ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Encyclopedia Earth

    ลำดับตอนที่ #5 : น้ำมัน(oil) ทองสีดำอันสูงค่า

    • อัปเดตล่าสุด 12 ก.ค. 52



                              



                         น้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ติดไฟได้นั้นเป็นที่รู้จักกันดีมาช้านานแล้ว คนโบราณเรียกก๊าซธรรมชาติที่ติดไฟได้ที่ไหลออกมาเองนั้นว่า     “ไฟกัป” คือไฟที่ลุกไหม้อยู่ตลอดเวลาไม่มีดับ ในคัมภีร์โบราณยังกล่าวถึงจุดที่น้ำมันไหลออกมาเองหลายจุดในทะเลเดดซี (Dead sea)  ในสมัยโบราณถือว่าน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติที่ไหลออกมาเองนั้นเป็นพระเจ้า  การบูชาไฟจากการเผาน้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติเป็นวัฒธรรมที่ นิยมแพร่หลายกันมาก แพร่หลายไปจนถึงประเทศอิหร่านในศตวรรษที่ 7 คงเป็นเพราะประเทศนี้มีก๊าซธรรมชาติที่จุดติดไฟได้ไหลออกมามากมายหลายบริเวณจนนับไม่ถ้วนก็เป็นได้

             มนุษย์ได้นำเอาน้ำมันไปใช้ทำอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างด้วยกันได้ใช้ทำเป็นยา ใช้จุดส่องแสงสว่าง และยังใช้ทำคบเพลิงเวลาสู้รบกัน หลายพันปีในสมัยเมโสโปเตเมีย ได้มีการขุดเอาแอสฟัลต์ไปใช้ในการก่อสร้าง ได้ใช้บิทูเมนเหนียว ๆ  ทำเป็นตัวเชื่อมประสานแทนปูน ทำกำแพงรอบเมืองเพื่อป้องกันข้าศึก

      ในประเทศอียิปต์   ค้นพบหลักฐานว่าเมื่อประมาณ  3,000-4,000 ปีมาแล้ว   ได้มีการใช้น้ำมันดิบหล่อลื่นล้อและเพลาของรถม้า   ใช้จุดตะเกียง ใช้ประสานรอยต่อระหว่างแผ่นอิฐ  

      ในประเทศจีน   ราว  3,000  ปีมาแล้ว   มีการใช้ปิโตรเลียมจุดตะเกียงตามบ้านเรือน

       ในราวศตวรรษที่  17 มีการกลั่นน้ำมันจากหินน้ำมันโดยใช้ความร้อนจากฟืน
    การนำน้ำมันขึ้นมาใช้ได้ค่อย ๆ  พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ   การนำน้ำมันขึ้นมาใช้ได้หยุดชะงักลงไประยะหนึ่งช่วงศตวรรษที่ 18  และต้นศตวรรษ ที่  19 เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุไฟไหม้ลุกลามกินอาณาบริเวณกว้างขวางและมีคนตาย 


            การเปิดศักราชใหม่ของอุตสาหกรรมน้ำมันเกิดขึ้นเมื่อปี ค. ศ.  1859 เมื่อมีการเจาะหาน้ำมันดิบเชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในโลกที่เมืองทิทูสวิลล์ (Titusville) รัฐเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) สหรัฐอเมริกา โดย  พันเอก เอ็ดวิน เดรก (Colonel Edwin Drake) บ่อน้ำมันหรือหลุมเจาะนี้ลึก 69.5 ฟุต ความสำเร็จนี้ทำให้คนตื่นน้ำมันกันมาก เพราะบ่อนี้ผลิตน้ำมันดิบได้วันละ 25 บาร์เรล และขายได้บาร์เรลละ 18 เหรียญอเมริกันสมัยนั้น และในปีค.ศ. 1860 โรงกลั่นน้ำมันที่ค่อนข้างสมบูรณ์ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมืองทิทูสวิลล์เช่นกัน โรงกลั่นนี้ประกอบด้วยหม้อกลั่น 6 ใบ และเครื่องฟอกสี อุปกรณ์ทั้งหมดรวมทั้งถังอยู่รวมกันภายใต้หลังคาเดียว ผลจากการกลั่นได้ผลิตภัณฑ์ไม่เกิน 50  % ของน้ำมันดิบ   และยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับผลพลอยได้อื่น ๆ จึงเผาทิ้งเสีย           

                 ศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงเวลาที่ระบบนายทุนกำลังรุ่งเรืองมาก ทำให้เกิดความต้องการใช้น้ำมันจุดตะเกียงกันอย่างมาก บรรดาเทียนไขที่ทำจากไขสัตว์ชนิดต่าง ๆ นั้น และน้ำมันตะเกียงที่ได้จากพืชและสัตว์ไม่พอแก่ความต้องการ ในสมัยนั้นความต้องการใช้แสงสว่างไม่เพียงแต่ตามบ้านเท่านั้น อีกทั้งตามร้านค้า และโรงงานอุตสาหกรรมก็มีความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังต้องการใช้น้ำมันในการหล่อลื่นเครื่องยนต์อีกด้วย เป็นเหตุให้ต้องพยายามนำเอาน้ำมันแร่หรือน้ำมันปิโตรเลียมมาใช้แทน  การผลิตน้ำมันจึงค่อยพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ

                    ปลายศตวรรษที่ 19 ถึง ต้นศตวรรษที่ 20 เป็นยุคของเครื่องไฟฟ้าและเครื่องจักร เครื่องยนต์ไอน้ำเปลี่ยนเป็นเครื่องจักรที่ใช้น้ำมันแทน เรือรบ เรือสินค้าทั้งหลายก็ได้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงแทน เพราะนอกจากจะให้ความร้อนสูงแล้ว ยังสะอาด และง่ายแก่การเก็บ การบรรทุกอีกด้วย สิ่งใหม่ ๆ  ที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์จาก   น้ำมัน เช่น รถยนต์ เครื่องบิน รถถัง ในช่วงระยะ  40  ปีหลังๆ  มานี้ การใช้น้ำมันและผลิตภัณฑ์ของน้ำมันนั้น ไม่เพียงแต่ใช้เป็นเชื้อเพลิงเพื่อการเคลื่อนที่ไปได้หรือในรูปน้ำมันหล่อลื่นเท่านั้น แต่ยังได้ใช้ผลิตผลอื่นๆ  จากการขุดเจาะปิโตรเลียมในรูปวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมเคมีอีกด้วย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×