คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2 เมื่อความซวยมาเยือน
“เกาะปะการัง”ตะวันพึมพำชื่อเกาะที่เพิ่งมาถึงครั้งแรกในชีวิต ทีแรกตะวันคิดว่าตัวเองคงกำลังมาติดอยู่บนเกาะร้างหลงสำรวจที่ไหนสักแห่งมากกว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เพราะทั้งเงียบและสงบเห็นแต่ผืนทรายสีขาวกับทะเลสีเขียวอมฟ้าสุดสายตา หันมามองบนเกาะก็เห็นแต่ต้นไม้เขียวชอุ่มอย่างกับป่า ยังดีที่ชาวต่างชาติลักษณะเหมือนคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามันที่นั่งเรือมาด้วยกันเดินท่าทางมั่นใจเข้าไปบนเกาะ ทำให้ตะวันค่อยคลายใจว่ายังคงมีนักท่องเที่ยวอยู่แถวๆนี้บ้าง
“จะหาที่พักก็เดินตามฝรั่งสองคนนั่นไปก็แล้วกัน”ชาวไทยคนแรกบนเกาะปะการังที่คงจะเห็นท่าทางงงๆของตะวันบอกอย่างใจดีแถมยังสำทับให้คนไม่มีที่พักใจแป้วขึ้นอีกประโยค
“รีบๆหน่อยก็ดีนะ เผื่อไม่มีที่พักยังไงก็รีบมาหาลุงแถวนี้ละกันจะได้ไปส่งที่ฝั่งให้พอดีมีฝรั่งผัวเมียคู่หนึ่งแกจะขึ้นฝั่งคงจะเป็นเที่ยวสุดท้ายของวันนี้แล้ว”
ได้ยินดังนั้นตะวันก็รีบจ้ำเท้าตามชาวต่างชาติคู่ที่เห็นอยู่ข้างหน้าลิบๆทันที ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าเกาะที่แทบจะไม่มีคนให้เห็นเลยแบบนี้ที่พักจะเต็ม เอาน่าคงจะเหลือบังกาโลสักหลังสองหลังบ้างล่ะ
เดินจนเหงื่อซึมก็ถึงที่พักที่มองดูคล้ายๆกับบังกาโลตามแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ตะวันเคยเห็นในเทปรายการสารคดีเก่าๆที่บริษัท ยังไม่ทันจะพิจารณาสภาพโดยรอบก็ได้ยินเสียงคุยภาษาอังกฤษที่สำเนียงค่อนข้างจะดีดังมาจากชายหนุ่มเจ้าของที่พักที่กำลังพูดอยู่กับคู่สามีภรรยาชาวต่างชาติที่มาก่อนตะวันได้ความแว่วๆว่าทั้งคู่โชคดีมากเพราะเพิ่งจะมีคนเช็คเอาท์ออกหนึ่งหลังแถมยังเป็นบังกาโลว่างหลังสุดท้ายซะด้วย!!!
“หลังสุดท้าย!”ตะวันทวนสิ่งที่ได้ยินด้วยความตกใจ จนชายหนุ่มเจ้าของรีสอร์ทหันมามองคนที่เพิ่งมาถึงด้วยความสนใจ
“เอ่อ..สวัสดีครับ เป็นคนไทยใช่ไหมครับ”นวพลทักทายนักท่องเที่ยวชาวไทยคนที่สองของวันนี้ด้วยความแปลกใจ เพราะนานทีปีหนถึงจะเห็นวัยรุ่นชาวไทยมาเที่ยวที่นี่แถมยังมาคนเดียวอีกต่างหาก
“ต้องขอโทษด้วยนะครับพอดีที่พักเรามีน้อย แล้วตอนนี้ก็เต็มหมดแล้วด้วยถ้ายังไงคุณกลับไปหาที่พักบนฝั่งน่าจะสะดวกกว่านะครับ”พูดจบก็พิจารณาคนตรงหน้าที่ท่าทางเหมือนเด็กหลงมากกว่าตั้งใจมาเที่ยว
“แล้วที่พักอื่นบนเกาะ...”ตะวันยังถามอย่างมีความหวัง
“ที่นี่เป็นรีสอร์ทแห่งเดียวบนเกาะปะการังครับถ้ายังไงเดี๋ยวคุณเดินตามเอริคกับซูซานกลับไปที่เรือพร้อมกันเลยดีกว่านะครับ”นวพลตัดความหวังเรื่องที่พักของตะวันก่อนจะชวนให้นั่งรอเดินทางกลับพร้อมกับคู่สามีภรรยาชาวอเมริกันที่กำลังเก็บของอยู่ที่บังกะโลไม่ไกลจากที่นี่นัก
