ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    มังกรซ่อนพยัคฆ์ ตอน ปฐมบทแห่งมังกร

    ลำดับตอนที่ #13 : น้ำชาห้าเฒ่า

    • อัปเดตล่าสุด 10 ธ.ค. 51


    1.             น้ำชาห้าเฒ่า
    เล้งรีบลงจากรถที่ชิวขับมาส่งที่หน้าภัตตาคารมังกรทอง ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจการส่วนตัวของเฮียเฮง พ่อตาของเค้านั่นเอง 
    ความชอบกินและพิถีพิถันในการกินทำให้เกิดร้านนี้ขึ้นมา ถึงขนาดอิมพอร์ตพ่อครัวมาจากฮ่องกงเลยทีเดียว
    มันไม่ใช่แค่เพื่อสนองความเป็นนักชิมเท่านั้น แต่เฮียเฮงยังใช้ภัตตาคารแห่งนี้ไว้เป็นที่พบปะสังสรรค์กับเพื่อนทั้งเก่าและใหม่
    และในบรรดาเพื่อนฝูงที่มีรสนิยมเหมือนๆ กัน กลับมีอยู่กลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นกลุ่มไม่ธรรมดานั่นก็คือ กลุ่มที่คนทั่วไปรู้จักกันในนามของ “สี่เซียน”
    “สี่เซียน” ประกอบด้วยเจ้าสัวคนดังจากสี่ตระกูลใหญ่
    “เซียนเงิน” รุ่งโรจน์ กิจจานุรักษ์ นายแบงค์ชื่อดังแห่งสยามแบงค์
    “เซียนอิฐ” สามารถ ตั้งวงศ์สกุล เจ้าพ่อวงการก่อสร้าง ประธานใหญ่แห่งถาวรวิศวะโยธา  
    “เซียนหุ้น” กอบกิจ มหากาญจนกุล เจ้าพ่อวงการการลงทุนและตลาดหุ้น เจ้าของบริษัทหลักทรัพย์ชื่อดัง 
    “เซียนข้าว” เสี่ยฮง เจ้าพ่อส่งออกข้าวคนดัง
    ทั้งสี่เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเฮียเฮงนายใหญ่แห่งธงขาว สมัยเรียนที่โรงเรียนเผอยลิ๋งด้วยกัน ทั้งห้าเป็นเพื่อนเก่าแก่กันมาตั้งแต่เด็ก
    แม้นโตขึ้นมา จะต่างคนต่างแยกย้ายไปประกอบสัมมาอาชีพตามเส้นทางของตน แต่ความเป็นเพื่อนมิเคยจืดจาง
    และทุกครั้งที่มีเวลาว่างพร้อมกัน ทั้งห้าจะต้องมาร่วมจิบน้ำชากันเพื่อพูดคุยรำลึกถึงความหลังร่วมกัน จนมีชื่อเรียกการจิบน้ำชาของทั้งห้าคนนี้ว่า “น้ำชาห้าเฒ่า”
    แต่ใช่ว่าการสนทนาจะมีแต่รำลึกถึงความหลังเท่านั้น
    บางครั้งบางคราวมีการเจรจาธุรกิจบนโต๊ะน้ำชานั่นด้วย
    ลือกันว่าบางครั้งมูลค่าของธุรกิจที่เจรจากันในวงน้ำชานั้นมีมูลค่านับพันนับหมื่นล้าน
    ใครก็ตามที่ได้มีโอกาสเข้าไปฟังการสนทนานั้น...
    โชคดียิ่งกว่าหนูตกถังข้าวสาร
    เพราะหนูตกถังข้าวสาร อย่างมากก็แค่มีข้าวสารกิน แต่ขนข้าวสารไปไม่ได้
    แต่คนที่ได้ฟังคำสนทนาของ “น้ำชาห้าเฒ่า” ไม่ต่างอะไรกับคนตักข้าว จะตักเท่าไรก็ได้สุดแท้แต่กำลัง
     
