ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : กบฏหริวัส
ดูก่อน.... ชนผู้เจริญแล้วทั้งหลาย
ในบรรพกาลแต่โบราณล่วงมานั้น ยังมีมหานครหนึ่งรุ่งเรืองสถาพรอยู่เหนือลุ่มน้ำสายใหญ่นามว่า “อโยธยา” แลนามแห่งมหานครแห่งนี้ก็มีชื่อเฉกเช่นเดียวกันลำน้ำนั้น
“อโยธยาแห่งยุค” อยู่ภายใต้การปกครองของเศวตฉัตรแห่งสุริยะวงศ์ โดยองค์สุริยาทิตย์เป็น “พระเจ้าอยู่หัว” เคียงข้างด้วย “พระนางอทิตยา” พระแม่เมือง มิ่งขวัญชาวประชา บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข ด้วย เพราะองค์เจ้าผู้อยู่เหนือชีวิตทรงไว้ซึ่ง “ทศพิศราชธรรม” เหล่าอานาประชาราษฎร์จึงเป็นสุขสโมสรเกษมศรี้
จวบจนกระทั่ง . ณ ราตรีหนึ่ง
พระนางอทิตยาทรงมีพระสุบินนิมิตว่า ได้เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปเฝ้าเบื้องยุคลบาท “องค์มหาเทวี” ณ ทิพย์พิมานบนแดนสรวง
§
ที่นั้นร่มเย็นสงบ... ยากยิ่งจักอรรถธิบาย
มันเป็นความวิจิตรพิศดารของศิลปะกรรมที่มิอาจพบพานในโลกมนุษย์
มหาสถานกอปรด้วย ลานกว้างสุดลูกหูลูกตาและพระแท่นราชอาสน์
เสมาบอกเขตมหาสถานป็นเสาหินสี่ต้น ล้วนประดับด้วยเพชรนิลจินดา แลแต่ละต้นหล่อขึ้นจากทองนภคุณ สุกอร่ามเรืองรองสวยงามยิ่งนัก
แลเหนือพระแท่นราชอาสน์ที่อยู่สุดโถงสถานนั้น ปรากฏองค์พระนางผู้เป็นใหญ่แห่งแดนสรวง พระสิริโฉมงามยิ่งนัก พระพักตร์ชวนพิศจนมิอาจละสายตา ทรงพระภูษาสีแดงเลือดนก ประดับเครื่องต้นและสังวาคย์ยอพระเกียรติยศ
พระวรกายด้วยทัพพะรังสี และพระกรทั้งสี่ทรงไว้ซึ่ง
พระสังข์ เอกลักษณะแห่งความสันติสุข
พระเวท มหาคัมภีร์อเนกอันตน์คุณ
พระแสงดาบ ซึ่งสถิตไว้ด้วยเดชเดชาอันทรงฤทธิ์แห่งพระองค์
พระปทุมชาติ บงกชแห่งอมฤตาลัย
แลพระนางผู้ปรากฏกายอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์พระองค์ในขณะนี้นั้นคือ พระศรีแม่แห่งเหล่าเทพทั้งปวง
“เข้ามาซิ มิต้องกลัวเราดอก”
สุรเสียงซึ่งกอปรไว้ด้วยอำนาจและความปราณีรับสั่งบอก ขณะที่พระแม่เจ้าแห่งอโยธยากำลังตรึงงันไปกับความใหญ่โตมโหฬารแลสวยงามของทิพย์วิมานสถาน
ดวงเนตรบนพักตร์งามระยับฉายแววอารียิ่ง
“เราขอมอบแก้วรัตนานี้ เป็นมิ่งขวัญแก่เจ้า...อทิตยา”
พระนางผู้เป็นพระศรีแม่แห่งเหล่าเทพทั้งปวงมีกระแสรับสั่ง ครั้นสิ้นพระสุรเสียง แก้ววิเศษก็อุบัติขึ้นที่ตรงกลางฝ่าพระหัตถ์ขององค์มหาเทวี