ตะวันรับคำก่อนจะนั่งหลับตาด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวัน เพราะตั้งแต่ออกคอนโดมาก็ขึ้นรถลงเรืออยู่หลายเที่ยวแทบจะไม่ได้พัก จนเงินที่มีติดกระเป๋าเป้ไว้ใช้ยามฉุกเฉินเหลืออยู่แค่ไม่กี่ร้อย ตอนนี้ก็ได้แต่ภาวนาว่ากระเป๋าสตางค์ที่ยังหาไม่เจอตั้งแต่เช้า น่าจะยังอยู่ในกระเป๋าเป้ที่เอามาด้วยเหมือนทุกครั้ง
ลืมตาขึ้นอีกทีสิ่งแรกที่ตะวันเห็นคือแผ่นหลังขาวๆของคนตัวโตใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวแถมยังเปียกโชกไปทั้งตัวเหมือนกำลังขึ้นมาจากทะเล กำลังเกาะเคาท์เตอร์ไม้สีดำสนิทคุยอยู่กับเจ้าของรีสอร์ทท่าทางสนิทสนม
“เฮ้ย ไอ้พลเย็นนี้ลุงสมแกมีเมนูเด็ดอะไรหรือเปล่าเห็นทำท่ามีลับลมคมในชอบกล”
“ไอ้ภู แกนี่ถามยังกะไม่รู้จักลุงสมดี อย่างลุงสมแกจะมีอะไรตื่นเต้นได้อีกนอกจากเรื่องนั้น”
“เออแฮะ..ฉันก็สงสัยอยู่ว่าจะใช่มิน่าล่ะถึงได้บอกคนแถวนี้เค้าไปทั่วว่าพรุ่งนี้งดออกเรือหนึ่งวัน อย่างนี้ต้องล้างท้องรอซะแล้ว”ภูวิชพูดอย่างหมายมั่นปั้นมือ ก่อนจะเหลือบเห็นตะวันที่กำลังนั่งมองเขาอย่างไม่กระพริบตาด้วยความงง
“แล้วไอ้หนูนี่ลูกใคร มากับกลุ่มพวกออสเตรียหรือไง”
“คนไทย ฉันเห็นว่ามาคนเดียวที่พักก็เต็มหมดแล้วเลยจะให้กลับขึ้นฝั่งกับคู่ที่เพิ่งเช็คเอาท์”
“ก็ดีฉันก็ไม่อยากเจอพวกนักท่องเที่ยวชาวไทยเท่าไหร่มาทีไรก็บ่นนั่นตินี่เห็นแล้วเสียอารมณ์”ภูวิชบ่นเสียงไม่ดังนัก แต่ตะวันที่ถูกพาดพิงได้ยินชัดเจนจนชักจะโมโหขึ้นมารำไร
“นี่คุณ....”ตะวันลุกขึ้นมากะว่าจะตอกกลับคนตรงหน้าซักสองสามประโยค พอดีคู่สามีภรรยาชาวอเมริกาโผล่ขึ้นมาก่อนที่จะมีเรื่องปะทะฝีปากกัน คนตัวเล็กกว่าเลยได้แต่ส่งสายตาอาฆาตไปแทน
ไอ้หนูนี่ลูกกะตามันหาเรื่องดีแฮะ ภูวิชที่จับตามองตะวันอยู่คิดขึ้นมาด้วยความขำเมื่อมองเห็นสายตาที่ส่งมาของตะวันก่อนจะขำไม่ออกเมื่อตะวันที่กำลังเดินกลับแกล้งเดินเฉียดเข้ามาใกล้แล้วเหยียบเท้าของเขาเข้าเต็มแรง
“โอ๊ย! ”ภูวิชชักเท้ากลับด้วยความเจ็บก็เขามันเท้าเปล่าแต่ไอ้คนเหยียบใส่รองเท้าผ้าใบอย่างหนาอย่างงี้มันเสียเปรียบชัดๆ
“เฮ้ยไอ้น้องนี่จะไม่ขอโทษกันสักคำเลยหรือไง”
ตะวันที่กำลังเดินผ่านนวพลหันกลับมามองภูวิชยิ้มๆ แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“ขอโทษเรื่องอะไรฉันไม่เห็นรู้เรื่อง”
“หนอยไม่ต้องมาทำไก๋ นายแกล้งเหยียบเท้าฉันแล้วจะเดินหนีไปเฉยๆได้ไง”
“ฉันเหยียบเท้าคุณเหรอ ไม่เห็นจะรู้เลย ขอโทษด้วยละกัน พอใจรึยัง”
“พูดอย่างนี้มันหาเรื่องกันชัดๆเลยนี่หว่า”ภูวิชขยับเข้าไปใกล้ตะวันแต่นวพลเข้ามาขวางไว้ก่อน
“เอาน่าไอ้ภู น้องมันก็ขอโทษแล้วก็ให้แล้วกันไปเถอะ”
“พูดอย่างนี้มันเรียกว่าขอโทษเหรอว่ะไอ้พล เป็นเด็กเป็นเล็กแต่ไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่อย่างนี้มันต้องสั่งสอนกันหน่อย”
