ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ประวัติหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด

    ลำดับตอนที่ #1 : คำปรารภ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 247
      0
      2 ก.พ. 67

    คำปรารภ 
    ของ
     พระครูวิสัยโสภณ ( อาจารย์ทิม ธมมธโร )
    ...........................................................

    หนังสือตำนานเกี่ยวกับชีวะประวัติ
               ของ " หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด " ประวัติการสร้างพระเครื่อง และคุณอภินิหารพระเครื่อง  สมเด็จหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด  ได้จัดพิมพ์มาหลายครั้ง  และจัดพิมพ์กันเล่มละครั้ง  จึงบางเล่มก็มีข้อความที่ซ้ำกันเป็นบางตอน  บางเล่มก็ไม่มีข้อความที่เล่มอื่นมี  จึงในการจัดพิมพ์ครั้งนี้  อาตมาได้ประมวลเหตุการณืฃ์และข้อความทั้งหมดที่กล่าวไว้แล้ว  มาจัดพิมพ์เป็นเล่มเดียวกัน  ซึ่งจะเป็นการสะดวกต่อผู้ที่เคารพนับถือ " สมเด็จหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด "  ทุกท่านที่สนใจใคร่จะทราบตำนานชีวะประวัติ  และคุณอภินิหาร  พระเครื่อง  หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด  
    อนึ่ง  ในการจัดพิมพ์ครั้งนี้อาตมาได้คัดาเนา  หนังสือพงศาวดารจากเทศาภิบาล  เล่มที่๓-๔  สำเนาหนังสือครั้งกรุงเก่า  ว่าด้วยการพระราชทานที่กัลปนา  และยอเข้าตำราหมื่นตรา  พระธรรม  วิลาศเอาไปวิวาทเป็นหัวเมือง  มาลงไว้บางตอน
                          ( หนังสือที่อ้างถึงนี้กล่าวไว้เกี่ยวกับหลวงพ่อทวดทั้งนั้น)    ฉนั้นจึงจัดมาลงไว้แต่ตอนที่เห็นสมควรเท่านั้นเพื่อผู้ที่สนใจได้ศึกษา  และในการจัดพิมพ์ตรงตามตัวหนังสือของต้นฉบับเดิมทุกตัวอักษร  มิด้เปลี่ยนแปลงประการใด  ทั้งนั้นเพื่อเป็นการทรงไว้ซึ่งคุณค่าของ " พระราชพงศาวดาร "
                อาตมาของเชิญ  ดวงวิญญาณขององค์  " สมเด็จหลวงพ่อทวด "  ซึ่งสถิตย์อยู่  ณ  ทิพย์สถานพิมานใด   จงได้โปรดคุ้มครองป้องกันประเทศชาติให้ปลอดจากสรรพยันตรายทั้งปวง  และได้โปรดบันดาลความสุขความเจริญให้แก่ทุกๆท่านด้วยเถิด

     

    จากเทศาภิบาลเล่มที่ ๓-๔ ร.ศ. ๑๒๖  
