ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE DIAMOND OF GOD

    ลำดับตอนที่ #1 : กบฏหริวัส

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ย. 51


                  

    ดูก่อน.... ชนผู้เจริญแล้วทั้งหลาย

    ในบรรพกาลแต่โบราณล่วงมานั้น  ยังมีมหานครหนึ่งรุ่งเรืองสถาพรอยู่เหนือลุ่มน้ำสายใหญ่นามว่าอโยธยาแลนามแห่งมหานครแห่งนี้ก็มีชื่อเฉกเช่นเดียวกันลำน้ำนั้น 

    อโยธยาแห่งยุคอยู่ภายใต้การปกครองของเศวตฉัตรแห่งสุริยะวงศ์  โดยองค์สุริยาทิตย์เป็น พระเจ้าอยู่หัวเคียงข้างด้วย พระนางอทิตยาพระแม่เมือง มิ่งขวัญชาวประชา  บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข ด้วย เพราะองค์เจ้าผู้อยู่เหนือชีวิตทรงไว้ซึ่งทศพิศราชธรรม เหล่าอานาประชาราษฎร์จึงเป็นสุขสโมสรเกษมศรี้

    จวบจนกระทั่ง…. ณ ราตรีหนึ่ง

    พระนางอทิตยาทรงมีพระสุบินนิมิตว่า ได้เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปเฝ้าเบื้องยุคลบาท องค์มหาเทวีณ ทิพย์พิมานบนแดนสรวง

    §         

    ที่นั้นร่มเย็นสงบ... ยากยิ่งจักอรรถธิบาย

    มันเป็นความวิจิตรพิศดารของศิลปะกรรมที่มิอาจพบพานในโลกมนุษย์

    มหาสถานกอปรด้วย ลานกว้างสุดลูกหูลูกตาและพระแท่นราชอาสน์

    เสมาบอกเขตมหาสถานป็นเสาหินสี่ต้น ล้วนประดับด้วยเพชรนิลจินดา แลแต่ละต้นหล่อขึ้นจากทองนภคุณ สุกอร่ามเรืองรองสวยงามยิ่งนัก

    แลเหนือพระแท่นราชอาสน์ที่อยู่สุดโถงสถานนั้น ปรากฏองค์พระนางผู้เป็นใหญ่แห่งแดนสรวง  พระสิริโฉมงามยิ่งนัก พระพักตร์ชวนพิศจนมิอาจละสายตา  ทรงพระภูษาสีแดงเลือดนก ประดับเครื่องต้นและสังวาคย์ยอพระเกียรติยศ

    พระวรกายด้วยทัพพะรังสี  และพระกรทั้งสี่ทรงไว้ซึ่ง

    พระสังข์ เอกลักษณะแห่งความสันติสุข

    พระเวท มหาคัมภีร์อเนกอันตน์คุณ

    พระแสงดาบ ซึ่งสถิตไว้ด้วยเดชเดชาอันทรงฤทธิ์แห่งพระองค์

    พระปทุมชาติ บงกชแห่งอมฤตาลัย 

    แลพระนางผู้ปรากฏกายอยู่ตรงเบื้องพระพักตร์พระองค์ในขณะนี้นั้นคือ  พระศรีแม่แห่งเหล่าเทพทั้งปวง

    เข้ามาซิ มิต้องกลัวเราดอก

    สุรเสียงซึ่งกอปรไว้ด้วยอำนาจและความปราณีรับสั่งบอก ขณะที่พระแม่เจ้าแห่งอโยธยากำลังตรึงงันไปกับความใหญ่โตมโหฬารแลสวยงามของทิพย์วิมานสถาน

    ดวงเนตรบนพักตร์งามระยับฉายแววอารียิ่ง

    เราขอมอบแก้วรัตนานี้ เป็นมิ่งขวัญแก่เจ้า...อทิตยา

    พระนางผู้เป็นพระศรีแม่แห่งเหล่าเทพทั้งปวงมีกระแสรับสั่ง  ครั้นสิ้นพระสุรเสียง แก้ววิเศษก็อุบัติขึ้นที่ตรงกลางฝ่าพระหัตถ์ขององค์มหาเทวี

