Fic The Prince of Tennis : My brother (Tezuka & Fuji)
เมื่อฟูจิต้องมากลายเป็นน้องของเทสึกะจะเกิดอะไรขึ้น
ผู้เข้าชมรวม
522
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ตอนที่ 1
“เสร็จยังลูก”
“ครับ จะลงไปเดี๋ยวนี้เลยครับ” ผู้เป็นลูกตอบแม่ที่ส่งเสียงเร่ง
เด็กหนุ่มหน้าหวานขี้เล่นยิ้มจนตาหยีให้ผู้เป็นแม่ที่ทำหน้างอนยืนเท้าสะเอวตรงบันไดชั้นล่างพลางมองลูกชายที่ลากกระเป๋าสัมภาระลงมา
“แม่ก็นะ….เพิ่งมาบอกตอนนี้ผมก็จัดของไม่ทันสิคร้าบบบบบ” อธิบายผู้เป็นแม่ฟังแล้วลงมากอด หอมแก้มสักฟอดใหญ่พลางส่งสายตาหวานๆให้ จนผู้เป็นแม่อดที่จะยิ้มไม่ได้ มาไม้นี้ทีไรบทที่จะโกรธกลายเป็นใจอ่อนให้เจ้าลูกชายตัวดีขี้อ้อนเสียทุกที
“อย่าทำแบบนี้ไม่ว่ากับใครยกเว้นแม่คนเดียว” เป็นแม่ที่หวงลูกทีเดียวหรืออาจจะเรียกได้ว่าติดลูกก็ว่าได้
“เอ๋….กับแฟนตัวเองก็ไม่ได้หรือครับ” ลูกชายทำตาปริบๆทั้งทียังกอดแม่อยู่
“ลูกแม่โตพอจะมีแฟนแล้วหรอเนี่ย ใครจะเป็นผู้โชคร้ายคนนั้นน่ะ น่าสงสารจัง หุหุๆๆ”
“แม่กำลังว่าผมอยู่น่ะครับ ไม่เข้าข้างลูกตัวเองบ้างเลยน่าน้อยใจจัง” พูดงอนๆแล้วเอาคางเรียววางบนไหล่แม่มือยังกอดแม่อยู่
“ก็จริงนี่ ชูจังน่ะชอบแกล้งเขาไปทั่ว เมื่อวานซาเอะเพิ่งโทรมาบอกแม่ว่าลูกหลอกให้เขากินแซนวิสสอดไส้พริก มีที่ไหนกันเอาพริกสดๆใส่ในแซนวิสเผ็ดตายเลย ระวังน่ะคนที่โดนลูกแกล้งอาจตามมาเอาคืนก็ได้แม่ไม่ช่วยด้วยน่ะ………..” ทีนี้ร่ายยาวเลยครับ ซาเอกิน่ะซาเอกิเจอครั้งหน้าโดนหนักแน่โทษฐานมาฟ้องแม่ ทำให้ตัวเองโดนอบรมจนหูชาแบบนี้ ซาเอกิที่ว่าคือเพื่อนสมัยเด็กๆที่นานๆเจอกันเนื่องจากตัวเขาและครอบครัวย้ายมาอยู่โตเกียวแต่ก็ยังติดต่อกันอยู่เสมอ ที่คุณแม่เรียกซาเอะแทนซาเอกิเนื่องจากท่านเอ็นดูเพื่อนของลูกชายตนเหมือนลูกตัวเองจึงเรียกชื่อเล่น แต่ฟูจิจะเรียกอะไรนั้นแล้วแต่อารมณ์ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วซาเอกิมาเที่ยวโตเกียว พอนานๆเจอทีก็อดที่จะแกล้งไม่ได
“ก็หมอนั่นอยากโง่กินเองนี่ครับ ผมไม่ได้บังคับสักหน่อย” คิดแล้วต้องเอาคืนให้หนักอีก
