ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ดาบปราบไตรจักร
จันทร์ดิถีเพ็ญที่เคยกระจ่างฟ้าเหนือป่าอรัญยิกา บัดนี้อ่อนแสงราวกับคืนเดือนดับทั้งที่เป็นคืน “จันทรมาตร” เต็มดวง
ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะเป็นลางบอกเหตุแห่งอาเพศที่กำลังจักบังเกิดแก่มหาฤษี โฆตมะที่เจริญญาณจนเป็นอยัตตะนะ ก็ลุแจ้งแก่ใจแห่งเหตุอันจักเป็นไปว่า บัดเดี๋ยวนี้ วาระสุดท้ายแห่งชีวิตตนกำลังใกล้จักมาถึง
เมื่อนั่นจึงเรียกศิษย์รักก้นกุฏิให้เข้ามาหา
พระโอรสแสงสุรีย์ซึ่งบัดนี้เจริญชันษากลายเป็นหนุ่มฉกรรจ์ ก้มกราบพระเจ้าตาของพระองค์เฉกเช่นที่เคยปฏิบัติกระทำมาตั้งแต่ยังเยาว์
“หลวงตาให้เรียกหา มีการสิ่งใดจักใช้แสงสุรีย์หรือเจ้าค่ะ” พระโอรสว่า
“การอันจะใช้เจ้ากระทำนั่นมิมีดอกแสงสุรีย์” จอมฤษีบอกอย่างอารี “หากแต่ที่ข้าเรียกเจ้ามาพบครั้งนี้ก็ด้วยประสงค์จักสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย”
คนฟังใจหายด้วยสำเนียกถึงการจากลา
“หลวงตาจักไปไหนหรือเจ้าค่ะ”
“ข้าถึงเพลาจักต้องละสังขารแล้วแสงสุรีย์เอ้ย” จอมฤษีบอกอย่างปลงอนิจจัง
“ไม่นะเจ้าคะ หลวงตาจักต้องอยู่กับแสงสุรีย์ก่อน” พระโอรสบอกอย่างอาลัย
“มิได้ดอกลูก อันเกิด แก่ เจ็บ ตาย ย่อมมีเป็นธรรมดาของสัตว์โลกที่ยังจมอยู่ในวัฏสงสาร มิมีผู้ใดหลีกพ้น แม้นแต่หลวงตาของเจ้า” จอมฤษีเทศน์สอน “แลบัดนี้ก็ถึงแก่เพลาอันสมควรที่เจ้าจักต้องกลับไปกอบกู้บ้านเมือง เพื่อช่วยพระราชบิดาและพระราชมารดาของเจ้าจากวิบากกรรมของพระองค์แล้ว”
เมื่อนั่นจอมฤษีจึงเล่าประวัติความเป็นมาของพระโอรสให้ฟังจนจบสิ้น
“แสงสุรีย์ เจ้านี้สืบสายเลือดขัตติยะวงศ์แห่งอโยธยา จงกลับไปกู้บ้านกู้เมืองของเจ้า”
“เจ้าข้า” คนเป็นหลานตารับคำสะอื้นไห้ด้วยอาลัย
“แต่ก่อนเจ้าจักไป จงไปที่ถ้ำนรสิงห์ ซึ่งเจ้าเที่ยวแอบไปเล่นมาแต่เล็กแต่น้อย จงเอาดาบวิเศษ “ปราบไตรจักร” ติดตัวไปด้วย ดาบนี้แม้นไม่เอกอุเป็นเลิศในแผ่นดิน แต่ก็อยากนักที่จะหาคู่เปรียบ มันจะช่วยเจ้าได้อย่างมากในกาลข้างหน้า”
“เจ้าข้า” คนเป็นหลานรับคำพร้อมกับกุมมือที่ลูบหัวอย่างเอ็นดูอยู่บัดนี้
