยกลางคนยืนอยู่ด้านหน้าประตูที่ทำด้วยกระจก แววตาที่แสดงถึงความเป็นมิตรแฝงอยู่ในดวงตาสีฟ้าคราม
พอลและเดย์ไวท์รีบยกมือไหว้ ก่อนที่จะถอดเป้ที่สะพายอยู่บนหลังออก ชายต่างชาติผมสีทองตอบรับด้วยรอยยิ้มอย่างอบอุ่น ก่อนที่จะบอกให้ทั้งสองเดินตามเข้าไป
“เอาล่ะ !! พวกเธอสองคนคงรู้หน้าที่กันดีแล้วนะ ว่าต้องทำอะไรบ้าง” อาจารย์โทมัสถามทั้งสองที่เดินตามเข้ามา พวกเขาพยักหน้าตอบรับก่อนจะถือเป้ไปวางไว้มุมห้อง พร้อมกับเริ่มเดินไปตามชั้นหนังสือ อีกทั้งยังไม่ลืมถือไม้กวาดขนไก่ติดมือไปคนละอัน
บริเวณชั้นหนึ่งพอลเริ่มสำรวจความเรียบร้อยของหน้าต่างที่ทำขึ้นด้วยกระจก ในขณะที่เดย์ไวท์เปิดไฟเพื่อให้ความสว่างแก่สายตา
ไม่น่าเลยจริง ๆ ทั้งคู่ไม่คิดเลยว่าอาจารย์ชาวต่างชาติที่ไม่ค่อยจะเก่งด้านการออกเสียงภาษาไทย จะมีสายตาที่ฉับไวได้ถึงขนาดนี้ ชั่วโมงเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของวันศุกร์ที่ผ่านมา ขณะที่ทั้งคู่กำลังแลกขนมที่เหลือจากอาหารกลางวัน สายตาของอาจารย์ก็จับจ้องมาอย่างพอดิบพอดี และนั่นล่ะคือเหตุผลที่ทำให้ทั้งสองอดกลับบ้านไปร่วมฉลองส่งท้ายปีเก่า
บ้าน !! บ้านเหรอ ไม่มีนี่ พวกเขาไม่มีบ้าน แล้วจะต้องกังวลไปทำไม อาจารย์คงจะทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้วถึงได้เรียกให้มาวันนี้
พอลและเดย์ไวท์ใช้เวลาไม่ถึงสามสิบนาทีในการจัดการกับชั้นที่หนึ่ง พอเสร็จจึงพากันเดินขึ้นบันไดที่อยู่มุมห้องเพื่อขึ้นสู่ชั้นถัดไป
โดยปกติแล้วห้องสมุดจะมีเจ้าหน้าที่บรรณารักษ์และแม่บ้านคอยดูแลรักษาความสะอาดอยู่เป็นประจำ ทั้งคู่ก็แค่เดินสำรวจในแต่ละหมวด ว่ายังมีสิ่งใดที่สามารถเล็ดลอดสายตาไปหรือเปล่า
“เป็นอย่างไงกันบ้าง เหนื่อยกันหรือยัง” เสียงของอาจารย์ดังขึ้นด้านหลัง ในขณะที่ทั้งคู่ที่กำลังง่วนอยู่กับการเอาหนังสือเก็บเข้าที่
“ก็นิดหน่อยครับอาจารย์” พอลตอบโดยไม่ได้หันกลับมามองเสียด้วยซ้ำ เขาใช้ไม้กวาดขนไก่ปัดฝุ่นออกจากหนังสือก่อนจะนำมันวางกลับเข้าที่เดิม
ความเงอะ ๆ งัน ๆ ของทั้งคู่ก็ทำให้โทมัสอมยิ้มอยู่ตลอดเวลา
“แล้วเย็นนี้พวกเธอมีโปรแกรมจะไปไหนกันหรือยัง”
ทั้งสองหยุดชะงัก เสียงของอาจารย์ดังขึ้นด้านหลัง พอลและเดย์ไวท์หยุดนิ่งไปครู่ใหญ่ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกจากลำคอ ภาพงานเลี้ยงฉลองที่พวกเขาเคยฝันถึงพรั่งพรูออกจากสมองส่วนลึกสุด สุดท้ายแล้วปีนี้คงไม่พ้นเป็นเหมือนเดิม ที่ต้องจมอยู่กับเตียงนอนภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ
“ถ้าพวกเธอยังไม่รู้จะไปที่ไหน เย็นนี้ลองแวะไปที่บ้านครูซิ”
รอยยิ้มฉาบขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม “จริงเหรอครับ ครูไม่ได้โกหกพวกผมนะ” ทั้งคู่แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
อาจารย์โทมัสเห็นได้ชัดเลยว่าทั้งสองแทบจะระงับอาการดีใจไว้ไม่อยู่ เขาพยักหน้าตอบรับให้กับเด็กหนุ่ม แล้วหนังสือหลายต่อหลายเล่มก็ถูกเก็บเข้าชั้นวางอย่างรวดเร็ว
