ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Encyclopedia Earth

    ลำดับตอนที่ #9 : นรกในฮิโรชิมา บันทึกจากผู้รอดตาย

    • อัปเดตล่าสุด 13 ก.ค. 52


     ในตอนเช้าตรู่ของวันที่ ๖ สิงหาคม ๑๙๔๕(พ.ศ.๒๔๘๘)                          

                                  อากาศกำลังอบอุ่นสบายและสดชื่น ข้าพเจ้าสวมแต่กางเกงในและเสื้อเชิ้ต นอนเหยียดยาวอยู่ในห้องนั่งเล่นเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานที่โรงพยาบาลมาจนเกือบตลอดคืน ข้าพเจ้านอนมองเหม่อออกไปทางประตูซึ่งอยู่ทางทิศใต้อย่างไร้ความหมาย แสงแดดในตอนเช้าตรู่จับน้ำค้างบนใบไม้สะท้อนแสงระยิบระยับ ทำให้จิตใจชุ่มชื่นเมื่อมองดู

    ทันใดนั้น ก็มีแสงสว่างจ้ามากเข้าตาครั้งหนึ่ง แล้วก็อีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าจำได้อย่างเลือนๆลางๆว่า ตะเกียงหินในสวนก็ดูเหมือนสว่างจ้าไปด้วย และข้าพเจ้าก็ยังคงคิดว่า คงจะเป็นแสงจากพลุกระมัง แสงนั้นดับวูบไปแล้วเมื่อตะกี้นี้ ตรงนี้ก็ยังสว่างด้วยแสงแดดของตอนรุ่งอรุณ  บัดนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างมืดครึ้มไปหมด ข้าพเจ้ามองผ่านฝุ่นที่กำลังม้วนตัวไปมาอยู่ทั่วบริเวณไปยังเสาไม้ที่พยุงบ้านของข้าพเจ้าข้างหนึ่งนั้น กำลังเอนไปอย่างน่ากลัวและหลังคาบ้านก็ทรุดลง

    ด้วยสัญชาตญาณ ข้าพเจ้าจึงพยายามหนี แต่เศษหินและท่อนไม้ขวางทางไว้หมด ข้าพเจ้าพยายามหาทางออก ในที่สุดก็ออกพ้นบ้านไปได้และยืนอยู่ในสวน รู้สึกอ่อนเพลียจนบอกไม่ถูก ดังนั้นข้าพเจ้าจึงหยุดเพื่อจะรวบรวมกำลังอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าตกใจมากเมื่อมองดูตัวเองเปลือยเปล่าล่อนจ้อน มันช่างแปลกประหลาดอะไรเช่นนี้? กางเกงในและเสื้อเชิ้ตของข้าพเจ้าหายไปไหน? นี่เกิดอะไรขึ้น?

    ตามลำตัวของข้าพเจ้าแถบขาเป็นแผลเหวอะหวะและเลือดกำลังไหลย้อยเป็นทาง ตรงขาท่อนบนแผลใหญ่และลึกมาก พร้อมๆกับมีน้ำอุ่นๆไหลย้อยออกมาจากปาก ข้าพเจ้าทราบว่าตรงแก้มก็เป็นแผลใหญ่เมื่อลองคลำดู ริมฝีปากล่างเจ่อและห้อยลงมา ที่คอมีเศษแก้วฝังอยู่ข้าพเจ้าจึงได้ดึงออกเสีย แล้วภรรยาของข้าพเจ้าเล่าอยู่ที่ไหน?

    ทันใดนั้น ข้าพเจ้าตกใจอย่างสุดขีดจึงได้ตะโกนเรียกเธอ “ เยโกะ! เยโกะ! เธออยู่ไหน ?” เลือดเริ่มไหลออกจากแผลของข้าพเจ้าหรือ? ข้าพเจ้าจะต้องตายเพราะเลือดออกมากนี่หรือยังไง ? ด้วยความกลัวและตกใจ ข้าพเจ้าจึงได้ร้องขึ้นอีก
    “ นี่มันลูกระเบิดขนาด ๕๐๐ ตัน เยโกะอยู่ที่ไหน เขาทิ้งระเบิดขนาด ๕๐๐ตันแล้ว!”

    เยโกะหน้าซีดเผือดด้วยความตื่นตระหนก เสื้อแสงขาดเปรอะเปื้อนด้วยเลือด เธอกำลังพยายามแหวกออกมาจากซากปรักหักพังของบ้าน และเอามือกุมข้อศอก ข้าพเจ้าค่อยใจชื้นขึ้นจึงได้พยายามปลุกปลอบเธอ “ ไม่เป็นไร เราปลอดภัยแล้ว แต่ต้องรีบออกจากบ้านเร็วที่สุด ”

    เธอพยักหน้า และข้าพเจ้าให้สัญญาณแก่เธอให้ตามข้าพเจ้าไป ซอกทางที่ออกไปสู่ถนนใหญ่สายที่สั้นที่สุดนั้นก็คือ ต้องผ่านบ้านถัดไปอีกหลังหนึ่ง ดังนั้นเราจึงวิ่งผ่าบ้านหลังนั้น ล้มลุกคลุกคลานมาจนกระทั่งเราสะดุดเอาสิ่งหนึ่งถึงกับล้มคว่ำเหยียดยาวลงกับถนน เมื่อลุกขึ้น จึงรู้ว่าข้าพเจ้าได้สะดุดเอาหัวคนเข้า

    “ ขอโทษ ขอโทษเถิด ” ข้าพเจ้าร้องเสียงหลง ไม่มีเสียงตอบเพราะว่าเขาตายเสียแล้ว เป็นนายทหารหนุ่มที่ถูกประตูใหญ่ทับอัดตาย

    เรา ยืนอยู่ที่ถนน ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปด้วยความกลัว จนกระทั่งบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับที่เรายืนเพียงนิดหน่อยเท่านั้น บ้านของเราเองก็โอนเอนและพังลงในท่ามกลางกลุ่มควันของฝุ่นเช่นเดียวกัน อาคารบ้านเรือนหลังอื่นๆก็พังพินาศลงพร้อมกับมีไฟลุกขึ้นและลุกลามต่อๆไป อย่างรวดเร็วเพราะลมกำลังพัดกระพืออย่างน่ากลัว

