ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ใต้ร่มโฆตมะ
วจักรห่อพระโอรสน้อยด้วยผ้าห่มแล้วผูกไขว้ไว้เบื้องหน้าตรงอกก่อนจักกระโดดขึ้นม้าพร้อมทหารกล้าในสังกัด
“ตีฝ่ามันออกไป นำเสด็จพระโอรสให้พ้นราชภัยครั้งนี้ให้จงได้”
ขุนพลกล้าแห่งอโยธยาออกคำสั่งเหล่าทหารกล้าใต้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นกองทหารม้าราชองค์รักษ์อันเกรียงไกรแห่งอโยธยา
กองทหารที่กอปรขึ้นด้วยขุนทหารกล้าที่คัดสรรแล้วกว่าร้อยชีวิต แต่ละคนเชี่ยวชาญเชิงอาวุธ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบนหลังม้า จนได้รับขนานนามว่า “อาชาพยัคฆ์”
สิ้นเสียงคำสั่งจากขุนพลกล้า ทหารในสังกัดก็เปิดฉากขวบม้าทะลวงฟันเปิดช่องเพื่อนำพระโอรสน้อยเสด็จหนี
และในทุกทางที่ขุนพลวจักรและทหารในสังกัดบ่ายหน้าไป ทหารของฝ่ายกบฏก็ถูกตีแหวกออกเป็นช่องด้วยเชิงอาวุธที่เหนือชั้นกว่า
§
ด้านองค์สุริยะทิตย์และอทิตยา หลังขุนพลวจักรนำเสด็จพระโอรสหนีได้ไม่นาน ทหารของฝ่ายกบฏก็บุกเข้าถึงท้องพระโรง สองพระองค์ประทับรออยู่ยังพระแท่นยรรยงโดยมิครั้นครามในภัยอันตรายที่กำลังจักมาถึง
“ว่ายังไง สุริยะทิตย์น้องเรา” หริวัสมีรับสั่งทักผู้อนุชา
“เหตุใดพี่ท่านต้องกระทำเช่นนี้ด้วย”
กระแสรับสั่งตัดพ้อย่างไม่พอพระทัย
“ทำไมนั่นเหรอ ก็เพราะความลำเอียงของพระบิดาและไอ้กฎมณเฑียรบาลบ้าๆพวกนั้นไง พี่ถึงต้องทำเช่นนี้”
“ก็มิน่าทรงต้องให้เลือดเหล่าชาวอโยธยาต้องประหัตถ์ประหารกันเองเช่นนี้”
“แล้วถ้าพี่มาขอแผ่นดินนี้จากเจ้า เจ้าจะยอมอย่างนั้นหรือ”
สุริยะทิตย์นิ่งอึ้งไป ด้วยรู้แก่ใจว่า พระองค์ก็มิทรงยอมให้ทำตามคำขอของพระเชษฐาเช่นกัน ด้วยพระราชบิดารับสั่งกำชับหนักแน่นว่า ห้ามให้หริวัสเชษฐาครอบบัลลังค์ มิฉะนั้นแผ่นดินจักร้อนเป็นไฟ
“จงยอมจำนนเสียเทอด เพราะถึงอย่างไรเสียเราก็เลือดพ่อเดียวกัน” หริวัสพยายามเกลี่ยกล่อม
“ไม่พระเจ้าข้า ในเมื่อพระบิดามอบศรีอโยธยาให้หม่อมชั้นดูแล หม่อมชั้นก็ต้องสนองพระกระแสรับสั่งให้ถึงที่สุด”
“ไอ้โง่” หริวัสตวาดลั่น “โง่ติดพ่อไม่มีผิด งั้นเจ้าก็เตรียมตัวตายได้แล้วสุริยะทิตย์”