สายตาที่เขามอง เต็มไปด้วยความรู้สึกสงสารอย่างจับใจ ถึงตอนนี้จะเห็นว่าทั้งคู่มีความสุข แต่ในส่วนลึกแล้ว เขาก็พอจะรู้ว่าเด็กหนุ่มทั้งสองจะมีความรู้สึกเช่นไร ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ในอดีตเขาก็เคยเป็นเช่นเดียวกัน และเพราะสิ่งนั้นถึงได้ทำบางสิ่งที่เลวร้ายยิ่งลงไป
ก่อนที่สติจะหลุดเข้าไปในห้วงความคิด เสียงของประตูกระจกด้านหน้าที่ถูกทำลายก็ดังขึ้น
“เกิด...เกิดอะไรขึ้น” เสียงดังที่เกิดขึ้นทำให้พอลหน้าตาตื่น
“รอครูอยู่ที่นี่นะ” อาจารย์โทมัสบอกกับเด็กหนุ่มทั้งสอง ก่อนที่จะรีบลงไปชั้นหนึ่ง ในเวลาเช่นนี้เขาคงคิดได้แค่ว่าต้องเป็นโจรที่กล้าเข้ามาเพื่อหวังจะขโมยของที่อยู่ในห้องสมุดแห่งนี้
“ไม่....พวกเราจะไปด้วย” แต่ไม่ทันได้ก้าว ร่างของพอลก็ถูกดึงกลับ เดย์ไวท์นั่นเอง เขารู้ว่าเพื่อนจะทำอะไร
“แล้วนายไม่อยากรู้เหรอว่าเกิดอะไรขึ้นข้างล่างนั่น”
“อยากรู้ซิ แต่นายไม่อยากไปงานเย็นนี่เหรอ” คำพูดของเพื่อนทำให้พอลสงบลง
“จริงซินะ” เขาพึมพำ งานเลี้ยงฉลองปีใหม่ครั้งแรกจะต้องไม่พลาด ข้างล่างนั้นคงจะไม่มีอะไรมากหรอก อาจจะเป็นเด็กมือบอนขว้างก้อนหินมาใส่ก็ได้
....
...
แต่นี่มันนานเกินไปแล้ว !! ทำไมอาจารย์โทมัสยังไม่กลับมา
โครม !!! เสียงดังสนั่นเกิดขึ้นก่อนที่เด็กหนุ่มทั้งสองจะทันได้ทำอะไร ไม่มีอะไรต้องคิดมาก ทั้งคู่ตรงดิ่งลงไปชั้นล่างทันที
เบื้องหน้าของพวกเขา ร่างของอาจารย์โทมัสกำลังตะเกียกตะกายอยู่ติดกับชั้นหนังสือที่อยู่ใกล้บันได อาจารย์โทมัสร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด พอลและเดย์ไวท์ต่างรีบลงไปช่วย
“อาจารย์ครับ เกิดอะไรขึ้น” พอลถาม ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล อาจารย์โทมัสพยายามประคองตัวเอง แรงกระแทกนั้นไม่เบาเลย ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงแล้วละก็ กระดูกคงจะต้องมีหักไปบ้างล่ะ
แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าก็ทำให้เขาไม่สามารถละสายตาจากมันได้
พอลและเดย์ไวท์แทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น คำถามที่ว่ามันคืออะไรเกิดในสมอง ถึงร่างกายจะดูเหมือนกับคนปกติ แต่ชุดที่มันใส่ทำไมช่างดูคล้ายตุ๊กตาที่เริงระบำอยู่บนเวทีเสียนี่ ใบหน้าและสิ่งที่สวมขาวโพลนตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่เว้นแม้กระทั่งเส้นผม นอกจากดวงตาสีแดงที่ส่องประกายออกจากหน้ากาก เคียวสีดำที่สะพายอยู่กลางหลังก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ตัดกับชุด
ร่างของมันยืนนิ่ง แต่สายตากลับจดจ้องอยู่ที่เด็กทั้งสอง
“แก...แกต้องการอะไร” อาจารย์โทมัสตะโกน แผ่นหลังของเขายังไม่หายจากอาการเจ็บปวด
“มัน..มันเป็นตัวอะไรกัน” พอลถาม เขายืนประคองร่างของอาจารย์อยู่ด้านซ้าย
ถึงจะไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร แต่ที่รู้อยู่ตอนนี้ คือสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้าไม่ได้มาดีอย่างแน่ ไม่เช่นนั้นมันคงไม่ทำกับอาจารย์โทมัสถึงเพียงนี้