“จำไว้นะลูก ใจคนนั้นอยากนักหยั่งถึง กาลข้างหน้าเจ้าจักต้องพบกับผู้คนมากมาย หน้าที่เจ้าเห็นอาจมิเป็นอย่างที่เจ้าคิด จงใช้สติและปัญญาชั่งตวงให้รู้เหตุและแจ้งถึงประสงค์ของการมาของบุคคลนั้น ตานี้จำต้องจากเจ้าไปแล้วบัดเดี๋ยวนี้”
ว่าแล้วจอมฤษีก็ชักมือที่กำลังลูบเศียรพระโอรสกลับอย่างอาลัย ก่อนจะตัดใจเข้าประทับนั่งขัดสมาธิเพชรเจริญญาณละสังขารในราตรีนั่น
แสงสุรีย์ก้มกราบพระผู้เป็นศรีอันประเสริฐแห่งชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะถวายพระเพลิงเพื่อชำระร่างอันเป็นสังขารให้ “สูญ” เสียจากโลกใบนี้
เมื่อนั่นลูกคนจึงหันมากราบเท้า “แม่เสือ” กับ “พี่เสือ” ของมัน
“แม่จ๋า เจ้าลูกคนของแม่ต้องลาแล้วในมื้อนี้ กราบนี้ขอขอบคุณในค่าน้ำนมอันแม่ได้เฝ้าทะนุบำรุงลูกนี้มาจนเติบใหญ่ บุญคุณนี้จักไม่มีวันลืมจนสิ้นลมหายใจ”
แม่เสือน้ำตาคลอ แม้นเป็นชาติสัตว์เดรัจฉาน แต่ความอาลัยรักก็มีในจิตวิญญาณ
“ขอลูกของแม่จงแคล้วคลาดจากภัยพาลทั้งปวง ประสบแต่สุขสวัสดิ์พิพัฒน์มงคล นะลูกแม่เอ้ย”
แม่เสือว่าพร้อมกับเอาอุ้มเท้าตะบบเบาๆ ที่สองหัตถ์ซึ่งกำลังพุ่มกราบตนอยู่บัดเดี๋ยวนี้
เจ้าลูกคนกอดแม่เสือของมันอย่างอาลัย ก่อนหันไปหาพี่เสือของมันที่กำลังนั่งน้ำตาคลออยู่เช่นกัน
“ลาก่อนนะจ้ะพี่เสือจ๋า หากบุญยังมี ในภายภาคหน้าเราคงได้กลับมาเจอกัน”
เจ้าน้องคนว่าพร้อมกอดคอพี่เสือของมัน
“ไปเถอะน้องพี่ พี่จักคอยเจ้าอยู่ยังอรัญยิกาแห่งนี้ จนกว่าจะถึงเพลานั้น เพลาที่เจ้าเสร็จสิ้นภารกิจแห่งสุริยะวงศ์ของเจ้าแสงสุรีย์”
“ฝากดูแม่ด้วยนะพี่”
เจ้าน้องคนสั่งความเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลุกขึ้นจากแม่เสือและพี่เสือของมันไป
§
บรรพกาลนับแต่ถือกำเนิด “ตำนานแห่งเทพปกรณัม”
เมื่อครั้งอสูรและเทพยังรบกันเพื่อชิงความเป็นใหญ่ในแดนสรวง “สี่จตุเทพ” อันกอปรด้วย พระปฐพี พระนที พระพาย และพระอัคนี ได้สละพระองค์ทั้งสี่เป็นธาตุหลอม “แก้วปาฏิหาริย์” เพื่อตีขึ้นเป็นดาบวิเศษให้ “องค์วชิรชิต” ผู้เป็น “เทพสงครามจุติ” ใช้ปราบ “พญาอสุเรนท์อสูร”
แลดาบนั่นถูกขนานนามว่า “ปราบไตรจักร”
ครั้นพอ “องค์วชิรชิต” ลุถึงกาลจักสิ้นอายุขัย ตระหนักว่าหาก ดาบนี้ยังคงอยู่ในแผ่นดิน ก็จักเกิดกุลียุค หากผู้ครอบครองดาบนั้นมักใหญ่ใฝ่สูง
