ไทจิ - นิยาย ไทจิ : Dek-D.com - Writer
×

    ไทจิ

    เรื่องแรกของการเขียนแนวนิยายลงเว็บไซต์ :)

    ผู้เข้าชมรวม

    272

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    17

    ผู้เข้าชมรวม


    272

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    จำนวนตอน :  7 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  31 ม.ค. 58 / 12:49 น.
    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ทุกคืนก่อนนอนผมจะได้ฟังเรื่องเล่าความรักของแม่และพ่อเกือบทุกคืน ผมเกิดและโตที่ญี่ปุ่นจนอายุ 17 ปีก็ย้ายกลับมาที่เมืองไทย แม่และพ่อของผมเป็นคนไทยทั้งสองคนแต่ว่าท่านทั้งสองไปทำงานแล้วพบรักและให้กำเนิดผมที่นั่น พอผมเกิดได้ไม่นานพ่อก็จากผมไปนั่นก็หมายความว่าผมไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อและจำใบหน้าท่านเลยมีเพียงรูปถ่ายที่แม่ให้ผมดูต่างหน้าและสร้อยข้อมือเป็นเชือกสีน้ำเงินที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เด็ก แม่ตัดสินใจกลับมาที่เมืองไทยเพราะคุณยายอยากเห็นผมและอยากให้ผมได้ใช้ชีวิตในเมืองไทยที่เป็นบ้านเกิดบ้าง ผมชื่อ ไทจิ สว่างคุณ คุณยายและญาติๆที่เมืองไทยเรียกผมว่า ไท และบอกว่าเป็นชื่อที่ดีเพราะเหมือนเป็นการต้อนรับกลับมาที่บ้าน ผมไม่เคยได้ไปไหนเลยนอกจากรอบๆเมืองที่ญี่ปุ่น นั่นก็หมายความว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางไกลพร้อมกับแม่แบบนี้ พอมาถึงบ้านคุณยายอยู่ที่เชียงใหม่เป็นบ้านไม้เรือนไทยหลังไม่ใหญ่บ้านลอบล้อมด้วยต้นไม้สีเขียว หลังบ้านมองไปเห็นวิวทิวทัศน์ภูเขากับหมู่บ้านเล็กๆ บ้านของคุณยายมีคุณยาย คุณน้าและแม่บ้านอีกสองคน วันแรกของการมาถึงก็ทำให้ผมประหลาดใจกับสิ่งที่ผมคิดอย่างสิ้นเชิง ผมคิดว่าคุณยายจะใจดีเป็นแบบผู้หญิงไทยสมัยก่อนตามหนังสือที่ผมอ่าน แต่พอได้เจอประโยคแรกที่คุณยายพูดเมื่อเห็นหน้าผมก็คือ หน้าตาเหมือนพ่อมันเกินไป ในใจผมคิดว่าเหมือนเกินไปนี่มันหมายความว่ายังไงกัน มันไม่ดีหรอที่เหมือนพ่อ ผมตั้งคำถามในใจแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป เมื่อแม่ได้ยินแบบนั้นก็รีบพูดสวนอย่างทันควันว่า แม่ค่ะ พวกเราเดินทางมาไกลนะคะ พอคุณยายได้ยินแบบนั้นก็บอกให้พวกเราเขาไปวางข้าวของในห้องและมานั่งคุยกันที่น่าจะเป็นห้องรับแขก คุณยายถามผม ชื่อแซ่อะไรล่ะ ผมตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ชื่อไทจิครับ คุณยายยังคงถามต่ออีกหลายคำถาม เรียนอยู่ชั้นอะไรแล้ว อยู่ที่นี่ได้ไหม พูดภาษาไทยได้เยอะไหม