ประกายแก้วนั้นเป็นสีรุ้งเรืองรองเปล่งรัศมีเป็นที่ต้องตา
พระแม่เจ้าแห่งอโยธยายื่นพระหัตถ์ออกไปเบื้องหน้าเพื่อรับพระราชทาน ลูกแก้วนั้นก็ลอยมาประทับอยู่กลางพระหัตถ์ของพระองค์
พระนางชื่นชมแก้วรัตนานั้นด้วยความปิติยิ่ง
และในทันใดนั้นเอง... อสูรตนหนึ่งก็อุบัติขึ้นตรงเบื้องหน้าพระพักตร์ เข้าจู่โจมมุ่งหมายจะทำร้ายให้ถึงแก่ชีวัน แก้วรัตนาในพระหัตถ์ก็กลายเป็นองค์เทพบุตรทรงหลังวายุภักษ์ออกมาสัปยุทธ์ด้วยอสูรตนนั้น
แลเมื่อนั้น พระแม่เจ้าแห่งอโยธยาจึงทรงสะดุ้งตื่นด้วยความตกพระทัย
§
“เป็นอะไรรึอทิตยา”
เสียงพระผู้เป็นสวามีตรัสถามขึ้นอย่างตกพระทัย
“หม่อมชั้นฝันร้ายเพคะ” พระนางตรัสตอบเสียงสั่นเทา เพราะยังไม่หายตกพระทัย
“แค่ฝันเท่านั้น หาใช่ความจริงไม่ เจ้าอย่ากลัวไปเลย”
เจ้าเหนือชีวิตแห่งอโยธยารับสั่งปลอบ สองหัตถ์ตระครองกอดองค์ผู้เป็นพระอัครมเหสี
“ไหนเจ้าจงเล่าให้เราฟังซิว่าเจ้านิมิตถึงสิ่งใด”
เมื่อนั้นพระแม่เจ้าแห่งอโยธยาจึงทูลเล่าถึงสุบินนั้นถวาย
§
ครั้นพอเช้าวันรุ่ง... โหราจารย์ผู้เฒ่าก็ถูกเรียกตัวให้เข้าเฝ้าถวายคำทำนายในนิมิตของพระเทวีในครั้งนี้เป็นการด่วน
“ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า พระสุบินขององค์พระมเหสีนั่นนับเป็นนิมิตดีพระพุทธเจ้าข้า” โหราผู้เฒ่ากราบบังคับทูล “ตามพระสุบินของพระองค์นั่นพยากรณ์ได้ว่า จักมีผู้มีบุญญาธิการมาจุติพระพุทธเจ้าข้า”
เจ้าเหนือชีวิตแห่งอโยธยาได้สดับเช่นนั้นก็ทรงพระสรวลด้วยความดีพระทัย
“เห็นมั้ยอทิตยา เราบอกแล้วว่าฝันของเจ้านั้นเป็นนิมิตดี”
“แล้วที่แก้วรัตนากลายเป็นเทพบุตรออกมาสัปยุทธ์กับอสูรเล่าโหราท่าน หมายความว่าเช่นไร” พระแม่เจ้าแห่งอโยธยารับสั่งถามมาอย่างกังวลพระทัย
“ขอเดชะ ตามพระสุบินที่นิมิตว่า แก้วรัตนากลายเป็นเทพบุตรออกสัปยุทธด้วยอสูรจนแหลกพ่ายไปนั้น ทำนายว่าด้วยบุญญาธิการแห่งราชโอรสที่กำลังจะถือพระประสูติการนั้นจักทำให้อริราชศัตรูผู้คิดร้ายต่ออโยธยาพ่ายแพ้ไปพระพุทธเจ้าข้า”
องค์อทิตยาได้สดับคำพยากรณ์จึงคลายความวิตกกังวลลง
“งั้นก็นับว่าเป็นเรื่องดีทั้งสองเลยซิท่านโหรา” เจ้าอยู่หัวอโยธยารับสั่งอย่างพอพระทั
“พระเจ้าข้า” โหราผู้เฒ่ารับสนองรับสั่ง
§