    ประกายแก้วนั้นเป็นสีรุ้งเรืองรองเปล่งรัศมีเป็นที่ต้องตา

    พระแม่เจ้าแห่งอโยธยายื่นพระหัตถ์ออกไปเบื้องหน้าเพื่อรับพระราชทาน  ลูกแก้วนั้นก็ลอยมาประทับอยู่กลางพระหัตถ์ของพระองค์ 

    พระนางชื่นชมแก้วรัตนานั้นด้วยความปิติยิ่ง

    และในทันใดนั้นเอง...  อสูรตนหนึ่งก็อุบัติขึ้นตรงเบื้องหน้าพระพักตร์ เข้าจู่โจมมุ่งหมายจะทำร้ายให้ถึงแก่ชีวัน แก้วรัตนาในพระหัตถ์ก็กลายเป็นองค์เทพบุตรทรงหลังวายุภักษ์ออกมาสัปยุทธ์ด้วยอสูรตนนั้น

    แลเมื่อนั้น พระแม่เจ้าแห่งอโยธยาจึงทรงสะดุ้งตื่นด้วยความตกพระทัย

    §         

    เป็นอะไรรึอทิตยา

    เสียงพระผู้เป็นสวามีตรัสถามขึ้นอย่างตกพระทัย 

    หม่อมชั้นฝันร้ายเพคะพระนางตรัสตอบเสียงสั่นเทา เพราะยังไม่หายตกพระทัย

    แค่ฝันเท่านั้นหาใช่ความจริงไม่ เจ้าอย่ากลัวไปเลย

    เจ้าเหนือชีวิตแห่งอโยธยารับสั่งปลอบ  สองหัตถ์ตระครองกอดองค์ผู้เป็นพระอัครมเหสี

    ไหนเจ้าจงเล่าให้เราฟังซิว่าเจ้านิมิตถึงสิ่งใด

    เมื่อนั้นพระแม่เจ้าแห่งอโยธยาจึงทูลเล่าถึงสุบินนั้นถวาย

    §          

    ครั้นพอเช้าวันรุ่ง... โหราจารย์ผู้เฒ่าก็ถูกเรียกตัวให้เข้าเฝ้าถวายคำทำนายในนิมิตของพระเทวีในครั้งนี้เป็นการด่วน

    ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า พระสุบินขององค์พระมเหสีนั่นนับเป็นนิมิตดีพระพุทธเจ้าข้า โหราผู้เฒ่ากราบบังคับทูล ตามพระสุบินของพระองค์นั่นพยากรณ์ได้ว่า จักมีผู้มีบุญญาธิการมาจุติพระพุทธเจ้าข้า

    เจ้าเหนือชีวิตแห่งอโยธยาได้สดับเช่นนั้นก็ทรงพระสรวลด้วยความดีพระทัย

    เห็นมั้ยอทิตยา เราบอกแล้วว่าฝันของเจ้านั้นเป็นนิมิตดี

    แล้วที่แก้วรัตนากลายเป็นเทพบุตรออกมาสัปยุทธ์กับอสูรเล่าโหราท่าน หมายความว่าเช่นไร  พระแม่เจ้าแห่งอโยธยารับสั่งถามมาอย่างกังวลพระทัย      

    ขอเดชะ ตามพระสุบินที่นิมิตว่า  แก้วรัตนากลายเป็นเทพบุตรออกสัปยุทธด้วยอสูรจนแหลกพ่ายไปนั้น ทำนายว่าด้วยบุญญาธิการแห่งราชโอรสที่กำลังจะถือพระประสูติการนั้นจักทำให้อริราชศัตรูผู้คิดร้ายต่ออโยธยาพ่ายแพ้ไปพระพุทธเจ้าข้า

    องค์อทิตยาได้สดับคำพยากรณ์จึงคลายความวิตกกังวลลง

    งั้นก็นับว่าเป็นเรื่องดีทั้งสองเลยซิท่านโหรา  เจ้าอยู่หัวอโยธยารับสั่งอย่างพอพระทั

    พระเจ้าข้า โหราผู้เฒ่ารับสนองรับสั่ง

    §         

    ครั้นแล้วเมื่อล่วงมาอีกเก้าขวบเดือนต่อมา

    องค์อทิตยาก็ทรงพระครรภ์แก่ใกล้คลอดหมอตำแยหลวงถูกเรียกตัวให้เข้าถวายงานตั้งแต่ยังมิทันจะเข้ายาม ย่ำรุ่ง   ครั้นพอได้เพลาแสงเงินแสงทองเริ่มจับท้องฟ้าพระแม่เมืองอโยธยาก็ทรงเจ็บพระครรภ์ พระกุมารน้อยก็ถือประสูติการ

