ไทจิ
เรื่องแรกของการเขียนแนวนิยายลงเว็บไซต์ :)
ผู้เข้าชมรวม
272
ผู้เข้าชมเดือนนี้
17
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ทุกคืนก่อนนอนผมจะได้ฟังเรื่องเล่าความรักของแม่และพ่อเกือบทุกคืน ผมเกิดและโตที่ญี่ปุ่นจนอายุ 17 ปีก็ย้ายกลับมาที่เมืองไทย แม่และพ่อของผมเป็นคนไทยทั้งสองคนแต่ว่าท่านทั้งสองไปทำงานแล้วพบรักและให้กำเนิดผมที่นั่น พอผมเกิดได้ไม่นานพ่อก็จากผมไปนั่นก็หมายความว่าผมไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อและจำใบหน้าท่านเลยมีเพียงรูปถ่ายที่แม่ให้ผมดูต่างหน้าและสร้อยข้อมือเป็นเชือกสีน้ำเงินที่ติดตัวผมมาตั้งแต่เด็ก แม่ตัดสินใจกลับมาที่เมืองไทยเพราะคุณยายอยากเห็นผมและอยากให้ผมได้ใช้ชีวิตในเมืองไทยที่เป็นบ้านเกิดบ้าง ผมชื่อ ไทจิ สว่างคุณ คุณยายและญาติๆที่เมืองไทยเรียกผมว่า ไท และบอกว่าเป็นชื่อที่ดีเพราะเหมือนเป็นการต้อนรับกลับมาที่บ้าน ผมไม่เคยได้ไปไหนเลยนอกจากรอบๆเมืองที่ญี่ปุ่น นั่นก็หมายความว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางไกลพร้อมกับแม่แบบนี้ พอมาถึงบ้านคุณยายอยู่ที่เชียงใหม่เป็นบ้านไม้เรือนไทยหลังไม่ใหญ่บ้านลอบล้อมด้วยต้นไม้สีเขียว หลังบ้านมองไปเห็นวิวทิวทัศน์ภูเขากับหมู่บ้านเล็กๆ บ้านของคุณยายมีคุณยาย คุณน้าและแม่บ้านอีกสองคน วันแรกของการมาถึงก็ทำให้ผมประหลาดใจกับสิ่งที่ผมคิดอย่างสิ้นเชิง ผมคิดว่าคุณยายจะใจดีเป็นแบบผู้หญิงไทยสมัยก่อนตามหนังสือที่ผมอ่าน แต่พอได้เจอประโยคแรกที่คุณยายพูดเมื่อเห็นหน้าผมก็คือ “หน้าตาเหมือนพ่อมันเกินไป” ในใจผมคิดว่าเหมือนเกินไปนี่มันหมายความว่ายังไงกัน มันไม่ดีหรอที่เหมือนพ่อ ผมตั้งคำถามในใจแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป เมื่อแม่ได้ยินแบบนั้นก็รีบพูดสวนอย่างทันควันว่า “แม่ค่ะ พวกเราเดินทางมาไกลนะคะ” พอคุณยายได้ยินแบบนั้นก็บอกให้พวกเราเขาไปวางข้าวของในห้องและมานั่งคุยกันที่น่าจะเป็นห้องรับแขก คุณยายถามผม “ชื่อแซ่อะไรล่ะ” ผมตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ “ชื่อไทจิครับ” คุณยายยังคงถามต่ออีกหลายคำถาม “เรียนอยู่ชั้นอะไรแล้ว อยู่ที่นี่ได้ไหม พูดภาษาไทยได้เยอะไหม” คำถามาเยอะเลยครับครั้งนี้ ผมไม่รู้จะเริ่มตอบอะไรเลย จึงตอบไปแค่นิดหน่อยว่า “ครับ” คุณยายพูดว่า “เออให้มันได้จริงๆ ไม่ใช่เหมือนพ่อของเอ็ง” ทันใดนั้นแม่รีบพูดขึ้นมาว่า “แม่สบายดีนะคะ ไม่ได้เจอแม่ตั้งนาน พวกเราคิดถึงนะคะ” คุณยายตอบแม่ว่า “ก็ยังไม่เป็นอะไรแบบที่เห็นนั่นแหละ” หลังจากจบบทสทนาก็ถึงเวลาทานข้าวเย็นกันพร้อมหน้าพร้อมตา ผมรู้สึกตื่นเต้นเพราะนี่จะเป็นอาหารไทยมื้อแรกที่ได้กินที่เมืองไทยจริงๆ ถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกแปลกใจกับคำพูดของคุณยายอยู่บ้างแต่ก็ยังคิดว่าท่านคงเป็นแบบนี้ อาหารมื้อนี้ผมทานได้น้อยมากหน้าตาของอาหารก็แปลกตารวมถึงรสชาติของมันด้วยทั้งเผ็ดทั้งรสจัด ระหว่างทานข้าวคุณยายถามแม่ว่า “จะให้มันเรียนที่ไหนล่ะ คิดไว้หรึยัง?” แม่ตอบ “ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ แต่คิดว่าคงให้เรียนในตัวจังหวัด” คุณยายพูดอีกว่า “ไอ่โรงเรียนแพงๆนั่นนะหรอ เอ็งคงมีเงินมากสินะ” แม่ตอบ “เปล่าหรอกค่ะ หนูแค่คิดว่าลูกคงยังต้องปรับตัวอีกเยอะ ถ้าให้ไปเรียนโรงเรียนที่เน้นภาษาอังกฤษจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก” คุณยายพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ “ปกติจะทำอะไรไม่เคยถามอะไรอยู่แล้วนี่ อยากจะให้เรียนที่ไหนก็เอาเลย” แม่ตอบ “โธ่แม่ค่ะ ไม่ใช่แบบนั้นนะค่ะ” คุณยายตัดพ้อและบอกกับพวกเราว่า “ที่นี่เมืองไทย จะทำอะไรก็ควรเห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่” แม่ตอบ “แม่ค่ะ เราเพิ่งเจอกันเองน้อยใจแล้วหรอคะ?” คุณยายหันหน้ามองผมและพูดว่า “พูดไม่ได้หรือไม่ได้พูด ไม่ใช่พอถึงเวลาก็มาบอกให้แม่เอ็งพากลับญี่ปุ่นไปหล่ะ” ผมไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่คุณยายพูดจึงไม่ได้ตอบอะไรท่าน หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาอาบน้ำเข้านอน ตั้งแต่ผมมาที่นี่ก็รู้สึกมีอะไรแปลกใหม่ไปหมดรวมไปถึงห้องน้ำที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ด้วย ไม่มีฝักบัวหรืออ่าง แต่มีถังและที่ตักไว้แทนผมก็ไม่รู้ว่ามันเรียกอะไร ทำยังไงได้หล่ะมาถึงขนาดนี้แล้วก็ทำให้มันเสร็จไปแล้วกัน เดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นแม่นั่งรอผมอยู่สักพักหนึ่งแล้ว ผมจึงถามแม่ว่า “แม่ไม่นอนหรอครับ” แม่ตอบ “แน่ใจนะลูกว่าอยู่ที่นี่ได้ ถ้ามีอะไรก็บอกแม่ได้นะลูก” น้ำเสียงของแม่ดูกังวล ผมตอบแม่ไปว่า “ได้ครับ ถ้ามีแม่อยู่ด้วยทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ” ทั้งที่จริงแล้วผมก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าจะอยู่ได้จริงไหม แต่ผมได้ยินน้ำเสียงของแม่ที่ดูกังวลมากผมจึงตอบให้ท่านไม่ต้องคิดมาก