    ในที่สุดเราก็รู้ว่าจะยืนอยู่ที่ถนนนั้นต่อไปอีกไม่ได้แล้ว ดังนั้นจึงรีบเดินมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาล บ้านของเราไม่มีแล้ว และเรากำลังบาดเจ็บต้องการพยาบาลรักษาและสิ่งที่จำเป็นเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ข้าพเจ้าจะต้องอยู่คุมนายแพทย์และนางพยาบาลของข้าพเจ้า ความคิดอันหลังนี้ได้กระตุ้นเตือนใจข้าพเจ้าอยู่เสมอ แต่ข้าพเจ้าจะรักษาใครได้ในเมื่อข้าพเจ้าเองก็บาดเจ็บออกอย่างนี้

    แต่พอย่างเท้าก้าวออกไปได้ ๒๐-๓๐ก้าว ข้าพเจ้าก็จำต้องหยุด เพราะว่าลมหายใจได้สั้นลงทุกทีๆ หัวใจเต้นแรงและก้าวขาไม่ออกแล้วรู้สึกกระหายน้ำจนแทบจะทนไม่ไหว ข้าพเจ้าขอร้องให้เยโกะไปหาน้ำมาให้ แต่ก็หาไม่ได้ พอหยุดอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกว่ากำลังวังชาค่อยดีขึ้น จึงได้มุ่งหน้าเดินต่อไปอีก

    ร่าง ของข้าพเจ้ายังคงเปลือยเปล่าอยู่เช่นนั้น และแม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่รู้สึกอายเลยจนนิดเดียวแต่ก็รู้สึกไม่สบายใจเมื่อนึก ถึงว่าภาพเช่นนี้เมื่อใครเห็นแล้วจะรู้สึกอุจาดสักเพียงไร ดังนั้นพออ้อมมุมตรงนั้นแล้ว เราก็พบทหารคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ถนน มีผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งพาดไหล่ไว้ ข้าพเจ้าจึงขอเขามานุ่ง ทหารคนนั้นได้มอบให้อย่างเต็มใจ แต่ไม่ยอมพูดอะไรเลยจนคำเดียว ชั่วประเดี๋ยวเดียวผ้าผืนนั้นก็หายไปอีก เยโกะจึงถอดเอาผ้ากันเปื้อนของเธอมาพันรอบเอวให้

    การเดินไปโรงพยาบาลนั้นช่างเชื่องช้าเสียเต็มประดา ในที่สุดขาของข้าพเจ้าก็แข็งเพราะเลือดแห้งกรัง จนก้าวเท้าไม่ออก แม้อยากจะเดินต่อไปให้ถึงที่หมายโดยเร็วแต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงเสียแล้ว ดังนั้นข้าพเจ้าจึงได้บอกภรรยาผู้ซึ่งได้รับบาดเจ็บมากไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าข้าพเจ้าให้เดินต่อไปคนเดียว เธอไม่ยอม แต่ก็ไม่มีทางที่จะเลือกแล้ว เธอจึงจำต้องเดินต่อไป และพยายามบอกให้ใครต่อใครมาช่วยข้าพเจ้า

                    ก่อนจะจากไปเยโกะจ้องมองหน้าข้าพเจ้าอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็หันกลับ วิ่งตรงไปโรงพยาบาลโดยไม่พูดอะไรเลยจนคำเดียว เธอเหลียวหลังมามองดูอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับโบกมือ พอเธอจากไปแล้วข้าพเจ้ารู้สึกเปล่าเปลี่ยวและเกิดความกลัวจนบอกไม่ถูก


    ข้าพเจ้าเกือบจะนอนสลบอยู่บนถนนนั่นเอง ทั้งนี้เพราะว่าก้อนเลือดที่แห้งจนอุดแผลตรงขาท่อนบนนั้นได้หลุดไปเสียแล้ว พร้อมกันนั้นเลือดก็ทะลักออกมาจากแผลตรงนั้นอีก ข้าพเจ้าจึงเอามืออุดบริเวณที่เลือดออกไว้ครู่หนึ่ง เลือดก็หยุด รู้สึกค่อยยังชั่วขึ้น ข้าพเจ้าจะเดินต่อไปได้อีกหรือไม่? อย่างไรก็ตามก็ต้องพยายาม มันช่างเหมือนกับฝันร้าย ข้าพเจ้ามีบาดแผลเต็มตัว มีความมืดและยังมีถนนที่จะต้องเดินต่อไปข้างหน้าอีก ข้าพเจ้าเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆแต่ใจนั้นวิ่งเตลิดไปไกลแล้ว

    ข้าพเจ้ามาถึงที่ว่างซึ่งเขาได้รื้อบ้านออกเพื่อตัดการลุกลามของไฟ เมื่อมองฝ่าแสงสลัวๆไป ก็เห็นตึกใหญ่ของที่ทำการองค์การขนส่ง ท่ามกลางกลุ่มควันที่กำลังฟุ้งตลบอยู่ ยังเห็นตัวโรงพยาบาลขององค์การอยู่ถัดไปทางโน้น ข้าพเจ้ารู้สึกใจชื้นขึ้นทันที เพราะรู้ว่าบัดนี้จะต้องพบคนที่รู้จักแล้ว หรืออย่างน้อยถ้าข้าพเจ้าตายไปเดี๋ยวนี้ ก็คงจะมีคนพบศพ

                 ข้าพเจ้าหยุดพักเอาแรงครู่หนึ่ง สิ่งที่อยู่รอบตัวเริ่มเคลื่อนเข้าสู่จุดเดียวกันทีละน้อยๆ สิ่งเหล่านั้นก็คือเงาสลัวๆของคนบางคนเหมือนปีศาจที่เดินได้ บางคนก็เดินไปอย่างพยายามทั้งๆที่ได้รับบาดเจ็บแสนสาหัส บางคนเดินกางแขน ส่วนมือนั้นปล่อยห้อยอยู่ต่องแต่ง ดูๆคล้ายกับหุ่นที่ทำไว้สำหรับไล่กา บุคคลเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้าต้องตกตะลึงเป็นอันมาก แต่แล้วข้าพเจ้าก็รู้ว่าเขาเหล่านั้นถูกไฟไหม้ ที่ต้องเดินพร้อมกับยื่นมือไว้ให้ห่างตัวก็เพื่อป้องกันไม่ให้แขนถูกับลำตัว ซึ่งจะทำให้เกิดปวดแสบปวดร้อนอีก