สุริยะทิตย์ชักพระแสงดาบประจำพระองค์ออกมาเพื่อเตรียมประจัญบาน เมื่อองค์หริวัสย่างสามขุมเข้าไปหา
ทหารเหล่าราชองค์รักษ์ที่ล้อมองค์อยู่เบื้องหน้าก็กรูกันเข้าสกัดกั้นหริวัส เมื่อนั้นดาบมรกตก็ปรากฏขึ้นยามเมื่อหริวัสคว้ามือขึ้นไปกลางเวหาหาว
รัศมีเขียวส่องเจิดจรัส ยามเมื่อหริวัสวาดดาบนั้นออกไป รัศมีเขียวมรกตนั้นก็แล่นเข้าตัดร่างเหล่าองค์รักษ์ที่ดาหน้าเข้ามาตัวขาดเป็นสองท่อนในชั่วพริบตา
เหล่าองค์รักษ์ที่อยู่แนวหลังประจักษ์ในฤทธิ์แห่งดาบพากันตัวสั่นเทาเพราะความกลัว
องค์สุริยะทิตย์ที่ยืนทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์โดยตลอดถึงกับตะลึงอึ้งไปชั่วขณะ พระองค์เคยได้ยินข่าวลือเรื่องพระเชษฐากระทำบัตรพลีถวายองค์มหาเทพเพื่อขอพระราชทานมหาอาวุธ
แลนี้เป็นเครื่องยืนยันว่า “ข่าวลือ” นั่นเป็นจริง
§
แม้นจะรู้อยู่เต็มอกว่าสู้ไม่ได้ แต่เมื่อเห็นทหารองค์รักษ์กำลังเสียขวัญ สุริยะทิตย์จึงจำต้องออกเรียกขวัญด้วยการเข้าสัปยุทธ์กับองค์พระเชษฐาแห่งตน
แม้นพระแสงดาบจะตีขึ้นจากเหล็กน้ำพี้ชั้นดี แต่เมื่อเทียบชั้นกับดาบมรกตแล้ว อุปมาเหมือนไม้ซีกงัดไม้ซุง เพียงแค่ปะทะคมของดาบมรกต พระแสงดาบประจำราชวงค์ก็หักสะบันเป็นสองท่อน ก่อนที่องค์สุริยะทิตย์จะกระเด็นถอยหลังไปด้วยอานุภาพแห่งประกายเขียวส่องแห่งดาบมรกตนั้น
เมื่อนั้นเหล่าทหารกบฏที่ค่อยท่าอยู่ก็ถึงตัวพระองค์และพระชายา สองพระองค์จึงถูกจับกุมตกเป็นเชลย
§
ด้านขุนพลวจักรแม้นจะหักตีหนีออกจากพระนครมาได้ แต่ก็มีกองกำลังของทหารกบฏกลุ่มใหญ่ภายใต้การนำของนฤบาล ขุนพลใต้สังกัดหริวัส พร้อมหน่วยล่าสังหารไล่ตามล่ามาติดๆ
“นำไปก่อนเถิดพระคุณท่าน พวกกระผมจะรั้งพวกมันให้เอง”
สมิงสามพรายผู้รั้งตำแห่งพระนายกองหัวหน้าหมู่ทะลวงฟันในสังกัดขุนพลวจักรร้องบอกเมื่อเห็นว่าหน่วยล่าสังหารของนฤบาลไล่หลังมาติดๆ
ขุนพลวจักรมองสบตาผู้อยู่ใต้สังกัดอย่างซึ้งใจ
มิน่าโบราณถึงกล่าวไว้ว่า “มิตรแท้” หาได้เมื่อ “ยามยาก”
คนเป็นขุนพลรีบเร่งควบม้าเพื่อนำหน้าออกไป ขณะที่ทหารในสังกัดที่เหลือกลับม้าตั้งแถวเตรียมประจัญบานกับหน่วยล่าสังหารที่กระชั้นมา...