ครั้นแล้ว เมื่อล่วงมาอีกเก้าขวบเดือนต่อมา
องค์อทิตยาก็ทรงพระครรภ์แก่ใกล้คลอด หมอตำแยหลวงถูกเรียกตัวให้เข้าถวายงานตั้งแต่ยังมิทันจะเข้ายาม “ย่ำรุ่ง” ครั้นพอได้เพลาแสงเงินแสงทองเริ่มจับท้องฟ้า พระแม่เมืองอโยธยาก็ทรงเจ็บพระครรภ์ พระกุมารน้อยก็ถือประสูติการ
พระฉวีของพระกุมารน้อยนั้นผ่องดังอาทิตย์ทอแสงยามรุ่งอรุณ แลตรงกลางหว่างอุระนั้นกับมีรอยปานเป็นรูปสาย “วัชระ” เป็นที่น่าอัศจรรย์
ด้วยเหตุฉะนี้ พระราชบิดาจึงทรงประทานพระนามแก่พระโอรสน้อยว่า
“แสงสุรีย์” -- แสงแรกแห่งสุริยะ
§
แลในเพลาเดียวกันนั้น ณ มุมสงัดในเขตบรรพภคีรี ในอวัตตะวลี
แสงแห่งกองอัคคีที่ก่อขึ้นไว้เพื่อให้แสงสว่างแลความอบอุ่นภายในคูหาถ้ำ ตรงเบื้องหน้าแท่นอันซึ่งร่างหนึ่งประดิษฐานนั่งขัดสมาธิเพชรหลับตาบำเพ็ญตบะสั่นไหวเพราะอำนาจแห่งพระพายที่โชยเข้ามาใสคูหาถ้ำ
ร่างนั้นคือ “หริวัส”
ผู้ดำรงอิสริยะยศเป็นถึงพระเชษฐาองค์โตแห่งสุริยะวงศ์
ทรงเป็นศิษย์เอกของ “ฤษีสัปตะ” แห่งไกรลาสบรรพต จึงทรงเรืองเดชเวทวิทยาและเชิงอาวุธทั้งปวงจนยากจะหาผู้ใดในสามโลกต่อกรกับพระองค์ได้
ทั้งๆ ที่ทรงปรีชาสามารถเหนือองค์สุริยาทิตย์ในทุกๆ ด้าน แต่กลับมิได้รับความไว้วางพระทัยจากสมเด็จพระราชบิดาให้ขึ้นผ่านพิภพครองบัลลังค์ศรีอโยธยา ก็ด้วยเพราะเหตุมีพระมารดาเป็นเพียงพระสนมที่มิได้สืบสันตติวงศ์เป็นราชสกุล
พระองค์จึงทรงปลีกวิเวกออกมาบำเพ็ญตบะถวายเป็นบัตรพลีแด่องค์มหาเทพบนแดนสรวงเพื่อลุในอำนาจที่เหนือกว่าอำนาจใดๆ ทั้งปวง
อันเป็น “ไสยโยคี” วีถีแห่งอสูร
ด้วยเพราะภาคหนึ่งแห่งองค์มหาเทพนั่นคือ “อสุรเทพ”
นับเนื่องจนถึงราตรีนี้ก็รวมเพลาได้เจ็ดขวบปีแห่งการถวายสัตย์นั้น
ครั้นพอถึงเวลาสองยาม
อันเป็นวาระสิ้นสุดของการบำเพ็ญตบะนั้น ท้าวเธอก็ค่อยๆ ถอยออกจากญาณสมามิทีละขั้นๆ
จากกายทิพย์ที่เป็นอยัตตะนะ ค่อยๆ กลายเป็นยัตตะนะ
จากยัตตะนะ เป็นกายละเอียด
จากกายละเอียดเป็นกายหยาบ
และจากกายหยาบก็ค่อยๆถอยออกจากสมาธิทั้งเจ็ดขั้น ทีละขั้นๆ
จนถึงขั้นสุดท้ายก็ยกพระกรทั้งสองขึ้นพนมมือสาธุการเหนือพระเศียรก่อนรับสั่งคำถวายบัตรพลี
“ข้าแต่องค์มหาเทพผู้เป็นใหญ่ในแดนสรวง บัดนี้ข้าพุทธเจ้าหริวัสแห่งสุริยะวงศ์ ได้กระทำบัตรพลีกรรมสำเร็จลุล่วงครบกำหนดเจ็ดขวบปีตามสัจจะสัญญาที่ได้ทูลถวายไว้ ขอพระองค์ได้โปรดทรงรับพลีกรรมที่ข้าพุทธเจ้านั่นได้กระทำในการครั้งนี้ด้วยเทอญ”
