ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Encyclopedia Earth

    ลำดับตอนที่ #79 : ครั้งหนึ่งในภารกิจการรักษาสันติภาพ ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 11 ต.ค. 52


    ครั้งหนึ่งในภารกิจการรักษาสันติภาพ ตอนที่ 2




    ------------------------------------------------






    ไอนาโร่ (Ainaro) ในพื้นที่ภาคกลาง (Sector Central) ของติมอร์ตะวันออก




    13 มกราคม 2546 ภายหลังจากที่รายงานตัวกับกองกำลังรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก (United Nations Missions of Support in East Timor) แล้ว ตั้งแต่ 7 มกราคม 2546 ที่เดินทางมาเหยียบดินแดนติมอร์เป็นวันแรก ผมก็ได้รับมอบภารกิจในการเป็นผู้สังเกตุการณ์ทางทหาร (United Nations Military Observer ซึ่งต่อไปจะเรียกสั้นๆว่า อันโม่ - UNMO) ให้เดินทางไปประจำอยู่ที่เมืองไอนาโร่ ซึ่งขึ้นกับพื้นที่ส่วนกลาง (Sector Central) ของกองกำลังรักษาสันติภาพ พอพวกที่กองบัญชาการรู้ว่าผมต้องไปประจำที่ไอนาโร่ เพื่อนออสเตรเลียคนหนึ่งก็กล่าวกับผมว่า Welcome to hell - ยินดีต้อนรับสู่นรก

    ตอนนั้น ผมก็ไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร รู้แต่เพียงว่า ไม่ว่าที่ไหนๆในติมอร์ ก็มีความเสี่ยงเหมือนๆกัน ทั้งจากเส้นทางที่วิบาก คดเคี้ยว ทั้งจากโรคภัยไข้เจ็บ ที่มีอยู่สารพัด ผมก็ไม่สนอกสนใจอะไรทั้งสิ้น ได้แต่ก้มหน้าก้มตา เก็บข้าวของมุ่งหน้าสู่ ไอนาโร่ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของนครดิลี เมืองหลวงของติมอร์ตะวันออกลงไปประมาณ 100 กิโลเมตร

    เพื่อนร่วมงานของผมคนแรก คือ พันตรีสัจจาด ซาลิม (Sajjad Salim) จากกองทัพบกปากีสถาน ขับรถมารับผมจากดิลี แล้วมุ่งหน้าสู่ไอนาโร่ สัจจาดบอกผมว่าถ้าจะอาเจียรก็เชิญตามสบาย ขอให้บอกก่อน จะได้จอดรถให้ เมื่อเพื่อนใหม่ขู่แบบนี้ ผมก็เลยแอบทานยาแก้เมารถเข้าไป กะว่า ไปสบายๆ

    แต่ที่ไหนได้ พอรถออกจากดิลีได้ประมาณ 10 นาที รถก็วิ่งขึ้นเขา เลื้อยเป็นงู ผมมองดูยอดเขาที่มีเมมฆคลุมอยู่ลิบๆ นึกในใจว่าสวยดี สัจจาดคงอ่านอาการผมออก เลยบอกว่า ไม่ต้องดูนาน เรากำลังจะขึ้นไปตรงนั้นแหละ เดี๋ยวจะได้ชมอย่างเต็มตา

    แล้วมันก็จริงอย่างที่เขาว่า เราลัดเลาะหลืบเขา เหลี่ยมหน้าผา ไปเรื่อยๆ จนขึ้นถึงวังเทวดาเลยทีเดียว รถต้องเปิดไฟตัดหมอก ค่อยๆคลานไป เพราะเมฆที่เห็นตอนอยู่ข้างล่าง มันทึบเสียจนมองอะไรไม่เห็น



    ไอนาโร่ เมืองบนยอดเขาสูงกว่า 1000 เมตร ตั้งอยู่ใจกลางประเทศติมอร์ตะวันออก


    ผมนึกถึงตอนเด็กๆที่อยากจะเหยียบก้อนเมฆเล่น มาตอนนี้มันไม่เห็นสนุกอย่างที่ฝันเลย รถคลานมาเรื่อยๆ ถนนเริ่มเปลี่ยนจากลาดยางมาเป็นลูกรัง บางช่วงถนนก็หายไปเฉยๆ ต้องปีนป่ายข้างทาง หาทางลัดเลาะเอาเอง บางช่วงไม่มีถนน เป็นป่าหญ้าที่ต้องขับตามรอยรถชาวบ้านที่วิ่งผ่านไปก่อนหน้าเรา