คำถามาเยอะเลยครับครั้งนี้ ผมไม่รู้จะเริ่มตอบอะไรเลย จึงตอบไปแค่นิดหน่อยว่า ครับ คุณยายพูดว่า เออให้มันได้จริงๆ ไม่ใช่เหมือนพ่อของเอ็ง ทันใดนั้นแม่รีบพูดขึ้นมาว่า แม่สบายดีนะคะ ไม่ได้เจอแม่ตั้งนาน พวกเราคิดถึงนะคะ คุณยายตอบแม่ว่า ก็ยังไม่เป็นอะไรแบบที่เห็นนั่นแหละ หลังจากจบบทสทนาก็ถึงเวลาทานข้าวเย็นกันพร้อมหน้าพร้อมตา ผมรู้สึกตื่นเต้นเพราะนี่จะเป็นอาหารไทยมื้อแรกที่ได้กินที่เมืองไทยจริงๆ ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของคุณยายอยู่บ้างแต่ก็ยังคิดว่าท่านคงเป็นแบบนี้ อาหารมื้อนี้ผมทานได้น้อยมากหน้าตาของอาหารก็แปลกตารวมถึงรสชาติของมันด้วยทั้งเผ็ดทั้งรสจัด ระหว่างทานข้าวคุณยายถามแม่ว่า จะให้มันเรียนที่ไหนล่ะ คิดไว้หรึยัง? แม่ตอบ ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ แต่คิดว่าคงให้เรียนในตัวจังหวัด คุณยายพูดอีกว่า ไอ่โรงเรียนแพงๆนั่นนะหรอ เอ็งคงมีเงินมากสินะ แม่ตอบ เปล่าหรอกค่ะ หนูแค่คิดว่าลูกคงยังต้องปรับตัวอีกเยอะ ถ้าให้ไปเรียนโรงเรียนที่เน้นภาษาอังกฤษจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก คุณยายพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ ปกติจะทำอะไรไม่เคยถามอะไรอยู่แล้วนี่ อยากจะให้เรียนที่ไหนก็เอาเลย แม่ตอบ โธ่แม่ค่ะ ไม่ใช่แบบนั้นนะค่ะ คุณยายตัดพ้อและบอกกับพวกเราว่า ที่นี่เมืองไทย จะทำอะไรก็ควรเห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่ แม่ตอบ แม่ค่ะ เราเพิ่งเจอกันเองน้อยใจแล้วหรอคะ? คุณยายหันหน้ามองผมและพูดว่า พูดไม่ได้หรือไม่ได้พูด ไม่ใช่พอถึงเวลาก็มาบอกให้แม่เอ็งพากลับญี่ปุ่นไปหล่ะ ผมไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่คุณยายพูดจึงไม่ได้ตอบอะไรท่าน หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาอาบน้ำเข้านอน ตั้งแต่ผมมาที่นี่ก็รู้สึกมีอะไรแปลกใหม่ไปหมดรวมไปถึงห้องน้ำที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ด้วย ไม่มีฝักบัวหรืออ่าง แต่มีถังและที่ตักไว้แทนผมก็ไม่รู้ว่ามันเรียกอะไร ทำยังไงได้หล่ะมาถึงขนาดนี้แล้วก็ทำให้มันเสร็จไปแล้วกัน เดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นแม่นั่งรอผมอยู่สักพักหนึ่งแล้ว ผมจึงถามแม่ว่า แม่ไม่นอนหรอครับ แม่ตอบ แน่ใจนะลูกว่าอยู่ที่นี่ได้ ถ้ามีอะไรก็บอกแม่ได้นะลูก น้ำเสียงของแม่ดูกังวล ผมตอบแม่ไปว่า ได้ครับ ถ้ามีแม่อยู่ด้วยทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ ทั้งที่จริงแล้วผมก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าจะอยู่ได้จริงไหม