    พอก้าวเข้าห้อง VIP ซึ่งเป็นห้องพิเศษสำหรับคนพิเศษที่วันนี้ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับ “น้ำชาห้าเฒ่า”
    เล้งก็รู้สึกแปลกใจที่เห็น “สี่เซียน” อยู่ที่นั่น
    แม้นจะเคยรู้มาบ้างว่าคนเป็นพ่อตาของเค้าเป็นสหายสนิทกับพวกสี่เซียน แต่การถูกตามตัวมาร่วมการจิบน้ำชาของห้าเฒ่ายอมต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดา
    เล้งยกมือไห้วแสดงความเคารพสี่เซียนเพราะเคยเห็นหน้าคราตากันในงานแต่งงานของเค้ากับพิมพา
    ทั้งสี่มองเล้งอย่างพินิจพิจารณา มันทำให้เล้งรู้สึกตกประหม่าเมื่อถูกจ้องเอาๆ เช่นนั้น
    “พอๆ พอแล้ว” เฮียเฮงบอกขึ้น “จ้องเอาๆ แบบนี้ เดี๋ยวเด็กมันก็กลัวหรอก”
    หากแต่พวกสี่เซียนกลับพากันหัวเราะขึ้นพร้อมกัน
    “ถ้าแค่พวกเราจ้องแล้วกลัว ก็คงไม่มีคุณสมบัติพอจะเป็นลูกเขยเฮียเฮงแล้วมั้ง” คนเป็นเซียนข้าวว่า
    “ใช่...” เซียนอิฐว่า “นาทีนี้ใครบ้างไม่รู้จักเล้ง มังกรอันตราย เขยขวัญของธงขาว”
    “พวกเราต่างหากที่ต้องกลัวลูกเขยเฮีย” เซียนหุ้นสำทับมาอีกครั้ง
    “ยังไงก็ยั้งมือไว้ไมตรีบ้างล่ะหลานชาย” เซียนเงินว่าก่อนจะหัวเราะขึ้นเสียงดัง
    เล้งได้แต่มองหน้าทั้งสี่อย่างงงๆ เพราะไม่รู้เรื่องที่ทั้งสี่พูดว่าเกี่ยวข้องกับตนอย่างไร
    เซียนอิฐจับอาการนั้นได้จึงถามขึ้นกับคนเป็นพ่อตาของชายหนุ่ม “นี่เฮียยังไม่ได้บอกอะไรลูกเขยล่ะซิท่า”
    เล้งได้ฟังยิ่งงงกว่าเก่า
    เค้าหันไปสบตาคนเป็นพ่อตาที่หันมายิ้มกับเค้า
    “คืออย่างงี้อาเล้ง... ที่เตี่ยเรียกลื้อมาร่วมจิบน้ำชากับลุงๆ อาๆ วันนี้ก็มีอยู่สองเรื่องที่จะบอกให้รู้”
    คนบอกอมยิ้ม
    “อย่างแรกคือ ต่อไปเตี่ยจะให้ลื้อดูแลกิจการต่างๆ แทนเตี่ยทุกอย่าง”
    แม้นจะคาดเอาไว้แล้วตั้งแต่แรกว่าวันหนึ่งเรื่องนี้จะเกิดขึ้น แต่เล้งก็อดตื่นเต้นไม่ได้เช่นกัน
    แต่สิ่งที่เค้านึกไม่ถึงก็คือ พ่อตาของเค้าจะเตรียมทางนี้ทีไล่เอาไว้ถึงขนาดนี้
    มีแต่คนรู้ว่า เฮียเฮงพี่ใหญ่แห่งพรรคธงขาวมีสายสัมพันธ์กับสี่เซียนเพราะเป็นเพื่อนนักเรียนเก่ากันมาแต่เด็กๆ 
    แต่ที่น้อยคนจะรู้ก็คือ นอกจากสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นแล้ว
    ยังมีการร่วมมือกันทำธุรกิจร่วมกันอีกหลายอย่าง โดยที่เฮียเฮงร่วมออกเงินแต่ไม่ออกหน้า
    และหนึ่งในธุรกิจที่พวกห้าเฒ่าจับก็คือ “สุรา”
    พวกห้าเฒ่าร่วมมือกันเปิดบริษัทหนึ่งขึ้นมาในนาม “ห้ามิตร” เพื่อดำเนินการรับสัปทานจากราชการเพื่อผลิตสุราขาว หรือที่เรียนกันแบบบ้านๆ ว่า “เหล้าขาว” นั่นเอง
    หลายคนอาจจะคิดว่ามันก็แค่เหล้า ขวดละไม่ถึงห้าบาท
    แต่มันก็สามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้กับห้ามิตรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ  
    ว่ากันว่ามูลค่าทางการตลาดรวมสูงถึงสองพันล้าน ในสมัยที่ก๋วยเตี๋ยวชามละแค่หนึ่งบาท ลองคิดดูแล้วกันว่ามันมากมายมหาศาลขนาดไหน
    มันเป็นทางหนีทีไล่ที่เฮียเฮงพ่อตาของเค้าเตรียมไว้สำหรับวันข้างหน้าที่ไม่มีอะไรแน่นอน
    แม้นวันนี้จะใหญ่คับฟ้าภายใต้นามไตรภาคี
    แต่เส้นทางนักเลง ย่อมมีจุดจบที่ไม่สวยงาม
    วันนี้ยังมีอำนาจวาสนา ผู้คนยังให้เกียรตินับหน้าถือตา
    แต่คลื่นลูกหลังย่อมไล่คลื่นลูกหน้าทันสักวัน
    และเมื่อคลื่นลูกหน้าถูกคลื่นลูกหลังกลบ ก็จะไม่มีที่ให้ยืน
    เพราะฉะนั้นการหาทางหนีทีไล่เตรียมเอาไว้เป็นทางออกที่ดีที่สุด
     