พอสิ้นรับสั่ง
ก็บังเกิดลมหมุนวูบใหญ่ หอบเอาเปลวอัคคีเบื้องหน้าลุกโชนขึ้นจนสูงท่วมหัวร่างที่นั่งบำเพ็ญญาณอยู่บนแท่นหินอย่างเป็นอัศจรรย์ราวกับพระเพลิงกองนั้นต้องน้ำมันราดให้รุกโชน
“ดูกรหริวัส เราประจักษ์แล้วในความตั้งใจจริงแห่งเจ้า”
สุรเสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งดังขึ้นกึกก้องไปทั่วทั้งคูหาสถาน
ด้วยญาณสมาบัติที่เพียรฝึกมาทำให้หริวัสตระหนักแจ้งในทันทีว่าสุรเสียงที่กำลังได้สดับอยู่บัดเดี๋ยวนี้นั้น คือองค์มหาเทพผู้เป็นใหญ่ในแดนสรวงนั่นเอง
จอมเวทย์รีบก้าวลงจากแท่นศิลาลงมาคุกเข่ากับพื้นถ้ำ พร้อมกับถวายบังคมเมื่อกายทิพย์อันเป็นกายปกติแห่งองค์มหาเทพค่อยๆ ปรากฏองค์ขึ้นกลางเปลวเพลิงตรงหน้า
“ถวายบังคมพระเจ้าข้า”
“บัดนี้เราได้รับพลีกรรมที่เจ้ากระทำเพื่ออุทิศให้เรานั้นได้ยังผลแล้ว เจ้าต้องการอันใดเป็นสิ่งตอบแทนจงแจ้งแก่เรา”
“ข้าพุทธเจ้ามิประสงค์สิ่งใดๆ นอกเสียจากปราถนาเพียงจักมีอาวุธคู่กายที่ยากจะหาผู้ใดต่อกรได้พระพุทธเจ้าข้า”
“เจ้าเองก็เรืองเดชเวชวิทยาอยู่แล้ว ใยจำต้องหาอาวุธวิเศษอันใดอีกเล่าหริวัส”
“ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อันว่านักรบนั่น แม้นจะช่ำชองเชิงอาวุธสักเพียงใด แต่หากไร้ซึ่งอาวุธวิเศษคู่กายแล้วไซร้ ก็ยากนักจักแสดงอานุภาพแห่งเชิงอาวุธนั้นให้ประจักษ์ เฉกเช่นข้าพุทธเจ้าแม้นเรืองเดชเวชวิทยาสักปานไหน เมื่อไร้ซึ่งยอดอาวุธอันวิเศษ อุปมาก็เหมือนพยัคฆ์ไร้เขี้ยวฉันนั้นพระพุทธเจ้าข้า”
“คารมเจ้าช่างเจรจานักหริวัส ” สุรเสียงกล่าวอย่างพอพระทัย ”เห็นแก่บัตรพลีที่เจ้าอุตส่าห์บำเพ็ญเพียรแด่เรา เราจักมอบยอดสัตตราวุธแก่เจ้า”
ขาดกระแสรับสั่ง องค์มหาเทพก็ผายพระหัตถ์ออกไปตรงหน้า พลันก็บังเกิดอาวุธเจ็ดชนิดขึ้นกลางฝ่าพระหัตถ์
“ในเมื่อเจ้าพำเพ็ญเพียรแก่เราเจ็ดขวบปี เราก็ขอมอบอาวุธซึ่งมีนามว่า “สัตตอาวุธ” แก่เจ้า อาวุธชิ้นนี้สามารถแปลเปลี่ยนเป็นอาวุธต่างกันได้ถึงเจ็ดชนิดสุดแต่จิตพิศฐาน ”
“ดาบมรกต” ดาบที่ตีขึ้นจากมรกตแดนสุขาวดี ประกายเขียวส่องล้ำคมเลิศตัดได้แม้ผิวทองแดงแห่งยักษ์รณจักรในตำนานเทพปกรณัม