เสียงคมดาบปะทะกันทำให้ วจักรที่ควบม้านำห่างออกไปหันกลับมามอง และสิ่งที่อยู่ในจักษุของเค้ายามนี้ก็คือ กองทหารในสังกัดของเขากำลังถูกกลืนโดยหน่วยล่าสังหารที่โถมกำลังเข้าใส่
และนั้นเป็นภาพสุดท้ายที่วจักรได้เห็น เหล่าทหารหาญในสังกัดของตน
§
นานเท่านานที่วจักรขวบม้าพาพระโอรสน้อยเสด็จหนี แต่หน่วยล่าสังหารของนฤบาลก็หาได้ยอมลดละในการติดตาม
ม้าที่ถูกควบตะบึงห้อมาทั้งวันโดยไม่มีการหยุดพัก ก็ได้มาขาดใจตาย ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโยธยาตอนบนซึ่งรั้งอาณาเขตติดกับเขตคีรีศรีอันเป็นที่ประดิษฐานแห่งมหาฤษีนาม “โฆตมะ” ซึ่งมีอาศมสถานอยู่เหนือลำน้ำขึ้นไปอีกกึ่งเดือนขวบม้า
วจักรเร่งพาพระโอรสน้อยแล่นเข้าหาลำน้ำ หวังจะข้ามฟากนทีเพื่อหนีไป แต่อนิจจาลำน้ำที่อยู่เบื้องหน้านั้นกลับกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ซ้ำยังเชียวกรากเกินกว่าจะข้ามได้
พอหันกลับหน่วยล่าสังหารภายใต้การนำของนฤบาลก็กระชั้นเข้ามาถึงตัว
“จะหนีไปไหนวจักร ยอมจำนนซะ แล้วมอบพระโอรสมา”
“ให้กูตายเสียดีกว่า ที่จะยอมจำนนกบฏเยี่ยงมึงไอ้นฤบาล“
ขาดคำ ขุนท่านก็ชักเอาดาบสองมือที่ขัดไขว้อยู่ข้างหลังออกตีฟันหมายจะหักฝ่าวงล้อมออกไป แม้นเชิงชั้นขุนท่านจะเหนือชั้นด้วยฝีมือดาบ แต่ด้วยกำลังทหารของหน่วยล่าสังหารที่นำได้เหนือกว่าชนิดหนึ่งต่อห้าสิบ ย่อมเป็นการยากที่จะหาญหักเอาชนะได้
ไม่นานดาบที่เคยขวัดแขว่งรวดเร็วก็ค่อยๆ อ่อนแรงลง
ยิ่งปะทะยิ่งรับดาบมากขึ้นเท่าไร เรี่ยวแรงที่มีก็ลดน้อยถอยลงเพียงนั้น ซ้ำยังมีพระโอรสน้อยถ่วงรั้งให้ห่วงหน้าพะวงหลังด้วย
ไม่นานขุนท่านก็เสียท่าต่อคมอาวุธของศัตรูที่แผ่นหลัง ทำให้สายผ้าที่คล้องรั้งพระโอรสน้อยเอาไว้ขาดลง พระกุมารตกลงกับพื้นแม่ธรณี ขุนท่านประจักษ์เช่นนั้นก็รีบหักตีหวังเข้าถวายอารักขา แต่อนิจจาขุนท่านมิอาจทำให้สมดังเจตนา ด้วยพิษสงของธนูที่ปลิวมาจากนฤบาลบนหลังม้าแล่นเข้าแผงอก
ขุนท่านพลัดหงายหลังตกน้ำตรงตลิ่งนั้นจมหายไป
