ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Encyclopedia Earth

    ลำดับตอนที่ #19 : ประวัติความเป็นมาของแอลกอฮอล์

    • อัปเดตล่าสุด 18 ส.ค. 52


    ประวัติความเป็นมาของแอลกอฮอล์

     

              นักมานุษยวิทยายังไม่พบหลักฐานที่แสดงให้เรารู้แน่ชัดว่ามนุษย์เริ่มรู้จักดื่มแอลกอฮอล็ตั้งแต่เมื่อใด แต่นักวิทยาศาสตร์นั้นได้รู้ว่าธรรมชาติรู้จักสร้างเครื่องดื่มประเภทนี้มานานนับล้านปีแล้ว เพราะเวลาเชื้อมัก (yeast) ที่อาศัยอยู่ในผลไม้เริ่มย่อยอาหารมันจะเปลี่ยนน้ำตาลที่มีในผลไม้ให้เป็นอาหารของมัน แล้วปลดปล่อยของเสีย เช่น คาร์บอนไดออกไซด์และ ethyl alcohol  หรือ ethanol ออกมาเมื่อ  ethanol  มีความเข้มข้นมากขึ้นๆ  ถึง  16%  ยีสต์ก็จะตาย  ethanol  ที่มีก็จะทำให้ของเหลวเป็นแอลกอฮอล์

     

              มนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์อาจรู้จักดื่มแอลกอฮอล์โดยบังเอิญได้ดื่มน้ำผึ้งที่ถูกปล่อยทิ้งในอากาศนานๆ  และพบวิธีทำแอลกอฮอล์โดยใช้วิธีหมักผลไม้เป็นเวลานานๆ  ก็สามารถมีแอลกอฮอล์ไว้ดื่มกินได้ทันที และเมื่อได้ประจักษ์ว่าแอลกอฮอล์เป็นเครื่องดื่มที่กระตุ้นเร้าจิตใจได้ดี  เทคโนโลยีการทำแอลกอฮอล์จึงได้ถูกถ่ายทอดสืบต่อๆ กันมา

     

              ในวารสาร  Scientific  American ฉบับเดือนมิถุนายน ..2543  B.L. Vallee แห่ง Harvard  Medical  School ได้รายงานประวัติความเป็นมาของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มนุษย์เริ่มรู้จักในฐานะเครื่องดื่มที่สามารถรักษาสุขภาพ  แต่ในเวลาต่อมาก็ได้ตระหนักว่า  มันสามารถทำให้ผู้ดื่มเสียบุคลิก  และฐานะทางสังคมรวมทั้งอาจสูญเสียชีวิตด้วย

     

              Vallee  ได้กล่าวว่าในอดีตเมื่อหลายพันปีก่อนนี้  แอลกอฮอล์เป็นเครื่องดื่มที่มีความสำคัญต่อมนุษย์มากจนอาจเปรียบวารีแห่งชีวิตก็ยังได้

     

              ในความเข้าใจของคนทั่วไป  เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้แก่ เบียร์และเหล้าองุ่น  ซึ่งการที่มนุษย์จะเริ่มรู้จักทำเบียร์ได้นั้น  มนุษย์ต้องรู้จักปลูกข้าวก่อน  เพราะปัจจัยในการทำเบียร์คือข้าว  และประวัติศาสตร์ก็ได้ จารึกว่าบนสองฟากฝั่งของแม่น้ำ  Nile  ในอียิปต์และ  Tygist กับ Euphrates ในอิรักมีการทำนาข้าวสาลีและข้าวบาเลย์มากมาย  ซึ่งนักประวัติศาสตร์ก็ได้พบหลักฐานที่แสดงว่าชาวอียิปต์และชาวบาบิลอนได้รู้จักดื่มเบียร์ที่ทำจากข้าวสาลีและข้าวบาเลย์ เมื่อประมาณ 5,000  ปีมาแล้ว ส่วนเหล้าองุ่นนั้นก็เป็นแอลกอฮอล์อีกประเภทหนึ่งที่เกิดจากการที่มนุษย์รู้จักทำเกษตรกรรม  และนักประวัติศาสตร์ก็ได้พบว่า  ชาว Armenia เป็นชนชาติแรกที่รู้จักปลูกองุ่น  เมื่อประมาณ  8,000  ปีก่อนนี้เช่นกัน

     