    พระฉวีของพระกุมารน้อยนั้นผ่องดังอาทิตย์ทอแสงยามรุ่งอรุณ  แลตรงกลางหว่างอุระนั้นกับมีรอยปานเป็นรูปสาย วัชระเป็นที่น่าอัศจรรย์ 

    ด้วยเหตุฉะนี้  พระราชบิดาจึงทรงประทานพระนามแก่พระโอรสน้อยว่า

    แสงสุรีย์ -- แสงแรกแห่งสุริยะ

    §         

    แลในเพลาเดียวกันนั้น  ณ มุมสงัดในเขตบรรพภคีรี ในอวัตตะวลี

    แสงแห่งกองอัคคีที่ก่อขึ้นไว้เพื่อให้แสงสว่างแลความอบอุ่นภายในคูหาถ้ำ  ตรงเบื้องหน้าแท่นอันซึ่งร่างหนึ่งประดิษฐานนั่งขัดสมาธิเพชรหลับตาบำเพ็ญตบะสั่นไหวเพราะอำนาจแห่งพระพายที่โชยเข้ามาใสคูหาถ้ำ

    ร่างนั้นคือ หริวัส

    ผู้ดำรงอิสริยะยศเป็นถึงพระเชษฐาองค์โตแห่งสุริยะวงศ์ 

    ทรงเป็นศิษย์เอกของฤษีสัปตะแห่งไกรลาสบรรพต  จึงทรงเรืองเดชเวทวิทยาและเชิงอาวุธทั้งปวงจนยากจะหาผู้ใดในสามโลกต่อกรกับพระองค์ได้

    ทั้งๆ ที่ทรงปรีชาสามารถเหนือองค์สุริยาทิตย์ในทุกๆ ด้าน  แต่กลับมิได้รับความไว้วางพระทัยจากสมเด็จพระราชบิดาให้ขึ้นผ่านพิภพครองบัลลังค์ศรีอโยธยา  ก็ด้วยเพราะเหตุมีพระมารดาเป็นเพียงพระสนมที่มิได้สืบสันตติวงศ์เป็นราชสกุล

    พระองค์จึงทรงปลีกวิเวกออกมาบำเพ็ญตบะถวายเป็นบัตรพลีแด่องค์มหาเทพบนแดนสรวงเพื่อลุในอำนาจที่เหนือกว่าอำนาจใดๆ ทั้งปวง 

    อันเป็น ไสยโยคี วีถีแห่งอสูร 

    ด้วยเพราะภาคหนึ่งแห่งองค์มหาเทพนั่นคือ อสุรเทพ

    นับเนื่องจนถึงราตรีนี้ก็รวมเพลาได้เจ็ดขวบปีแห่งการถวายสัตย์นั้น

    ครั้นพอถึงเวลาสองยามอันเป็นวาระสิ้นสุดของการบำเพ็ญตบะนั้น  ท้าวเธอก็ค่อยๆ ถอยออกจากญาณสมามิทีละขั้นๆ

    จากกายทิพย์ที่เป็นอยัตตะนะ  ค่อยๆ กลายเป็นยัตตะนะ

    จากยัตตะนะ เป็นกายละเอียด

    จากกายละเอียดเป็นกายหยาบ

    และจากกายหยาบก็ค่อยๆถอยออกจากสมาธิทั้งเจ็ดขั้น ทีละขั้นๆ

    จนถึงขั้นสุดท้ายก็ยกพระกรทั้งสองขึ้นพนมมือสาธุการเหนือพระเศียรก่อนรับสั่งคำถวายบัตรพลี

    ข้าแต่องค์มหาเทพผู้เป็นใหญ่ในแดนสรวง บัดนี้ข้าพุทธเจ้าหริวัสแห่งสุริยะวงศ์  ได้กระทำบัตรพลีกรรมสำเร็จลุล่วงครบกำหนดเจ็ดขวบปีตามสัจจะสัญญาที่ได้ทูลถวายไว้  ขอพระองค์ได้โปรดทรงรับพลีกรรมที่ข้าพุทธเจ้านั่นได้กระทำในการครั้งนี้ด้วยเทอญ

