คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : มังกรเข้ากรุง
วันเนินสูง...เป็นวัดบ้านป่าที่มักจะจัดงานประจำปีกันปีละครั้งเพื่อฉลององค์หลวงพ่อพระประธานในโบสถ์ที่ขุดพบโดยบังเอิญตอนเริ่มสร้างวัด
และกิจกรรมหนึ่งซึ่งขาดไม่ได้ก็คือ “การชกมวย” นั่นเอง
เสียงเฮที่ดังสลั่นลั่นไปทั่วบริเวณวัดอยู่ในขณะนี้นั้นมากจากเวทีมวยที่ตั้งอยู่กลางลานกว้างของวัดนั่นเอง นั่นก็เพราะคู่มวยที่ฟัดกันนัวเนียอยู่บนเวทีนั้นเป็นยอดมวยชื่อดังประจำถิ่นที่เปรียบมวยกันเมื่อเช้านี้
ฝ่ายแดงคือ เล้ง มังกรทอง เด็กหนุ่มจากค่ายมวยแถวๆ วัด ผู้มีสถิติไม่เคยแพ้ใครตั้งแต่ขึ้นชกมาห้าครั้ง
ในขณะที่ฝ่ายน้ำเงินคือ เกริกฟ้า ศิษย์ครู ต. เป็นเด็กฝึกในค่ายในอำเภอเมืองชลบุรี ที่กำลังพยายามไต่เต้าสู้เวทีราชดำเนิน ซึ่งเป็นความฝันอันสูงสุดของนักมวยก็ว่าได้
ต่างฝ่ายต่างเหตุผลในการขึ้นเวที
แต่ล้วนมีจุดหมายปลายทางเดียวกันคือ “เงินรางวัล”
สำหรับเกริกฟ้าที่เกิดมาในครอบครัวหาเช้ากินค่ำแล้ว มันเป็นสายป่านต่อชีวิตพวกเค้าไปได้อีกหลายวัน
แต่สำหรับเล้งแล้วครั้งนี้มันเป็นมากกว่า “ค่าข้าว”
เพราะมันเป็น “ค่ายา” สำหรับรักษาพ่อที่กำลังป่วยหนัก
§
เล้งแอบฝึกมวยกับครูเชนแถวบ้านโดยที่ทางบ้านไม่รู้ เมื่อหลายปีก่อน
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังกระดูกคนละเบอร์กับเกริกฟ้าที่ฝึกอย่างจริงจังเพื่อเป็นนักมวยอาชีพ
แม้นเล้งจะพยายามปัดป้องอย่างสุดความสามารถสักเพียงใด แต่เชิงมวยที่ด้วยกว่าก็ทำให้บางลูกบางหมัดรอดสายตาตรงเข้าเป้าอยู่หลายครั้ง
แผ่นหลังของเล้งแดงเป็นปืดเพราะหน้าแข้งของเกริกฟ้าที่สาดใส่เค้าอย่างไม่ยั้งจนเล้งเริ่มรู้สึกชา
ผิวที่ขาวแบบคนจีนแดงเป็นปืดอย่างเห็นเด่นชัด
สามยกแรกเล้งพยายามประครองตัวไม่ให้โดนอาวุธหนักๆ ของเกริกฟ้า แต่ถึงกระนั้นเค้าก็ไม่อาจพ้นคมศอกของเกริกฟ้าที่ตีเข้าที่หางคิ้ว
มันแตกเป็นทาง เลือดไหลอาบจนต้องให้พี่เลี้ยงช่วยขัดเลือดให้
พ้นยกสี่ เล้งรู้ตัวว่าคะแนนตามอยู่มาก ต้องเร่งทำคะแนนอย่างสุดกำลังในยกสุดท้ายเพื่อตีตื้น
แต่นั่นคงเป็นเรื่องยาก เพราะเกริกฟ้าคงไม่เปิดโอกาศให้เค้าทำคะแนนได้โดยง่าย
เพราะฉะนั้นทางเดียวที่เขาจะชนะได้ก็คือ “น๊อค” มันเสียให้ได้ในยกนี้
§
เสียงระฆังดังเรียกให้นักมวยทั้งสองฝ่ายออกจากมุมกลับมาประจันหน้ากันที่กลางเวทีอีกครั้ง
และเมื่อกรรมการฟันมือเป็นสัญญาณให้เริ่มต้นการชกได้ นั่นหมายถึงเค้าเหลือเวลาอีกสามนาทีทองเท่านั้น
ตาข้างขวาที่ถูกชกจนเกือบจะปิดเริ่มออกฤทธิ์ทำให้เล้งมองไม่ถนัด
เค้าวาดหมัดใส่คู่ต่อสู้ด้วยหวังจะน๊อคให้ได้ในหมัดเดียว
แต่เกริกฟ้าก็หายอมให้เล้งประเคนหมัดใส่ได้โดยง่าย
เกริกฟ้าเปิดฉากถีบพลางถอยพลางเพราะรู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายคะแนะนำ เล้งก็ยิ่งไล่ตามหมายจะเผด็จศึกให้จงได้
เล้งสาดแข้งนำออกไปก็ถูกเกริกฟ้ายกเข่าบัง ก่อนจะสวนกลับด้วยเข้งเหมือนกันจนเล้งยกเท้ารับแทบไม่ทัน เล้งพยายามเตือนตัวเองให้ระวัง หากเอาแต่เดินดุ่มๆ เข้าไปโดยไม่ระวังอาจถูกอาวุธของเกริกฟ้าเล่นงานเอาจนหลับกลางอากาศซะเอง
ไม่นานความเหนื่อยล้าที่กำศึกมาจนถึงยกที่ห้าก็ตรงเข้าเล่นงาน
แขนขาของเล้งเริ่มหนัก เค้าออกอาวุธช้าลง จนตกเป็นเป้าในที่สุด
เค้าถูกหมัดเข้าอย่างจังที่ปลายคาง... จนล้มให้กรรมการนับแปด
ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เงินรางวัลที่จะเอาไปเป็นค่ายารักษาพ่อ ห่างไกลเค้าออกไปทุกที
ปี่พาทย์เริ่มเร่งจังหวะเมื่อเข้าสู่ปลายยก
เล้งตระหนักว่าโอกาสชนะของเค้ากำลังริบรี่เต็มทน หากไม่รีบฉวยมันไว้
แล้วโอกาสของเค้าก็มาถึงเมื่อคู่ต่อที่กระหน่ำอาวุธใส่เริ่มอ่อนกำลังเช่นกัน เล้งไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไป
ขาซ้ายที่จดๆจ้องๆ รอจังหวะอยู่นานก็ฟาดเข้าใส่ที่ก้านคอที่เปิดช่องให้
มันได้ผล... เกริกฟ้าล้มทั้งยืน...