“หยุดเลยไอ้ภู คิดซะว่าฉันขอละกันไม่เห็นเหรอว่าคนอื่นเค้ามองอยู่แกจะให้รีสอร์ทของฉันเสียชื่อหรือไง แล้วนั่นเอริคกับซูซานก็ยืนรออยู่ปล่อยๆเด็กมันไปเถอะ”
ภูวิชกวาดสายตามองไปรอบๆก็เห็นนักท่องเที่ยวบางคนเริ่มกลับมาที่พักและยืนมองด้วยความสนใจอยู่อย่างที่เพื่อนบอกจริงๆ จึงมองหน้าตะวันอย่างคาดโทษ
ตะวันเองก็เลิกสนใจภูวิช หันไปยกมือไหว้นวพลก่อนจะเดินไปหาเอริคกับซูซาน แต่ยังไม่ทันถึงตัวคนที่รอตะวันก็หมดสติล้มหงายหลังไปทั้งๆอย่างนั้น
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมเขาต้องมาดูแลเด็กคนนี้ด้วย นี่มันเป็นวันพักของเขาแท้ๆ ภูวิช คิดอย่างหงุดหงิดใจ ขณะที่มือก็ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นเช็ดหน้าคนที่กำลังนอนไข้ขึ้นสูงอยู่บนเตียง
“ป่วยจะตายยังคิดจะมาเที่ยวอีก หรือว่าอกหักคิดฆ่าตัวตาย ก็น่าจะไปทำไกลหูไกลตาหน่อยจะได้ไม่เสียเวลาคนช่วย”บ่นต่อด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะเลิกเช็ดหน้าแต่ใช้วิธีโปะผ้าทั้งผืนทิ้งไว้บนหน้าผากคนป่วยแทน
ตะวันที่เพิ่งรู้สึกตัวเมื่อได้เจอน้ำเย็นๆ ได้ยินคำพูดของภูวิชที่บ่นโดยไม่ตั้งใจ แต่กลับเป็นเหมือนมีดกรีดแผลเดิมที่พยายามจะลืมให้กว้างขึ้น จนน้ำตาที่คิดว่าหายไปหมดแล้วไหลมาอีกโดยไม่รู้ตัว
“อ้าวแล้วนั่นตื่นมาก็ร้องไห้ ฉันไปพูดแทงใจดำของนายหรือไง เป็นผู้ชายแท้ๆมัวแต่ทำตัวสำออยยังกับผู้หญิงไปได้”
“ฉันจะเป็นจะตายก็เรื่องของฉัน ไม่ได้ขอให้คุณช่วยสักหน่อย”คนป่วยที่เพิ่งฟื้นสวนกลับด้วยความโมโห
“ไม่ได้อยากช่วยโว้ย ก็นายดันทะลึ่งมาเป็นลมตรงหน้าฉันพอดี ขืนกระโดดหลบปล่อยให้หัวฟาดพื้นตาย ชาวบ้านเค้าจะหาว่าฉันใจดำ เผลอๆเจอข้อหาปล่อยให้คนตายโดยเจตนาฉันก็แย่นะสิ”
“มีที่ไหนกันข้อหาบ้าๆแบบนั้น นี่ฉันซวยหนักขนาดต้องให้คนอย่างคุณช่วยแล้วเหรอเนี่ย”ตะวันโวยวายคนที่ช่วยปฐมพยาบาลให้ ก่อนที่จะพยายามลุกไปเอากระเป๋าเป้ที่วางพิงอยู่ข้างตู้เสื้อผ้า
“แล้วนั่นนายจะไปไหน”ภูวิชถามคนที่พยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลเพราะพิษไข้ด้วยความโมโหปนสมเพช
“หาที่พัก ยังไงก็ขอบคุณที่ไม่กระโดดหลบละกัน”ตะวันขอบคุณอย่างเสียไม่ได้ กำลังทะเลาะกันอยู่แท้ๆดันเป็นลมให้เขาช่วยอีก น่าขายหน้าชะมัด
“ออกไปก็เสียเวลาเปล่า นายไม่รู้หรือไงว่าตอนนี้มันกี่ทุ่มกี่ยามแล้วหา ใครเขาจะมารอนาย อีกอย่างสภาพอย่างนายคงไปได้ไม่กี่น้ำ ฉันขี้เกียจแบกกลับ มันเหนื่อย”ภูวิชที่กำลังเซ็งสุดๆ ยืนกอดอกมองตะวันเดินโซเซ ล้มลงไปกองอีกรอบใกล้ๆกับประตู
“เห็มม่ะ ฉันพูดอะไรผิดซะที่ไหน”ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจในความดื้อของคนป่วย ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ พูดเสียงอ่อนลงเล็กน้อย