    พอสิ้นรับสั่งก็บังเกิดลมหมุนวูบใหญ่ หอบเอาเปลวอัคคีเบื้องหน้าลุกโชนขึ้นจนสูงท่วมหัวร่างที่นั่งบำเพ็ญญาณอยู่บนแท่นหินอย่างเป็นอัศจรรย์ราวกับพระเพลิงกองนั้นต้องน้ำมันราดให้รุกโชน

    ดูกรหริวัสเราประจักษ์แล้วในความตั้งใจจริงแห่งเจ้า

    สุรเสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งดังขึ้นกึกก้องไปทั่วทั้งคูหาสถาน

    ด้วยญาณสมาบัติที่เพียรฝึกมาทำให้หริวัสตระหนักแจ้งในทันทีว่าสุรเสียงที่กำลังได้สดับอยู่บัดเดี๋ยวนี้นั้น คือองค์มหาเทพผู้เป็นใหญ่ในแดนสรวงนั่นเอง 

    จอมเวทย์รีบก้าวลงจากแท่นศิลาลงมาคุกเข่ากับพื้นถ้ำ พร้อมกับถวายบังคมเมื่อกายทิพย์อันเป็นกายปกติแห่งองค์มหาเทพค่อยๆ ปรากฏองค์ขึ้นกลางเปลวเพลิงตรงหน้า

    ถวายบังคมพระเจ้าข้า

    บัดนี้เราได้รับพลีกรรมที่เจ้ากระทำเพื่ออุทิศให้เรานั้นได้ยังผลแล้ว  เจ้าต้องการอันใดเป็นสิ่งตอบแทนจงแจ้งแก่เรา

    ข้าพุทธเจ้ามิประสงค์สิ่งใดๆ นอกเสียจากปราถนาเพียงจักมีอาวุธคู่กายที่ยากจะหาผู้ใดต่อกรได้พระพุทธเจ้าข้า

    เจ้าเองก็เรืองเดชเวชวิทยาอยู่แล้ว ใยจำต้องหาอาวุธวิเศษอันใดอีกเล่าหริวัส

    ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท อันว่านักรบนั่น แม้นจะช่ำชองเชิงอาวุธสักเพียงใด แต่หากไร้ซึ่งอาวุธวิเศษคู่กายแล้วไซร้  ก็ยากนักจักแสดงอานุภาพแห่งเชิงอาวุธนั้นให้ประจักษ์ เฉกเช่นข้าพุทธเจ้าแม้นเรืองเดชเวชวิทยาสักปานไหน เมื่อไร้ซึ่งยอดอาวุธอันวิเศษ อุปมาก็เหมือนพยัคฆ์ไร้เขี้ยวฉันนั้นพระพุทธเจ้าข้า

    คารมเจ้าช่างเจรจานักหริวัส…” สุรเสียงกล่าวอย่างพอพระทัย เห็นแก่บัตรพลีที่เจ้าอุตส่าห์บำเพ็ญเพียรแด่เรา เราจักมอบยอดสัตตราวุธแก่เจ้า

    ขาดกระแสรับสั่ง องค์มหาเทพก็ผายพระหัตถ์ออกไปตรงหน้า  พลันก็บังเกิดอาวุธเจ็ดชนิดขึ้นกลางฝ่าพระหัตถ์

    ในเมื่อเจ้าพำเพ็ญเพียรแก่เราเจ็ดขวบปี  เราก็ขอมอบอาวุธซึ่งมีนามว่า สัตตอาวุธแก่เจ้า อาวุธชิ้นนี้สามารถแปลเปลี่ยนเป็นอาวุธต่างกันได้ถึงเจ็ดชนิดสุดแต่จิตพิศฐาน…”

    ดาบมรกต ดาบที่ตีขึ้นจากมรกตแดนสุขาวดี  ประกายเขียวส่องล้ำคมเลิศตัดได้แม้ผิวทองแดงแห่งยักษ์รณจักรในตำนานเทพปกรณัม