“ยังอีก……อย่าคิดจะเอาคืนซาเอะเชียวน่ะ” แม่ยังดุไม่เลิกแถมยังรู้ทันความคิดเขาอีก
“คร้าบบบบบๆๆๆๆๆ จะไม่ทำอีกแล้วคร้าบ” รับปากแม่แต่นิ้วไขว้หลังไว้
“แล้วจำที่ตัวเองพูดไว้ด้วยล่ะ โอ๊ย……ลูกคนนี่เนี่ย” พูดจบก็จั๊กกี้เอวแม่ให้ตกใจเล่นทีนึงก่อนหันตัวหลบไปลากกระเป๋าไปไว้ในรถที่จอดรออยู่
“พูดอยู่หยกๆ ชูจังน่ะชูจัง” แม่บ่นเบาๆ
“เร็วสิครับแม่” ลูกชายตะโกนบอกเนื่องจากตัวเองเข้านั่งรอในรถนานแล้วแต่ผู้เป็นแม่ยังเอ้อระเหยมองสำรวจบ้านเป็นนานสองนานทั้งทีจัดสัมภาระไว้ในรถเสร็จตั้งนานแล้ว ทีจริงเขาไม่อยากเร่งแม่หรอกแต่เพราะบ้านหลังนี้มีความทรงจำมากมายและมีความหมายกับแม่มาก เขาไม่อยากให้แม่ยึดติดกับมันมากเกินไป ในเมื่อแม่เป็นคนตั้งสินใจเองที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากต้องจมกับอดีตมาตลอด 7 ปีเต็ม เขาซึ่งเป็นลูกจึงเต็มใจและยอมรับกับการตัดสินใจของแม่เพื่อที่แม่จะได้มีความสุขและมีรอยยิ้มที่แท้จริงกลับมาอีกครั้ง
“อ่า โทษทีจ้ะ” แม่สะดุ้งเล็กน้อยหลังจากที่ผมเรียกซึ่งอาจจะดังไปหน่อย แม่เข้าไปสั่งเสียอะไรเล็กน้อยกับคนสวนเก่าแก่และแม่บ้านที่รับใช้อย่างซื่อสัตย์มาตลอดแล้วมอบกุญแจบ้านให้พร้อมกอดอำลาเป็นครั้งสุดท้าย
“ดูแลสุขภาพด้วยนะคะคุณผู้หญิง” แม่นมของผมพูดทั้งน้ำตา
“นมเองก็ดูแลตัวเองบ้างน่ะจ้ะ” แม่เองก็บอกทั้งน้ำตาเหมือนกันทำให้ผมซึ่งมองดูอยู่ก็น้ำตาเล็ดได้เหมือนกัน แม่นมเดินมาหาผมในรถซึ่งผมก็ลงจากรถไปกอดเธอทันที
“ทูนหัวของนม ถึงเวลาที่ต้องจากกันจริงๆแล้วสิน่ะ” เธอกระชับกอดแน่นขึ้น ผมเองก็เช่นเดียวกัน ตอนนี้ผมร้องไห้ฟูมฟายอย่างไม่อายฟ้าดินถึงจะเป็นลูกผู้ชายถูกสอนให้เข้มแข็ง แต่พออยู่ในสถานการณ์แบบนี้แล้วผมทำอะไรไม่ได้เลย แม่นมยกใบหน้าผมขึ้นแล้วเอามือเช็ดน้ำตาให้ผม พลางลูบเรือนผมสีน้ำตาลเบาๆอย่างถะนุถนอมแล้วก้มลงจูบกลางกระหม่อนอย่างปลอบโยน
“ไปอยู่ที่อื่นแล้วอย่าร้องไห้แบบนี้น่ะมันไม่ดีรู้มั้ย ดูแลคุณแม่ด้วย เชื่อฟังแล้วอย่าดื้อกับคุณแม่ล่ะ ว่างๆก็มาเยี่ยมนมด้วยน่ะทูนหัวของนม พอแล้วเลิกร้องได้แล้วไม่สมเป็นคุณหนูชูสึเกะเลยน่ะ” แม่นมบอกเมื่อเห็นผมสะอื้นหนักเข้าไปอีก ท่านยิ้มให้อย่างปลอบโยน