“คืนนี้นายก็นอนที่บังกาโลฉันนี่แหละ หลังอื่นเขาเต็มหมดแล้วคงไม่มีที่เหลือให้นายซุกหัวนอนหรอก พรุ่งนี้เช้านายค่อยข้ามฝั่งไปหาที่พักในเมือง ว่าไงผู้ชายด้วยกันคงไม่มีปัญหาใช่ไหม”
“หา..อื้ม”ตะวันกลืนน้ำลายลงคอด้วยความลำบากใจ ไอ้หมอนี่มันมองยังไงถึงได้คิดว่าเธอเป็นผู้ชายนะ คิดแล้วก็ก้มมองสภาพตัวเองที่มอมแมมจากการเดินทาง เสื้อกันหนาวตัวโคร่งที่ใส่มาตลอดมีทรายติดเป็นหย่อมๆ กางเกงยีนขายาวตัวใหญ่ก็เป็นคราบเกลือเพราะเดินลุยน้ำทะเลขึ้นมาบนเกาะ จับดูผมสั้นๆสีน้ำตาลของตัวเองก็รู้สึกได้ถึงความมันและแห้งเป็นสังกะตังเป็นที่ๆ เออเนอะผู้หญิงสาวๆเค้าคงไม่มีสภาพอย่างนี้ละมั้ง
คนที่เพิ่งรับสภาพตัวเองได้มองไปรอบๆห้องที่ดูกว้างขวางพอสมควรมีหน้าต่างเปิดโล่งรับลมเย็น กับเฟอร์นิเจอร์ที่ดูเหมือนจะเป็นแฮนเมดล้วนๆ ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่เตียงนอนฟูกบางๆที่มีเพียงเตียงเดียวในห้อง
“ฉันจะนอนละง่วงจะตายอยู่แล้ว ต้องเสียเวลานอนไปหลายชั่วโมงก็เพราะนายคนเดียว นายเองก็นอนได้แล้วตื่นเช้ามาจะได้รีบๆไป”พูดจบก็เดินไปนอนบนเตียงหน้าตาเฉย ปล่อยให้คนป่วยนั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่สนใจจะช่วย
ตะวันมองคนตรงหน้าด้วยสายตาที่ดีขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยหมอนี่ก็มีน้ำใจพอที่จะไม่ทิ้งให้เธอนอนข้างนอกละนะ รู้สึกดีๆได้ไม่ถึงนาทีก็ต้องเปลี่ยนเป็นโมโหเพราะคำพูดต่อท้ายของภูวิช
“แล้วอย่าคิดเดินออกไปข้างนอกคนเดียวตอนดึกๆอีกล่ะ หน้าตาอย่างนายเกิดถูกฝรั่งบ้ากามเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผู้หญิงฉุดไปข่มขืนแล้วฆ่า คนแถวนี้เค้าจะหาว่าฉันใจดำปล่อยนายไปตาย ฉันก็ซวยแย่”
รู้แล้วล่ะน่า ติดอยู่บนเกาะอย่างนี้ออกไปก็คงไปไหนไม่ได้อยู่ดี ตะวันคิดด้วยความอึดอัดใจ แล้วทรุดตัวนอนกอดกะเป๋าอยู่ตรงจุดเดิม อย่างน้อยนอนอยู่ตรงนี้ก็จะได้ไกลจากคนบนเตียงหน่อย ไกลจาก...คนบางคน...เมื่อความวุ่นวายสับสนหายไปเหลือแต่ความเงียบ เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็กลับมาในความทรงจำอีกครั้ง ทั้งเรื่องที่ถูกปกรณ์หลอก ทั้งเรื่องความเปลี่ยนแปลงของพีชในช่วงที่ผ่านมา สุดท้ายตะวันก็ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ อารมณ์ต่างๆกรูเข้ามาจนแทบจะกลั้นเสียงสะอื้นไม่ได้
ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นแค่ความฝันก็คงดีตะวันคิดอย่างปวดร้าว หรือถ้าหากเรื่องมันเป็นเพียงแค่พีชกับปกรณ์รักกันตะวันก็คงจะรู้สึกเจ็บน้อยกว่านี้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาพีชเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดและเข้าใจตะวันมากที่สุด ถ้าคนเป็นเพื่อนมีความรู้สึกดีๆกับปกรณ์ ตะวันก็จะหลีกทางให้และอวยพรให้ทั้งคู่มีความสุขได้อย่างไม่ฝืนใจ แต่ทำไม...