    4 ชั่วโมง สำหรับระยะทาง 120 กม. ผมว่าเป็นการเดินทางที่สาหัสที่สุดในชีวิตของผม ยาแก้เมารถที่ผมทานเข้าไปก่อนหน้านี้ เริ่มแสดงอาการออกมาว่า เอาไม่อยู่

    สัจจาดบอกว่า เราจะลาดตระเวนเส้นทางนี้ทุกวัน ผมยิ้มแห้งๆ แหม มันคงเห็นผมเพิ่งมาใหม่ ขู่เอา ขู่เอา

    พอถึงไอนาโร่ ผมก็นึกถึงคำพูดที่เพื่อนออสเตรเลียมันบอกก่อนเดินทางมา ว่า ยินดีต้อนรับสู่นรก ผมว่าผมมาถึงนรกจริงๆแล้ว นรกบนดิน บนยอดเขาที่สูงเกือบ 1000 เมตร ข้างหน้าของผม เป็นเมืองร้าง ขวามือมีโรงแรม หรือที่เรียกว่า Inn ขนาดเล็กประมาณ 20 ห้อง มีชั้นเดียว ถูกเผาจนเหลือแต่ซาก หญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด บ้านเรือนถูกเผาจนไม่มีเหลือร่องรอยของความเป็นเมือง หญ้าขึ้นไปหมดทุกหนทุกแห่ง

    ชาวบ้านติมอร์นั่งยองๆ กับพื้น ขายของที่ผมไม่รู้ว่าใครจะซื้อ บนพื้นมีเสื่อปู สินค้าเป็นพวกผักบุ้งที่แคระแกน หอมแดงที่โตกว่านิ้วก้อยนิดเดียว เนื้อสัตว์ที่มีแมลงวันตอมอยู่เต็ม เหมือนกับกำลังพยายามจะช่วยกันยกชิ้นเนื้อกลับบ้านของมัน




    การลาดตระเวนร่วมกันของผู้สังเกตการณ์ทางทหารและกองกำลังรักษาสันติภาพของโปรตุเกสในเมืองไอนาโร่ ด้านหลังของภาพเป็นซากศาลาว่าการเมืองไอนาโร่ที่ถูกเผาทำลายจนหมดสิ้น เมืองไอนาโร่กว่า 95 % ได้รับความเสียหายจากพวกมิลิเทียกลุ่ม มาฮิดี



    ที่ทำงานของผู้สังเกตุการณ์ทางทหารของสหประชาชาติที่ผมต้องไปทำงานอยู่ในเวลากลางวัน เป็นอาคารปูนเล็กๆ ทาสีขาว อยู่หลังสถานีตำรวจของเมืองไอนาโร่ มีเครื่องปั่นไฟส่งเสียงดังระเบิดเถิดเทิง เหมือนรถแทรกเตอร์ 2 เครื่อง จ่ายไฟให้พวกเราทั้งสองคน

    สัจจาดมองหน้าผม เมื่อเห็นหน้าผมกำลังหมดอาลัยกับชีวิต เขาบอกว่าที่เมืองนี้ มีเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ 4 คน คือ ผมกับสัจจาด ไทยกับปากีสถาน และอีก 2 คนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสหประชาชาติ ที่เรียกว่า อันโพล (UNPOL - United Nations Police) มาจากสิงคโปร์ทั้งคู่ คนแรกชื่อ เคลวิน เหลียง อีกคนชื่อ สัจจาดเหมือนกัน เป็นสิงคโปร์เชื้อสายแขก ส่วนเคลวิน เป็นสิงคโปร์เชื้อสายจีน

    สรุป ในไอนาโร่มี 2 อันโม่ กับ 2 อันโพล เมืองนี้มีที่ทำงานเราเท่านั้นที่มีไฟฟ้า เพราะโรงไฟฟ้าโดนเผาเรียบ เครื่องปั่นไฟ 4 เครื่อง กลายเป็นกองเหล็กดำๆ น้ำมันเครื่องเยิ้มไปหมด

    กลางวันไม่เท่าไร กลางคืนนี่สิ มันมืด มืด มทดจริงๆ ผมไม่รู้จะบรรยายว่ามันมืดยังไง เอาเป็นว่า บ้านที่ผมเช่าอยู่ พอผมตื่นขึ้นมากลางคืน ผมมองอะไรไม่เห็นเลย มันเหมือนนอนเอาผ้าห่มดำๆคลุม รอให้ตาคุ้นกับความมืด มันก็ยังดำเท่ากันไปหมด