เล้งกระโดดดีใจสุดตัว เมื่อเสียงคนเป็นกรรมการนับครบสิบ
เค้าได้ค่ายาของพ่อแล้ว เล้งบอกกับตัวเองอย่างดีใจ ก่อนที่เสียงหนึ่งเรียกชื่อเค้าดังขึ้น
“เฮียเล้ง”
เจ้าของเสียงคือ “หลง” น้องชายคนรองที่คลานตามกันมานั่นเอง
เล้งหันมองพร้อมกับตระโกนบอกคนเป็นน้องชายอย่างดีใจ
“เฮียชนะแล้ว เฮียชนะแล้ว”
แต่น้องชายของเค้าหาได้ยินดีกับชัยชนะที่เล้งเพิ่งได้รับ
สีหน้าที่สลดเศร้าทำให้เล้งสังหรณ์ถึงข่าวร้ายที่กำลังจะมาถึง
“เตี่ยตายแล้ว”
น้องชายของเค้าบอกทั้งน้ำตา เมื่อเล้งลงมาจากเวที
วูบนั้นเล้งใจหาย... มันว่างๆ ที่ท้องน้อย เหมือนกับท้องของเค้าหายไปจากลำตัว
ในหัวของเล้งมึนตึบ...
เตี่ยตายแล้วจริงๆ เหรอ เล้งได้แต่เฝ้าถามย้ำกับตัวเองอยู่ในใจ
§
เล้งกราบแทบเท้าของร่างไร้วิญญาณของพ่อบังเกิดกล้าที่ยังนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงไม้เก่าซึ่งพ่อนอนป่วยมาเป็นปีทั้งน้ำตา
“ทำไมเตี่ยไม่รอก่อน”
ชายหนุ่มตัดพ้ออย่างรันทดใจ ก่อนจะก้มหน้าร้องไห้
ทั้งๆที่เค้าอุตส่าห์พยายามทุกวิถีทางเพื่อหาเงินมาเป็นค่ารักษา แต่มันกลับสายไป
หากจะว่าไปเตี่ยก็เจ็บหนักจนเกินกว่าจะเยียวยา เล้งรู้ดี
ความเป็นลูก เห็นพ่อจะตายไม่รักษา...ได้ยังไง
มือเล็กของแม่เค้าตบไหล่เล้งเพื่อปลอบประโลม
“เตี่ยเค้าไปสบายแล้ว ตัดใจซะเถอะลูก”
เสียงคนปลอบ...สะอื้นไห้เช่นกัน
เล้งมองหน้าแม่แล้วให้ยิ่งสงสาร เพราะบัดนี้คู่ทุกข์คู่ยากที่อยู่กันมาเกือบสามสิบปีได้มาหนีหน้าจากกันไปเสียแล้ว
ใช่แม่จะใจแข็งและรับกับสภาพที่เกิดขึ้นได้... อย่างที่พยายามแสร้งแสดงอยู่
ชายหนุ่มกลืนก้อนสะอื้น... พร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตา
ด้วยตระหนักว่าบัดนี้เค้ารับภาระหนักอึ้งเอาไว้เต็มสองบ่า
เค้ามีภาระต้องรับผิดชอบชีวิตของคนทั้งครอบครัวแทนพ่อ
§
พ่อของเล้งเป็นหนุ่มเซียนตึ้งข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเมืองจีนตั้งแต่สมัยสงครามก๊กมินตั๋ง
พ่อของเค้าเป็นทหารของกองทัพประชาชนที่ทนความอดยากไม่ไหว จึงหนีลงเรือเสี่ยงตายข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงเมืองไทย จนได้พบกับแม่ของเค้าซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน และได้แต่งงานกัน ก่อนจะพากันมาตั้งรกรากทำไร่ที่ศรีราชา จนมีลูกด้วยกันถึงสี่คน
เล้งเป็นคนโต หลงเป็นคนรอง และน้องสาวอีกสองคนคือ ลั้งกับไล้ ไล่เรียงกันไปตามสำดับห่างกันคนละปี
แต่ด้วยอาชีพทำไร่ แม้นจะขยันทำงานตัวเป็นเกลียวสักเพียงได้ ฟ้าฝนก็ต้องเป็นใจด้วยถึงจะมีกิน
แต่ที่ผ่านมาฟ้าฝนมักพึ่งไม่ได้ ทำให้ต้องอดมื้อกินมื้อ
เตี่ยที่มีความรู้หนังสืออยู่บ้างจึงต้องรับจ้างเป็น “เล่าซือ” สอนหนังสือจีนให้กับลูกๆ ของเพื่อนบ้าน จึงทำให้ลูกๆ พลอยได้เล่าเรียนไปด้วยในตัว
§
งานศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย... ก่อนจะนำศพไปฝังในสุสานตามธรรมเนียมจีน
และที่สามารถนำศพพ่อไปฝังในสุสานได้ก็เพราะ อากู๋จง เพื่อนของพ่อที่ลงเรือข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วยกันช่วยเป็นธุระจัดการให้
ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ตอนที่หนีมาจากเมืองจีนด้วยกัน พ่อของเล้งช่วยชีวิตอากู๋จงเอาไว้จากการไล่ล่าของทหารกองทัพประชาชน