“ไม่! อย่าไปคิดสิตะวัน ลืมมันไปให้หมด”ตะวันพยายามไล่ความทรงจำอันเลวร้าย ที่ยังคงตามมาหลอกหลอนเธออยู่ ความเจ็บที่ตะวันเพิ่งรู้จักเป็นครั้งแรก แลกกับความเชื่อใจและความรัก
แล้วสติที่เพิ่งกลับมาก็ทำให้ตะวันนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้อีกเรื่อง
“กระเป๋าใช่กระเป๋าตังค์”เพราะมัวแต่สับสนอยู่กับความจริงที่ได้เจอ และความวุ่นวายกับการเดินทางที่แสนจะยากลำบาก ทำให้ตะวันลืมเรื่องสำคัญที่สุดอีกเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในเวลาปกติ ตะวันรีบลุกขึ้นนั่งใช้แรงทั้งหมดที่ยังพอมีเหลืออยู่เททุกอย่างที่มีอยู่กระเป๋าเป้จนหมด ทั้งคุ้ย ทั้งเขย่า จนกระเป๋าเป้แทบจะฉีก ทว่ากระเป๋าสตางค์ที่หากลับไม่มีให้เห็นเลย
“ไม่มี ที่ไหนๆก็ไม่มี มันหายไปไหนกันล่ะ”ตะวันตะโกนเสียงดังด้วยความลืมตัว จนคนที่นอนอยู่บนเตียงแต่ยังไม่ได้หลับสักงีบเพราะเสียงดัง ต้องลุกขึ้นนั่งด้วยความโมโห
“นายหามีดที่จะเอามาฆ่าฉันไม่เจอ หรือว่าหาเชือกที่จะใช้แขวนคอตายประชดชีวิตไม่เจอกันแน่หือ ฉันจะได้ช่วยหาให้ จะได้นอนหลับกับเค้าสักที”
“ฉันแค่หา..หา..นี่ไง” ด้วยความตกใจที่เห็นคนที่คิดว่าหลับไปแล้วลุกขึ้นมาพูด ตะวันคว้าของที่ใกล้มือที่สุดขึ้นมาโชว์เพื่อแก้ตัวไปพลางๆ
“ไอ้นี่น่ะนะ ที่นายไม่หลับไม่นอนเราะว่ากำลังหาไอ้นี่อยู่เหรอ โรคจิตหรือไงถึงได้พกของพวกนี้มาด้วย หรือว่านายเป็นตุ๊ด”
คำถามนั้นทำให้ตะวันหันไปมองของที่ตัวเองกำลังถืออยู่ในมืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบจับยัดเข้ากระเป๋าเป้ปานสายฟ้าแล่บ ก็สิ่งที่เธอกำลังถืออยู่ดันเป็นบราเซียสีฟ้าลายลูกไม้ที่คุณนวลใจซื้อให้ตอนอยู่เชียงรายน่ะสิ
“ใช่ เอ๊ย ไม่ใช่ เอ๊ยใช่สิ ฉันหมายความว่าฉันหาไอ้นั่นอยู่จริงๆเพราะว่าเพื่อน เอ๊ย แฟนฉันฝากซื้อ แต่ว่าฉันไม่ได้เป็นตุ๊ดเป็นแต๋วอย่างที่คุณเข้าใจ”ตะวันรีบแก้ตัวอย่างตะกุกตะกัก
“เออๆ จะของนายหรือของใครก็ช่างมันเถอะฉันไม่สนใจ เอาเป็นว่าถ้านายหาเจอแล้วก็ได้โปรดนอนเงียบๆด้วย ก่อนที่ฉันจะจับนายโยนทิ้งทะเลไปเป็นอาหารปลา”คนตัวโตกว่าขู่ด้วยความหงุดหงิด
ทว่าคนตัวเล็กกว่าที่ไม่ค่อยกลัวคำขู่ถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“คุณไม่กลัวว่าคนแถวนี้จะเข้าใจคุณถูก แล้วช่วยกันจับยัดเข้าซังเตโทษฐานฆ่าเพื่อนร่วมห้องเหรอ”
“หึหึ นายนี่ไม่รู้อะไรซะเลย ตอนเอานายไปทิ้งฉันก็ผูกก้อนหินไปด้วยหลายๆก้อน รับรองไม่ลอยขึ้นมาแน่ๆ หรือถ้าพลาดอย่างน้อยกว่านายจะลอยขึ้นมาก็หลายวัน ถึงตอนนั้นฉันก็คงเผ่นไปไกลแล้ว ถามทำไมอยากลองจริงๆหรือไง”คนที่เพิ่งคิดวิธีฆาตกรรมเพื่อนร่วมห้องขึ้นมาอย่างสดๆร้อนๆพูดเสียงเย็น