นฤบาลควบม้าตรงเข้าไปหาร่างของพระโอรสน้อยที่ยังนอนนิ่งเป็นดุษฎีอยู่ในห่อผ้า หาได้ทรงกรรณ์แสงเฉกเช่นทารกผู้อื่นไม่ ยังความประหลาดใจให้นฤบาล ขุนทหารเจนศึกผู้นี้เป็นอย่างมาก
“พระคุณท่านจักให้กระทำเช่นไรกับพระโอรสน้อยขอรับ”
เสียงนายทหารในสังกัดของมันถามขึ้น
“สังหารเสีย ขุดรากแล้วต้องถอนโคน”
นฤบาลออกคำสั่งก่อนจะหันหัวม้าควบจากไป พร้อมหน่วยล่าสังหารคนอื่นๆ มีเพียง นายทหารผู้ซึ่งรับคำสั่งให้ปลงพระชนม์พระโอรสรั้งอยู่เพื่อกระทำการตามคำสั่งนั้น
“อโหสิเทิดพระเจ้าข้า ข้าพุทธเจ้าเป็นเพียงไพร่ทหารยอมต้องกระทำตามคำสั่งขัดเสียมิได้”
นายทหารนายนั้นกล่าวขออโหสิกรรมต่อพระโอรสน้อย
และเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งเมื่อพระโอรสน้อยนั้นกลับแย้มพระโอษฐ์ให้อย่างไร้เดียวสา
ดาบที่เงื้อล่าขึ้นสุดแขนชะงักมิอาจหักใจลงดาบได้ เพราะบัดนี้ความไร้เดียวสานั้นได้เข้าไปจับอยู่ในใจให้นึกเอ็นดูขึ้นมาอย่างกะทันหัน
§
“ครั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับบุญญาบารมีแห่งพระองค์แล้วล่ะพระกุมาร หม่อมชั้นเองมิอาจนำพาพระองค์ไปทะนุบำรุงให้เจริญชันษาสืบไปได้ คงทำได้แต่เพียงนำพระองค์ฝากลอยไปกับแม่คงคา หวังใจว่าด้วยบุญญาธิการแห่งพระองค์จักช่วยให้พระองค์พ้นราชภัยในครั้งนี้”
ว่าแล้วนายทหารท่านนั้นก็วางร่างพระโอรสน้อยลงบนกองฟางที่นำมาต่อเป็นแพ ก่อนจะปล่อยให้ลอยไปกลับสายนที
§
แลการที่พระกุมารน้อยรอดจากวิบัติภัยอันตรายในครั้งนี้ได้ก็การดลบัลดาลขององค์มหาเทวีนั่นเอง ด้วยพระองค์มิพอพระทัยที่องค์มหาเทพมอบ “ยอดศาตราวุธ” เยี่ยง “สัตอาวุธ” ให้คนใจบาปหยาบช้าเยี่ยง “หริวัส”
ด้ายทิพย์ญาณจึงทรงล่วงรู้ว่าพระกุมารน้อยแล “ฤษีโฆตมะ” มีบุพกรรมร่วมกันมาแต่ปางบรรพ์
เมื่อนั่นจึงทรงสำแดงอภินิหารให้พระกุมารน้อยลอยทวนลำนทีขึ้นไปยังถิ่นป่าอรัญยิกาซึ่งอยู่เหนือลำน้ำขึ้นไปเป็นระยะเวลาเจ็ดทิวาราตรี
หากแต่โอรสน้อยยังเป็นเพียงมนุษย์ปุตุชนธรรมดา ย่อมต้องเสพภักษาหารเป็นเครื่องเลี้ยงชีพ ดั้งนั้นพระนางจึงมีรับสั่งให้ นางพญาเงือกสาวแม่ลูกอ่อนนางหนึ่งนามว่า “วิจิตรา” ค่อยตามถวายน้ำนมแก่พระโอรสไปตลอดทั้งเจ็ดทิวาและราตรี จนกว่าพระโอรสน้อยจักถึงซึ่งใต้ร่มบุญแห่งโฆตมะฤษี