    หอกนวโลหะหอกที่หลอมขึ้นมาจากโลหะทั้งเก้าเป็นปลายหอก แล้วใช้ไม้เสาคล้ำบาดาลทำเป็นด้าม….  ผู้ใดครองหอกนวโลหะก็เหมือนได้ครองสี่คาบสมุทร   

    ตรีเพชรพลพ่าย  ทำขึ้นจากประกายเพชรแห่งตรีสูญของพญาวานร  เป็นที่ยำเกรงแก่อมนุษย์กึ่งเทพทั้งปวง

    บ่วงบาศมลายสูญซึ่งทักทอขึ้นจากสายเอ็นในกายของพญานาคาแห่งสี่คาบสมุทร  แม้นเทพบนสวรรค์หากถูกพันธนากรด้วยบ่วงบาศนี้แล้วไซร์ ก็ยากนักที่จะหลุดพ้นไปได้

    คฑาวัจนะคฑาศักดิ์สิทธ์จากแดนทิพย์ของพวกอมตะ ปลายหนึ่งชี้เป็น ปลายหนึ่งชี้ตาย  

    จักรพยนต์จักรเทพเจ้าที่ตัดได้แม้แต่เทือกบรรพตหิมาลัย

    และสุดท้ายธนูวัชระธนูสายฟ้า มันผู้ใดต้องธนูวัชระ เหมือนต้องสายอสุนิบาตแห่งพระอิศวรเจ้า

    ด้วยสุดยอดศราตราวุธทั้งเจ็ดนี้ ยากนักที่ผู้ใดในสามโลกจะทัดทานเจ้าแล้วหริวัส  แม้นแต่เหล่าเทพบนสวรรค์ก็ยากจะหาญต่อกรด้วย

    ขาดคำอาวุธทั้งเจ็ดก็ดำเนินจากพระหัตถ์แห่งองค์มหาเทพสู่หริวัส  ศราตราวุธทั้งเจ็ดลอยหมุนอยู่รอบตัวหริวัส  

    ศิษย์เอกแห่งสัปตะฤษีมองยอดศราตราวุธอย่างกระหยิ่มใจ  ก่อนจะก้มเศียรลงกราบถวายบังคมแด่องค์มหาเทพ

    เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้แล้วพระเจ้าข้า

    จอมเวทย์กราบบังคมทูลอย่างดีพระทัย

    ดูก่อนหริวัส

    สุรเสียงอันทรงอำนาจรับสั่ง

    อันว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าฉันใด แม้นสัตตอาวุธที่ข้าประทานแก่เจ้านั้นจะเรืองฤทธิ์สักเพียงไหน  แต่อันเป็นธรรมดาโลกนั้น มีผูกย่อมต้องมีแก้  ทุกสิ่งในโลกย่อมมีของเป็นคู่ปรับกันเป็นธรรมดา แม้นสัตตอาวุธเองก็เช่นกัน ไม่มีข้อยกเว้น

    หริวัชที่กำลังเหิมลำพอง... นิ่งอึ้งไปถนัดใจ

    แล้วสิ่งใดเล่า เป็นคู่ปรับแห่งสัตตอาวุธพระเจ้าข้า

    มณีนพเก้า มณีแห่งตำนานเทพปกรณัม  

    สุรเสียงทรงอำนาจรับสั่งก่อนพระวรกายจะเลือนหายไป

    มณีนพเก้า

    จอมเวทย์ทวนกระแสรับสั่งอีกครั้ง เค้าเคยได้สดับนามนี้จากมหาฤษีผู้เป็นอาจารย์มาก่อน หากแต่ไม่เคยคิดว่า ตำนานปรัมปราจักเป็นเรื่องจริง

    §         

    จันทร์ดิถีเพ็ญเต็มดวงเหนือศรีอโยธยานครยามนี้  แดงฉานไปด้วยสีเลือด

    ด้วยเพราะองค์ผู้เป็นพระเชษฐาแห่งเจ้าเหนือชีวิตศรีอโยธยาก่อการกบฏล้มล้างราชบัลลังก์

    ทหารล้อมวังนับหมื่นที่รักษาการอยู่รอบเขตพระราชฐาน  มิอาจต้านทานกำลังของพวกกบฎที่บุกทะลวงเข้ามาทุกทิศทุกทางได้  