    เล้งเห็นด้วยกับพ่อตาของเค้าในข้อนี้ 
    แม้นเค้าจะเพิ่งก้าวเข้ามาในไตรภาคีได้ไม่นาน แต่ตื้นลึกหนาบางในไตรภาคีเค้ารู้หมด
    มันเหมือนกับการอยู่บนหลังเสือขึ้นไปขี่มันแล้วลงยาก
    หากผิดพลาดอาจถูกเสือกัดตาย
    มันเป็นโอกาสที่ดีที่เค้าจะใช้ช่วงเวลาที่คลื่นลมในไตรภาคีสงบก่อนมีพายุใหญ่ แสวงหาทางหนีทีไล่ของตัวเองเช่นกัน
    เล้งค่อยๆ เริ่มวางมือในไตรภาคีลงทีละน้อย
    ในขณะเดียวกันก็ค่อยๆ ก้าวสู่โลกใหม่ที่เค้าเพิ่งรู้จัก โลกของธุรกิจนั่นเอง
    เล้งเริ่มต้นด้วยธุรกิจที่พ่อตาของเค้ากับสี่เซียนร่วมกันทำ
    จากเหล้าขาว เล้งต่อยอดด้วยเหล้าสี
    แต่เหล้าสีในส่วนกลางตกอยู่ในมือของตระกูลใหญ่
    เค้าประมูลสัปทานเหล้าสีในเขตต่างจังหวัดทั้งเหนือ ใต้ อีสาน แล้วให้ชื่อว่า มังกรฟ้า มังกรแดง และมังกรหยก
    ก่อนจะใช้ยุทธศาสตร์ “ป่าล้อมเมือง” ค่อยๆ ส่งมังกรทอง เข้ามาผงาดในเขตพระนครแต่นั่นก็ในอีกเกือบสิบปีต่อมา
    นอกจากธุรกิจสุราที่เป็นหน้าเป็นตาแล้ว เล้งยังเรียนรู้จากสี่เซียนเข้าไปจับธุรกิจอย่างอื่นอีกหลายอย่าง
    ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นต้นกำเนิดของ ดราก้อน เรียวเอสเตรท
    การเงิน เล้งเปิดดราก้อน ทรัสต์ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
    ด้านโรงแรม เค้ามีดราก้อน โฮเทล
    นอกจากนี้ยังสยายปีกเข้าสู่วงการบันเทิง ด้วยการสร้างหนังและบริษัทอัดแผ่นเสียง
    ซึ่งทั้งหมดอยู่ภายใต้บริษัทแม่ที่มีชื่อว่า ดราก้อน กรุ๊ฟ
    อาณาจักรมังกรที่สร้างขึ้นจากคำสี่คำที่เล้งเรียนรู้จาก “สี่เซียน” นั่นคือ
    ยิ่ม”– ความอดทน อดทนจะรวย
    เหยียง”– ความเสียสละ เสียสละก็จะพ้นภัย
    แจ๋”– สงบ สามารถบรรลุได้เป็นพระอรหันต์สามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งปวง
    ลัก”– ความร่าเริง ทำตัวให้มีความสุขแล้วอายุจะยืน
    แต่ทั้งหมดมันเกิดขึ้นหลังจากมรสุมใหญ่ในไตรภาคี
     
    การที่เล้งถอยออกจากธุรกิจของไตรภาคี ทำให้อิทธิพลของเล่าต๋าเริ่มกลับขึ้นมาอีกครั้งแม้นจะอยู่ในลักษณะคลื่นใต้น้ำ แต่มันก็ล่อเค้าสั่นคลอนอิทธิพลของธงขาวและธงเหลือง
    เล้งเพิกเฉยต่อมันเพราะคิดว่าคงไม่เกิดอะไรขึ้น
    แต่คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต
    เหตุการณ์ที่เล้งคาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น เมื่อเล่าต๋าคิดการใหญ่อยากเป็นพี่ใหญ่แห่งไตรภาคซะเอง
     
    เสียงที่ดังจากอีกปลายสายทำให้เล้งตกใจช๊อคไปชั่วขณะ
    สมองของเค้ามึนตึบเหมือนถูกทุบด้วยค้อนปอนด์เข้าอย่างจัง
    มันเกิดขึ้นได้ยังไง... เป็นไปไม่ได้
    เพราะสิ่งที่เล้งได้ยินจากอีกปลายสายก็คือ ข่าวการตายของพ่อตาและพ่อบุญธรรมของเค้านั่นเอง
    “มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
    เล้งตะคอกใส่ชิวเมื่อเห็นหน้า
    “อั๊วก็ไม่รู้เหมือนกัน อยู่ๆก็มีสิบล้อพุ่งมาจากไหนไม่รู้อัดก๊อบปี้รถอากู๋เข้าอย่างจัง”
    ชิวบอกด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อตัวเองเหมือนกัน
    “แล้วจับคนขับได้หรือเปล่า”
    คนถูกถามส่ายหน้าแทนคำตอบ
    “ตอนนั้นมันชุลมุน อั๊วห่วงแต่จะเอาอากู๋ส่งโรงพยายาล”
    เล้งใจหาย... ขออย่าให้เรื่องที่เค้าคิดอยู่เป็นจริงเลย
    เค้ามั่นใจว่าหากมันไม่ใช่อุบัติ มันต้องเป็นฝีมือเล่าต๋า
    และถ้าเรื่องเป็นอย่างที่เค้าคิดจริงล่ะก็ นรกล่ะคราวนี้
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×