“เปล่า ฉันแค่ถามดูเฉยๆ แบบว่าแค่สงสัยน่ะ”ทำหน้าเจื่อนๆก่อนจะขยับให้ห่างคนบนเตียงอีกหน่อย
“เอ้าหมอน ที่นี่เค้ามีให้สองอัน นายเอาไปอันหนึ่ง แล้วนอนเงียบๆ ให้เงียบที่สุดเลยนะ ถ้าฉันต้องตื่นขึ้นมาเพราะเสียงอะไรของนายอีก...”ภูวิชเว้นคำสุดท้ายไว้ให้ตะวันคิดเอาเองก่อนจะทำท่าเหมือนปาดคอให้เสียวสันหลังเล่น
ตะวันที่กอดหมอนไว้แน่น พยักหน้าหงึกหงักรับคำ รีบหันหลังให้คนบนเตียงก่อนจะล้มตัวนอนนิ่งอยู่ข้างล่างใกล้ๆกับกระเป๋าตัวเอง โดยไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มขำของคนตัวโตกว่าที่เพิ่งหลอกเด็กสำเร็จ และแล้ว....ความความเหนื่อยล้าที่สะสมมาทั้งวันบวกกับอาการป่วยที่เข้าครอบงำก็ทำให้ตะวันหลับไปอย่างไม่รู้ตัว
“อือ อือ”เสียงที่เหมือนดังอยู่ใกล้ตัว ปลุกภูวิชที่กำลังนอนหลับอย่างสบายให้ตื่นขึ้นมาตอนสายๆ ครั้นพอตื่นเต็มตาก็จำได้ว่ากำลังมาพักร้อนที่เกาะ แถมยังมีไอ้ตัวยุ่งมาอยู่ด้วยเมื่อคืนอีกคน นึกถึงเจ้าตัวต้นเหตุของเสียงได้ก็พูดอย่างหงุดหงิด
“ไอ้หนูฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าอย่าทำเสียงดัง คิดจะกวนประสาทกันแต่เช้าหรือไง”พูดเสร็จเจ้าตัวก็หันไปมองที่มาของเสียง แล้วก็ได้เห็นภาพตะวันที่นอนตัวสั่นครางไม่รู้ตัวอยู่ พอปะติดปะต่อภาพเมื่อคืนได้ก็รีบลุกลงไปดู
“ไอ้หนู เฮ้ยเป็นอะไรไปอีกล่ะ นี่ไอ้หนูๆๆ ชื่ออะไรหว่า เมื่อคืนก็ไม่ได้ถามซะด้วย” ภูวิชคิดอย่างร้อนใจ
“เฮ้ยไอ้หนูอย่าเพิ่งตายนะโว้ย นี่ๆๆ เฮ้ยไอ้หนูๆ”เรียกพลางเขย่าตัวตะวันที่มีไข้สูง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นตบแก้มแรงๆเมื่อไม่เห็นตื่นสักที
“โอ๊ย ๆตื่นแล้วๆหยุดตีได้แล้ว มันเจ็บนะ”เสียงแหบๆดังออกมาจากคนที่เพิ่งถูกตบ
“ช่วยไม่ได้ก็อยู่ดีๆนายก็มานอนครางเป็นนกทึดทือ เรียกก็ไม่ตื่น”ภูวิชรู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นคนป่วยตื่น รีบแก้ตัวน้ำขุ่นๆ หลังจากเห็นคนที่เพิ่งถูกปลุกลูบแก้มที่เริ่มแดงป้อยๆ
“ปลุกดีๆไม่ได้หรือไง บ้านคุณเค้าสอนให้เรียกคนป่วยแบบนี้เหรอ”ตะวันอดโมโหไม่ได้ ก็เล่นเขย่าซะหัวสั่นหัวคลอน แถมยังตีแรงยังกะตีวัวตีควายงั้นแหละ
“เออๆ คนอุตส่าห์ช่วยปลุกยังบ่นอีก”คนปลุกที่เริ่มรู้สึกผิดนิดๆเมื่อเห็นหน้าแดงๆ รีบเปลี่ยนเรื่อง
“ไข้ขึ้นสูงอีกแล้วล่ะสิ เมื่อคืนฉันก็ลืมหายาให้กิน นายคงพกมาบ้างใช่ไหมล่ะ”
“ไม่มี ลืมเอามา”ตะวันตอบเสียงอ่อยๆอย่างกลัวโดนด่า