โทมัสเหลือบมองทั้งคู่ที่ยืนประคอง ไม่ต้องมีคำกล่าว พอลและเดย์ไวท์ก็เข้าใจในแววตา เท้าของทั้งสองไวเท่าความคิด ทั้งคู่ประคองร่างของอาจารย์ขึ้นไปยังชั้นสองอย่างรวดเร็ว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” พอลถามขณะที่กำลังพยายามดันชั้นหนังสือมากั้นทางขึ้น เขาไม่เข้าใจเลยว่ากำลังเจอกับตัวอะไร
“ไม่รู้เหมือนกัน” เดย์ไวท์ตอบกลับ เขาเข้ามาช่วยพอลอีกแรง
ชั้นวางหนังสือชั้นแล้วชั้นเล่าถูกเลื่อนมาปิดทางขึ้น ทั้งสามช่วยกันวางซ้อนกันถึงสองชั้น หนังสือแต่ละเล่มกระจายเต็มพื้นอาคาร
เสียงหอบหายใจดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้จักปรากฏบนใบหน้าของเด็กทั้งสอง แต่ยกเว้นกับอาจารย์โทมัส แววตาของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความลังเล โทมัสไม่มั่นใจเลยว่าพวกมันจะใช่ในสิ่งที่เขาคิดไว้หรือไม่ ตอนนี้เขาต้องการเพียงคำยืนยัน
“มันตามมาหรือเปล่าครับ” พอลถามแล้วเดินเข้าไปหา เขาเห็นอาจารย์โทมัสพยายามจะมองลอดช่องว่างของชั้นวางหนังสือกับทางขึ้น เดย์ไวท์ตามมาสมทบ
แต่ทั้งสามก็ไม่พบอะไร เบื้องล่างว่างเปล่า มีเพียงหนังสือหลายต่อหลายเล่มที่กองกันอยู่บนขั้นบันไดที่พวกเขาใช้ขึ้นมา
ไร้เสียง ไร้วี่แวว และไร้เวลาพอที่จะหลบ แรงอัดมหาศาลประหนึ่งถูกรถบรรทุกชนก็ปะทะเข้ากับร่างกาย ร่างของทั้งสามลอยขึ้นอัดกระแทกเข้ากับเพดานห้องอย่างจัง ก่อนที่จะร่วงลงมานอนกองอยู่บนพื้น
จากเส้นทางที่เคยถูกปิดตอนนี้กลับไม่มีสิ่งใดขวางกั้น ทางเข้าชั้นสองที่เคยกว้างไม่ถึงสองเมตรกลับขยายออกไปเกือบเท่าตัว เศษไม้จากชั้นวางหนังสือกระจัดกระจายเต็มพื้น กระดาษแต่ละแผ่นปลิวว่อนทั่วทั้งห้องสมุด
มีเพียงอาจารย์โทมัสเท่านั้นที่ยังพอได้สติ ความรู้สึกเจ็บทั่วทั้งร่างแล่นขึ้นมาอย่างทันใจเมื่อขยับตัว ตอนนี้เขาไม่รู้เลยว่าลูกศิษย์ทั้งสองจะเป็นตายร้ายดียังไง ที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือร่างของพอลและเดย์ไวท์นอนแน่นิ่ง เขาพยายามตะเกียกตะกายคลานเข้าไปหา แต่เพราะอาการบาดเจ็บอย่างหนัก ทำให้ไปไม่ทันมัน
โทมัสพยายามดันตัวเองให้ลุก บังคับสมองให้สั่งการ แต่ร่างกายหาปฏิบัติตามได้ “อย่า..อย่าแตะต้องพวกเขานะ” เขาพยายามร้องห้าม เมื่อเห็นเจ้าร่างสีขาวเดินขึ้นจากบันได แล้วตรงไปยังลูกศิษย์ทั้งสอง
เสียงห้ามปรามได้ผล มันหยุดเดิน ทว่ามันกลับเปลี่ยนทิศ มุ่งตรงมายังเขาแทน แล้วหัวใจของโทมัสก็เต้นระรัว เมื่อเห็นในสิ่งที่มันถือ
มืออันขาวซีดทั้งสอง กำอยู่บนด้ามเคียวสีดำสนิท ปลายที่โค้งมนแฝงไปด้วยความน่ากลัว แสงจากหลอดนีออนสะท้อนกับส่วนที่เป็นคมดาบ โทมัสคาดได้เลยว่ามันจะคมขนาดไหน
ความกลัวตายสั่งให้ร่างกายหลั่งอะดรีนาลีนได้เป็นอย่างดี อาจารย์โทมัสตัดสินใจใช้แรงเฮือกสุดท้ายดันตัวเองให้ลุก แต่ก็เท่านั้น เขายืนได้ไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำ ก่อนที่ร่างกายจะทรุดฮวบลงกับพื้น พลันสติของเขาก็ดับวูบไปพร้อมกับดวงตาที่ปิดสนิท
---------@---------
ความคิดเห็น