    หญิงเปลือยกายคนหนึ่งกำลังอุ้มลูกน้อยซึ่งไม่มีสิ่งใดปกปิดเช่นเดียวกัน เมื่อเหลือบตาเห็นเธอเข้า ข้าพเจ้าจึงแสร้งมองไปเสียทางอื่นและพยายามคิดว่าเขาคงจะไปอาบน้ำกัน แต่บัดดลก็เห็นชายอีกคนหนึ่งในชุดนุ่งฟ้าเช่นกัน

    ข้าพเจ้าจึงนึกขึ้นมาได้ว่าเหมือนกับตัวข้าพเจ้าเองที่รู้สึกว่าต้องมีสิ่งประหลาดบางอย่างมาเอาผ้าของเราไปเสีย มีหญิงแก่คนหนึ่งนอนอยู่ใกล้ๆข้าพเจ้า เมื่อมองดูสีหน้าแล้วก็รู้ได้ว่าเธอกำลังทนทุกข์ทรมานอย่างมาก แต่เธอมิได้ปริปากบ่นออกมาแต่ประการใด มันเป็นเช่นนั้นจริงๆเพราะสิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าพบ นั่นคือความเงียบเท่านั้นเอง

                   ทุกๆคนมุ่งหน้าไปโรงพยาบาล ข้าพเจ้าก็เข้าช่วยพวกเขาด้วยเหมือนกัน ในที่สุดเราก็พากันไปถึงตึกที่ทำการขององค์การ ข้าพเจ้าได้พบสิ่งแวดล้อมที่เคยชิน ใบหน้าของคนที่รู้จักกันดี ข้าพเจ้าได้พบมิสเตอร์เซร่าหัวหน้าของที่ทำการนั้น ที่นั่น เขาและคนอีกหลายคนรีบส่งมือมาให้ข้าพเจ้าจับ

    แต่ทันใดนั้นความดีใจของพวกเขาก็พลันหายไป เมื่อพบว่าข้าพเจ้ากำลังได้รับบาดเจ็บ และได้รีบช่วยกันเอาข้าพเจ้าขึ้นแคร่หาม ส่งผ่านหน้าต่างที่กำลังเปิดอยู่เข้าไปยังห้องภารโรง ซึ่งได้ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นห้องปฐมพยาบาลเมื่อเร็วๆนี้เอง

    สภาพของห้องไม่น่าดูเลย ผนังก็กะเทาะ เครื่องตกแต่งห้องหักพัง เศษหินปูนตกเกลื่อนอยู่บนพื้นห้อง ฝาผนังเล่าก็ร้าว หน้าต่างที่ทำด้วยเหล็กกล้าแท่งใหญ่และหนาคดงอ เกือบจะหลุดออกไปแล้ว มันช่างเป็นห้องพยาบาลที่แสนทุเรศอะไรเช่นนี้

                    ข้าพเจ้าแปลกใจอย่างเหลือหลายเมื่อเห็นนางพยาบาลประจำตัวของข้าพเจ้า คือ มิสกาโดะและมิสซิสเซกิ หญิงที่มีอายุแล้วทั้งสองคนนี้ทำงานอยู่โรงพยาบาลด้วยกันโผล่เข้ามา มิสกาโดะตรวจดูบาดแผลของข้าพเจ้าโดยที่ไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมาจนคำเดียว ทำไมใครๆถึงได้เงียบเช่นนี้

    มิสกาโดะเริ่มเอาไอโอดีนใส่แผลของข้าพเจ้า และใส่อยู่เรื่อยๆโดยไม่หยุดยั้ง ข้าพเจ้าไม่มีทางเลือกรักษาอย่างอื่นต่อไปอีกแล้ว จึงต้องยอมทนกับฤทธิ์ไอโอดีนและพยายามมองออกไปนอกหน้าต่างเสียเพื่อจะให้ลืมความเจ็บแสบนั้น

                       โรงพยาบาลอยู่ตรงข้ามกับตึกที่ข้าพเจ้าอยู่ พอเหลือบตาขึ้นมอง สิ่งที่ข้าพเจ้าเห็น ทำให้ลืมความเจ็บปวดไปเกือบหมด ควันไฟกำลังพลุ่งออกมาจากหน้าต่าง โรงพยาบาลถูกไฟไหม้เสียแล้ว! ทุกๆคนร้องขึ้นด้วยความตกใจ มิสเตอร์เซร่าร้องจนสุดเสียง ซึ่งเป็นเสียงร้องที่ดังกว่าใครๆในที่นั้นทั้งหมด และดูเหมือนว่าเป็นเสียงเดียวที่ร้องขึ้นเป็นครั้งแรกในวันนั้น ต่อจากนั้นความเงียบสงัดได้ถูกทำลายไปสิ้น มีแต่เสียงร้องอย่างโกลาหนอลหม่านของผู้คนที่วิ่งหนีไฟ

    ขณะที่ไฟโหมไหม้โรงพยาบาลอย่างหนัก ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดง ข้าพเจ้าร้อนผ่าวไปหมด มิสเตอร์เซร่าจึงสั่งให้ออกจากตัวตึกทันที เขาหามเอาแคร่ของข้าพเจ้าไปไว้ในสวน และวางไว้ใต้ต้นเชอรี่ คนไข้อื่นๆบางคนเดินกระย่องกระแย่งออกมาเอง บางคนเดินไม่ได้ถูกหามออกมา

    ในไม่ช้าที่ตรงนั้นก็เต็มไปด้วยฝูงชน แต่ไม่มีเสียงใครพูดคุยกันเลย ได้ยินแต่เสียงคนเดิน คนดิ้นกระสับกระส่ายด้วยความเจ็บปวด ทุกคนต่างก็รอคอยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกในวินาทีต่อๆไปด้วยความกลัวและกระวนกระวายใจ