    เหรียญตราของสหประชาชาติที่มอบให้แก่กำลังพลที่เข้าร่วมปฏิบัติการรักษาสันติภาพในติมอร์ตะวันออก แพรแถบสีฟ้าหมายถึงสีขององค์การสหประชาชาติ สีแดงหมายถึง เลือด สีเหลืองหมายถึง รุ่งอรุณของวันใหม่ (ติมอร์เป็นประเทศเกิดใหม่) และสีขาวคือสีแห่งสันติภาพ



    บ้านที่ผมเช่าอยู่เสียค่าเช่าเดือนละ 50 เหรียญสหรัฐ ที่นั่นใช้เงินยู เอส ดอลล่าร์นะครับ หรูอย่าบอกใคร แต่ชาวบ้านไม่มีเงินหรอก มีก็แต่พ่อค้าขายของที่มีแบงค์ 1 ดอลล่าร์เก่าอยู่ในมือ

    บ้านของผม ไม่น่าเรียกบ้าน มันจะทำให้จินตนาการผิดไป มันคืออะไรซักอย่างที่ถูกเผาจนหลังคาไม่เหลือ ผนังดำเป็นกระดานดำ ร่องรอยของการทำลายล้างมีอยู่ทุกมุมห้องนอนผม

    เจ้าของบ้านเช่าชื่อ ออสการ์ เป็นชายมีอายุประมาณ 60 ปี เล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนไอนาโร่น่าอยู่ เป็นที่ตั้งกองพันทหารอินโดนีเซียถึง 2 กองพัน ทหารนำเงินมาใช้จ่าย ชาวเมืองก็รับจ้างทำงานกับทหาร เหมือนบ้านเราแหละครับ ที่มีค่ายทหาร ก็มักมีชุมชน เมืองนี้มีโรงแรมเล็กๆ ที่ผมเห็นตอนเข้าเมืองมานั่นแหละ เอาไว้ให้ญาติของทหารอินโดนีเซียมาพัก ไฟฟ้ามี 24 ชั่วโมง บ้านทุกหลังมีจานดาวเทียม เพราะอินโดนีเซียติดตั้งไว้ให้ เพื่อให้ชาวติมอร์รับโทรทัศน์จากเกาะชวา แถมบ้านบางหลังบนหลังคามีเครื่องทำความร้อนจากโซล่าเซลล์ หรือพลังงานแสงอาทิตย์




    ช่างเครื่องประจำเฮลิคอปเตอร์ของกองกำลังรักษาสันติภาพจากนิวซีแลนด์ ขณะบินลาดตระเวนผ่านหุบเขาของเมืองไอนาโร่ กองกำลังนิวซีแลนด์มีที่ตั้งอยู่ที่เมืองซูไอ ใน Sector West ก่อนที่กองกำลังรักษาสันติภาพ 972 ของไทยผลัดที่ 6 จะย้ายเข้ามารับช่วงต่อและประจำอยู่เมืองซูไอจนกระทั่งจบภารกิจการรักษาสันติภาพในติมอร์



    แต่พอเกิดการเรียกร้องเอกราชขึ้น พวกชาวติมอร์ที่ทำงานกับทหารอินโดนีเซีย พวกหน่วยทหารบ้าน (Militia) ที่อินโดนีเซียฝึกเอาไว้ให้เป็นกำลังคุ้มครองหมู่บ้าน ในการต่อสู้กับฝ่ายกู้ชาติ ก็เกิดอารมณ์โกรธแค้น เพราะถ้าติมอร์เป็นเอกราช พวกที่ทำงานกับอินโดนีเซียก็ต้องตกงาน ลูกเมียตัวเองจะอยู่อย่างไร แถมบางคนทำงาน หากินจนร่ำรวย จะยอมให้อินโดนีเซียถอนทหารออกไปได้อย่างไร

    ที่ไอนาโร่ มีกลุ่มทหารบ้านกลุ่มหนึ่งที่ทหารอินโดนีเซียฝึกเอาไว้ เป็นชุดคุ้มครองหมู่บ้าน นำโดยนายแคนซิโอ โลเปซ เดอ คาวาลโย่ (Cancio Lopez De Cavalho) ก็เลยลุกขึ้น ตั้งกลุ่มที่มีชื่อว่า มาฮิดี - MAHIDI (Mati Hidup Integrasi Dengan Indonesia) แปลว่า จะอยู่หรือตาย ก็จะรวมอยู่กับอินโดนีเซีย พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ยอมเป็นเอกราช ขอเป็นอย่างมากก็รัฐที่ปกครองตนเอง เราเรียกพวกนี้ว่าพวกโปร ออโดโนมี่ (Pro autonomy)