“หอกนวโลหะ” หอกที่หลอมขึ้นมาจากโลหะทั้งเก้าเป็นปลายหอก แล้วใช้ไม้เสาคล้ำบาดาลทำเป็นด้าม . ผู้ใดครองหอกนวโลหะก็เหมือนได้ครองสี่คาบสมุทร
“ตรีเพชรพลพ่าย” ทำขึ้นจากประกายเพชรแห่งตรีสูญของพญาวานร เป็นที่ยำเกรงแก่อมนุษย์กึ่งเทพทั้งปวง
“บ่วงบาศมลายสูญ” ซึ่งทักทอขึ้นจากสายเอ็นในกายของพญานาคาแห่งสี่คาบสมุทร แม้นเทพบนสวรรค์หากถูกพันธนากรด้วยบ่วงบาศนี้แล้วไซร์ ก็ยากนักที่จะหลุดพ้นไปได้
“คฑาวัจนะ” คฑาศักดิ์สิทธ์จากแดนทิพย์ของพวกอมตะ ปลายหนึ่งชี้เป็น ปลายหนึ่งชี้ตาย
“จักรพยนต์” จักรเทพเจ้าที่ตัดได้แม้แต่เทือกบรรพตหิมาลัย
และสุดท้าย “ธนูวัชระ” ธนูสายฟ้า มันผู้ใดต้องธนูวัชระ เหมือนต้องสายอสุนิบาตแห่งพระอิศวรเจ้า
“ด้วยสุดยอดศราตราวุธทั้งเจ็ดนี้ ยากนักที่ผู้ใดในสามโลกจะทัดทานเจ้าแล้วหริวัส แม้นแต่เหล่าเทพบนสวรรค์ก็ยากจะหาญต่อกรด้วย”
ขาดคำอาวุธทั้งเจ็ดก็ดำเนินจากพระหัตถ์แห่งองค์มหาเทพสู่หริวัส ศราตราวุธทั้งเจ็ดลอยหมุนอยู่รอบตัวหริวัส
ศิษย์เอกแห่งสัปตะฤษีมองยอดศราตราวุธอย่างกระหยิ่มใจ ก่อนจะก้มเศียรลงกราบถวายบังคมแด่องค์มหาเทพ
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้แล้วพระเจ้าข้า”
จอมเวทย์กราบบังคมทูลอย่างดีพระทัย
“ดูก่อนหริวัส”
สุรเสียงอันทรงอำนาจรับสั่ง
“อันว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าฉันใด แม้นสัตตอาวุธที่ข้าประทานแก่เจ้านั้นจะเรืองฤทธิ์สักเพียงไหน แต่อันเป็นธรรมดาโลกนั้น มีผูกย่อมต้องมีแก้ ทุกสิ่งในโลกย่อมมีของเป็นคู่ปรับกันเป็นธรรมดา แม้นสัตตอาวุธเองก็เช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้น”
หริวัชที่กำลังเหิมลำพอง... นิ่งอึ้งไปถนัดใจ
“แล้วสิ่งใดเล่า เป็นคู่ปรับแห่งสัตตอาวุธพระเจ้าข้า”
“มณีนพเก้า มณีแห่งตำนานเทพปกรณัม”
สุรเสียงทรงอำนาจรับสั่งก่อนพระวรกายจะเลือนหายไป
“มณีนพเก้า”
จอมเวทย์ทวนกระแสรับสั่งอีกครั้ง เค้าเคยได้สดับนามนี้จากมหาฤษีผู้เป็นอาจารย์มาก่อน หากแต่ไม่เคยคิดว่า ตำนานปรัมปราจักเป็นเรื่องจริง
§
จันทร์ดิถีเพ็ญเต็มดวงเหนือศรีอโยธยานครยามนี้ แดงฉานไปด้วยสีเลือด
ด้วยเพราะองค์ผู้เป็นพระเชษฐาแห่งเจ้าเหนือชีวิตศรีอโยธยาก่อการกบฏล้มล้างราชบัลลังก์
ทหารล้อมวังนับหมื่นที่รักษาการอยู่รอบเขตพระราชฐาน มิอาจต้านทานกำลังของพวกกบฎที่บุกทะลวงเข้ามาทุกทิศทุกทางได้