ผมพยักหน้ารับอย่างเดียวพูดอะไรไม่ออกเนื่องจากสะอื้นอย่างหนัก แม่นมกอดผมอีกครั้งแล้วเดินมาส่งผมที่รถแล้วแม่ก็ตามมาขึ้นรถปิดประตูขับออกไป ผมเปิดกระจกรถแล้วหันไปโบกมือให้ทุกคน
“โชคดีน่ะคะ/ ครับ คุณผู้หญิง/ คุณหนูชูสึเกะ” ทุกคนโบกมือให้ผมกับแม่เป็นครั้งสุดท้าย
“โชคดีน่ะครับทุกคนแล้วผมจะกลับมาเยี่ยม” ผมตะโกนพลางสะอื้นไปด้วย
ทั้งแม่บ้านและคนสวนทุกคนล้วนอยู่ก่อนผมเกิดด้วยซ้ำเรียกว่าข้าเก่าเต่าเลี้ยงสมัยคุณปู่คุณย่านั่นแหละ ถ้าจำไม่ผิดบ้านหลังนี้เป็นของปู่กับย่าผม เมื่อท่านเสียไปบ้านหลังนี้จึงตกเป็นของพ่อผมโดยปริยาย เราทั้งครอบครัวจึงย้ายมาอยู่ที่นี่ประจวบกับคุณพ่อได้เริ่มวางรากฐานทางธุรกิจที่นี่ แต่เดิมเราอยู่ที่จิบะพ่อพบรักกับแม่ที่นั่น หลังจากพ่อหันมาทำธุรกิจอย่างจริงจังและเป็นนักธุรกิจเต็มตัวจึงคิดจะเริ่มวางรากฐานที่เมืองใหญ่ซึ่งก็คือโตเกียว พวกเราจึงย้ายมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ตั้งแต่นั้นมา จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีการเศร้าโศกกันเนื่องจากพวกเราอยู่กันแบบญาติพี่น้องไม่มีคำว่าคนใช้ เจ้านาย ผมจึงสนิทกับทุกคน และเล่นหัวกันได้ ถึงผมจะเป็นลูกคุณหนูแต่ผมทำอะไรเองเป็นทุกอย่างน่ะเพราะถูกสั่งสอนมาว่าให้ช่วยเหลือตัวเองยามลำบากจะได้ไม่เดือดร้อนคนอื่น ขนาดอาหารการกินผมก็ทำได้น่ะฝีมือใช้ได้เลยล่ะอาจจะอร่อยกว่าด้วยซ้ำเพราะถูกแม่จับมานั่งสอนตั้งแต่เด็กๆผมเองเป็นเด็กหัวไวซึมซับอะไรได้ง่ายอยู่แล้ว
ระหว่างที่นั่งมาในรถผมนั่งเงียบไม่พูดจาอะไรอาจเพราะผมยังสะอื้นไม่หมด แม่เองก็คงพอจะรู้จึงไม่ได้ถามอะไร เรานั่งรถมาเรื่อยๆผมไม่รู้หรอกว่ารถจะถึงที่หมายเมื่อไร ที่ไหน บ้านหลังไหนที่เราจะย้ายไปอยู่กัน แม่เพียงแต่บอกว่า แม่ตัดสินใจจะแต่งงานใหม่อีกครั้งและจะย้ายไปอยู่ด้วยกับเขา ซึ่งงานแต่งงานจัดอย่างเงียบๆที่โบสถ์มีเพียงแม่ คุณอาแฟนใหม่แม่ซึ่งผมอาจจะต้องเรียกเขาว่าพ่อและพ่อของฝ่ายชายมาเป็นพยานอีกหน่อยก็คงเป็นปู่ผมอีกคน