                        ขณะนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยกลุ่มควัน ส่วนข้างล่างไฟยังคงลุกไหม้ขึ้นอย่างไม่ปรานี บรรยากาศบริเวณนั้นร้อนระอุ ลมพัดแรงอยู่เช่นเดิม สังกะสีบนหลังคาถูกไฟหอบขึ้นไปปลิวหวือๆและหมุนติ้วตกลงมาข้างล่าง เศษไม้ที่กำลังติดไฟปลิวไปตกตามบริเวณใกล้เคียง ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพยายามหนีเปลวไฟอยู่นั้นก็มีดุ้นไฟดุ้นหนึ่งตกมาถูกส้นเท้า ข้าพเจ้าจึงต้องตะเกียกตะกายหนีให้พ้นจากการถูกเผาทั้งเป็น

    ไฟเริ่มติดตึกที่เราออกมาเมื่อสักครู่นี้แล้วลุกลามอย่างรวดเร็ว เปลวไฟแลบออกจากหน้าต่างนี้ไปหน้าต่างโน้นต่อกันไปไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งตึกทั้งหลังดูประดุจนรก

    ลมแรงพัดวูบมายังที่ที่เราอยู่ พร้อมกับหอบเอาขี้เถ้าและฝุ่นเข้าจมูกและตาของเรา จนรู้สึกว่าปากแห้งผากและแสบคอ เมื่อควันเข้าไปในปอดจึงทำให้ไอกันทุกคน เราควรจะถอยหลังกลับไป แต่ทว่าบ้านที่อยู่ข้างหลังกำลังลุกไหม้จึงไม่สามารถออกทางนั้นได้

    ความร้อนทวีขึ้นเรื่อยๆจนแทบจะทนไม่ไหว เราไม่มีทางเลือกแล้วนอกจากจะทิ้งสวนเท่านั้น คนที่สามารถวิ่งหนีไปได้ก็วิ่งไป ที่ไปไม่ได้ก็ตายไป หากข้าพเจ้าไม่ได้เพื่อนที่เสียสละแล้ว ข้าพเจ้าเองก็คงจะตายเหมือนกัน เขาเหล่านั้นพากันหามแคร่ของข้าพเจ้าไปยังประตูใหญ่ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของที่ทำการองค์การ ตรงนั้นมีคนอยู่กลุ่มหนึ่งจับกลุ่มกันแล้ว และข้าพเจ้าได้พบภรรยาที่นั่นเอง

                     ไฟยังคงลุกลามจากตึกหลังนั้นไปหลังนี้เรื่อยๆ เพราะลมแรงเหลือเกิน ในไม่ช้าเราทั้งหมดก็ถูกไฟล้อมมีอยู่แห่งเดียวที่มิได้ลุกเป็นไฟก็คือ ที่ที่เรายืนออกันอยู่ตรงนั้นเท่านั้นเอง ความร้อนทวีขึ้นเรื่อยๆ หากว่าไม่มีใครในพวกเราเกิดความคิดว่าควรจะเอาน้ำชโลมตัวไว้ละก็ ข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่ว่าจะมีใครบ้างในพวกเราที่จะรอดชีวิตไปได้

    แม้จะร้อนถึงขนาดนั้นก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยังสั่นจนได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าเอาน้ำชโลมตัวมากเกินไป หัวใจเริ่มเต้นแรงและนัยน์ตาฝ้าฟางไปหมด ได้ยินเสียงที่อยู่ข้างๆไกลออกไปทุกที แต่ไม่ช้านักก็ได้ยินใกล้เข้าๆจนชัด ข้าพเจ้าจึงได้ลืมตาขึ้นและพบ ดร.ซาซาดะ กำลังจับชีพจรข้าพเจ้าอยู่ มิสกาโดะกำลังฉีดยาให้และเรี่ยวแรงค่อยๆมีขึ้นทีละน้อยๆ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเป็นอะไรไป ตอนหลังจึงรู้ว่าเป็นลม

    บัดนี้ไฟที่โหมที่ทำการนั้นเริ่มแลบเลียมายังที่ๆเรารวมกันอยู่แล้วอย่างรวดเร็ว หน้าต่างที่ทำด้วยเหล็กเริ่มหลุดตกลงมาข้างล่างใกล้ๆกับที่เราอยู่ กลุ่มไฟกลุ่มหนึ่งปลิวมาติดเสื้อข้าพเจ้าและลุกไหม้ขึ้น พวกเพื่อนจึงเอาน้ำสาดข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็จำอะไรต่ออะไรอย่างสับสนเต็มที่

    มารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่งเมื่ออยู่ในที่โล่งและไฟได้สงบลงแล้ว และข้าพเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ คงจะเป็นพวกเพื่อนๆอีกนั่นแหละที่ช่วยชีวิตของข้าพเจ้าไว้ ที่โรงพยาบาลไฟดับไปแล้ว แต่ควันยังพุ่งขึ้นจากชั้นที่ ๒ ข้าพเจ้าคิดว่าคงไม่มีอะไรเหลือให้มันไหม้ต่อไปอีกกระมัง แต่ในที่สุดก็ทราบว่าชั้นล่างของโรงพยาบาลมิได้ตกเป็นเหยื่อของพระเพลิงครั้งนี้ด้วย

    ไม่มีคนเดินบนถนนเลย นอกจากคนตายเท่านั้น บางคนก็นอนตายตัวแข็งทื่อ บางคนก็นอนเหยียดยาวคล้ายกับถูกยักษ์ปักหลั่นจับเหวี่ยงลงมา.. ฮิโรชิมา ไม่ได้มีสภาพเป็นเมืองต่อไปอีกแล้ว หากแต่ว่าเป็นทุ่งหญ้าที่ตกเป็นเหยื่อของไฟป่า!

