ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตรีสุปัญญะวิชา
ฤษีเฒ่าแห่งป่าอรัญยิกาค่อยๆ ถอยจากญาณที่กำลังบำเพ็ญ เมื่อแม่เสือกับลูกสองเข้ามาหมอบแต้อยู่ตรงหน้า
“มาแล้วรึเจ้าแสงสุรีย์ตัวดี”
“เจ้าข้าหลวงตา” เจ้าเด็กน้อยรับคำเสียงใส
“หนีไปเที่ยวถึงไหนมาล่ะคราวนี้”
“ไป... “ กุมารน้อยเกือบพลั้งปากว่า “ถ้ำนรสิงห์” ซึ่งเป็นถิ่นที่เดียวที่หลวงตาห้ามเข้าใกล้ “ไปแถวๆนี้แหละเจ้าค่ะ”
มีรึที่ฤษีเฒ่าซึ่งบำเพ็ญตบะมาเกือบจะร้อยปี จะไม่รู้ทันพระกุมารน้อยว่ากำลังปดหน้าเป็นอยู่ในขณะนี้ แต่กลับแกล้งทำเป็นเออออห่อหมกไปกับมันก็เพราะ
อยากรู้น้ำใจมันจัก “กล้า” แอบหนีไปเองมั้ย
ทั้งนี้ก็เพื่อฝึกความกล้า และสัญชาติญาณแห่งการเอาตัวรอดให้มัน เพราะสืบไปภายหน้า ความกล้านี้แหละจะนำมันพ้นภัย
แต่ถึงต่อให้กล้าแค่ไหน ไอ้หนึ่งพี่เสือกับน้องคนก็ได้แค่ไปด่อมๆ มองๆ อยู่นอกปากถ้ำ มิกล้าล่วงล้ำเข้าไปสักครา ก็ด้วยเพราะเสียงคำรามแห่งนรสิงห์ที่กังวาลก้องออกมาเป็นเครื่องหยุดยั้ง “ความซ่าส์” เจ้าพี่เสือกับน้องคนได้เป็นอย่างดี
§
“ปีนี้กี่ขวบแล้วล่ะเจ้า” ฤษีเฒ่าถามขึ้น
“สิบขวบแล้วเจ้าค่ะ” เด็กน้อยฉอเลาะตอบ
“งั้นก็โตพอจะร่ำเรียนเป็นการเป็นงานแล้วซินะ”
พอได้ยินคำว่า “เรียน” เท่านั้น เจ้าลูกมนุษย์ก็ทำหน้าเบ้ มันเกลียด “การเรียน” อย่างที่สุด เพราะเสียเวลาเล่นของมัน
“ไม่ต้องมาทำหน้าเบ้เลยเจ้าแสงสุรีย์ นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าจักถ่ายทอด ตรีสุปัญญะวิชา อันสุดยอดวิชาอันเป็นสมบัติประจำตระกูลข้าแก่เจ้า เพื่อสืบไปภายหน้าเจ้าจักได้ใช้มันเพื่อกอบกู้บ้านเมือง”
พระกุมารฟังงงๆ ด้วยไม่แจ้งถึงประวัติความเป็นมา เพราะโตมาก็มีพระเจ้าตา แม่เสือกับพี่เสืออยู่เคียงข้าง เด็กน้อยจึงถือว่านี่แหละเป็นครอบครัวแห่งตน
“กอบกู้บ้านเมือง... ไอ้บ้านเมืองมันหน้าตาเป็นอย่างไรเจ้าค่ะ” มันถามซักตามประสาเด็กสอดรู้
ฤษีเฒ่าอมยิ้มอย่างเอ็นดู “แล้ววันหนึ่งเจ้าจักได้รู้แสงสุรีย์”
“แล้วพี่เสือเล่าเจ้าค่ะหลวงตา ต้องเรียนด้วยหรือเปล่าเจ้าค่ะ”
พระกุมารพยายามหาเพื่อนร่วมชั้น
“พี่เสือเจ้าเค้ามีชาติเป็นเสือ เป็นเดรัดฉานมิสามารถร่ำเรียนวิชานี้ได้”