คนสมัยก่อน เคยมีบุญคุณกันครั้งเดียว ชดใช้กันชั่วชีวิตก็ไม่หมด ต่างกับคนสมัยนี้ทั้งๆที่กินข้าวแดงแกงร้อนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันยังอกตัญญูได้
“อาซ้ออย่าเสียใจไปเลย อาฮงอีไปสบายแล้ว”
อากู๋จงกล่าวปลอบแม่ของชายหนุ่มหลังเสร็จพิธีฝังศพ
“นี่เงินเล็กน้อยถือว่าเป็นน้ำใจจากอั๊ว”
คนว่าส่งซองจดหมายสีขาวซึ่งภายในเป็นธนบัตรจำนวนหนึ่งให้
“ที่อาเฮียช่วยเหลือจัดการเป็นธุระเรื่องฝังศพอาเฮียให้ก็เป็นพระคุณมากพอแล้ว อั๊วรับไม่ได้หรอก”
แม่ของเล้งปฏิเสธ... แม้นรู้ว่าอีกฝ่ายหวังดีต้องการช่วยด้วยใจจริง
“อย่าคิดมากน่า... ชีวิตอั๊วมีวันนี้ได้ก็เพราะอาฮง” คนว่ารำลึกถึงความหลัง
แม่ของเล้งจึงยอมรับเงินไว้ทั้งน้ำตา
“แล้วเสร็จเรื่องเมื่อไรก็ส่งอาเล้งขึ้นไปทำงานกับอั๊วที่กรุงเทพแล้วกัน”
อากู๋จงสำทับเป็นเรื่องสุดท้ายก่อนลาจาก
§
หลังงานศพหนึ่งอาทิตย์ แม่ของเล้งก็ส่งเล้งเข้ากรุงเทพเพื่อไปทำงานตามคำพูดของอากู๋จง
แม้นชลบุรีกับกรุงเทพจะห่างกันไม่ถึงร้อยกิโล แต่ด้วยการเดินทางยังไม่สะดวก ทำให้กรุงเทพดูช่างห่างไกลในความรู้สึกของเล้งเสียเหรอเกิน
แม่ของเค้ามาส่งที่สถานีขนส่งในจังหวัดพร้อมกำชับให้เชื่อฟังอากู๋จง เสมือนหนึ่งพ่อที่ตายจากไป
เล้งรับคำก่อนจะนั่งรถเข้ากรุงเทพอย่างหวั่นใจ
แม้นจะอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึงร้อยกิโล แต่เมื่อพูดถึงกรุงเทพแล้ว มันเป็นอะไรที่ห่างไกลกับเค้าเสียเหลือเกิน
เค้าเคยได้ยินว่ากรุงเทพเต็มไปด้วยความเจริญ ตึกรามบ้านช่องมากมาย
เคยมีคนเล่าให้เค้าฟังถึงงานภูเขาทอง ที่ติดไฟสว่างไสวไปทั้งเจดีย์ มีผู้คนแต่งตัวสวยงามออกมาเที่ยวงานกันในยามค่ำคืน
เล้งเคยฝันเอาไว้ว่าจะต้องหาโอกาสไปเที่ยงงานภูเขาทองสักครั้ง
เค้ารู้สึกตื่นเต้นที่ฝันของเค้ากำลังจะเป็นจริง
หากแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกกลัวอยู่เหมือนว่า เมืองฟ้าที่เค้ากำลังจะมุ่งหน้าเข้าไปนั่น มันจะมีความจริงใจให้กันแค่ไหน
เพราะยิ่งเมืองเจริญเท่าไร ใจคนก็ตกต่ำลงเท่านั้น
§
เล้งขึ้นรถเมล์แดงของบริษัทนายเลิศออกจากชลบุรีเมื่อตอนแปดโมงกว่า แต่กว่ามันจะแล่นปุเรงๆ มาตามสุขุมวิทสายเก่าผ่านแปดริ้ว เข้าสมุทรปราการจนถึงสถานีเอกมัยที่กรุงเทพ ก็กินเวลาเข้าไปเกือบสามชั่วโมง
เล้งลงรถที่สถานีขนส่งเมื่อเกือบบ่ายโมง
ด้วยความรีบร้อน เล้งที่กลัวจะหาร้านของอากู๋จงไม่ทันก่อนมืดค่ำรีบต่อรถตามคำบอกของชาวบ้านเข้าเยาวราช
เล้งค้นหาจดหมายของอากู๋จงที่แม่ให้ติดตัวมาด้วยเพี่อจะถามทาง
แต่จดหมายเจ้ากรรมดันหายไปไหนไม่รู้
เล้งค้นหามันในกระเป๋าทั้งหมดที่มี แต่ไม่พบ ไม่รู้ว่ามันอันตธานไปไหน
ถนนสายมังกรเส้นนี้เต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย
เล้งสำเนียกชัดว่า บัดนี้เค้าหลงทาง และไร้หนทางที่จะไปถึงจุดหมายที่ต้องการ
ท้องที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เมื่อตอนกลางเริ่มเรียกร้อง
เค้าแวะเข้าที่ร้านข้างทางที่ขายอาหารแห่งหนึ่ง
แต่ขณะที่กำลังจรดตะเกียบเตรียมจะคีบอาหารตรงหน้าใส่ท้องนั่นเอง
ร่างของใครคนหนึ่งก็ลอยละลิ่วลงบนโต๊ะตรงหน้าเล้ง ก่อนชายฉกรรจ์อีกกลุ่มจะปรี่เข้าใส่หมายจะซ้ำ
ภาพคนเป็นฝูงรุมกินโต๊ะคนๆ เดียวทำให้เล้งอดใจไม่ช่วยไม่ได้
และอีกเหตุผลที่สำคัญกว่า คือ พวกมันพังอาหารเที่ยงที่เค้ายังไม่มีโอกาสได้กิน