§
กล่าวฝ่ายโฆตมะฤษี ซึ่งมีถิ่นพำนักอยู่ยัง ณ ป่าอรัญยิกา ได้สละซึ่งเพศฆราวาสถือเพศบรรพชิตนับแต่อายุเพียงสิบขวบปี เพราะ “โฆสิตะ” ผู้บิดานั้นก็ถือเพศฤษีนั่นเอง
ความที่มีมารดาเป็นนางยักษา จึงทำให้ “โฆตมะ” เรืองฤทธิ์ด้วยเดชแห่งฤษีเพศและเดชแห่งยักษ์พงศ์
โฆตมะเฝ้าบำเพ็ญเพียร เจริญสมาธิภาวนา จนตบะกสินแก่กล้า อีกทั้งยังไดรับการถ่ายทอด “ตรีสุปัญญะวิชา” สุดยอดวิชาจากโฆสิตะผู้บิดาอันประกอบด้วย
วิชาในเชิงอาวุธหนึ่ง
วิชาในเชิงเวทย์หนึ่ง
และ วิชาในเชิงกสินอีกหนึ่ง
เหล่านี้ล้วนเป็นเลิศวิชาในสามภพ
เมื่อรวมสามเป็นหนึ่ง ชื่อของฤษีเฒ่าแห่งป่าอรัญยิกา จึงระบือลือสั่นเป็นที่ครั้นคร้ามแก่เทพ แลอสูรทั้งปวง
แม้นองค์อินทราธิราชเจ้าผู้เป็นใหญ่ในหมู่เทวดาทั้งปวง ยังต้องให้การเคารพในมหาตบะและฤทธิ์ของมหาฤษีตนนี้
§
แลในราตรีนั้นเอง...
ฤษีโฆตะได้จำเริญญาณสมาบัติแต่ย่ำค่ำ ครั้นพอสองยามก็ลุเข้าอนัตตสัญญาสมาธิ อันมีอรูปเป็นสรณะ เมื่อนั้นก็บังเกิดทิพย์ญาณ รับรู้ถึงกาลที่จำจะเป็นไปในเบื้องหน้า
เมื่อนั้นฤษีเฒ่าแห่งป่าอรัญยิกาก็ได้ประจักษ์ด้วยทิพย์ญาณว่า
บัดนี้พระกุมารน้อยผู้เคยมีบุพกรรมอุปถัมภ์ค้ำชูกันมาแต่บางบรรพ์ กำลังลอยทวนพระแม่คงคาขึ้นมาหาตน
“กราบนมัสการพระคุณเจ้าเพคะ” สุรเสียงอันทรงอำนาจรับสั่งถวายคำสาธุการ ก่อนที่พระวรกายอันเป็นทิพย์จักค่อยๆ ปรากฏองค์ขึ้น
“เจริญพรมหาบพิตร”
“พระคุณท่านคงแจ้งแล้วถึงเจตนาที่หม่อมชั้นมาเฝ้านมัสการพระคุณเจ้าถึงยังอาศรมสถาน”
“ข้าพุทธเจ้าแจ้งแล้วด้วยทิพย์ญาณ”
“หม่อมชั้นขอฝากกุมารน้อยแสงสุรีย์ไว้ในการอุปถัมภ์ของพระคุณท่าน ขอได้โปรดช่วยชูชุบอุปถัมภ์พระโอรสน้อยให้เจริญชันษา เพื่อสืบไปเบื้องหน้าจักได้กลับไปทวงขอบขันฑสีมาของพระองค์คืน”
“ข้าพุทธเจ้าขอน้อบรับกระแสรับสั่งของพระองค์”
“หม่อมชั้นขอขอบน้ำใจในความกรุณาของพระคุณท่านเพคะ หม่อมชั้นขอนมัสการลา”
“เจริญพรมหาบพิตร”
§