จึงได้นำดาบนั่นมาซ่อนไว้ใน “นรสิงคูหา”
แล้วให้พญานรสีห์นาม “สีหนาท” อยู่เฝ้าดาบนั่นนับแต่กาลนั้นเป็นต้นมา
จากเรื่องจริง จึงกลายเป็นเรื่องเล่า
จากเรื่องเล่า กลายเป็นนิทานปรัมปรา
และจากนิทานปรัมปรา กลายเป็น “ตำนานแห่งเทพปกรณัม”
§
แสงสุรีย์ยืนมองดู “นรสิงคูหาสถาน” ที่ซึ่งพระองค์กับพี่เสือแอบมาเที่ยวเล่นกันตั้งแต่ยังเด็ก หากยังมิเคยย่างกรายเข้าไปแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยเกรงจะผิดคำสั่งจอมฤษีที่ห้ามนักห้ามหนาว่า “อย่าเข้าไป”
แต่บัดนี้ จอมฤษีเองนั่นแล กลับเป็นผู้ออกคำสั่งให้เข้าไป
§
เจ้าชายน้อยค่อยๆ เสด็จพระดำเนินอย่างระมัดระวัง
ทุกย่างก้าวเปิดโสตเพื่อสำเนียกถึง “ภัย” ที่อาจจะมาถึงองค์ ลมอ่อนๆ โชยไล่ออกมาจากด้านในถ้ำ พร้อมกับกลิ่นสาปชนิดหนึ่ง
สาบนี้คล้ายพี่เสือ หากผิดแผกแตกต่างกันที่กรุ่นไอ
กรุ่นไอนี้หาใช่ของชาติเดรัจฉาน หากแต่เป็นกรุ่นไอแห่งพวกกึ่งเทพเยี่ยงนรสิงห์
เพียงไม่กี่ก้าวที่พ้นปากถ้ำเข้ามาความมืดก็เข้าปกคลุม หากแต่มันไม่มีผลต่อเจ้าชายแสงสุรีย์ เพราะบัดนี้ได้เปิดจักษุเนตรด้วย “เนตรราตรี” อันเป็นแขนงหนึ่งในตรีสุบัญญะวิชา ทุกหนแห่งที่มืดมิดจึงสว่างไสวมิผิดกับตอนกลางวัน
และเมื่อดำเนินผ่านช่องทางเดินแคบๆ เข้าไป จึงพบกับโถงกว้าง ที่เป็นลานหินใหญ่อยู่ด้านใน ปรากฏเปลวเพลิงสีฟ้าครามแห่ง “ทิพย์อัคนี”
ไฟวิเศษที่ไม่มีวันดับถูกจุดตามไว้ในกระถางใหญ่ทั้งสี่ทิศของโถง
กลางโถงนั่นมีรูปปั้นนรสิงห์หกตนที่ร่างตั้งแต่ไหล่ลงมาเป็นมนุษย์ในชุดนักรบ ยกเว้นเพียงศรีษะเท่านั้นที่เป็น “นรสิงห์”
แต่ละตนส่วนต่างลักษณะ ต่างภูษาเครื่องทรงกัน
หากแต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ “พักตร์”
ทั้งหกนั้นเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว
เมื่อนั่นเอง เจ้าชายแสงสุรีย์จึงตระหนักแน่ว่านี่แหละคือ “หกอวตารภาค” ที่หลวงตาเคยเล่าให้ฟัง
ทั้งหกตนประทับตั้งเรียงเป็นวงกลมล้อมรอบแท่นหนึ่งสูงใหญ่ แลบนแท่นหินนั้นประดิษฐานไว้ซึ่งดาบศักดิ์สิทธิ์ แห่งตำนานเทพปกรณัม
เจ้าชายหนุ่มเสด็จเข้าไปชมดาบนั่นใกล้ๆ
ดาบใหญ่ยาวสามศอกสถิตนิ่งอยู่ในฝักสีปีกแมลงทับสีแดง ยามเมื่อต้องแสงเกิดประกายระยับงามจับตา