เล้งตรงเข้าขวางจะคนตัวโตที่ตามปรี่เข้าจะซ้ำเจ้าหนุ่มที่ล้มอยู่ตรงหน้า
ถึงเล้งจะเป็นมวยใหม่เพิ่งหัด แต่เมื่อมาเจอมวยวัดที่ไม่มีเชิง ชั้นมวยจึงได้เปรียบกว่ากัน
เพียงแค่มอญยันหลัก ก็ยันเอาร่างยักษ์ของมันหงายหลังล้มทั้งยืน
เมื่อนั้นเองที่เล้งหันไปยื่นมือฉุดเจ้าหนุ่มที่ล้มทับอยู่บนอาหารกลางวันของเค้าขึ้นมา
“ระวังข้างหลัง” มันตระโกนบอก
หางตาเล้งก็จับภาพเจ้าอีกคนที่กำลังปรี่เข้าเล่นงานเค้าได้ไวๆ ทางด้านหลัง
เล้งก้มหลบหมัดที่มันตะบันใส่ก่อนจะประเคนหมัดซ้ายเข้าที่กกหูมัน
ผลคือมันเซไม่เป็นท่าไปอีกคน ก่อนที่คนอื่นๆที่เหลือของพวกมันจะกรูเข้ามาแทบจะพร้อมๆกัน
เมื่อนั้นสองสหายใหม่ที่ยังไม่แม้นแต่จะรู้จักกัน หันหลังชนกันเพื่อรับมือ
การตะลุมบอนเป็นไปอย่างชุลมุนอยู่เกือบห้านาที แต่ฝ่ายคนมากกว่าก็มิอาจสามารถเอาชนะคนเพียงสองคนได้
แต่ยังไม่ทันรู้ผลแพ้ชนะ เสียงนกหวีดที่ดังยาวไล่ใกล้เข้ามาก็ทำให้วงแตก
เพราะมันเป็นเสียงนกหวีดของหมาต๋า ที่เพิ่งมาถึงหลังจากมีคนไปแจ้ง
“ตามอั๊วมา”
เจ้าเพื่อนใหม่คว้าแขนเล้งลากให้วิ่งตาม ก่อนมันจะพาวิ่งลัดเลาะไปตามตรอกเล็กๆ อย่างชำนาญเส้นทาง
§
ไม่กี่อึดใจก็พ้นจากเสียงนกหวีดที่ไล่หลัง ก่อนจะพากันมานั่งพักเหนื่อยอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมคลอง
สองสหายใหม่มองหน้ากันแล้วหัวเราะขึ้นเสียงดัง ทั้งที่ยังหอบอย่างไม่มีเหตุผล
สายตาที่สบกันบอกให้รู้ว่าถูกชะตา
“ทำไมลื้อถึงได้ช่วยอั๊วว่ะ”
“ก็เห็นมันหมาหมู่ เลยทนดูไม่ได้”
“ทั้งๆที่ลื้อยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าใครถูกใครผิดเนี่ยะนะ” เพื่อนใหม่ถาม
เล้งอึ้งไปนิด... จริงอย่างที่คนถามว่า หากเค้าชอบคนผิดแล้วจะทำยังไง
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คนเป็นฝูงรุมคนๆเดียว จะได้ดูดายได้ยังไง
“ก็มันอยากหมาหมู่ จะให้ทนดูได้ยังไง”
คนถามอมยิ้มขำ และเป็นปลิ้มในน้ำใจของเพื่อนใหม่คนนี้
“แล้วลื้อไม่กลัวมันกลับมาเล่นงานลื้อเหรอว่ะ ไอ้พวกนั้นมันลูกน้องไอ้หลงเชียวนะ”
คนถูกถามทำหน้างงๆ เพราะไม่รู้จักว่าคนชื่อหลงที่พูดถึงเป็นใคร
เจ้าคนถามมองเล้งอย่างแปลกใจที่ไม่สะทกสะท้านกับชื่อที่มันเพิ่งเอยไป
“ลื้อเพียงมาจากที่อื่นซิท่า”
เล้งพยักหน้า
“นั่นไงนึกแล้วเชียว... ทีหวยล่ะแทงไม่ถูก” คนว่าบ่นกับตัวเอง “ถึงได้ไม่รู้จักไอ้หลง”
เล้งที่ฟังรู้บ้างไม่รู้บ้างยิ่งงงกับเรื่องที่กำลังพูดถึง
“ไอ้หลงเนี่ยะมันนักเลงดังเยาวราช มันเป็นพวกธงขาว หนึ่งในสามพรรคของพวกไตรภาคี”
นั่นเองที่ทำให้เล้งถึงกับช๊อคไปชั่วขณะ
ถึงเค้าจะเพิ่งเข้ากรุงเทพ แต่ความโด่งดังของไตรภาคีก็เคยผ่านหูเค้าเช่นกัน
ไตรภาคีเป็นกลุ่งอังยี้ชื่อดังที่แม้นแต่คนของทางการยังต้องให้ความเกรงใจ
นี่เค้าแข่วงเท้าหาเสี้ยน ไปเหยียบตีนนักเลงโตเข้าแล้ว
“ลื้อชื่ออะไรว่ะ” คนเป็นเพื่อนใหม่ถามขึ้น
“เล้ง” ชายหนุ่มตอบ
“อั๊วชื่อชิว... ชิวสะพานขาว” เพื่อนใหม่แนะนำตัว “ขอบใจที่ช่วย”
วันเนินสูง...เป็นวัดบ้านป่าที่มักจะจัดงานประจำปีกันปีละครั้งเพื่อฉลององค์หลวงพ่อพระประธานในโบสถ์ที่ขุดพบโดยบังเอิญตอนเริ่มสร้างวัด
และกิจกรรมหนึ่งซึ่งขาดไม่ได้ก็คือ “การชกมวย” นั่นเอง
เสียงเฮที่ดังสลั่นลั่นไปทั่วบริเวณวัดอยู่ในขณะนี้นั้นมากจากเวทีมวยที่ตั้งอยู่กลางลานกว้างของวัดนั่นเอง นั่นก็เพราะคู่มวยที่ฟัดกันนัวเนียอยู่บนเวทีนั้นเป็นยอดมวยชื่อดังประจำถิ่นที่เปรียบมวยกันเมื่อเช้านี้