หลังแต่งงานได้ไม่นานแม่บอกให้เก็บกระเป๋าย้ายบ้านไปอยู่ด้วยกัน วันนั้นผมเพิ่งกลับจากโรงเรียนจึงต้องรีบเก็บกระเป๋ากลัวแม่รอนาน เก็บเองคนเดียวครับไม่มีใครมาช่วย บอกแล้วต้องช่วยเหลือตนเองและรับผิดชอบกับสิ่งของของตัวเองซึ่งผมก็ชินไปแล้วครับ
ผมนั่งคิดไปเรื่อยเปื่อยว่าครอบครัวใหม่จะเป็นอย่างไรน่ะ หน้าตาพ่อใหม่จะเป็นยังไงแล้วคุณปู่จะดุมั้ย คงไม่เป็นไรมั่งผมน่ะเข้ากับคนอื่นได้ง่ายอยู่แล้ว คิดแล้วก็ชำเลืองดูแม่นิดนึงแค่แม่มีความสุขก็พอใจแล้ว คิดไปคิดมาก็เผลอหลับไปเฉยเลย
แม่มองสำรวจลูกชายตัวเองที่นอนหลับอย่างพิจารณาพลางลูบหัวคนหน้าหวานเบาๆ หล่อนไม่ได้หวงหรือติดลูกชายถึงขนาดนั้นอย่างที่คนอื่นเข้าใจกันหรอกแต่ไม่อยากเสียลูกคนนี้ไปหรือพูดอีกอย่างคือไม่อาจสูญเสียอะไรได้ไปมากกว่านี้อีกแล้ว พอมองหน้าลูกชายคนนี้ทีไรทำให้นึกถึงอดีตที่ผ่านมาถึง 7 ปี วันนั้นสัญญากับลูกๆว่าจะพาไปเที่ยวงานเทศการประจำปีที่จิบะที่ปีหนึ่งมีหนเดียวเป็นงานใหญ่ประจำจังหวัด แต่ชูสึเกะลูกชายคนรองเกิดไม่สบายขึ้นมาทำให้ผู้เป็นแม่ตัดสินใจอยู่บ้านดูแลชูสึเกะที่ป่วยหนัก แล้วให้พ่อพาลูกอีกสองคนไปซึ่งก็คือพี่สาวคนโต ยูมิโกะและลูกชายคนเล็ก ยูตะ ตอนแรกพ่อก็ค้านว่าไม่ไปแต่แม่สงสารเด็กๆที่รอคอยงานนี้มานานและเสียดายตั๋วเครื่องบินกับโรงแรมที่จองไว้เพราะหน้าเทศการจะเต็มหมดกว่าจะจองได้ต้องจองกันเป็นเดือนๆ พ่อจึงพาลูกอีกสองคนไปตามลำพังแต่ขากลับเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกตายทั้งลำไม่เหลือรอด วันนั้นแม่แทบสิ้นสติใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดจะฆ่าตัวตายตามไป แต่ดีที่ลูกชายตัวน้อยวัย 7 ขวบเดินเข้ากอดแม่พลางร้องไห้พร้อมกับพูดว่า “อือๆๆ แม่อย่าทิ้งผมไปอีกคนนะครับ” นั่นเองที่ทำให้หล่อนได้คิดและยืนหยัดขึ้นมาได้อีกครั้งจนถึงวันนี้
“ถ้าชูจังไม่ไปกอดแม่วันนั้น แม่คงทำในสิ่งที่ให้อภัยตัวเองไม่ได้” หล่อนพูดพลางมองลูกชายที่หลับสบายแล้วขับรถต่อไป
“ชูจัง ตื่นได้แล้วลูก ถึงแล้ว ชูจัง ชู……” หล่อนว่าพลางเขย่าตัวลูกชายเบาๆที่ทำท่าไม่ยอมตื่นง่ายๆ ลูกชายตัวดีของหล่อนเป็นเด็กหลับง่ายแต่ขี้เซาเป็นที่หนึ่ง หล่อนจึงจอดรถไว้ข้างนอกรอให้ลูกชายตื่นเต็มที่ก่อนขับเข้าไป