“ลืมเอามาเนี่ยนะ”ภูวิชหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ระงับความโกรธ ไอ้หนูนี่คงกำลังคิดว่าตัวเองมาเดินเล่นในห้างอยู่แน่ๆ ป่วยอยู่แท้ๆยังอุตส่าดั้นด้นมาบนเกาะห่างไกลความเจริญแต่กลับไม่เตรียมอะไรมาเลย
“งั้นเดี๋ยวฉันจะลองไปถามไอ้พล ฉันหมายถึงเจ้าของรีสอร์ทที่นายเจอเมื่อวาน คิดว่าคงจะพอมีพวกยาพาราอยู่บ้างหรอก”
“ขอบคุณ อ้อ..เอ่อ...”ตะวันทำท่าลำบากใจ ไม่มั่นใจว่าจะพูดต่อดีหรือเปล่าจนคนที่รอฟังอยู่ถามเสียงห้วน
“อะไรอีกล่ะ”
“คือ..ขอ..ขอข้าวกินด้วยได้ไหมฉันไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”ตะวันกลั้นใจพูดจนจบก่อนจะหลับตาปี๋เตรียมฟังคำตวาดของคนตรงหน้า แต่ผิดคาดเมื่อภูวิชนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“โธ่เอ๊ยไอ้เด็กบ๊อง ที่เมื่อวานเป็นลมก็เพราะว่าไม่ได้กินข้าวล่ะสิ ถึงว่าเมื่อกี้เหมือนได้ยินเสียงอะไรประหลาดๆที่แท้ก็เสียงท้องของนายมันร้องนี่เอง”
“เปล่าซักหน่อย..จ๊อก”เพิ่งอ้าปากเถียงไม่ทันขาดคำ เสียงร้องของกระเพาะก็ดังขึ้นมาให้เจ้าของได้ขายหน้าอีกรอบ ทำเอาภูวิชที่กำลังกลั้นหัวเราะอยู่หลุดพรืดด้วยความขำ
“ตกลง นายรออยู่ที่ห้องนี่แหละเดี๋ยวฉันกลับมา”คนตัวโตที่พยายามหยุดหัวเราะเมื่อเห็นหน้าแดงๆบวกกับสายตาขุ่นเคืองของคนตัวเล็กกว่าตอบกลับ แล้วเดินออกจากห้องไปแต่ยังไม่วายส่งเสียงหัวเราะลั่นอยู่นอกห้องให้คนเพิ่งหน้าแตกได้ยินอีก
เออ หัวเราะกันเข้าไป ไม่เจอกับตัวบ้างคงไม่รู้สึกหรอก ตะวันบ่นคนที่เพิ่งออกห้องจากห้องด้วยความเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ
“ไงไอ้ภูตื่นซะสายเลยนะแก”นวพลทักคนเป็นเพื่อนที่เดินเข้าไปในครัว ขณะที่เขากำลังนั่งจิบกาแฟร้อนๆอยู่
“ก็ไอ้เด็กบ้าที่แกเอาไปฝากไว้เมื่อคืนมันดันลุกขึ้นมาทำเสียงดังจนฉันนอนไม่หลับนะสิ ว่าแต่เช้านี้แกพอจะมีอะไรให้กระเพาะฉันได้ทำงานบ้าง”
“มื้อเช้าก็มีข้าวต้มปลาอยู่ในหม้อ ที่เหลือก็มีไข่ ไส้กรอก เบค่อน ส่วนขนมปังเนยแข็งอยู่ในตู้เย็น”
ภูวิชหยิบไข่ในตู้เย็นแล้วหันไปถามเพื่อน
“แกมีหมูสับเหลืออยู่ในตู้บ้างไหม”
“น่าจะมีอยู่ในตู้นั่นแหละ ต้มยำทะเลรวมเมื่อวานก็อยู่ใกล้ๆกัน ถ้าแกจะกินก็ตามสบาย”
“ข้าวเปล่าล่ะ”ภูวิชพูดไปทำไข่เจียวหมูสับไปด้วยความคล่องแคล่ว
“อยู่ในหม้อรอคนตื่นสายมากินตั้งแต่เช้า แถมป้าดายังร่ำๆจะทำกับข้าวให้แกอีกหลายอย่างแต่ฉันบอกให้กลับไปดูลุงสม สงสัยเมื่อคืนคงฉลองของดีของแกหนักไปหน่อย”
“แล้ววันนี้แกจะออกเรือไหวรื้อ เห็นกินทีไรเมาพับไปเป็นวันๆ”