    สำเนาหนังสือครั้งกรุงเก่า   ว่าด้วยการพระราชทานที่กัลปหา

    ยอเข้าตำราหมื่นตราพระธรรรม
    วิลาศเอาไปวิวาทเป็นหัวเมือง

            แลครั้งเกิดสมเด็จเจ้าพระราชมุนีมีบุญ  แลได้พระพุทธศักราช  ๙๙o  ฉลูสัมฤทธิศก  เมื่อเกิดแม่นั้นเป็นทรพล  เอาไปนาแลผูกเปลไว้  ณ  ต้นไม้หว้า   แลงูตระบองสลาขึ้นมาอยู่  ณ  บนเปลนั้น  แลแม่นั้นขึ้นมาจะกินน้ำ  แม่นั้นเห็นงูซึ่งขดพันอยู่  ณ  บนเปลนั้นก็ตระหนกตกใจกลัวจึงร้องเรียกวุ่นวายว่าตาหูเอ้ยๆว่าลูกกูตายแล้ว  ว่างูตะบองสลาขึ้นพันอยู่ ณ บนเปล  แลจึงตาหูก็แล่นมาดูลูกอ่อนก็ยังเป็นอยู่  แลจึงตาหูนั้นก็ให้ขอเข้า (ข้าวแต่ในหนังสือเขียนว่าเข้า) ตอกดอกไม้  ให้เอามานมัสการแก่เทพารักษ์ จึงงูนั้นก็เลื้อยไป  แลจึงพ่อแม่แลเพื่อนนานนั้นก็เข้าไปดูกุมาร  ณ  ดปลนั้น  ก็เห็นแก้วใบหนึ่ง  จึงพ่อก็เอาไว้สำหรับกุมารนั้นแล้ว   อยู่มากุมารนั้นก็ค่อยจำเริญอายุสถาพรแล้ว  แลบิดาก็นำเอาไปบวชไว้  ณ  วัดกุฎีหลวงซึ่งสมเด็จพระจวงอยู่นั้น   แล้วก็ให้ชื่อเณรปู   แลชีต้นก็ให้ร่ำเรียนนโม  ก  ข  แลขอมไท   จบแล้วจึงเรียนธรรมบททศชาติ  สมเด็จพระชินเสน  ณ  วัดศรีกูญัง  จบธรรมบททศชาติแล้วเป็นเวลาช้านาน   แล้วเข้าไปเมื่อนครศรีธรรมราชนั้น  อยู่ร่ำเรียนเป็นหลายปีครบอายุยี่สิบเอ็ด   แลพระขุนลกก็รับเอาเจ้าเณรปูไปศู่สำนัก  พนะเณรปิยทสสีนั้น   เรียนว่าจะบวชเจ้าเณรปูเป็นภิกขุ  แลจึงพระมหาเณรนั้นก็คิดด้วยสงฆ์ในอาราม  ว่าพัทธสิมา  อุทกสิมา  หามิได้  แลจึงให้พระขุนลกจัดหาเรือมาดตะเคียนลำ ๑ มาด พยอมลำ ๑ มาด  ยางลำ ๑ มาด  เอามาขนาน ณ  คลองน่าท่าเรือแล้ว แลพระขุนลกแลญาติพี่น้องก็แต่งสบงจีวรครบด้วยธูปเทียน  แล้วเจ้าปู่ไปสู่พระมหาเณรปิยทสสีเป็นอุปัชฌา จารย์  แลพระมหาเณรพุทธสาครเป็นกรรมวาจา     แลพระมหาเณรศรีรัตนเป็นอนุ   แลบวชเจ้าเณรปู่เป็นภิกขุแล้ว   จึงพระมหาปิยทสสีก็ให้นามชื่อเจ้าสามิราม  แล้วให้อยู่ตามกิจสงฆ์และร่ำเรียนธรรมสืบไปเป็นช้านาน แลยังมีเรือเจ้าสเภาอิน  (เจ้าสำเภาในหนังสือเขียนเจ้าสเภา)  จะเข้ากรุงเทพมหานคร  จึงเจ้าสามิรามไปถามเจ้าสเภาอินว่าจะโดยสารเรือเข้าไปด้วย   จึงเจ้าสเภาอินก็ถามว่าซึ่งเจ้าสามิจะไปนี้ประสงค์แก่อันใด   แลบาทเจ้าว่าจะไปเรียนธรรม  แลเจ้าสเภาอินก็โมทนาขอนิมนต์พระเจ้าไป  