“อื้ออออออ ถึงแล้วหรอครับแม่ แต่เอ๊ะ…..ทำไมไม่เข้าไปล่ะครับ” ลูกชายถามผู้เป็นแม่เมื่อปรับสายตาให้คงที่แล้ว
“ก็รอตัวเองตื่นไงล่ะ” แม่ตอบ
“คร้าบตื่นแล้วคร้าบบบ” ลูกชายตอบพร้อมหันไปกอดแม่แน่นแล้วหอมแก้มฟอดใหญ่
“อะไรอีกล่ะ ขี้อ้อนจริงนะเรา” แม่พูดพลางขยี้ผมลูกเบาๆกับท่าทีช่างอ้อนของลูกชาย
“อีกหน่อยผมก็ทำแบบนี้กับแม่ไม่ได้อีกแล้วน่ะสิครับ” พูดเศร้าๆ
“หมายความว่าไง” แม่งง
“ก็กลัวคุณอาเขาจะหึงเอาสิครับ แบบนั้นผมก็แย่น่ะสิครับ” พูดพลางทำแก้มป่องน้อยใจ
“โอ๊ย……” แม่ให้มะเหงกทีนึงเป็นเชิงสั่งสอน
“คุณอาเขาใจดีไม่ต้องกลัวหรอก อีกอย่างแม่ก็เล่าเรื่องลูกให้ฟังด้วย คุณอาว่าแค่ฟังแม่เล่าก็อยากเห็นหน้าแล้ว เขาว่าลูกชายแม่ต้องน่ารักแน่เลย แล้วไม่ต้องกลัวเรื่องที่เขาไม่ชอบเด็กน่ะเพราะคุณอาเขาก็มีลูกชายเหมือนกันอายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกนี่แหละ”
“หรอ งั้นผมสบายใจได้แล้วใช่มั้ยครับ”
“จ้ะ ปกติลูกก็เข้ากับคนอื่นได้ง่ายอยู่แล้วนี่ จะกังวลอะไรอีก”
“แล้วคุณปู่นั่นล่ะ แล้วจะกอดแม่ได้อีกมั้ย ” ถามเพื่อความแน่ใจอีก
“โธ่ ชูจังลูกก็ แม่เป็นแม่ของลูกน่ะจะกอดเมื่อไรก็ได้แม่ไม่ว่า แต่อย่าให้มันมากไป บ้านนี้เขาเลี้ยงลูกแบบเข้มงวด เคร่งขรึม ไม่ค่อยมีการกอดสักเท่าไรคงจะแปลกใจนิดหน่อยมั่งถ้าลูกวิ่งมากอดแม่ต่อหน้าคนอื่น” แม่ยิ้มให้ลูกชาย
“แล้วเรื่องคุณปู่ ท่านจะหน้าดุไปหน่อยแต่ใจดีมาก ถ้าได้คุยแล้วท่านจะกลายเป็นคนตลกไปเลยแม่ลองคุยแล้ว พอใจยังแม่เหนื่อยแล้วน่ะ ” แม่อธิบายต่อ
“ครับ เข้าไปเถอะครับเดี๋ยวเขาจะสงสัยเอา” หลังจากไขข้อสงสัยให้ลูกแล้วหล่อนก็ขับรถเลี้ยวเข้าประตูรั้วบ้านไป ชูสึเกะที่มองออกไปนอกหน้าต่างรถก็สังเกตเห็นป้ายชื่อที่กำแพงรั้วสลักชื่อบ้านเอาไว้อ่านได้ว่า ‘บ้านเทะสึกะ’
“เอ๋…..บ้านเทะสึกะคนนั้นน่ะหรอ”
…………………………………………………………………………………………………...
ไรเตอร์ : การเดินเรื่องอาจช้าหน่อยนะคะ ขอโทษล่วงหน้านะคะ
ผลงานอื่นๆ ของ i am susan ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ i am susan
ความคิดเห็น