หากพอเจ้าชายหนุ่มจะเอื้อมหัตถ์ขึ้นจับดาบ ก็ปรากฏเสียงคำรามดังขึ้นกึกก้องไปทั้งถ้ำ
มันเป็นเสียงที่ดังมาจากนรสิงห์หินทั้งหกตนที่รายล้อมอยู่รอบแท่นนั่นเอง และในอึดใจนั้นพระโอรสหนุ่มแทบจะไม่เชื่อสายเนตรตนเอง เมื่อแต่ละตัวค่อยๆ ขยับร่างอันเป็นหินของมันจากแท่นที่มันเคยสถิตอยู่อย่างประสงค์ร้าย
เจ้าชายหนุ่มจึงจำต้องฉากออกมาจากแท่นประทับของดาบนั้น
นรสิงห์หินทั้งหกตนตรงเข้ารายล้อมพระองค์เอาไว้ แต่มีหรือที่ศิษย์ก้นกุฏิแห่งจอมฤษีโฆตมะจะกริ่งเกรง เจ้าชายหนุ่มชักดาบเสกอันที่หลวงตาของพระองค์เคยเสกไว้ให้ใช้ซ้อมมือกับหุ่นพยนต์ออกเตรียมรณยุทธด้วย
เมื่อนั่น นรสิงห์ทั้งหกก็ตรงเข้าโรมรันอย่างหมายมิให้ตั้งตัว
เจ้าชายหนุ่มรีบวาดดาบเสกของหลวงตาออกปัดป้องเป็นสามารถ เชิงยุทธ์ในตรีสุปัญญะวิชาที่ร่ำเรียนมาหลายปีนั้น บัดนี้เจ้าชายหนุ่มเพิ่งประจักษ์ว่ามันเลิศชั้นสมเป็นสุดยอดวิชา
และไม่ว่านรสิงห์หินทั้งหกจะรุมกินโต๊ะอย่างไร ก็มิอาจทำอันตรายให้ระคายผิวเจ้าชายหนุ่มได้
ทั้งรับ ทั้งปัด ทั้งป้อง คล่องทุกกระบวนท่า
ครั้นพอสบช่องก็รุกอย่างไม่ให้ตั้งตัวติดเช่นกัน
แต่เมื่อดาบเสกปะทะดาบหินหนักๆ เข้า แทนที่หินมันจะร้าว กลับกลายเป็นดาบเสกเองต่างหากที่หักสะบันลงไม่เป็นชิ้นดี
เมื่อนั้นเจ้าชายหนุ่มจึงต้องอาศัยความไวหลบหลีกดาบหินที่วาดใส่หมายปลิดชีวิต ในขณะที่นานๆ ครั้งที่สบโอกาสก็อาศัย “พลังกสิน” ซัดพลังฝ่ามือที่แม้นแต่ก้อนหินใหญ่ยักษ์สูงท่วมหัวยังแตกกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยใส่ร่างหินสักครั้ง
แต่ร่างนั่นก็เซแซดๆ กระเด็นออกไปเฉยๆ หาได้บุบสลายแต่อย่างใด
แลยิ่งปล่อยเวลาแห่งการรณยุทธ์เนิ่นนานออกไป พละกำลังของเจ้าชายหนุ่มก็เริ่มทดถอย
กายที่เคยพลิ้วราวสายลมเพื่อหลบคมอาวุธ ก้อเริ่มเชื่องข้าจนบางครั้งพลาดพลั้งตกอยู่ในทีอันตราย หากแต่ก็สามารถเอาตัวรอดมาได้อย่างหวุดหวิด
หากสู้ต่อไปเช่นนี้คงไม่ดีแน่ เจ้าชายแสงสุรีย์บอกกับองค์เอง
เมื่อนั้นเองจึงทรงนึกถึงดาบวิเศษ ขึ้นมาได้ จึงทรงหันกลับไปหาดาบวิเศษบนแท่นหินนั้น แต่นรสิงห์หินทั้งหกก็หาได้ย่อมให้พระองค์เข้าใกล้ดาบวิเศษได้โดยง่าย ทั้งหกต่างพร้อมใจกันสกัดกั้นมิให้เจ้าชายหนุ่มเข้าถึงดาบวิเศษนั้น