พระโอรสน้อยลอยทวนพระแม่คงคาเป็นเวลาเจ็ดทิวาแลราตรี ก็ลุถึงบริเวณป่าอรัญยิกา เล่าสรรพสัตร์น้อยใหญ่สำเนียกถึงการเสด็จของผู้มีบุญญาก็พากันมาเฝ้าถวายการต้อนรับ พร้อมกันนั้นได้นำมาซึ่งภักษาหารอันเป็นสิ่งดำรงชีพแก่พระกุมารน้อยมาถวาย
ฤษีเฒ่าออกดำเนินจากอาศรมสถานตรงไปรับพระกุมารขึ้นจากแพฟางที่ลอยอยู่ในพระแม่คงคา
แลบัดนี้ แสงสุรีย์กุมารได้ยังถึงซึ่งใต้ใบบุญโฆตมะฤษีสมเจตนาองค์มหาเทวีเจ้า
§
แลการเพื่อจะเลี้ยงดูให้กุมารน้อยเจริญวัยขึ้นตามวิวัฒนาการอันควรจักเป็น ฤษีเฒ่าแห่งป่าอรัญยิกาจึงมอบให้พระกุมารอยู่ในความดูแลของนางเสือแม่ลูกอ่อนนาม “มิสาถา” ที่เพิ่งตกลูกโทนเมื่อมิกี่ราตรีที่ผ่านมา
หนึ่ง “ลูกเสือ” หนึ่ง “ลูกคน” จึงร่วมดื่มน้ำนมจากอุทรแม่เดียวกัน
ครั้นเมื่อเจริญวัยขึ้น พระโอรสจึงเรียกขนานแม่เสือสาว มิต่างกับ “แม่ตัว” แลเรียกพี่เสือผู้ร่วมอุทรเป็น “พระพี่เสือ” เป็นพระญาติสนิทเฉกเช่นกัน
แลเพื่อให้สะดวกดายในการเจรจาระหว่างลูกมนุษย์กับเหล่าบรรดาสรรพสัตร์ทั้งหลายในละแวกป่าอรัญยิกา พระฤษีเฒ่าจึงเปิดโอษฐ์พระกุมารให้เจรจาได้สารพัดภาษาสัตว์เท่าที่จะพึ่งมีในเขตป่าอันเป็นอาณัติแห่งตน
§
หนึ่งลูกเสือหนึ่งลูกคนซุกซนมิผิดกัน... วันๆ แม่เสือสาวมิสาถา ต้องคอยออกตระเวนหาว่า หนึ่งลูกเสือหนึ่งลูกคนพากันไปซุกซนอยู่ ณ ที่ใด
“แสงสุรีย์... วสิน...”
เสียงแม่เสือสาวเรียกหา หนึ่งลูกคน หนึ่งลูกเสือในอุทร
หากมิมีเสียงตอบทั้งๆ เจ้าหล่อนเพิ่งจะได้กลิ่นกายของลูกคนโชยมาจากเหนือลมเมื่อครู่
“แสงสุรีย์ วสิน”
นางเสือสาวเรียกซ้ำอีกครั้ง หากแต่ป่าทั้งป่ายังคงเงียบสงัดอยู่เช่นเดิม นางเสือสาวจึงค่อยๆใช้จมูกที่ไวต่อกลิ่นสัมผัสยื่นขึ้นไปในอากาศ แลกลิ่นสารพัดที่โชยตามลมมาก็ปะทะเข้าโสตการรับรู้ของเจ้าหล่อน แว๊บหนึ่งกลิ่นลูกเสือและลูกคน ลอยมามาเต๊ะปลายจมูก ก่อนที่เจ้าตัวจะลอยละลิ่งลงมาจากกิ่งไม้ซึ่งอยุ่เหนือขึ้นไปข้างบนนางเสือสาว ด้วยหวังจะกระโดดเลงยังหลังของแม่เสือ
หากแต่ความว่องไวและความปราดเปรียวนั้นผิดกัน พอจะใกล้ลงเป้า นางผู้เป็นแม่ก็ฉากหลบทำให้ทั้งลูกเสือและลูกคนพลาดเป้าไปด้วยกันทั้งคู่