                        ( ๑ สัปดาห์ต่อมา ดร.ฮะชิยะ ได้ยินเพื่อนของเขาคือมิสเตอร์ มิโชกุชิ เล่าถึงเรื่องไฟว่า “ ผมก็อยู่ในสวนด้วยเหมือนกัน ” เขาพูด “ และไฟลูกหนึ่งม้วนมาถูกตัวผม ด้วยความตกใจ ผมวิ่งไปยังประตูหลังไปถึงฝั่งแม่น้ำโอตะ คนมาออกันอยู่ตรงนั้นมากมายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเลย

    ไฟลุกลามมาถึงแม่น้ำชั่วเวลาไม่นานนักก็ล้อมตัวเราหมด และไม่มีหนทางที่จะข้ามแม่น้ำได้เลย เราจึงได้มารวมกันเป็นกระจุกอยู่ข้างตลิ่ง จนกระทั่งเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งยังมีสติดี ตะโกนบอกพวกเราให้ว่ายข้ามไป แล้วเธอกระโดดลงไปก่อน

    พวกเรากระโดดตาม แต่การที่ต้องว่ายข้ามไปอีกฟากหนึ่งก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะว่าอีกฟากหนึ่งไฟก็กำลังลุกไหม้บ้านเรือนอยู่อย่างโชติช่วงเหมือนกัน เคราะห์ดีที่จวนจะถึงฝั่งตรงกันข้ามนั้นน้ำตื้นมาก ดังนั้นเราจึงพากันนอนพังพาบลงแล้ววักน้ำขึ้นพรมศีรษะเพื่อบรรเทาความร้อน”)

    ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดอะไรเพลินอยู่มิสซิสเวกิ ก็ตะโกนขึ้นว่า “ คุณหมอ คุณหมอแคทสุเบะ”  หัวหน้าศัลยแพทย์กำลังเดินมาหาข้าพเจ้า ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้พูดอะไรออกมา พวกเพื่อนๆก็หามข้าพเจ้าไปยังโรงพยาบาลซึ่งอยู่ห่างจากที่นั่น ๑๐๐ เมตรเท่านั้น แต่มันเป็นระยะทางไกลสำหรับข้าพเจ้า ซึ่งกว่าจะถึงก็ทำให้ต้องเป็นลมไปพักหนึ่งแล้ว มารู้สึกตัวเองก็ต่อเมื่อหมอทำการผ่าตัดและทำบาดแผลให้เสร็จแล้ว

     วันที่ ๗ สิงหาคม ๑๙๔๕ (พ.ศ.๒๔๘๘)                                         

    ข้าพเจ้าต้องนอนหลับสนิทมาตลอดคืนแน่ๆ เพราะพอตื่นขึ้นก็พบแสงแดดจ้าแล้ว แต่ไม่มีม่านหรือมู่ลี่ที่พอจะบังได้เลย ดร.ซาซาดะเป็นผู้พยาบาลข้าพเจ้านี่เอง

    ทีแรกข้าพเจ้าคิดว่าเราคงจะพ้นอันตราย แต่ที่ไหนได้กลับถูกไฟลวกเกือบทั่วตัวทีเดียว ภรรยาของข้าพเจ้านอนทางขวา หน้าของเธอถูกพอกด้วยยาขาวจนเต็มหน้ามองดูแล้วเหมือนปีศาจ แขนขวาของเธอถูกมัดห้อยไว้ มิสกาโดะได้รับบาดแผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอนอยู่ระหว่างภรรยาของข้าพเจ้าและข้าพเจ้า พร้อมกับเป็นคนพยาบาลพวกเราตลอดคืนนั้นด้วย
    ได้ยินแต่เสียงร้องครวญครางอยู่ทั่วบริเวณโรงพยาบาล ชั่วคืนเดียวเท่านั้นคนไข้พากันหลั่งไหลเข้ามาอยู่โรงพยาบาลจนเต็มไปหมดทุกซอกทุกมุม

    ส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีเพียงไม่กี่คนที่มีบาดแผลเล็กน้อย หลายคนที่อยู่ใจกลางเมือง แต่พยายามหนีออกมาจนสุดความสามารถ พอมาถึงโรงพยาบาลนี้ก็หมดแรง บางคนก็มาจากที่ใกล้ๆแถวนี้เอง เนื่องจากตึกหลังนี้เป็นหลังเดียวในบริเวณโรงพยาบาลที่มิได้ตกเป็นเหยื่อพระเพลิง ผู้คนจึงพากันหลั่งไหลเข้ามาเพื่อรักษาตัวและเป็นที่พำนักไปด้วย

    แต่ละคนมาจากที่ต่างๆไม่มีญาติพี่น้องไปด้วย ไม่ได้เตรียมเอาอาหารไป คนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสลุกไม่ได้ ก็นอนถ่ายอุจจาระปัสสาวะลงตรงที่ตนนอนนั่นเอง คนที่พอเดินได้ก็เดินออกไปถ่ายตรงที่ใกล้ๆแถวนั้น

                     คนที่เดินเข้าเดินออกโรงพยาบาล ไม่มีใครเลยที่จะไม่ได้เหยียบสิ่งโสโครกที่พวกคนไข้ได้ปล่อยทิ้งไว้ ทางเข้าด้านหน้ามีแต่กองอุจจาระเกลื่อนกลาดไปหมด และก็ไม่มีใครมาจัดการกับมันด้วย การจัดการกับศพนั้นไม่ลำบากอะไรนัก แต่จะจัดการกับอุจจาระ ปัสสาวะ และอาเจียนของคนไข้ที่ปล่อยทิ้งไว้ตามระเบียงนี่สิ เป็นปัญหาที่ยากมาก

    คนที่ถูกไฟลวกอย่างหนักนั่นแหละเป็นผู้ที่ได้รับความทรมานที่สุด เพราะว่าผิวหนังของเขาหลุดออกไปหมด เห็นแต่เนื้อแดงๆกับสิ่งสกปรกที่ติดอยู่ตามเนื้อนั้น ใครเห็นแล้วก็อดที่จะขนลุกมิได้ แต่ก็ไม่มีทางช่วยเหลือได้เลย พรรคพวกได้มาเยี่ยมข้าพเจ้า ในกลุ่มนี้ข้าพเจ้าพบเพื่อนคนหนึ่ง ชื่อ คัทสุตานิ ซึ่งเดินทางมาจากยิโกะเซ็น เขาเที่ยวตามหาข้าพเจ้าและมาพบกัน ณ ที่นี้ พอทักทายปราศรัยกันแล้ว เขาก็เริ่มต้นเล่าเรื่องของเขาให้ฟังว่า