              เมื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเกษตรกรรมได้ทำให้มนุษย์ในสมัยโบราณมีอาหารเกินความต้องการ  มนุษย์จึงต้องขวนขวายหาวิธีเก็บรักษาเมล็ดข้าวและพืชผักที่เหลือจากการบริโภค  และเมื่อปริมาณอาหารมีมากขึ้น  ผู้คนก็ได้อพยพมาอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มมากขึ้น  ปัญหาสังคมก็เริ่มเกิดเพราะระบบสาธารณสุขในสังคม  เมื่อ 2,000 ปีก่อนนี้ด้อยคุณภาพเช่น  ไม่มีน้ำบริสุทธิ์ที่จะบริโภคและเมื่อผู้คนในหมู่บ้านทิ้งขว้างขยะหรือของเสียอย่างไม่เลือกที่  น้ำในหมู่บ้านจึงมีสารปนเปื้อนเจืออยู่  การบริโภคน้ำที่ไม่สะอาดทำให้อหิวาต์ระบาด  ซึ่งมีผลทำให้ผู้คนล้มตายมากมาย  เราทุกวันนี้  คงไม่รู้ว่าในอดีตที่นมนานมากนั้น  การไม่มีน้ำบริสุทธิ์จะดื่มกิน  ทำให้การเดินทางรอนแรมไกลๆ  เป็นไปไม่ได้  และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้  Columbus ประสบความสำเร็จ  ในการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก  เพราะเขาได้บรรทุกเหล้าองุ่นปริมาณมากมายไปเป็นเสบียงในการเดินทาง

     

              ดังนั้น  เมื่อไม่มีน้ำสะอาดจะดื่มกิน ผู้คนจึงต้องหันไปดื่ม ethyl แอลกอฮอล์แทน  เพราะการมีคุณสมบัติกรดเล็กน้อยของแอลกอฮอล์ได้ฆ่าเชื้อโรคในมันจนหมดสิ้น  การดื่มแอลกอฮอล์จึงปลอดภัยและเมื่อผู้ดื่มได้พบว่า  แอลกอฮอล์ทำให้ผู้ดื่มกระชุ่มกระชวย  แอลกอฮอล์จึงเปรียบเสมือนวารีทิพย์สำหรับคนทุกคนในสมัยโบราณ  และเป็นที่นิยมกันทั่วไป  ซึ่งนักประวัติศาสตร์ได้เห็นหลักฐานความนิยมนี้จากแผ่นดินเหนียวที่ถูกแกะสลักเป็นตัวอักษร แสดงสูตรการทำเบียร์ของชาว Babylon

     

              ส่วนชาวตะวันออก  ไม่มีวัฒนธรรมการดื่มเช่นนี้  ตลอดระยะเวลา 2,000 ปีที่ผ่านมา คนตะวันออกรู้จักดื่มแต่ชา  ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์เจือปน การไม่รู้จักดื่มมาแต่ในอดีต ทำให้ร่างกายคนตะวันออกราว 50 % ขาดเอ็นไซม์ที่จะใช้ในการย่อยแอลกอฮอล์  ดังนั้น คนเหล่านี้เวลาดื่มแอลกอฮอล์เข้าร่างกาย  เขาจะไม่รู้สึกรื่นรมย์แต่อย่างใด

     

              เพราะเหตุว่าเครื่องดื่มที่ชาวตะวันตกนิยมดื่มมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์น้อย  และมีกรด acetic มาก  อีกทั้งกลิ่นของเครื่องดื่มก็ชวนอาเจียน  ดังนั้น นักดื่มยุคโบราณจึงได้พยายามพัฒนาเครื่องดื่มเหล่านี้ในด้านรสและใช้ดื่มเฉพาะในยามกระหายมากกว่าที่จะดื่มให้เมา และเมื่อได้พบว่าทุกครั้งที่ดื่มแอลกอฮอล์  เขาก็ไม่ตาย (ซึ่งถ้าดื่มน้ำแล้วจะตาย)  และในแอลกอฮอล์มีวิตามินและเกลือแร่ด้วย  แอลกอฮอล์จึงสามารถใช้แทนอาหารได้บ้างในเวลาเกิดทุพภิกขภัยในท้องที่ที่ตนอาศัยอยู่

     