ฝ่ายแดงคือ เล้ง มังกรทอง เด็กหนุ่มจากค่ายมวยแถวๆ วัด ผู้มีสถิติไม่เคยแพ้ใครตั้งแต่ขึ้นชกมาห้าครั้ง
ในขณะที่ฝ่ายน้ำเงินคือ เกริกฟ้า ศิษย์ครู ต. เป็นเด็กฝึกในค่ายในอำเภอเมืองชลบุรี ที่กำลังพยายามไต่เต้าสู้เวทีราชดำเนิน ซึ่งเป็นความฝันอันสูงสุดของนักมวยก็ว่าได้
ต่างฝ่ายต่างเหตุผลในการขึ้นเวที
แต่ล้วนมีจุดหมายปลายทางเดียวกันคือ “เงินรางวัล”
สำหรับเกริกฟ้าที่เกิดมาในครอบครัวหาเช้ากินค่ำแล้ว มันเป็นสายป่านต่อชีวิตพวกเค้าไปได้อีกหลายวัน
แต่สำหรับเล้งแล้วครั้งนี้มันเป็นมากกว่า “ค่าข้าว”
เพราะมันเป็น “ค่ายา” สำหรับรักษาพ่อที่กำลังป่วยหนัก
§
เล้งแอบฝึกมวยกับครูเชนแถวบ้านโดยที่ทางบ้านไม่รู้ เมื่อหลายปีก่อน
แต่ถึงกระนั้น ก็ยังกระดูกคนละเบอร์กับเกริกฟ้าที่ฝึกอย่างจริงจังเพื่อเป็นนักมวยอาชีพ
แม้นเล้งจะพยายามปัดป้องอย่างสุดความสามารถสักเพียงใด แต่เชิงมวยที่ด้วยกว่าก็ทำให้บางลูกบางหมัดรอดสายตาตรงเข้าเป้าอยู่หลายครั้ง
แผ่นหลังของเล้งแดงเป็นปืดเพราะหน้าแข้งของเกริกฟ้าที่สาดใส่เค้าอย่างไม่ยั้งจนเล้งเริ่มรู้สึกชา
ผิวที่ขาวแบบคนจีนแดงเป็นปืดอย่างเห็นเด่นชัด
สามยกแรกเล้งพยายามประครองตัวไม่ให้โดนอาวุธหนักๆ ของเกริกฟ้า แต่ถึงกระนั้นเค้าก็ไม่อาจพ้นคมศอกของเกริกฟ้าที่ตีเข้าที่หางคิ้ว
มันแตกเป็นทาง เลือดไหลอาบจนต้องให้พี่เลี้ยงช่วยขัดเลือดให้
พ้นยกสี่ เล้งรู้ตัวว่าคะแนนตามอยู่มาก ต้องเร่งทำคะแนนอย่างสุดกำลังในยกสุดท้ายเพื่อตีตื้น
แต่นั่นคงเป็นเรื่องยาก เพราะเกริกฟ้าคงไม่เปิดโอกาศให้เค้าทำคะแนนได้โดยง่าย
เพราะฉะนั้นทางเดียวที่เขาจะชนะได้ก็คือ “น๊อค” มันเสียให้ได้ในยกนี้
§
เสียงระฆังดังเรียกให้นักมวยทั้งสองฝ่ายออกจากมุมกลับมาประจันหน้ากันที่กลางเวทีอีกครั้ง
และเมื่อกรรมการฟันมือเป็นสัญญาณให้เริ่มต้นการชกได้ นั่นหมายถึงเค้าเหลือเวลาอีกสามนาทีทองเท่านั้น
ตาข้างขวาที่ถูกชกจนเกือบจะปิดเริ่มออกฤทธิ์ทำให้เล้งมองไม่ถนัด
เค้าวาดหมัดใส่คู่ต่อสู้ด้วยหวังจะน๊อคให้ได้ในหมัดเดียว
แต่เกริกฟ้าก็หายอมให้เล้งประเคนหมัดใส่ได้โดยง่าย
เกริกฟ้าเปิดฉากถีบพลางถอยพลางเพราะรู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายคะแนะนำ เล้งก็ยิ่งไล่ตามหมายจะเผด็จศึกให้จงได้
เล้งสาดแข้งนำออกไปก็ถูกเกริกฟ้ายกเข่าบัง ก่อนจะสวนกลับด้วยเข้งเหมือนกันจนเล้งยกเท้ารับแทบไม่ทัน เล้งพยายามเตือนตัวเองให้ระวัง หากเอาแต่เดินดุ่มๆ เข้าไปโดยไม่ระวังอาจถูกอาวุธของเกริกฟ้าเล่นงานเอาจนหลับกลางอากาศซะเอง
ไม่นานความเหนื่อยล้าที่กำศึกมาจนถึงยกที่ห้าก็ตรงเข้าเล่นงาน
แขนขาของเล้งเริ่มหนัก เค้าออกอาวุธช้าลง จนตกเป็นเป้าในที่สุด
เค้าถูกหมัดเข้าอย่างจังที่ปลายคาง... จนล้มให้กรรมการนับแปด
ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เงินรางวัลที่จะเอาไปเป็นค่ายารักษาพ่อ ห่างไกลเค้าออกไปทุกที
ปี่พาทย์เริ่มเร่งจังหวะเมื่อเข้าสู่ปลายยก
เล้งตระหนักว่าโอกาสชนะของเค้ากำลังริบรี่เต็มทน หากไม่รีบฉวยมันไว้
แล้วโอกาสของเค้าก็มาถึงเมื่อคู่ต่อที่กระหน่ำอาวุธใส่เริ่มอ่อนกำลังเช่นกัน เล้งไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไป
ขาซ้ายที่จดๆจ้องๆ รอจังหวะอยู่นานก็ฟาดเข้าใส่ที่ก้านคอที่เปิดช่องให้
มันได้ผล... เกริกฟ้าล้มทั้งยืน...