    “ เมื่อวานนี้ เข้ามาฮิโรชิมาไม่ได้เลย มิฉะนั้นก็คงมาตั้งวานนี้แล้ว วันนี้ผมเดินตามทางรถไฟจนมาถึงที่นี่

                    แม้ว่าจะมีแต่ซากศพและสิ่งปรักหักพังเกลื่อนกลาดอยู่เต็มก็ตาม เท่าที่พบไม่ทราบว่าจะมีทหารกี่คนที่ถูกเผาตายทั้งเป็น หนังหลุดไปหมดเห็นแต่เนื้อเละๆและเต็มไปด้วยฝุ่น พวกทหารเหล่านี้คงจะใส่หมวกเหล็กไว้ เพราะเห็นผมยังอยู่ ไม่ได้ไหม้ไปด้วย แต่หน้าไม่มี เพราะตา จมูก ปากถูกเผาหลุดออกหมด มองดูรู้สึกว่าหูได้ละลายหายไปเลย จนไม่รู้ว่าทางไหนเป็นด้านหน้าหรือด้านหลัง มีทหารคนหนึ่งซึ่งได้รับบาดแผลเหวอะหวะทั่วตัว และใบหน้าเหลือฟันเท่านั้นที่โผล่ออกมา

    พอได้ยินผมเดินไปใกล้ ก็ขอน้ำรับประทานแล้วเขาก็พูดอะไรต่อไปอีกไม่ได้ แต่ผมไม่มีจะให้ ได้แต่สวดมนต์ขอให้พระจงช่วยเขาด้วย ผมคิดว่าคำพูดคำนี้อาจจะเป็นคำสุดท้ายในชีวิตของเขาก็ได้ ”

    ภาพเศษเนื้อและเล็บของลูกชายวัยรุ่น ที่แม่เด็กเก็บไว้ รอพ่อซึ่งเป็นทหารกลับมา




     

     ๘ สิงหาคม ค.ศ.๑๙๕๔                                                             

    วันนั้นทั้งวัน ทางโรงพยาบาลพยายามแบ่งพวกและจัดคนไข้ใหม่ ตามลักษณะของบาดแผลของคนไข้ วันนี้คนตายไปมากแต่ก็ยังน้อยกว่าเมื่อวาน คนไข้ตายไปทีละคนๆจนข้าพเจ้าเห็นเป็นของธรรมดาไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าครอบครัวไหนที่ตายไม่มากกว่า๒คน ก็นับว่าโชคดีเหลือหลายทีเดียว

    พอตกเย็น ลมอ่อนๆพัดเอากลิ่นเหมือนกลิ่นปลาซาดีนถูกเผาไฟมากระทบจมูก ข้าพเจ้าสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเป็นกลิ่นอะไร จนมีใครคนหนึ่งมาบอกว่าเป็นกลิ่นเผาศพ ที่หน่วยอาสากาชาดจัดการเผาศพคนที่ตายในการถูกระเบิดคราวนี้ มองออกไปข้างนอกก็เห็นไฟลุกเป็นแห่งๆรอบตัวเมือง ทีแรกคิดว่าคงเป็นกลิ่นไฟไหม้ยางกระมัง พอรู้ว่าเป็นกลิ่นเผาศพข้าพเจ้าจึงตัวสั่นและคลื่นไส้ขึ้นมาทันที

    ตึกใหญ่ใกล้กับกลางใจเมืองยังมีไฟคุกรุ่นอยู่ข้างใน ภาพของซากตึกรามบ้านช่องที่ยังคงมีไฟคุกรุ่นอยู่ และไฟที่กำลังลุกไหม้เนื่องจากการเผาศพ ทำให้ข้าพเจ้าหวนนึกถึงนครปอมเปอี ในวันสุดท้ายของเมืองนี้คงจะมีสภาพเหมือนฮิโรชิมานี่กระมัง แต่ข้าพเจ้าคิดว่าผู้คนพลเมืองในปอมเปอีคงจะไม่สูญเสียชีวิตมากมายเท่าในฮิโรชิมาเป็นแน่.

     ๙ สิงหาคม ๑๙๔๕                                                                   

    เช้าวันนี้บาดแผลที่ปากของข้าพเจ้าดีขึ้นมากแล้ว แผลที่แก้มและริมฝีปากเริ่มตกสะเก็ด ภรรยาของข้าพเจ้ามีอาการดีขึ้นมากจนสามารถลุกขึ้นมาพยาบาลข้าพเจ้าได้อีก ข้าพเจ้าอดหัวเราะไม่ได้ เมื่อได้ยินเธอขอน้ำมันสีขาวมาทาคิ้วเพื่อจะปกปิดมิให้ใครรู้ว่าคิ้วของเธอถูกไฟเผาหลุดออกไปหมดแล้ว

    ยังไม่สายนักมีคนมาเยี่ยมข้าพเจ้าหลายคน ข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่งคุยกับเขาอย่างสบาย พอเขาไปแล้วก็คิดว่า เวลานั่งเรานั่งได้แล้ว ทำไมจึงจะยืนบ้างไม่ได้ เมื่อคิดดังนี้จึงพยายามลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นก็รู้สึกเสียวแปลบตรงสะโพก จึงต้องนั่งลงใหม่และนอนต่อไป

    อย่างไรก็ดีที่ข้าพเจ้าสามารถลุกขึ้นนั่งได้นี้ทำให้ข้าพเจ้าอยากจะทดลองนั่งและยืนต่อๆไปอีก วันนี้ยังไม่มีข่าวดีอะไรอีกเลย จนกระทั่งเย็น นายทหารหนุ่มคนหนึ่งซึ่งอยู่ห้องถัดไป และข้าพเจ้าได้ยินเขาขอน้ำรับประทานนั้นตายเสียแล้ว ก่อนหน้าที่มารดาของเขาซึ่งเดินทางมาจากยามากุจิ จะมาถึงเมืองเพียงไม่กี่นาที พอเขาตายไปแล้วก็มีเด็กหญิงเล็กๆคนหนึ่งเข้ามาอยู่แทนที่ เธอร้องไห้หาแม่จนเสียงแหบแห้ง