และจึงเจ้าสามิรามก็กลับมาลาชีต้นทั้งสามองค์นั้น   แล้วก็ไปด้วยเจ้าสเภาก็ใช้ใบเรือไปแล  ครั้นถึงกลางทะเลเป็นปัจจุบันกาลเรือนั้นก็ต้องพายุ  แลครั้นสงบพายุใหญ่เจ็ดวันเจ็ดคืน  จึงเจ้าสเภาก็ขึ้งโกรธว่าตาชีนี้มาจึงเรือต้องพยุ(พายุ)    แลครั้นสงบพยุแล้วจึงเจ้าสามิก็ลงไป  ณ  เรือสัดจอง   จึงเอาเท้าข้างซ้ายเป็นทู่นั้นแช่ลง  ณ  น้ำๆนั้นก็จืด   แลจึงสามิก็อาบน้ำนั้น  จึงเจ้าสเภาก็ถามว่าลงอาบน้ำนั้นเค็มหรือจืด   จึงบาทเจ้าก็ว่าจืดแลบาทเจ้าก็ตักกระบวยตักน้ำมายื่นให้แก่เจ้าสเภา  จึงเจ้าสเภาก็รับเอาชิมดูน้ำนั้นก็จืด  แลเจ้าสเภาก็ให้ลูกเรือทั้งนั้นตักใส่โอ่งฉางอ่างตุ่ม  จึงเจ้าสเภาก็ยินดีเอาเป็นชีต้นปฏิบัติรักษาแล้วก็ใช้เรือไป
                                                ครั้งเมื่อไปถึงเมืองศรีอยุธยา  จึงเจ้าสเภาก็ไปถามให้อาไศรย  ( อาศัย )  ณ  วัดแค  แลเจ้าสามิก็อาไศรย  (อาศัย )อยู่ที่นั้น   แลเจ้าสเภาอินจะกลับมาเมืองนคร   จึงเจ้าสเภาก็เอาอ้ายจันผู้ทาษ (ทาส )  ค่าเป็นเงินตำลึงให้รักษาเจ้าสามิราม  แลเจ้าสเภาก็กลับมาที่เมืองนครแล   แลจึงบาทเจ้าก็ไปเรียนธรรม          ณ  วัดลุมพลีนาวาดช้านาน    แลอยู่มามีประเทศเอาพระธรรมทั้งเจ็ดคัมภีร์เขียนใส่แผ่นทองเท่าใบมะขาม  ใส่หม้อ   เอามาทายเปนปฤษณา ( ปริศนา ) ให้แปลก็แปลได้ไซ้จะถวายสิ่งของทั้งลำสเภานั้นแล  จึงมีพระบรมราชโองการตรัสสั่งชุมนุมสงฆ์ทั้งหลาย   ทั้งเมืองกรุงศรีอยุธยานั้นแล  จึงพระสงฆ์เจ้าทั้งหลาย   ก็ไปชุมนุมตามมีพระราชโองการตรัสสั่งนั่นแล   พระสงฆ์ทั้งหลายประดับมิได้  จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งแก่               ขุนศรีทนนไชย    ให้ป่าวพระสงฆ์อันมาแต่เมืองนอกขัณฑเสมาประจันตประเทศ   จึงสงฆ์ทั้งปวงอันมาแต่เมืองข้างนอกทั้งนั้นให้สิ้นเสร็จ    จึงขุนศรีทนนไชยก็ไปนิมนต์พระรามเข้าไป  ณ  ที่ชุมนุม   จึงสัปรุษย์จันตักน้ำมาล้างตีนบาทเจ้าพระรามก็เหฦนเป็นประหลาด   ซึ่งเหยียบศิลาอันลุ่ม   จึงสัปรุษย์จันก็เอาด้าย  เจาะชายจีวรแล้ว   แลขุนศรีทนนไชยก็ผายๆกูจะเอาพระราม(หลวงปู่ทวด)เข้าไป   แลพระบาทรามก็คลานเข้าไปถึงอาจารย์   จึงพระรามก็นั่งลงแล้วไหว้อาจารย์   จึงราชทูตทั้ง๗คนก็ว่าเอาเด็กสอนคลานมาให้แก้ปฤษณา (ปริศนา )ก็บอกแก่อาจารย์ว่าให้กรมการกฎหมายไว้   แล้วพระรามก็ว่าแก้คำราชทูต  ว่ากุมารเมื่อออกแต่ครรภ์พระมารดากี่เดือนกี่วันจึงรู้คว่ำ   กี่เดือนจึงรู้นั่ง   กี่วันจึงรู้คลาน  จึงผู้รู้หลักนั้นว่าเราจะแก้มิได้   จึงบาทเจ้ารามก็ถามราชทูตว่า  รู้คว่ำแก่หรือว่ารู้คลานแก่จึงราชทูตก็ว่าแก้คำพระรามนั้นมิได้   ก็แพ้พระรามนั้นแล
                        จึงพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว  ก็ให้เอาเตียงทองมารองรับ   ให้ราชทูตเอาอักษรอภิธรรมทั้งเจ็ดคัมภีร์มากองเป็นเจ็ดกอง  จึงพระรามก็เอาอักษรมาประดับ   จึงได้เป็นแถวแนวทั้งเจ็ดคัมภีร์   จึงพระรามนักปราชว่ายังขาดอักษรเจ็ดตัวจะครบ   จึงราชทูตก็ว่ามีแต่เท่านั้นแล  พระรามก็ว่าแก่ราชทูตให้ทำทานบนเข้าต่อกันเล่า    ราชทูตมิสู้ทำแลจึงราชทูตก็ถามว่ายังขาดตัวใด   จึงพระรามก็ว่าสังตัวหนึ่ง  ตัววิตัวหนึ่ง  ตัวทาตัวหนึ่ง  ปุตัวหนึ่ง  กะตัวหนึ่ง  ดะตัวหนึ่ง ญะตัวหนึ่ง  จึงราชทูตก็เอาอักษรเจ็ดตัวออกมาแต่มวยผมมหาพราหมณ์   มายื่นให้แก่พระราม  แล้วราชทูตก็ขอแพ้แก่พระรามเป็นสองท่า  จึงราชทูตก็กราบไว้นมัสการแก่พระราม   แล้วก็ยกเอาเครื่องสิ่งของ  ณ  สเภา  ซึ่งราชทูตเอามานั้น  ถวายแก่บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ให้ปลูกกุฎีถวายแก่พระรามนักปราชแล้วถวายเมืองท่อนหนึ่ง   พระรามก็รับครองแต่สามวัน  แล้วก็คืนให้แก่บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวเล่า  ให้ครองอยู่ตามเก่านั้น  จึงพระรามก็คืดด้วยขุนศรีทนนไชย  สิ่งใดซึ่งยากแค้นแก่ไพร่แผ่นดิน  แลขุนศรีทนนไชยก็นิมนต์พระรามเข้าไปในวัง  ถวายพระพรพระราชกุศลแก่บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว  มีพระราชโองการตรัสถามพระรามนักปราช   ว่าเข้ามานี้ประสงค์แก่อันใด   จึงพระรามนักปราชขอพระราชทาน   ข้าส่วยหลวงซึ่งยากแค้น  แล้วเห็นวัดราชประดิษฐาน  จะขอพระราชทานสร้างพระอาราม  อย่าให้ส่วยหลวงเข้าในพระคลังแต่นี้ไปเมื่อน่า   จึงมีพระราชทานโปรดให้   แลตรัสใช้นายสามแลจอมขุนอินปัญญาออกไป      เอาสารบาญชีเบิกค่าส่วยไว้ให้เป็นค่าพระตาม  ซึ่งพระรามนักปราชขอพระราชทานนั้น  จึงนายสามจอมและขุนอินปัญญาก็เอาสารบาญเข้าไปทูลเกล้า  ทูลกระหม่อมถวายเป็นข้าพระนั้น ๓๐๐ หัวงานมีเลศ