แต่ผมได้ยินน้ำเสียงของแม่ที่ดูกังวลมากผมจึงตอบให้ท่านไม่ต้องคิดมาก คืนแรกผมนอนหลับไม่ค่อยสนิทเลยเพราะผมรู้สึกว่าที่นี่เงียบและมืดจนผมไม่คุ้นชิน เช้าวันนี้ผมถูกปลุกตั้งแต่เช้าตรู่มาใส่บาตรพร้อมคุณยายและแม่ที่หน้าบ้าน พอเดินเข้ามาถึงในบ้านแม่พูดกับผมว่า ถ้าง่วงกลับไปนอนต่อก่อนก็ได้นะลูก ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไรก็มีเสียงคุณยายแทรกมาว่า จะนอนอะไรกันหนักหนา แค่ตื่นเช้ามันไม่ตายหรอก ผมจึงตอบแม่ว่า ไม่เป็นไรครับแม่ ผมไม่ง่วงแล้ว วันนี้แม่ออกไปตลาดกับแม่บ้านหลังจากที่เราทานข้าวเช้ากับเสร็จ ทิ้งให้ผมต้องอยู่กับคุณยายที่บ้านด้วยกัน คุณยายถามผมว่า ชื่ออะไรนะ อะไรจิจิ ผมจึงตอบกลับไปว่า ไทจิครับคุณยาย คุณยายพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนรำคาญ เออ อะไรนั่นแหละ งั้นเรียกไทแล้วกันง่ายดี ผมคิดในใจมันยากตรงไหนกันแค่สองคำเอง ผมตอบคุณยายไปสั้นๆว่า ครับ หลังจากนี้คุณยายก็เล่าเรื่องแม่กับพ่อให้ผมฟังแต่ที่น่าแปลกใจก็คือมันแตกต่างกับสิ่งที่แม่ผมเคยเหล่าอย่างสิ้นเชิง คุณยายดูเหมือนไม่ค่อยชอบพ่อของผมสักเท่าไหร่ไม่ใช่เหมือนหรอกผมว่าไม่ชอบเลยแหละ สิ่งที่คุณยายเล่านั้นเหมือนว่าความรักของพ่อและแม่ของผมดูเป็นสิ่งที่ผิดอย่างมาก ตอนที่ฟังผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เพราะคุณยายทั้งเล่าไปและถามคำถามที่ดูเหมือนไม่ได้อยากจะได้คำตอบสักเท่าไหร่ เช่นชอบเล่นดนตรีบ้าบอเหมือนพ่อเอ็งหรึเปล่า อย่าไปชอบเหมือนมันนะ ผมไม่เข้าใจว่ามันผิดหรอทีพ่อของผมชอบเล่นดนตรี นั่งฟังคุณยายเล่าไปได้สักพักผมก็เริ่มมีคำถามบ้างแล้ว คุณยายครับที่บ้านนี้มีอินเทอร์เน็ตไหมครับ คุณยายตอบ อะไรเน็ตๆนะ ผมคิดว่าคุณยายไม่รู้จักเลยไม่กล้าถามต่อได้แต่บอกกับท่านไปว่า ไม่มีอะไรแล้วครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ คุณยายไม่ได้พูดอะไรผมจึงเดินออกมาจากตรงนั้น ในใจผมนึกว่าทำไมแม่ออกไปนานจังเลยตลาดไกลจากที่บ้านมากเลยหรอ ไม่แปลกที่ผมรู้สึกอึดอัดกับคุณยายใช่ไหมเพราะเราไม่เคยเจอกันมาก่อนเลยหรือว่าเพราะเรื่องที่คุณยายเล่ากันแน่ผมเองก็ไม่แน่ใจ ผมได้ยินเสียงเหมือนแม่จะกลับมาแล้วจึงเดินออกจากห้องทันที แม่ครับผมอยากใช้อินเทอร์เน็ต แม่ช่วยถามยายให้หน่อยได้ไหมครับ พอดีผมบอกกับเพื่อนไว้ว่าถ้ามาถึงแล้วจะอีเมลล์ไปบอก แม่ตอบ แม่ว่าที่บ้านนี้ไม่น่าจะมีนะลูก ถ้าอยากใช้แม่ว่าลูกอาจต้องไปในเมือง ผมพูด

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น