ขุนพลวจักรผู้ซึ่งประจำทัพอยู่ประตูหรดี เห็นท่าว่ามิอาจยันรั้งทัพกบฏไว้ได้ จึงทิ้งประตูพระนครเข้าพระราชฐานชั้นในพร้อมทหารกล้าหน่วยหนึ่ง เพื่อนำเสด็จเจ้าเหนือชีวิตหนีราชภัยในครั้งนี้
“เสด็จหนีเทิดพระเจ้าค่ะ ทัพพวกกบฏกำลังจะหักเข้าพระนครได้อยู่บัดเดี๋ยวนี้แล้ว”
องค์สุริยาทิตย์ได้สดับขุนพลคู่บัลลังก์ทูลแล้วให้สะท้อนใจ
“เรามิไป” เจ้าเหนือชีวิตรับสั่งหนักแน่น “เราจะอยู่รอรับมือเจ้าพี่หริวัสที่นี่ ท่านจงพาอทิตยาและลูกของเราหนีไปเทอดท่านขุนพลวจักร”
“ไม่เพคะ หม่อมชั้นขออยู่ร่วมชะตากรรมกับพระองค์ “ องค์ผู้เป็นอัครมเหสีรับสั่งสวนขึ้น “ในเมื่อคราวสุข หม่อมชั้นก็เสวยสุขร่วมด้วยพระองค์ หากพอมีทุกข์ พระองค์จักขับไล่ไสส่งหม่อมชั้น หม่อมชั้นมิยอม ทุกข์ก็ต้องทุกข์ด้วยกันซิเพคะ”
สุริยาทิตย์แย้มโอษฐอย่างปลื้มพระทัยในถ้อยทูลขององค์มเหสีคู่ยาก
“เราขอขอบใจในน้ำใจเจ้ายิ่งนักอทิตยา” เจ้าเหนือชีวิตรับสั่งตอบ “สมแล้วที่แม่เป็นศรีมิ่งเมืองของเรา”
น้ำตาแห่งความปิติเออล้นขอบพระเนตรเจ้าเหนือชีวิตอโยธยา
“ตกลงเราจะร่วมทุกข์ด้วยกัน”
“แล้วพระโอรสล่ะพระเจ้าข้า จักทรงทำเช่นไร” ขุนพลวจักรทูลถาม
เมื่อนั้นเององค์สุริยาทิตย์จึงระลึกถึงพระโอรสน้อยที่เพิ่งประสูติของพระองค์
พระองค์ทรงรับพระกุมารจากพระหัตถ์พระมเหสีมาอุ้มไว้แนบอุระอย่างอาลัย
“พ่อนี้แลบุญน้อยนัก มิอาจฟูมฟักอุปถัมภ์เจ้านั้นจนเติบใหญ่ได้ ครั้นจะให้เจ้าอยู่ร่วมรับชะตากรรมด้วยก็มิอาจหักใจ” สรุเสียงสะท้อนไห้อยู่ในพระทัย “ดวงใจพ่อเอย จำพ่อต้องยอมตัดใจพรากเจ้าไปจากอกพ่อแล้วบัดเดี๋ยวนี้”
พระกระแสรับสั่งนั้นรันทดใจยิ่งนัก
“อทิตยาเจ้าจงเข้ามากอดลูกเราเป็นครั้งสุดท้าย เพราะนับจากเพลานี้ไป เราอาจจักไม่ได้พบเค้าอีกตราบสิ้นชีวิตนี้”
พระแม่เจ้าแห่งอโยธารับพระกุมารมากอดไว้แนบพระอุระ
น้ำพระเนตรนอง กรรณ์แสงปริ่มราวจะขาดใจ
“วจักร การเดียวที่เราจักขอให้ท่านทำเพื่อเราในครั้งนี้ก้อคือ พาลูกเราหนีให้พ้นราชภัย” เจ้าเหนือชีวิตอโยธยามีรับสั่งต่อขุนศึกกล้า
“ข้าพุทธเจ้าขอถวายชีวิตเป็นราชพลีพระเจ้าข้า” ขุนพลกล้าสนองพระกระแสรับสั่ง
“ขอบน้ำใจท่านนัก”
เจ้าเหนือชีวิตตบบ่าข้าในแผ่นดินผู้นี้ด้วยซึ่งในน้ำใจ
§
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น