เล้งกระโดดดีใจสุดตัว เมื่อเสียงคนเป็นกรรมการนับครบสิบ
เค้าได้ค่ายาของพ่อแล้ว เล้งบอกกับตัวเองอย่างดีใจ ก่อนที่เสียงหนึ่งเรียกชื่อเค้าดังขึ้น
“เฮียเล้ง”
เจ้าของเสียงคือ “หลง” น้องชายคนรองที่คลานตามกันมานั่นเอง
เล้งหันมองพร้อมกับตระโกนบอกคนเป็นน้องชายอย่างดีใจ
“เฮียชนะแล้ว เฮียชนะแล้ว”
แต่น้องชายของเค้าหาได้ยินดีกับชัยชนะที่เล้งเพิ่งได้รับ
สีหน้าที่สลดเศร้าทำให้เล้งสังหรณ์ถึงข่าวร้ายที่กำลังจะมาถึง
“เตี่ยตายแล้ว”
น้องชายของเค้าบอกทั้งน้ำตา เมื่อเล้งลงมาจากเวที
วูบนั้นเล้งใจหาย... มันว่างๆ ที่ท้องน้อย เหมือนกับท้องของเค้าหายไปจากลำตัว
ในหัวของเล้งมึนตึบ...
เตี่ยตายแล้วจริงๆ เหรอ เล้งได้แต่เฝ้าถามย้ำกับตัวเองอยู่ในใจ
§
เล้งกราบแทบเท้าของร่างไร้วิญญาณของพ่อบังเกิดกล้าที่ยังนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงไม้เก่าซึ่งพ่อนอนป่วยมาเป็นปีทั้งน้ำตา
“ทำไมเตี่ยไม่รอก่อน”
ชายหนุ่มตัดพ้ออย่างรันทดใจ ก่อนจะก้มหน้าร้องไห้
ทั้งๆที่เค้าอุตส่าห์พยายามทุกวิถีทางเพื่อหาเงินมาเป็นค่ารักษา แต่มันกลับสายไป
หากจะว่าไปเตี่ยก็เจ็บหนักจนเกินกว่าจะเยียวยา เล้งรู้ดี
ความเป็นลูก เห็นพ่อจะตายไม่รักษา...ได้ยังไง
มือเล็กของแม่เค้าตบไหล่เล้งเพื่อปลอบประโลม
“เตี่ยเค้าไปสบายแล้ว ตัดใจซะเถอะลูก”
เสียงคนปลอบ...สะอื้นไห้เช่นกัน
เล้งมองหน้าแม่แล้วให้ยิ่งสงสาร เพราะบัดนี้คู่ทุกข์คู่ยากที่อยู่กันมาเกือบสามสิบปีได้มาหนีหน้าจากกันไปเสียแล้ว
ใช่แม่จะใจแข็งและรับกับสภาพที่เกิดขึ้นได้... อย่างที่พยายามแสร้งแสดงอยู่
ชายหนุ่มกลืนก้อนสะอื้น... พร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตา
ด้วยตระหนักว่าบัดนี้เค้ารับภาระหนักอึ้งเอาไว้เต็มสองบ่า
เค้ามีภาระต้องรับผิดชอบชีวิตของคนทั้งครอบครัวแทนพ่อ
§
พ่อของเล้งเป็นหนุ่มเซียนตึ้งข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากเมืองจีนตั้งแต่สมัยสงครามก๊กมินตั๋ง
พ่อของเค้าเป็นทหารของกองทัพประชาชนที่ทนความอดยากไม่ไหว จึงหนีลงเรือเสี่ยงตายข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงเมืองไทย จนได้พบกับแม่ของเค้าซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน และได้แต่งงานกัน ก่อนจะพากันมาตั้งรกรากทำไร่ที่ศรีราชา จนมีลูกด้วยกันถึงสี่คน
เล้งเป็นคนโต หลงเป็นคนรอง และน้องสาวอีกสองคนคือ ลั้งกับไล้ ไล่เรียงกันไปตามสำดับห่างกันคนละปี
แต่ด้วยอาชีพทำไร่ แม้นจะขยันทำงานตัวเป็นเกลียวสักเพียงได้ ฟ้าฝนก็ต้องเป็นใจด้วยถึงจะมีกิน
แต่ที่ผ่านมาฟ้าฝนมักพึ่งไม่ได้ ทำให้ต้องอดมื้อกินมื้อ
เตี่ยที่มีความรู้หนังสืออยู่บ้างจึงต้องรับจ้างเป็น “เล่าซือ” สอนหนังสือจีนให้กับลูกๆ ของเพื่อนบ้าน จึงทำให้ลูกๆ พลอยได้เล่าเรียนไปด้วยในตัว
§
งานศพเป็นไปอย่างเรียบง่าย... ก่อนจะนำศพไปฝังในสุสานตามธรรมเนียมจีน
และที่สามารถนำศพพ่อไปฝังในสุสานได้ก็เพราะ อากู๋จง เพื่อนของพ่อที่ลงเรือข้ามน้ำข้ามทะเลมาด้วยกันช่วยเป็นธุระจัดการให้
ที่เป็นเช่นนี้เพราะ ตอนที่หนีมาจากเมืองจีนด้วยกัน พ่อของเล้งช่วยชีวิตอากู๋จงเอาไว้จากการไล่ล่าของทหารกองทัพประชาชน