    ส่วนชาวบ้านทั่วไป ถูกทหารอินโดนีเซียกดขี่ข่มเหง ก็ต้องการเป็นเอกราช พวกนี้เรียกพวกโปรเอกราช หรือ โปร อินดีเพนเดนซ์ (Pro independence) ชาวบ้านมีแต่มือเปล่า พวกทหารบ้านมีอาวุธที่ทหารอินโดนีเซียให้ไว้ มันก็เลยเกิดการฆ่ากันในเมืองต่างๆ ทั่วติมอร์




    กลุ่มทหารบ้านติดอาวุธหรือ มิลิเทีย (Militia) กำลังโจมตีประชาชนที่เรียกร้องเอกราช ในนครดิลี ซึ่งเป็นเมืองหลวงของติมอร์ ด้านหลังเสื้อของพวกมิลิเทียมีอักษรว่า AITARAK (ไอทารัก) แปลว่า คมหอก ซึ่งเป็นชื่อของกลุ่มมิลีเทียที่มีที่มั่นอยู่ในเมืองดิลี




    พวกทหารบ้านหรือมิลิเทีย ก็ออกมาขู่ว่า ใครต้องการเอกราช จะถูกฆ่า ชาวบ้านก็ไม่ฟัง ออกไปลงคะแนนที่สหประชาชาติเปิดโอกาสให้คนติมอร์เลือกเอาเองว่าจะเป็นเอกราช หรือยังอยู่กับอินโดนีเซีย ผลปรากฏว่า 78.5 เปอร์เซนต์ต้องการเอกราช

    พวกทหารบ้านก็โกรธ มาฮิดี ออกเข่นฆ่าชาวบ้าน เผาโรงพยาบาล โรงแรม บ้านเรือน โรงไฟฟ้า สถานที่ราชการต่างๆ เพราะไม่ต้องการให้ชาวบ้านเอาทรัพย์สินของอินโดนีเซียไปใช้ เข้าทำนอง อยากได้ ก็ต้องเริ่มนับหนึ่งเอาเอง




    กลุ่มมิลิเทียผูกผ้าพันคอสีแดงขาว ซึ่งเป็นสีธงชาติของอินโดนีเซีย พวกมิลิเทียเหล่านี้มีความจงรักภักดีต่อประเทศอินโดนีเซีย ไม่ต้องการที่จะเป็นเอกราชและไม่ต้องการแยกตัวออกจากการปกครองของอินโดนีเซีย มิลิเทียคนหน้าสุดใช้อาวุธปืนไรเฟิลอัตโนมัติแบบ M 16 เป็นอาวุธในการสังหารกลุ่มประชาชนที่เรียกร้องเอกราช



    มาฮิดี เผาอย่างเดียวไม่พอ นายแคนซิโอ หัวหน้ากลุ่ม จับสตรีท้องแก่คนหนึ่งมายิงที่ศรีษะ กลางเมืองไอนาโร่ แล้วเรียกชาวบ้านทั้งหมดให้มาดู ใครไม่มา พวกมาฮิดี ก็ไปเอาปืนขู่ ลากถูลู่ถูกังมาดู แคนซิโอประกาศต่อหน้าศพสตรีท้องแก่ว่า ใครต้องการเอกราช ต้องตายแบบนี้ ส่วนใครที่หลบหนีไปก็ต้องตายด้วย หนีไปไหนก็ไม่รอด หนีไปอยู่ในท้องก็ต้องตาย พูดจบ แคนซิโอก็ผ่าท้องควักเอาเด็กออกมาชูต่อหน้าชาวบ้าน สยดสยองราวกับหนังผีเกาหลีเลยทีเดียวละครับ


    (โปรดติดตามอ่านตอนที่ 3)

    ภารกิจชุดลาดตระเวนเคลื่อนที่ (Mobile Patrol Team)

    ในเมือง ไอนาโร่ (Ainaro)

    ของผู้สังเกตการณ์ทางทหารของสหประชาชาติ

    (UNMO - United Nations Military Observer)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×