เสือหนุ่มได้ยินยิ้มโล่งอก เท่าที่ถูกบังคับให้เรียนเป็นเพื่อนไอ้น้องมนุษย์ที่ผ่านมาก็แทบจะบ้าตาย มีที่ไหนเสือต้องมานั่งท่องพระเวทย์วิทยา ขอเพียงมีกรงเล็บและสรรพกำลัง เท่านี้มันก็ยังชีพได้ตามภาษาเสือของมันแล้ว
เจ้าลูกมนุษย์เลยจ๋อย แต่ใช่เพราะว่ามันต้องเรียนอยู่คนเดียว
แต่เพราะเวลาเที่ยวเล่นของมันมีหวังได้หดหายไปอีกอักโข
§
“อันตรีสุปัญญะวิชานั้น กอปรขึ้นสามสรรพวิชา หนึ่งคือเชิงชั้นอาวุธ ซึ่งข้ายังถ่ายทอดให้เจ้าไม่ได้ สองคือเชิงเวทย์ซึ่งข้าก็ได้ถ่ายทอดให้เจ้ายังไม่ได้อีกเช่นกัน ส่วนวิชาที่สามเป็น เชิงกสินเป็นตบะที่จะต้องสั่งสมด้วยญาณบารมี เป็นของเฉพาะตน ใครทำ ใครได้”
“ก็ยังถ่ายทอดไม่ได้อีกเช่นกัน”
มันล้อเลียน
“ได้ซิว่ะ ไม่งั้นข้าจะเรียกเอ็งมาหาพระแสงของ้าวทำไม” คนเป็นพระเจ้าตาบอก
“แค่นั่งหลับตาเนี่ยยังต้องเรียนอีกเหรอเจ้าค่ะ”
มันถามตามภาษาเด็กของมัน แต่คนฟังเกือบตกเก้าอี้
“มันไม่ใช่แค่หลับตาโว้ย มันต้องเข้าญาณให้ถึงขั้นด้วย”
คนถามถึงบางอ้อ ถึงแม้นจะเป็นเด็กสิบขวบที่มีเพื่อนเล่นเป็นสิงสาราสัตว์ในป่า แต่มันก็รู้ความบ้างตามประสามันว่าอะไรเป็นอะไร
“เอ็งเลิกซักข้าได้แล้วไอ้แสงสุรีย์ เอ็งมีหน้าที่ทำตามที่ข้าสอน ห้ามสงสัย”
§
นับแต่เพลานั้นเป็นต้นมา เจ้าลูกคนก็มีอันต้องมานั่งหลับเป็นเวลาสามชั่วยามทุกวันหลังอาหารกลางวัน
แรกๆ มันก็ยุกยิกตามประสาเด็ก จิตไม่นิ่งอยู่กับที่
เดี๋ยววอกไปนั้น เดี๋ยวแวกมานี่ อยู่เป็นประจำ
แต่หากพอนานวันเข้าก็เริ่มนิ่งจับอยู่เป็นที่
ลมหายใจที่แผ่วเบาเริ่มคงที่รู้ “เข้า” รู้ “ออก” ไปด้วยทุกขณะจิต
เมื่อนั่นเองจึงเกิดเป็นสมาธิขั้นต้น เป็น “ปฐมญาณ”
จาก “ปฐมญาณ” ลุเข้า “ญาณสมาบัติ”
มันเริ่มเห็นแสงสีที่มิเคยพบพาน กับเจ้าลูกกลมแก้วใสที่มา “ปุ๋ง” อยู่กลางของกลางในใจมันได้ยังไงไม่รู้
จากสามชั่วยามกลายเป็นสามราตรี
และจากสามราตรีกลายเป็นสามสัปดาห์ ที่มันนั่งหลับตาอยู่ของมันอย่างนั้น โดยมีพี่เสือของมันหมอบเฝ้าอยู่ข้างกาย เพื่อคอยระแวดระวังภัยอันอาจจะเกิดแก่ร่างมนุษย์น้องคนของมัน
§
ครั้นพออายุลุเข้าสิบสองขวบปี ฤษีเฒ่าก็จับแสงสุรีย์หัดอาวุธ
พี่เสือของมันมองดูน้องคนฟันดาบกับหุ่นพยนต์ทุกวัน แรกๆมันไม่เข้าใจคิดว่าหุ่นพยนต์ที่ฤษีเฒ่าเสกขึ้นเป็นคู่ซ้อมจะทำร้ายน้องคนของมัน มันก็กระโจนตะปบเสียหลายครั้งจนฤษีเฒ่าค้อนตาเขียว