    ขุนพลวจักรผู้ซึ่งประจำทัพอยู่ประตูหรดี   เห็นท่าว่ามิอาจยันรั้งทัพกบฏไว้ได้ จึงทิ้งประตูพระนครเข้าพระราชฐานชั้นในพร้อมทหารกล้าหน่วยหนึ่ง เพื่อนำเสด็จเจ้าเหนือชีวิตหนีราชภัยในครั้งนี้

    เสด็จหนีเทิดพระเจ้าค่ะ  ทัพพวกกบฏกำลังจะหักเข้าพระนครได้อยู่บัดเดี๋ยวนี้แล้ว

    องค์สุริยาทิตย์ได้สดับขุนพลคู่บัลลังก์ทูลแล้วให้สะท้อนใจ

    เรามิไปเจ้าเหนือชีวิตรับสั่งหนักแน่น  เราจะอยู่รอรับมือเจ้าพี่หริวัสที่นี่  ท่านจงพาอทิตยาและลูกของเราหนีไปเทอดท่านขุนพลวจักร

    ไม่เพคะ  หม่อมชั้นขออยู่ร่วมชะตากรรมกับพระองค์ องค์ผู้เป็นอัครมเหสีรับสั่งสวนขึ้น ในเมื่อคราวสุข  หม่อมชั้นก็เสวยสุขร่วมด้วยพระองค์  หากพอมีทุกข์ พระองค์จักขับไล่ไสส่งหม่อมชั้น หม่อมชั้นมิยอม ทุกข์ก็ต้องทุกข์ด้วยกันซิเพคะ

    สุริยาทิตย์แย้มโอษฐอย่างปลื้มพระทัยในถ้อยทูลขององค์มเหสีคู่ยาก

    เราขอขอบใจในน้ำใจเจ้ายิ่งนักอทิตยา  เจ้าเหนือชีวิตรับสั่งตอบ  สมแล้วที่แม่เป็นศรีมิ่งเมืองของเรา

    น้ำตาแห่งความปิติเออล้นขอบพระเนตรเจ้าเหนือชีวิตอโยธยา

    ตกลงเราจะร่วมทุกข์ด้วยกัน

    แล้วพระโอรสล่ะพระเจ้าข้า จักทรงทำเช่นไร  ขุนพลวจักรทูลถาม

    เมื่อนั้นเององค์สุริยาทิตย์จึงระลึกถึงพระโอรสน้อยที่เพิ่งประสูติของพระองค์  

    พระองค์ทรงรับพระกุมารจากพระหัตถ์พระมเหสีมาอุ้มไว้แนบอุระอย่างอาลัย

    พ่อนี้แลบุญน้อยนัก มิอาจฟูมฟักอุปถัมภ์เจ้านั้นจนเติบใหญ่ได้  ครั้นจะให้เจ้าอยู่ร่วมรับชะตากรรมด้วยก็มิอาจหักใจ สรุเสียงสะท้อนไห้อยู่ในพระทัย  ดวงใจพ่อเอย จำพ่อต้องยอมตัดใจพรากเจ้าไปจากอกพ่อแล้วบัดเดี๋ยวนี้

    พระกระแสรับสั่งนั้นรันทดใจยิ่งนัก

    อทิตยาเจ้าจงเข้ามากอดลูกเราเป็นครั้งสุดท้าย  เพราะนับจากเพลานี้ไป  เราอาจจักไม่ได้พบเค้าอีกตราบสิ้นชีวิตนี้

    พระแม่เจ้าแห่งอโยธารับพระกุมารมากอดไว้แนบพระอุระ 

    น้ำพระเนตรนอง  กรรณ์แสงปริ่มราวจะขาดใจ  

    วจักร  การเดียวที่เราจักขอให้ท่านทำเพื่อเราในครั้งนี้ก้อคือ  พาลูกเราหนีให้พ้นราชภัย เจ้าเหนือชีวิตอโยธยามีรับสั่งต่อขุนศึกกล้า

    ข้าพุทธเจ้าขอถวายชีวิตเป็นราชพลีพระเจ้าข้าขุนพลกล้าสนองพระกระแสรับสั่ง

    ขอบน้ำใจท่านนัก

    เจ้าเหนือชีวิตตบบ่าข้าในแผ่นดินผู้นี้ด้วยซึ่งในน้ำใจ  

    §         

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×