แลเมื่อรู้ตัวว่าพลาดลูกเสือและลูกคนก็ทำท่าจะแล่นหนี หากแต่นางเสือสาวหันไปคว้าเอาชายพกโจงกระเบนของลูกคนเอาไว้ทัน ลูกคนเลยหมดทางหนีต่อไปได้
เจ้าหล่อนเอาหัวดันให้ลูกคนให้ล้มลงกับพื้น แล้วตะบบจับไว้ด้วยปลายอุ้มเท้าอย่างแผ่วเบา
“ออกมาเดี๋ยวนี้เจ้าวสิน”
เจ้าเสือน้อยที่บัดนี้เติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ฉกรรจ์ค่อยๆ ย่องออกมาจากพงรกข้างๆ ตัวแม่เสือสาว
“ตัวดีนักนะเรา วันๆ เอาแต่พาน้องเที่ยว”
“เปล่านะจ้ะแม่จ้า น้องต่างหากบังคับให้เค้าพาเที่ยว”
“เอ้า... ไงมาขายอย่างนี้ล่ะพี่เสือ” คนที่เป็นน้องคนต่อว่าพี่ที่เป็นเสือ “ตอนไปก็ไปด้วยกัน แต่พอแม่จับได้ก็โทษชั้นทุกที”
พี่ที่เป็นเสือกุมหน้างุด เพราะได้ตอนที่น้องมนุษย์มันมาเล่าว่าที่นั้นสนุกที่นี่สนุก มันเองนั้นแหละที่เป็นคนชวนน้องแล่นออกไปดูให้เห็นกับตาทุกที
“ไม่ต้องมาโทษกัน วันนี้ต้องโดนทำโทษด้วยกันทั้งพี่ทั้งน้อง”
พี่เสือกับน้องคนพากันจ๋อยไปตามระเบียบ
ลองแม่มิสาถาออกปากเช่นไรแล้ว จะต้องกระทำเช่นนั้น
“แม่เสือเจ้าข้า... ปล่อยแสงสุรีย์ก่อนซิเจ้าค่ะ เล็บคุณแม่ทะลุผ้าโดนหลังลูกเจ็บหมดแล้ว”
เจ้าลูกมนุษย์มันอ้อนให้แม่ที่เป็นเสือถอยกรงเล็บออกจากแผ่นหลังของมัน
จักทำยังไงได้นอกจากตามมัน ก็แม่เสือดันมาหลงรักลูกมนุษย์เข้าให้แล้วนี่
“ขอบคุณเจ้าค่ะ คุณแม่เจ้าขา”
มันยังอ้อนไม่ยอมเลิก ก่อนสะบัดหน้าหันไปเล่นงานพี่ผู้เป็นเสือของมัน
“เพราะพี่คนเดียวแท้ๆ บอกแล้วว่าให้หนีให้หนี ก็เอาแต่จะซ่อน แล้วเป็นไงล่ะคราวนี้ โดนจับเลยเห็นมั้ย”
คนที่เป็นน้องโทษส่งหน้าตาเฉย ทั้งที่ตัวเองนั้นแหละเป็นคนออกแผนว่าแหย่แม่เล่นก่อนแล้วค่อยหนีก็ทัน
“ถามคำ ใครเป็นคนออกหัวคิดแผนนี้กันแน่”
คนเป็นน้องจ๋อย ค้อนตาเป็นจวัก พี่ซึ่งเป็นเสือแลแล้วให้หมั่นไส้มันจัง คราไหนแม่ออกไปหากินไกลๆ แล้วทิ้งให้อยู่กันตามลำพัง พ่อจะตะปบให้กลิ้งสักที
หากแต่ก็ทำได้เพียงแต่คิด เพราะวสินนั่นรักและเอ็นดูน้องมนุษย์ผู้นี้ดังชีวิตตน
“จงตามแม่กลับไปเดี๋ยว หลวงตาท่านเรียกให้หา”
แม่เสือบอกเหตุผลที่ต้องออกตามหา
§
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น