หากพระโอรสฉากถอยออกมาพ้นระยะที่นรสิงห์ทั้งหกเคยสถิต
เมื่อนั้นเอง... นรสิงห์ทั้งหกก็ถอยกลับไปสถิตยังที่อันเคยประดิษฐาน
§
พระโอรสแสงสุรีย์ถอยกลับออกจากคูหาถ้ำเพื่อตั้งหลัก
พระวรกายของพระองค์ยามนี้เหนื่อยล้าจากการกำศึกเมื่อเกือบสามชั่วยามกับนรสิงห์หินทั้งหก
ขอพักเอาแรงสักคืนหนึ่งก่อนเทิด เอาไว้วันรุ่งพรุ่งนี้ค่อยลองใหม่
หากแต่ “พรุ่งนี้” ของพระโอรสหนุ่มกลับล่วงเลยถึง “เจ็ด” ทิวาก้อยังมิอาจย่ำกรายถึงซึ่งดาบวิเศษเล่มนั้น
§
และในราตรีที่เจ็ดนั้นเอง... หลังจากเพียรพยายามมาทั้งวันเพื่อจะหักผ่านด่านนรสิงห์หินทั้งหก แต่ความเป็นอมตะของทั้งหกนั่น ยากนักที่หักผ่านไปได้
เมื่อเป็นเช่นนั้น.. คืนนั้น พอตกค่ำพระโอรสหนุ่มจึงเจริญญาณสมาบัติ ด้วยหวังให้เกิดปัญหา และเห็นซึ่งหนทางแห่ง “ชัยชนะ”
แลเมื่อเจริญญาณถึงยามสาม จิตอันสงบก็ก่อให้เกิด “ปัญญา” แลเห็นโดยตลอดว่า “นรสิงห์ทั้งหก” นันเป็นค่ายกล ที่รุกรับสัมพันธ์สอดคล้อง หาได้แยกกันกระทำการสัปยุทธ์
ภาพการรณยุทธแต่ละถ่วงท่าค่อยๆ ปรากฏชั้นในมโนสำนึก แลเห็นโดยละเอียดแต่กลับหาช่องโหว่ของค่ายมิได้
และเมื่อนั้นโสตอันเป็นสำเนียกแห่ง “ตบะ” ก็แว่วสุรเสียงหนึ่งที่ข้างพระกรรณ
มันเป็นเสียงที่กอปรไปด้วย “ความอารีย์” ยิ่ง หากแต่กลับทรงอำนาจอย่างน่าอัศจรรย์
“หัวใจสิงห์ หาหัวใจสิงห์ให้พบ”
สิ้นคำ... พระโอรสหนุ่มก็ลืมตาขึ้นถอยจากตบะนั้น แลตระหนักแน่ว่า เสียงนั้นคือเสียงของจอมฤษี
§
อรุณเพิ่งจักเบิกฟ้า... ยังมิทันที่แสงเงินแสงทองจะจับฟ้า
หน่อเนื้อหนุ่มแห่งสุริยะวงศ์ ก็เสวยพระกายหารอันเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อราตรีก่อนเสร็จสิ้น แลพร้อมแล้วสำหรับการช่วงชิงดาบวิเศษในวันนี้
ดาบเสกที่หักสะบันถูกนำมาต่อด้านไม้กลายเป็นทวนสั้น อาวุธที่จักใช้สำหรับรณยุทธในวันนี้
“ข้าแต่เทพยุดาฟ้าดิน ข้าพุทธเจ้าแสงสุรีย์ หน่อเนื้อแห่งสุริยะวงศ์ ขอเสี่ยงสัตย์อธิฐาน หากข้าพุทธเจ้ามีบุญญาธิการโบราณ และปัจจุบันกรรม สมที่ซึ่งจะได้ครองดาบวิเศษแล้วไซร้ ขอได้โปรดช่วยดลบันดาลให้ข้าพุทธเจ้าหาหัวใจแห่งนรสิงห์พบด้วยเทิด”