    ค่ำแล้ว ไม่มีแสงไฟตามเคย นอกจากแสงแวบๆแวมๆของไฟเผาศพเท่านั้น ทั่วบริเวณโรงพยาบาลได้แต่กลิ่นเผาศพ และเสียงของเด็กนั้นร้องเรียกว่า “แม่จ๋า แม่จ๋า หนูทนไม่ไหวแล้ว”

     ๑๐ สิงหาคม ๑๙๔๕                                                                

    วันนี้ข้าพเจ้าได้รับประทานข้าวต้มแทนน้ำซุบใสๆ พอข้าวต้มตกถึงท้อง รู้สึกว่าสบายใจมีชีวิตชีวาเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น และอยากจะลองเดินอีกครั้งหนึ่ง พอลุกขึ้นเดินก็เดินได้ ข้าพเจ้าดีใจมาก

    ภายนอกโรงพยาบาล ข้าพเจ้าเห็นผู้คนกำลังคุ้ยซากปรักหักพังเพื่อค้นหาเพื่อนฝูงและญาติพี่น้อง พอมองไปทางใต้ก็เห็นฝูงชนหลั่งไหลเข้าสู้ตัวเมืองและออกไปยังหมู่บ้านนอกๆออกไป เพื่อค้นหาญาติพี่น้องและข้าวของที่สูญหายไป
    คนที่หนีไปอยู่ตามชนบทและตามนอกเมือง เริ่มอพยพกลับ ต่างก็ได้รับคำบอกเล่าว่าโรงพยาบาลเป็นแหล่งรวมทุกๆสิ่งทุกอย่างเวลานี้ ไม่ว่าจะหาใครหรือมาให้ความช่วยเหลือก็ตรงไปที่โรงพยาบาล

    ฉะนั้น จึงมีคนมาจากทุกหนทุกแห่ง มาจากวัดวาอารามบ้าง จากโรงเรียนบ้าง จากหมู่บ้าน แม้แต่จากบ้านนอกคอกนา เข้ามารวมอยู่ที่โรงพยาบาล พวกที่มาหานี้มากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเราจดจำไม่ไหว ความปีติยินดีเกิดแก่เราอย่างมากมาย เมื่อดร.นอริโอกะ แห่งโรงพยาบาลโอซากะ พร้อมด้วยผู้ช่วยกลุ่มหนึ่งหอบเอาเครื่องเวชภัณฑ์โผล่เข้ามาอย่างกะทันหัน การปรากฏตัวของเขาเปรียบดังสายฝนเมื่อยามแล้ง

    ดร.นอริโอกะ.. ด้วยอากัปกิริยาของผู้ทรงคุณวุฒิ ปราดเปรื่องในความสามารถและวิชาการ เริ่มทำงานอย่างเงียบๆโดยไม่ชักช้า ความสามารถรวมเข้ากับวิธีปลุกปลอบใจของเขา ทำให้เราทุกคนเกิดกำลังใจและเชื่อมั่น

    นับตั้งแต่ลูกระเบิดตกวันนั้น พวกเราพากันขวัญหนีดีฝ่อไปหมด แต่บุคลิกลักษณะอันน่าเชื่อถือของดร.นอริโอกะนั้น ทำให้กำลังใจของเราดีขึ้น คุณหมอทำงานหนักตลอดเวลา นอกจากนี้ยังแสดงความเห็นอกเห็นใจคนไข้ แนะนำวิธีรักษาและช่วยตัวเองเวลาไม่มีเจ้าหน้าที่พอ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ระเบิดลูกนี้ลงที่พวกเรารู้สึกว่ามีที่พึ่งแล้ว พอตกกลางคืน คืนนี้เป็นคืนแรกที่ไม่ได้กลิ่นศพ.

     ๑๑ สิงหาคม ๑๙๔๕                                                               

    ข้าพเจ้าหลับสนิทตลอดคืน พอตื่นขึ้นก็รู้สึกสดชื่นมาก จึงตัดสินใจที่จะไม่นอนอยู่บนที่นอนอีกต่อไป และพยายามที่จะไปเอายาจากสุขศาลาซึ่งเขาสัญญาว่าจะหายามาให้เรา เมื่อหมอไฮโนอิทราบความประสงค์ของข้าพเจ้า และเห็นว่าข้าพเจ้ายังเพลียอยู่มาก เขาจึงขอให้ข้าพเจ้านั่งท้ายจักรยานของเขาไป ข้าพเจ้ามิได้คัดค้านแต่ประการใด แล้วเราก็ออกเดินทาง

    มีแต่ซากปรักหักพังของสิ่งต่างๆขวางถนนอยู่ เราจึงจำต้องแบกจักรยานข้ามไปหลายแห่ง สายไฟฟ้า สายโทรเลขโทรศัพท์และรถรางไฟฟ้าขาดห้อยเกี่ยวพันกันยุ่ง สิ่งกีดขวางอีกอย่างหนึ่งคือเสาไฟฟ้าที่ล้มขวางถนน ทั้งสองฟากถนนมีแต่ซากของบ้านและบ้านแถบนี้ข้าพเจ้ามีเพื่อนอยู่มากมายและเคยมาเยี่ยมเสมอ บัดนี้ข้าพเจ้าไม่สามารถจะบอกได้ว่าบ้านของเขาเหล่านั้นอยู่ตรงไหนบ้าง

    เราพบแต่กระดูกที่ไหม้เกรียม นานๆจะเจอกลิ่นเหม็นๆของเนื้อเน่าสักครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าใจเป็นที่สุด เมื่อเห็นซากของเล่นเด็กถูกไฟไหม้ปนอยู่กับซากของบ้านเรือนที่ถูกทำลาย

    ในที่สุดเราทั้งสองก็มาถึงที่ทำการธนาคารแห่งหนึ่งจึงได้หยุด และเหลียวหลังมองกลับไปทางเหนือ เห็นแต่โรงพยาบาลตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวและมองต่อไปทางโน้น..ทางเนินเขาอูชิตะ เห็นแต่ซากไฟไหม้จนเกรียมและว่างเปล่า