คนสมัยก่อน เคยมีบุญคุณกันครั้งเดียว ชดใช้กันชั่วชีวิตก็ไม่หมด ต่างกับคนสมัยนี้ทั้งๆที่กินข้าวแดงแกงร้อนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มันยังอกตัญญูได้
“อาซ้ออย่าเสียใจไปเลย อาฮงอีไปสบายแล้ว”
อากู๋จงกล่าวปลอบแม่ของชายหนุ่มหลังเสร็จพิธีฝังศพ
“นี่เงินเล็กน้อยถือว่าเป็นน้ำใจจากอั๊ว”
คนว่าส่งซองจดหมายสีขาวซึ่งภายในเป็นธนบัตรจำนวนหนึ่งให้
“ที่อาเฮียช่วยเหลือจัดการเป็นธุระเรื่องฝังศพอาเฮียให้ก็เป็นพระคุณมากพอแล้ว อั๊วรับไม่ได้หรอก”
แม่ของเล้งปฏิเสธ... แม้นรู้ว่าอีกฝ่ายหวังดีต้องการช่วยด้วยใจจริง
“อย่าคิดมากน่า... ชีวิตอั๊วมีวันนี้ได้ก็เพราะอาฮง” คนว่ารำลึกถึงความหลัง
แม่ของเล้งจึงยอมรับเงินไว้ทั้งน้ำตา
“แล้วเสร็จเรื่องเมื่อไรก็ส่งอาเล้งขึ้นไปทำงานกับอั๊วที่กรุงเทพแล้วกัน”
อากู๋จงสำทับเป็นเรื่องสุดท้ายก่อนลาจาก
§
หลังงานศพหนึ่งอาทิตย์ แม่ของเล้งก็ส่งเล้งเข้ากรุงเทพเพื่อไปทำงานตามคำพูดของอากู๋จง
แม้นชลบุรีกับกรุงเทพจะห่างกันไม่ถึงร้อยกิโล แต่ด้วยการเดินทางยังไม่สะดวก ทำให้กรุงเทพดูช่างห่างไกลในความรู้สึกของเล้งเสียเหรอเกิน
แม่ของเค้ามาส่งที่สถานีขนส่งในจังหวัดพร้อมกำชับให้เชื่อฟังอากู๋จง เสมือนหนึ่งพ่อที่ตายจากไป
เล้งรับคำก่อนจะนั่งรถเข้ากรุงเทพอย่างหวั่นใจ
แม้นจะอยู่ห่างกันแค่ไม่ถึงร้อยกิโล แต่เมื่อพูดถึงกรุงเทพแล้ว มันเป็นอะไรที่ห่างไกลกับเค้าเสียเหลือเกิน
เค้าเคยได้ยินว่ากรุงเทพเต็มไปด้วยความเจริญ ตึกรามบ้านช่องมากมาย
เคยมีคนเล่าให้เค้าฟังถึงงานภูเขาทอง ที่ติดไฟสว่างไสวไปทั้งเจดีย์ มีผู้คนแต่งตัวสวยงามออกมาเที่ยวงานกันในยามค่ำคืน
เล้งเคยฝันเอาไว้ว่าจะต้องหาโอกาสไปเที่ยงงานภูเขาทองสักครั้ง
เค้ารู้สึกตื่นเต้นที่ฝันของเค้ากำลังจะเป็นจริง
หากแต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกกลัวอยู่เหมือนว่า เมืองฟ้าที่เค้ากำลังจะมุ่งหน้าเข้าไปนั่น มันจะมีความจริงใจให้กันแค่ไหน
เพราะยิ่งเมืองเจริญเท่าไร ใจคนก็ตกต่ำลงเท่านั้น
§
เล้งขึ้นรถเมล์แดงของบริษัทนายเลิศออกจากชลบุรีเมื่อตอนแปดโมงกว่า แต่กว่ามันจะแล่นปุเรงๆ มาตามสุขุมวิทสายเก่าผ่านแปดริ้ว เข้าสมุทรปราการจนถึงสถานีเอกมัยที่กรุงเทพ ก็กินเวลาเข้าไปเกือบสามชั่วโมง
เล้งลงรถที่สถานีขนส่งเมื่อเกือบบ่ายโมง
ด้วยความรีบร้อน เล้งที่กลัวจะหาร้านของอากู๋จงไม่ทันก่อนมืดค่ำรีบต่อรถตามคำบอกของชาวบ้านเข้าเยาวราช
เล้งค้นหาจดหมายของอากู๋จงที่แม่ให้ติดตัวมาด้วยเพี่อจะถามทาง
แต่จดหมายเจ้ากรรมดันหายไปไหนไม่รู้
เล้งค้นหามันในกระเป๋าทั้งหมดที่มี แต่ไม่พบ ไม่รู้ว่ามันอันตธานไปไหน
ถนนสายมังกรเส้นนี้เต็มไปด้วยร้านรวงมากมาย
เล้งสำเนียกชัดว่า บัดนี้เค้าหลงทาง และไร้หนทางที่จะไปถึงจุดหมายที่ต้องการ
ท้องที่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เมื่อตอนกลางเริ่มเรียกร้อง
เค้าแวะเข้าที่ร้านข้างทางที่ขายอาหารแห่งหนึ่ง
แต่ขณะที่กำลังจรดตะเกียบเตรียมจะคีบอาหารตรงหน้าใส่ท้องนั่นเอง
ร่างของใครคนหนึ่งก็ลอยละลิ่วลงบนโต๊ะตรงหน้าเล้ง ก่อนชายฉกรรจ์อีกกลุ่มจะปรี่เข้าใส่หมายจะซ้ำ