คืนแรกผมนอนหลับไม่ค่อยสนิทเลยเพราะผมรู้สึกว่าที่นี่เงียบและมืดจนผมไม่คุ้นชิน เช้าวันนี้ผมถูกปลุกตั้งแต่เช้าตรู่มาใส่บาตรพร้อมคุณยายและแม่ที่หน้าบ้าน พอเดินเข้ามาถึงในบ้านแม่พูดกับผมว่า “ถ้าง่วงกลับไปนอนต่อก่อนก็ได้นะลูก” ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไรก็มีเสียงคุณยายแทรกมาว่า “จะนอนอะไรกันหนักหนา แค่ตื่นเช้ามันไม่ตายหรอก” ผมจึงตอบแม่ว่า “ไม่เป็นไรครับแม่ ผมไม่ง่วงแล้ว” วันนี้แม่ออกไปตลาดกับแม่บ้านหลังจากที่เราทานข้าวเช้ากับเสร็จ ทิ้งให้ผมต้องอยู่กับคุณยายที่บ้านด้วยกัน คุณยายถามผมว่า “ชื่ออะไรนะ อะไรจิจิ” ผมจึงตอบกลับไปว่า “ไทจิครับคุณยาย” คุณยายพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนรำคาญ “เออ อะไรนั่นแหละ งั้นเรียกไทแล้วกันง่ายดี” ผมคิดในใจมันยากตรงไหนกันแค่สองคำเอง ผมตอบคุณยายไปสั้นๆว่า “ครับ” หลังจากนี้คุณยายก็เล่าเรื่องแม่กับพ่อให้ผมฟังแต่ที่น่าแปลกใจก็คือมันแตกต่างกับสิ่งที่แม่ผมเคยเหล่าอย่างสิ้นเชิง คุณยายดูเหมือนไม่ค่อยชอบพ่อของผมสักเท่าไหร่ไม่ใช่เหมือนหรอกผมว่าไม่ชอบเลยแหละ สิ่งที่คุณยายเล่านั้นเหมือนว่าความรักของพ่อและแม่ของผมดูเป็นสิ่งที่ผิดอย่างมาก ตอนที่ฟังผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เพราะคุณยายทั้งเล่าไปและถามคำถามที่ดูเหมือนไม่ได้อยากจะได้คำตอบสักเท่าไหร่ เช่นชอบเล่นดนตรีบ้าบอเหมือนพ่อเอ็งหรึเปล่า อย่าไปชอบเหมือนมันนะ ผมไม่เข้าใจว่ามันผิดหรอทีพ่อของผมชอบเล่นดนตรี นั่งฟังคุณยายเล่าไปได้สักพักผมก็เริ่มมีคำถามบ้างแล้ว “คุณยายครับที่บ้านนี้มีอินเทอร์เน็ตไหมครับ” คุณยายตอบ “อะไรเน็ตๆนะ” ผมคิดว่าคุณยายไม่รู้จักเลยไม่กล้าถามต่อได้แต่บอกกับท่านไปว่า “ไม่มีอะไรแล้วครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” คุณยายไม่ได้พูดอะไรผมจึงเดินออกมาจากตรงนั้น ในใจผมนึกว่าทำไมแม่ออกไปนานจังเลยตลาดไกลจากที่บ้านมากเลยหรอ ไม่แปลกที่ผมรู้สึกอึดอัดกับคุณยายใช่ไหมเพราะเราไม่เคยเจอกันมาก่อนเลยหรือว่าเพราะเรื่องที่คุณยายเล่ากันแน่ผมเองก็ไม่แน่ใจ ผมได้ยินเสียงเหมือนแม่จะกลับมาแล้วจึงเดินออกจากห้องทันที “แม่ครับผมอยากใช้อินเทอร์เน็ต แม่ช่วยถามยายให้หน่อยได้ไหมครับ พอดีผมบอกกับเพื่อนไว้ว่าถ้ามาถึงแล้วจะอีเมลล์ไปบอก” แม่ตอบ “แม่ว่าที่บ้านนี้ไม่น่าจะมีนะลูก ถ้าอยากใช้แม่ว่าลูกอาจต้องไปในเมือง” ผมพูด
ผลงานอื่นๆ ของ Deary Yongkiezz ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Deary Yongkiezz
ความคิดเห็น