“ไอ้วสิน มึงจะตะปบหุ่นพยนต์ตูทำไม”
เสียงฤษีเฒ่าเอ็ดเสียงหลงมาจากบนอาศรมสถาน
เจ้าพี่เสือจึงได้แต่สะแหยะยิ้มแล้วเดินจากมา
จากหุ่นพยนต์หนึ่งตัวกลายเป็นสองตัว แล้วก็สาม สี่ ห้า ตามลำดับ
แต่น้องมนุษย์ของมันก็รับมือได้อย่างสบายปรื๋อ
§
ครั้นพออายุลุเข้าสิบสาม ก็ถึงคราวเรียน “พระเวทมนต์ตรา”
เจ้าน้องคนเจ้าเล่ห์แอบใช้ “คาถากำบังตน” บังตาพี่เสือของมันเวลาเล่นซ่อนหาด้วยกัน
§
แลเพียงพริบตาเดียวกาลก็ลุเข้ายี่สิบขวบปี
เจ้าน้องคนกลายเป็นหนุ่มฉกรรจ์ มันมิอาจขี่หลังพี่เสือของมันเที่ยวเล่นเช่นแต่ก่อน แต่เปลี่ยนการละเล่นกับพี่เสือของมันเป็นมวยปล้ำระหว่างเสือกับคน
บางครั้งพี่เสือของมันมันเขี้ยวตะปบเอาแรงๆ แต่ก็หาได้ระคายผิวเจ้าน้องคนของมันไม่ เพราะบัดนี้มันสำเร็จ “ตรีสุปัญญะวิชา” แล้ว ผิวกายจึงเป็นทองแดง อุ้งเล็บของพี่มันจึงมิอาจทำอันตรายใดๆ ได้
§
กาลเวลาซึ่งล่วงเลยมาตลอดยี่สิบขวบปีนับแต่ผลัดแผ่นดิน
อโยธยาแห่งยุคถูกขยายแผ่พระราชอาณาเขตออกไปทั้งสี่ทิศ ราชธานีที่มีเคยมีสัณฐานเรียวยามตามลำน้ำนั้น บัดนี้แปลเปลี่ยนสัณฐานเป็นคลายดังผลมะม่วงสุก
ทั้งนี้ก็เป็นไปด้วยเพราะความเกรียงไกรของยอดกองทัพแห่งอโยธยา ภายใต้การนำขององค์หริวัสนั่นเอง
เพราะนับแต่พระองค์ขึ้นเถลิงราช ก็โปรดเกล้าให้มีการเกณฑ์ไพร่พลออกรบทัพจับศึกมิได้ขาด ตลอดยี่สิบขวบปีที่พ้นผ่าน อโยธยาจึงต้องกระทำศึกถึงสิบเอ็ดครั้งสิบเอ็ดครา
จากที่เคยดำรงสถานะเป็นรัฐหนึ่งในลุ่มแม่น้ำ ก็กลายเป็นสหพันธ์รัฐที่กรอบขึ้นด้วยสิบสองแว่นแคว้น เป็นราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในลุ่มแม่น้ำอโยธยา
§
หากแต่ว่ามันเป็นยี่สิบขวบปีที่เหล่าอนาประชาราษฏร์ได้ยาก
ชายไร่ชาวนาถูกขูดรีด พ่อค้าวานิสถูกเก็บภาษีส่วยสูง ซ้ำยังมีพวกฉ้อราษฏร์บางคนเบียดบังเข้าพกเข้าห่อเป็นของๆ ตน อนาประชาราฏร์ที่เดือนร้อยอยู่แล้ว จึงทุกข์เข็ญแสนสาหัส
เพราะบ้านเมืองเป็นทุรยศปรากฏไปทั่วทุกหย่อมหญ้า จึงทำให้เกิดมีกลุ่มผู้ไม่พอใจในการปกครองขององค์หริวัสรวบรวมสมัครพรรคพวกก่อกำเนิดองค์การหนึ่งขึ้น
องค์กรของผู้มุ่งหวังจะปลดแอกความเป็นทาสให้กับชนทั้งปวง
ผู้คนจึงขนานนามองค์กรนี้ว่า “เสรีชน” ชนผู้จะปลดปล่อยประชาสู่เสรี