ภาพคนเป็นฝูงรุมกินโต๊ะคนๆ เดียวทำให้เล้งอดใจไม่ช่วยไม่ได้
และอีกเหตุผลที่สำคัญกว่า คือ พวกมันพังอาหารเที่ยงที่เค้ายังไม่มีโอกาสได้กิน
เล้งตรงเข้าขวางจะคนตัวโตที่ตามปรี่เข้าจะซ้ำเจ้าหนุ่มที่ล้มอยู่ตรงหน้า
ถึงเล้งจะเป็นมวยใหม่เพิ่งหัด แต่เมื่อมาเจอมวยวัดที่ไม่มีเชิง ชั้นมวยจึงได้เปรียบกว่ากัน
เพียงแค่มอญยันหลัก ก็ยันเอาร่างยักษ์ของมันหงายหลังล้มทั้งยืน
เมื่อนั้นเองที่เล้งหันไปยื่นมือฉุดเจ้าหนุ่มที่ล้มทับอยู่บนอาหารกลางวันของเค้าขึ้นมา
“ระวังข้างหลัง” มันตระโกนบอก
หางตาเล้งก็จับภาพเจ้าอีกคนที่กำลังปรี่เข้าเล่นงานเค้าได้ไวๆ ทางด้านหลัง
เล้งก้มหลบหมัดที่มันตะบันใส่ก่อนจะประเคนหมัดซ้ายเข้าที่กกหูมัน
ผลคือมันเซไม่เป็นท่าไปอีกคน ก่อนที่คนอื่นๆที่เหลือของพวกมันจะกรูเข้ามาแทบจะพร้อมๆกัน
เมื่อนั้นสองสหายใหม่ที่ยังไม่แม้นแต่จะรู้จักกัน หันหลังชนกันเพื่อรับมือ
การตะลุมบอนเป็นไปอย่างชุลมุนอยู่เกือบห้านาที แต่ฝ่ายคนมากกว่าก็มิอาจสามารถเอาชนะคนเพียงสองคนได้
แต่ยังไม่ทันรู้ผลแพ้ชนะ เสียงนกหวีดที่ดังยาวไล่ใกล้เข้ามาก็ทำให้วงแตก
เพราะมันเป็นเสียงนกหวีดของหมาต๋า ที่เพิ่งมาถึงหลังจากมีคนไปแจ้ง
“ตามอั๊วมา”
เจ้าเพื่อนใหม่คว้าแขนเล้งลากให้วิ่งตาม ก่อนมันจะพาวิ่งลัดเลาะไปตามตรอกเล็กๆ อย่างชำนาญเส้นทาง
§
ไม่กี่อึดใจก็พ้นจากเสียงนกหวีดที่ไล่หลัง ก่อนจะพากันมานั่งพักเหนื่อยอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมคลอง
สองสหายใหม่มองหน้ากันแล้วหัวเราะขึ้นเสียงดัง ทั้งที่ยังหอบอย่างไม่มีเหตุผล
สายตาที่สบกันบอกให้รู้ว่าถูกชะตา
“ทำไมลื้อถึงได้ช่วยอั๊วว่ะ”
“ก็เห็นมันหมาหมู่ เลยทนดูไม่ได้”
“ทั้งๆที่ลื้อยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าใครถูกใครผิดเนี่ยะนะ” เพื่อนใหม่ถาม
เล้งอึ้งไปนิด... จริงอย่างที่คนถามว่า หากเค้าชอบคนผิดแล้วจะทำยังไง
แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คนเป็นฝูงรุมคนๆเดียว จะได้ดูดายได้ยังไง
“ก็มันอยากหมาหมู่ จะให้ทนดูได้ยังไง”
คนถามอมยิ้มขำ และเป็นปลิ้มในน้ำใจของเพื่อนใหม่คนนี้
“แล้วลื้อไม่กลัวมันกลับมาเล่นงานลื้อเหรอว่ะ ไอ้พวกนั้นมันลูกน้องไอ้หลงเชียวนะ”
คนถูกถามทำหน้างงๆ เพราะไม่รู้จักว่าคนชื่อหลงที่พูดถึงเป็นใคร
เจ้าคนถามมองเล้งอย่างแปลกใจที่ไม่สะทกสะท้านกับชื่อที่มันเพิ่งเอยไป
“ลื้อเพียงมาจากที่อื่นซิท่า”
เล้งพยักหน้า
“นั่นไงนึกแล้วเชียว... ทีหวยล่ะแทงไม่ถูก” คนว่าบ่นกับตัวเอง “ถึงได้ไม่รู้จักไอ้หลง”
เล้งที่ฟังรู้บ้างไม่รู้บ้างยิ่งงงกับเรื่องที่กำลังพูดถึง
“ไอ้หลงเนี่ยะมันนักเลงดังเยาวราช มันเป็นพวกธงขาว หนึ่งในสามพรรคของพวกไตรภาคี”
นั่นเองที่ทำให้เล้งถึงกับช๊อคไปชั่วขณะ
ถึงเค้าจะเพิ่งเข้ากรุงเทพ แต่ความโด่งดังของไตรภาคีก็เคยผ่านหูเค้าเช่นกัน
ไตรภาคีเป็นกลุ่งอังยี้ชื่อดังที่แม้นแต่คนของทางการยังต้องให้ความเกรงใจ
นี่เค้าแข่วงเท้าหาเสี้ยน ไปเหยียบตีนนักเลงโตเข้าแล้ว
“ลื้อชื่ออะไรว่ะ” คนเป็นเพื่อนใหม่ถามขึ้น
“เล้ง” ชายหนุ่มตอบ
“อั๊วชื่อชิว... ชิวสะพานขาว” เพื่อนใหม่แนะนำตัว “ขอบใจที่ช่วย”
ความคิดเห็น