“ยากว่ะ สงสัยต้องรอพรุ่งนี้ถึงจะฟื้น แล้วไอ้ตัวแสบของแกเป็นยังไงบ้าง”
“ไอ้เด็กบ้าน่ะเหรอ ตื่นมาก็ไข้ขึ้น แล้วยังงอแงจะกินข้าวอีก เสียเวลาพักของฉันจริงๆ”ปากก็บ่นไปแต่มือก็ยังหยิบถ้วยขึ้นมาตักข้าวต้มไปฝากให้คนที่กำลังป่วยอยู่ในห้อง
“แกก็พูดยังกับมันเป็นเด็กสามขวบ ฉันดูๆแล้วก็น่าจะอายุซักสิบเจ็ดสิบแปด ท่าทางเหมือนหนีออกจากบ้านไม่งั้นก็อกหัก ไม่รู้ว่าหลงมาที่เกาะนี้ได้ยังไง”
“คงงั้นมั้ง เมื่อคืนฉันคิดว่าได้ยินเสียงร้องไห้อยู่ แล้วทำไมฉันต้องมาดูแลมันด้วย แกเป็นเจ้าของรีสอร์ทก็รับมันไปดูแลเองสิวะไอ้พล ฉันเป็นแขกมาพักผ่อนนะโว้ย”
“แขกกับผีนะสิ พักฟรีเงินก็ไม่จ่ายสักบาท แถมบังกะโลที่อยู่ก็มีแกพักแค่คนเดียว คนอื่นเขามาเป็นกลุ่มหรือไม่ก็สองคนผัวเมีย ไม่ให้เด็กนั่นพักกับแกแล้วจะให้ไปนอนกับใครได้”
“ห้องคุณนวพลเจ้าของรีสอร์ทก็ว่างนี่หว่า ”
“ไม่ว่างโว้ย ฉันอยู่กับสุดที่รักทุกคืน ไม่ได้ว่างเปล่าโสดสนิทหมือนแก”
“พูดอย่างงี้มันวอนทีนแล้วไอ้พลเพื่อนรัก ฉันจะโสดไม่โสดมันเกี่ยวอะไรด้วย ไอ้เด็กบ้านั่นมันเป็นผู้หญิงหรือไง หรือแกคิดว่าฉันเปลี่ยนรสนิยมตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ใครจะไปรู้...”คนเป็นเพื่อนทำหน้าเจ้าเล่ห์ แต่เมื่อเห็นภูวิชตั้งท่าจะถีบก็รีบแก้ตัว
“โอ๊ะๆๆ อย่าเพิ่งๆๆ เก็บเท้าของแกไว้ก่อน ฉันหมายถึงแกก็รู้ว่าห้องของฉันมัน...มีหลายอย่าง ฉันขี้เกียจตอบคำถาม แล้วก็ไม่อยากให้ใครเข้ามาวุ่นวายด้วย”นวพลแกล้งทำหน้าขรึม
“ เออ!ฉันไม่อยากเถียงกับแกแล้ว ฉันจะรับฝากอีกคืนเท่านั้นนะโว้ย พรุ่งนี้ลุงสมออกเรือได้ก็ทางใครทางมัน”ภูวิชทำท่ายอมแพ้ เตรียมจะยกอาหารกลับที่พัก แล้วก็นึกขึ้นได้
“ไอ้พลแกพอจะมียาลดไข้สักสองสามเม็ดไหม”คำถามง่ายๆ แต่ทำให้ผู้ชายตัวโตสองคนต้องเงียบไปอย่างประหลาด นวพลถอนหายใจไล่ความทรงจำก่อนจะตอบคนเป็นเพื่อน
“มีอยู่ในตู้เหมือนเดิมนั่นแหละ แกจะเอายาอะไรก็หยิบได้ตามสบาย อ้อ เมื่อคืนลุงสมฝากสาโทสูตรเด็ดมาให้แกด้วย ยังไงเย็นนี้ก็มาดวนกันเป็นไง”
“ได้เลย ทั้งคืนก็ยังไหว”
ได้ของที่ต้องการครบภูวิชก็เดินกลับที่พัก ถึงบังกะโลก็เคาะประตูแต่ไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากคนข้างใน คนตัวโตชะงักอยู่ครู่แล้วเปิดประตูที่ไม่ได้ล็อคเข้าไป กวาดตามองรอบห้องกลับไม่พบเจ้าตัวดีที่คิดว่าจะยังอยู่ที่เดิม ภูวิชวางถาดอาหารไว้พื้นห้องข้างประตูก่อนจะฉุกคิดถึงสิ่งที่ทำให้ใจหายวาบ
“ตายห่าหรือว่าไอ้หนูนั่นมันจะอกหัก เลยไปหาที่ฆ่าตัวตาย งานเข้าอีกแล้วกู”
ความคิดเห็น