    เมื่อได้รวบรวมเข้าของสัมภาระที่ต้องการแล้ว ก็รีบกลับไปโรงพยาบาล เราได้ไปยังห้างฟูกูยะ ซึ่งได้ทราบข่าวว่าชั้นล่างของห้างใช้เป็นสถานที่ทำการปฐมพยาบาล พอโผล่หน้าต่างดูทีเดียวเท่านั้น ก็รู้ว่าไม่ควรจะเข้าไปต่อไปเพราะมันมืดมาก เราจึงตัดสินใจหันหลังกลับ

    อนิจจา ห้างที่หรูหรายิ่งของฮิโรชิมาเป็นที่เชิดหน้าชูตาของเมือง กลายเป็นเสมือนถ้ำอันมืดมิดและชื้นแฉะ ลูกค้าที่เคยเข้าออกซื้อของจากห้างนี้ในครั้งก่อน กลายเป็นคนไข้ของสถานปฐมพยาบาลแห่งนี้ไปก็มีมาก ข้าพเจ้าได้ยินเสียงครวญครางของคนไข้ระงม เมื่อเปรียบกับโรงพยาบาลของเราแล้ว เราดีกว่ามากราวฟ้ากับดินทีเดียว

    พอมาถึงและได้พักเหนื่อยสักครู่หนึ่งแล้ว ก็อยากจะเดินดูให้รอบโรงพยาบาลสักหน่อย ทั้งๆที่นุ่งกางเกงแสนสกปรก และใส่เสื้อปะ ก็ยังรู้สึกละอายตัวเองที่แต่งตัวโก้กว่าคนอื่นมากมายนัก
    ตรงนั้นเล่ามีสตรีคนหนึ่งกำลังจะสิ้นใจ ท่อนล่างของเธอเปลือยเปล่า ท่อนบนมีแต่เสื้อชั้นในเท่านั้น ตรงนี้มีชายคนหนึ่งถูกไฟไหม้ทั่วตัว นอนเปลือยเปล่าอยู่บนที่นอนซึ่งทำด้วยฟางข้าว ที่นั้นก็มีหญิงคนหนึ่งนอนตายอยู่ พร้อมกับลูกน้อยกำลังคาบนมแม่หลับอยู่ในอ้อมแขน และทางโน้นหญิงสาวคนหนึ่งถูกไฟไหม้ทั่วตัว นอกจากใบหน้าเท่านั้น



    คืนนั้นทั้งคืนข้าพเจ้านอนไม่หลับเลย เดี๋ยวก็ลุกขึ้นนั่ง เดี๋ยวก็นอนตลอดคืน คิดถึงแต่สิ่งที่ได้เห็นมาในตอนกลางวัน ภาพนั้นช่างติดตาอะไรเช่นนั้น.



    เครดิต  http://www.moomkafae.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=141123&Ntype=5


    เป็นเรื่องที่สะเทือนในจริงๆ





    ข้าพเจ้ารู้สึกว่าคัตสุตานิ เบาใจขึ้นเป็นกองที่ได้ระบายความรู้สึกเศร้าใจที่เขาได้ประสบให้คนอื่นฟัง เมื่อได้ฟังแล้วข้าพเจ้าก็รู้โดยทันทีว่าฮิโรชิมาได้พินาศไปแล้วโดยสิ้นเชิง

    พอตกกลางคืนทั่วโรงพยาบาลและตัวเมืองก็มืดสนิท เพราะไม่มีไฟฟ้าแม้กระทั่งเทียนก็ไม่มี จะเห็นแสงสว่างบ้างก็จากไฟที่ไหม้อาคารบ้านเรือนที่ยังดับไม่หมดเท่านั้น พวกเราคนไข้พากันนอนอยู่บนเสื่อปูบนพื้นซีเมนต์ ได้ยินแต่เสียงร้องครวญครางและเสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นของผู้ที่บาดเจ็บ เป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก

    ลูกระเบิดที่ทำลายฮิโรชิมานี้เป็นระเบิดชนิดไหนกัน? มันมืดแปดด้านไปหมด เครื่องบินที่นำมาทิ้งมีไม่เกินสามเครื่องแน่ๆ และก่อนที่จะมีสัญญาณภัยทางอากาศนั้น ก็ได้ยินเสียงเครื่องบินเพียงลำเดียวเท่านั้น ต่อจากนั้นก็ไม่ได้ยินอีกเลย

    แม้จะคิดด้วยเหตุผลสักเท่าใดก็ตาม ก็ไม่สามารถที่จะสรุปได้ เมื่อเห็นความพินาศอย่างมากมายของฮิโรชิมา บางทีอาจเป็นอาวุธชนิดใหม่ก็ได้ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเป็นอะไร ยิ่งคิดยิ่งนอนไม่หลับเลย ข้าพเจ้าได้ยินเสียงฝีเท้า พอมองไปก็เห็นชายคนหนึ่งที่ประตู ตอนนี้ยังมืดสลัวอยู่จึงไม่ทราบว่าเป็นใคร

    พอเขาเดินเข้ามาใกล้ ข้าพเจ้าก็ได้เห็นหน้าเขาชัดเจนยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าเข้าใจว่าคงจะเป็นหน้า แต่ไม่สามารถรู้ได้แน่ว่ามันเป็นอะไร เพราะส่วนประกอบทุกอย่างบนใบหน้าของเขาถูกไหม้จนเละไปหมด เขาตาบอดและหาทางไม่พบ!

    “ คุณเข้าห้องผิด ” ข้าพเจ้าตะโกนใส่เขาด้วยความตกใจกลัวอย่างสุดขีด ชายผู้น่าสงสารนั้นก็หันหลังกลับและเดินลากขาหายไปในความมืด ข้าพเจ้ารู้สึกละอายใจเป็นอันมากที่ได้ทำดังนั้น แต่ตอนนั้นข้าพเจ้ากำลังตกใจกลัว.

    ภาพนี้คือกำแพงที่ถูกน้ำฝนซึ่งตกลงมาหลังการทิ้งระเบิดปรมาณู แต่น้ำฝนที่ตกลงมานั้น..เป็นสีดำ!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×