พระโอรสหนุ่มยกมือขึ้นเหนือเกล้า เป็นเครื่องสักการะเทพยุดาทั้งปวง เมื่อนั้นก็เกิดเหตุประหลาดที่เบื้องทิศตะวันออก เมื่ออาทิตย์ที่เพิ่งจักขึ้นพ้นยอดไม้ได้มิถึงขวบยาม ก็ทรงกรดรัศมีเจิดจรัสเป็น “ศุภฤกษ์”
พระโอรสแย้มโอษฐ์กับองค์เองอย่างปิติยิ่งเมื่อทอดเนตรเห็นนิมิตนั้น ก่อนจักฉวยทวนสั้นที่ทำขึ้นใหม่จากเศษดาบเสกแล้วย่างสามขุมเข้าสู่คูหาถ้ำ
§
นรสิงห์หินจำหลักทั้งหกยังคงตะหง่านอยู่ที่เดิมเฉกเช่นที่พระองค์เข้ามาทอดพระเนตรพบเมื่อเจ็ดวันก่อน
หน่อเนื้อแห่งสุริยะวงศ์ค่อยๆ ดำเนินไปรอบๆ อย่างพินิจพิจารณารูปนรสิงห์ทั้งหก และเมื่อนั้นจึงประจักษ์ว่าแต่จะรูปจำหลักนั้น มีมณีประดับอยู่ที่อุระเบื้องขวาทุกตน หากแต่ต่างสีต่างชนิดกันเท่านั้นเอง
ยุวกษัตริย์ทรงแย้มสรวล...
ชะรอย มณีเหล่านี้คงจักเป็นหัวใจสิงห์ที่หลวงตาบอกเป็นแน่
ครั้งแจ้งแก่ใจแล้วว่าควรจู่โจมเช่นไร ก็ทรงแกว่งทวนสั้นในมือเข้าโรมรันด้วยนรสิงห์ทั้งหก รูปจำหลักทั้งหกก็ออกอาวุธสัปยุทธด้วยอย่างมิยอมอ่อนข้อให้
หลังจากที่รบกันมาถึงเจ็ดวัน ทำให้เจ้าชายแสงสุรีย์ตระหนักชัดว่า ควรโจมตีแต่ละตนเช่นไร
และด้วยเชิงยุทธแห่ง “ตรีสุปัญญะวิชา” หัวใจสิงห์ดวงแรกก็ถูกทำลายลง
เมื่อมณีที่อกเบื้องขวาของมันถูกทำลาย รูปจำหลักหินที่ครั้งหนึ่งเคยเสมือนประหนึ่งมีชีวิตเป็นอมตะก็ทลายกลายเป็นเศษหินกองอยู่ ณ ตรงนั้น พอประจักษ์ผลแน่ชัดว่า สิ่งที่คิดไว้ถูกต้องแล้ว พระโอรสหนุ่มก็เร่งกระทำกับอีกห้าตนที่เหลือ
ในที่สุด นรสิงห์จำหลักทั้งหกก็กลายเป็นเศษหินในชั่วพริบตา
หน่อเนื้อหนุ่มแห่งสุริยะวงศ์แย้มสรวลอย่างพอพระทัย ศึกหนักที่กำมาตลอดเจ็ดวันได้มีอันยุติลงแล้ว
ยุวกษัตริย์ดำเนินไปยังแท่นอันเป็นที่ประดิษฐานของดาบวิเศษ
ฝักสีปึกแมลงทัพสีแดง ยามต้อง “ทิพย์อัคนี” เรืองรองยิ่งนัก
เจ้าชายหนุ่มฉวยดาบวิเศษขึ้นจากแท่นหินอันที่ซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐาน แล้วชักดาบนั้นออกจากฝัก เมื่อนั้นประกายแห่งคมดาบจึงต้องแสงทิพย์อัคนีเป็นมันวาว... และเพียงแค่เจ้าชายหนุ่มวาดดาบออกไป ประกายดาบก็ตัดแท่นหินอันซึ่งเคยเป็นที่สถิตนั้นขาดสะบั่นลง
และบัดนั้น “อาวุธเทพเจ้า” จึงได้สำแดงแสนยานุภาพของมันอีกครั้ง
§
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น