“เสรีชน” จึงเป็นเหมือนหอกข้างแคร่ที่คอยทิ่มแทงใจองค์หริวัสให้ได้เจ็บแสบอยู่เสมอๆ
การปราบปรามเป็นไปอย่างหนัก แต่ก็มิอาจทำให้หอกข้างแคร่ด้านนี้หมดไป กลับทำให้มันลุกลามแพร่เครือขายสาขาออกไปทั่วทุกหนแห่งในแผ่นดิน
§
แต่ในความทุรยศทุกข์เข็ญนั้น กลับบังเกิดความปิติยินดีหนึ่งขึ้นในกลางหัวใจของชาวอโยธยาทั้งปวง นั่นก็ “ความงาม“ ที่อุบัติขึ้นกลางมิคสัญญี
ความงามที่งามหมดจด ทั้งข้างนอกและข้างใน
ความงามที่เหล่าชาวประชายกย่องและหวังเป็นที่พึ่งสุดท้ายในทุรยศยุคเข็ญเช่นนี้
“สาวิตรี” อรทัยขวัญฟ้า... นางผู้เป็นพระแม่ศรีเมืองแห่งอโยธา
นางหาได้สืบเชื้อสายโคตรวงศ์แห่งอโยธยาไม่ แต่เป็นอีกเผ่าพงศ์ที่อยู่อีกฝากหนึ่งของมหานทีสีทันดรอันไกลโพ้น
ลือกันว่า เมื่อครั้งผลัดแผ่นดินใหม่ๆ องค์หริวัสต้องการพิสูจน์ศักยฤทธิ์แห่งตน จึงเสด็จออกไปท้าสัปยุทธ์ด้วยเจ้าสมุทรทั้งสี่แห่งมหานทีสีทันดร
มหายุทธครั้งนั้นอลังการแลเป็นที่โจทย์จันท์ไปทั้งสามโลก
หนึ่งมนุษย์ท้าสัปยุทธ์สี่พญานาคราช
ผลคือ พญานาคาทั้งสี่เป็นฝ่ายพ่าย ทั้งนี้ก็ด้วยเพราะฤทธิ์แห่ง “สัตตอาวุธ” อาวุธแห่งเทพเจ้านั่นเอง
เมื่อนั้นพญานาคาทั้งสี่จึงคลาย “มุกราตรี” วิเศษออกมาเป็นเครื่องบรรณาการแก่จอมกษัตริย์ องค์หริวัสจึงนำมาหลอมรวมกันแล้วนำไปบรรจุไว้ในดอกสัตตบงกช ดอกบัวเจ็ดสีในตำนานเทพปกรณัม ซึ่งขึ้นอยู่ใจกลางมหานทีสีทันดร
ครั้นพอครบเจ็ดราตรี มุกราตรีก็กลายเป็นพระกุมารี
เพียงแรกพบ... องค์หริวัสก็เกิดจิตปฏิบัติให้เอ็นดูต่อพระกุมารีเป็นยิ่งนัก
แลชะรอยจะเป็นกุศลส่งแต่บางบรรพ์ จึงได้มาร่วมกรรมเป็นพระบิดาอีกในชาติภพนี้
ทรงจัดให้มีการฉลองสมโภชรับขวัญพระธิดาองค์น้อย พร้อมสถาปนาขึ้นเป็นเจ้า แล้วให้เรียกขานพระนามธิดาองค์น้อยนี้ว่า “สาวิตรี”
นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา “สาวิตรีอรทัยขวัญฟ้า” ก็เป็นศรีแก่มหานครอโยธยาแห่งนี้
§
ครั้นยิ่งเจริญชันษาขึ้น...พระศิริโฉมก็ปรากฏให้เห็นเด่นชัดขึ้น องค์หริวัสก็ยิ่งหลงรักแม้นจะมิใช่ลูกในอุทร
พระจาริยะวัตรก็งดงามหมดจด น้ำพระทัยก็กอบด้วยอารีย์
ด้วยเพราะเพียงลุเข้าห้าชันษา... ก็ถูกแม่ชีมาติกา ผู้เป็นพระมารดาในองค์หริวัส พาเข้าอาศรมสถานยัง “วิหารเทพ” เพื่อบ่มเพราะ “ใจ” ให้ขวักไขว้ใน “กุศลจิต”