              นอกจากเหตุผลเหล่านี้แล้ว  คนโบราณยังดื่มแอลกอฮอล์เอทำให้จิตใจกระชุ่มกระชวย  ทำให้อาการเหนื่อยล้าลดลง  หรือเวลาไม่มียารักษาโรค เขาก็จะดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวด  ซึ่งชาว  Sumerian ผู้เคยมีชีวิตอยู่เมื่อ 4,100 ปีก่อนนี้ในแถบเอเซียกลางก็ได้เคยบันทึกว่ามีการใช้แอลกอฮอล์เป็นยารักษาโรคทั่วไป และแม้กระทั่งบิดาของวิทยาการแพทย์ชื่อ Hippocrates ก็ได้เคยใช้เหล้าองุ่นเป็นยารักษาโรคเรื้อรังต่างๆ และโรงเรียนแพทย์ที่นคร  Alexandria ก็มีการใช้แอลกอฮอล์เป็นยาเช่นกัน และแม้แต่ในคัมภีร์ไบเบิลก็ได้กล่าวบรรยายอภินิหารของพระเยซูว่า  ได้ทรงแปลงน้ำธรรมดาเป็นเหล้าองุ่นให้ประชาชนดื่มกิน  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเหล้าองุ่นดีกว่าน้ำ (ที่ไม่สะอาดในยุคนั้น)

     

              ถึงแม้ความเชื่อในสรรพคุณของเหล้าองุ่นว่ามีคุณค่าทางยาสามารถทำให้ผู้ป่วยไม่เจ็บปวด ทำให้จิตใจสงบดับความกระวนกระวายใจ  ทำให้ผิวของผู้ดื่มดี  รักษาโรคศีรษะล้าน  ฆ่าไรและเหาทำให้คนมีความจำดีจะมีมากสักเพียงใดก็ตาม  แต่ก็มีคนหลายคนในยุคนั้นที่ตระหนักถึงในการดื่มมาก  ถ้าคนดื่มเป็นโรคพิษแอลกอฮอล์เรื้อรัง  แต่เมื่อไม่มีเครื่องดื่มอื่นใดที่ปลอดภัยจะดื่ม  ผู้คนในยุคกลางจึงยังคงนิยมดื่มเบียร์และเหล้าองุ่นต่อไป  ไม่ว่าศาสนาและการเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมายสักปานใดก็ตาม  ทัศนคติของคนยุโรปต่อเบียร์และเหล้าองุ่นก็ไม่เปลี่ยนแปลง

     

              แต่แล้วความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็ได้ทำให้สัมพันธภาพระหว่างมนุษย์กับแอลกอฮอล์เปลี่ยนแปลง  เพราะได้มีการพบวิธีทำให้แอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มมีความเข้มข้นสูงขึ้น เพราะตลอดเวลา 9,000 ปี  หลังจากที่มนุษย์รู้จักทำเบียร์แลเหล้าองุ่นแล้ว  มนุษย์ก็ได้พบว่าเครื่องดื่มทั้งสองชนิดนี้ต่างก็มีปริมาณแอลกอฮอล์ในตัวน้อย  คือไม่เกิน 16% เพราะเมื่อ yeast ตาย  แอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มก็หยุดเพิ่ม  ดังนั้น  เมื่อชาวอาหรับรู้จักประดิษฐ์วิธีกลั่นในราวปี ..1240  เทคโนโลยีนี้สามารถทำให้เครื่องดื่มมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์สูงกว่า 16% ได้ ประเพณีและวัฒนธรรมการบริโภคแอลกอฮอล์ของพลโลกก็เริ่มเปลี่ยน เทคนิคนี้อาศัยหลักความจริงที่ว่า แอลกอฮอล์ตามปกติมีจุดเดือดที่อุณหภูมิ 78  องศาเซลเซียส  ในขณะที่น้ำจะเดือดที่อุณหภูมิ  100  องศาเซลเซียส ดังนั้น  การต้มน้ำผสมกับแอลกอฮอล์จะทำให้ไอน้ำมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์สูงและการกลั่นไอน้ำเป็นหยดน้ำในเวลาต่อมา จะทำให้เราได้ของเหลวที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์สูงยิ่งกว่าเมื่อตอนเริ่มต้นของเหลวผสม

     

              เทคโนโลยีการทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ความเข้มข้นสูงนี้ได้แพร่สู่อิตาลีในราวปี ..1600 และโลกก็ได้เริ่มมีปัญหาการมีคนติดแอลกอฮอล์ตั้งแต่นั้นมา  ในหนังสือชื่อ Liber de arte  distillandi ที่  Hieronymus  Brunschwig แต่ง ได้อธิบายเทคนิคการกลั่นแอลกอฮอล์อย่างละเอียด ทำให้หนังสือเล่มนี้ขายดิบขายดี เพราะผู้คนได้พากันใช้เทคนิคนี้  Brunschwig  เสนอแนะในการต้มกลั่นแอลกอฮอล์สำหรับบริโภคเอง

     

              เมื่อยุโรปถูกกาฬโรคคุกคามในราวพุทธศตวรรษที่ 19 ทำให้ผู้คนล้มตายถึง 60% ถึงแม้ว่าแอลกอฮอล์จะช่วยรักษาใครไม่ได้  แต่มันก็ได้ทำให้คนป่วยรู้สึกมีพละกำลัง  ซึ่งเมื่อแพทย์ในสมัยนั้นได้เห็นผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดน้อยลง และมีอารมณ์แจ่มใสขึ้นแพทย์ก็รู้สึกศรัทธาในแอลกอฮอล์

     

              การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังจากที่ถูกกาฬโรคคุกคามในครั้งนั้น  ได้ทำให้คนยุโรปมีมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้น และเมื่อผู้คนผ่านความยากลำบากอย่างเอาชีวิตแทบไม่รอดมาได้ ลัทธิการแสวงหาความสุขและการอวดร่ำรวยโดยการซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาบริโภคอย่างมากมายก็เริ่มแพร่หลาย และถึงแม้จะมีผู้คนเมามายเพราะดื่มแอลกอฮอล์มากสักปานใด    ชาติต่างๆ ก็ยังไม่มีกฎหมายห้ามดื่ม  จนถึงสมัยพุทธศตวรรษที่  22 เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์อันได้แก่  กาแฟ ชา  ช็อกโกแลต เริ่มแพร่หลายผู้คนจึงไม่ดื่มแอลกอฮอล์มากเหมือนในอดีตและเมื่อได้รับรู้ในเวลาต่อมาว่าในน้ำที่ไม่บริสุทธิ์นั้นมีเชื้อโรค  การต้มน้ำ  การกลั่นน้ำ จะทำให้เรามีน้ำบริสุทธิ์ที่สามารถจะดื่มได้อย่างปลอดภัย  ผู้คนในยุโรปจึงมีตัวเลือกไม่ดื่มแอลกอฮอล์แต่เพียงอย่างเดียว และแล้วในปี .. 2356  นั่นเอง  T. Trotter แห่ง Edinburgh College of  Medicine ในอังกฤษ ได้รายงานว่า แอลกอฮอล์ความเข้มข้นสูงสามารถฆ่าคนได้ เพราะมันจะทำให้ตับแข็ง  ผู้คนจึงได้พยายามเลิกดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่นั้นมาแล้วหันไปดื่มเครื่องดื่มชนิดอื่นแทน

     

              ทุกวันนี้งานการค้นคว้าหาวิธีรักษาโรคแอลกอฮอล์เรื้อรังได้เป็นงานวิจัยที่มีความสำคัญมากงานหนึ่ง  เฉพาะในอเมริกามีคนเสียชีวิตด้วยพิษแอลกอฮอล์ปีละ 100,000 คน ตัวเลขนี้แสดงให้เห็นอุบัติเหตุการตายที่มากเป็นอันดับสามรองจากบุหรี่และการบริโภคอาหารที่ไม่สะอาด  สถิติยังชี้บอกว่าทุกปีเด็กทารก 12,000 คน ที่เกิดจากมารดาที่ดื่มแอลกอฮอล์จัด จะมีปัญหาสุขภาพและปัญหาด้านสติปัญญา ก็ในเมื่อแพทย์ยังไม่มีวัคซีนและยาที่รักษาโรคพิษแอลกอฮอล์เรื้อรัง การไม่บริโภคมันเลยตั้งแต่ต้นคือวิธีป้องกันที่ดีที่สุด  และสำหรับคนที่ติดแอลกอฮอล์งอมแงมขณะนี้  กำลังใจ  ความรู้สึกด้านสรีรวิทยาของคนคนนั้น  และธรรมชาติของแอลกอฮอล์ที่ติด  เป็นปัจจัยสำคัญที่แพทย์ต้องใช้ในการรักษาครับ

       

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×