ห้าชันษา... ก็ตั้งโรงอาหารเป็นทานแก่ผู้ยาก
สิบชันษา... ละจุกที่เกล้าไว้เพื่อแสดงความเป็นเด็ก ก็ตั้งโรงหมอรักษาโรคภัยต่างๆแก่ประชา
สิบสองชันษา... ก็เพียรศึกษาแพทย์วิทยาจากสำนักวิหารเทพจนจบสิ้น และออกรักษาผู้ป่วยต่างๆ ด้วยพระองค์เอง และทรงกระทำเช่นนี้โดยมิเห็นแก่เหน็ดเหนื่อย
§
คราหนึ่งนางกำนัลผู้เป็นพี่เลี้ยงใกล้ชิดทูลถามว่า เหตุใดจึงทรงกระทำการอันเป็นภาระหนักเกินวัยของพระองค์เช่นนี้
พระธิดาองค์น้อยมีรับสั่งตอบว่า
“กรรมแห่งพระบิดาของเรานั้นหนักนัก ชะลอเห็นจะมีแต่วิธีนี้ถ่ายเดียวที่จะผ่อนหนักให้เป็นเบาลงได้ หากแม้นความเหนื่อยกายอันเราพึ่งมีในเพลานี้ จะทำให้กรรมของพระราชบิดาบรรเทาเบาบางลงได้แล้วไซร้ เราเต็มใจจักทำ”
และด้วยน้ำพระทัยที่กอปรไปด้วยควมอารีย์ยิ่งนี้จึงทำให้ผู้คนให้การขนานพระนามพระองค์ใหม่ว่า “พระแม่พระแห่งอโยธยา”
ดังนั้นคราวใดที่เสด็จออกเพื่อกระทำพระราชพิธีต่างๆ ชาวประชาจะพากันแห่แหนมารอเฝ้าเจ้าหญิงองค์น้อยเพื่อชื่นชมพระบารมี
เฉกเช่นเดียวกับวันนี้เช่นกัน...
ซึ่งเป็นวันมหามิ่งมงคลที่เจ้าหญิงน้อยเจริญวัยครบสิบแปดชันษา
พระธิดาประทับบนหลังช้างต้นพร้อมสมเด็จพระราชบิดา เพื่อเสด็จไปประกอบพิธีบวงสรวงเทพเจ้ายังวิหารเทพ
เหล่าพสกนิกรทั่วหล้าต่างพร้อมใจกันแห่แหนมาเฝ้าเพื่อถวายพระพรชัย
หริวัสแม้นเรืองฤทธิ์และเดชาศักดานุภาพ สามารถทำให้คนทั้งแผ่นดินรอบลุ่มน้ำอโยธยายอมสยบราบอยู่ใต้เบื้องยุคลบาทของพระองค์
แต่นั้นก็เป็นเพราะความยำเกรงในพระราชอำนาจของพระองค์ หาใช่ความจงรักภัคดีอย่างที่พสกนิกรทั้งหลายมีต่อพระธิดาของพระองค์
มันเป็นสิ่งที่พระองค์ถวิลหา และรู้ว่าย่อมไม่มีวันบังเกิดขึ้นกับพระองค์
§
แล้ววันหนึ่งเรื่องประหลาดก็เกิดในนครอโยธยา เมื่อมียาจกเข็ญใจนายหนึ่งเที่ยวเร่ประกาศขายแผนที่มหาขุมทรัพย์
§
“อะไรนะ เจ้าว่าขายแผนที่ขุมทรัพย์อย่างนั้นเหรอ”
หริวัสทวนคำอย่างแปลกใจ
“พะย่ะค่ะ” แม่ทัพเอกนฤบาลกราบทูล “เห็นว่าเป็นขุมทรัพย์แห่งมณีนพเก้าพระเจ้าข้า”
นามนั่นทำให้หริวัสพระทัยเต้นไม่เป็นจังหวะ
นามที่ไม่ได้ยินมานานแสนนาน หากแต่นามนั้นยังก้องอยู่ในหัวมิเคยลืมเลือน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น