      ผูกไว้ให้เป็นข้าพระศรีรัตนมหาธาตุในวัดพระราชประดิษฐาน   จึงมีพระบรมราชโองการตรัสให้ขุนศรีทนนไชยให้นิมนต์พระรามนักปราชเข้าไปในพระราชวัง   จึงมีพระราชโองการศรัทธาให้ทำเป็นกัลปนาอุทิศไว้ยกญาติโยมบ่าวไพร่ไร่นาดินป่าบูชาเทศนาธรรมเทศนา  ให้แก่พระรามนักปราชแล้ว  แลมีพระราชโองการตรัสว่า    เราจะกรวดน้ำคณทีเงินทองเห็นว่ามิแตก  จึงตรัสให้เอาคณทีกระเบื้องให้แตกที่เดียว  แล้วแลมีพระเราชโองการสาบานไว้ว่า   ถ้าผู้ใดแลลเมิด(แลละเมิด) พระบัณฑูรเบียดเบียนข้าพระคนทานไปใช้   ใหผู้นั้นตกนรกหมกไหม้   ได้ทุกขนิรันดร์   อย่าได้ทัน พระพุทธ  พระธรรม์ พระจันทร์   พระอาทิตย์  แลพระสงฆ์เจ้าสักชาติ  อย่ารู้คลาศอปราไชยในชั่วนี้ชั่วหน้า  ต้องสัจจาอษิฐานพระมหากษัตรย์เจ้าสาบาลไว้ทั้ง ๕๐๐๐ พระพรรษาแต่นี้เมื่อน่า  แลในท้องพระตำรานั้น  ให้ห้ามเจ้าพระตำรานั้น   ให้ห้ามเจ้าพระยาแลสัสดีเมืองพัทลุงอย่าให้ใช้ข้าพระ  ณ วัดพระราชประดิษฐาน  ลงเรือรบเรือไล่รักษาค่ายตัดหนังวังช้างส่งข่าวแลลงพ่วงรอ  แลงานสรรพมาตราทั้งปวง  งวดคราวสารพิไลย  เก็บโคกระบือทอดพริกทอดฝายทำนาที่ใต้กำแพงเมือง  ทำรั้วทำเรือนเจ้าเมืองแลข้าหลวง  อย่าให้เบียดเอาค่าน้ำค่านา  อากรขนอนตลาดหัวป่าค่าที่เชิงเรือน  เก็บเรือแลเครื่องเรืองานสรรพมาตราแต่สิ่งหนึ่งสิ่งใด  แลให้คงอยู่ตามพระตำราพระราชอุทิศไว้นั้นแลพระรามนักปราชให้มหาเณรศรีผู้น้อง   คุมสมุทบัญชีหัวงานข้าพระ   ซึ่งพระราชอุทิศไว้ให้เป็นค่าพระแบให้ไว้รักษาให้ไว้รักษาวัดพระราชประดิษฐานแลทำพระมาลิกเจดีย์  ณ  วัดพระราชประดิษฐานนั้น  สูงเส้นห้าวามีเสศ(เศษ)  แลมีพระห้องรอบตามราชจำนงแต่ครั้งองค์พระเจ้ารามาธิบดีเสวยราชสมบัติ   พระราชทานให้ข้าหลวงจ่าพรหมานออกมาบำรุงช่วยพระมหาเถรศรีผู้น้องพระรามนักปราชนั้น  ให้ข้าหลวงแต่งสเภาปากสามวาศอก  บรรทุกอิฐแลยอดพระมาลิกเจดียพระมหาธาตุออกมาแต่เมืองศรีอยุธยา  แลให้นายจัน  พี่สมเด็จเจ้าพระรามนักปราชถือยอดพระ  ซึ่งหล่อด้วยเบญจโลห  ยาวสามวาสามคืบ   แลยอดพระนั้นมีพระราชทานโปรดแต่งให้ออกมาแต่พระราชมณเฑียร   แลเครื่องประดับประดายอดพระนั้น   พระราชทานแต่งออกมาแต่คลังหลวงแลซึ่งพระราชทานไว้ให้เป็นข้าคนทานรักษาสืบๆ กันไปแต่นี้ เมื่อน่าไว้รักษาพระศรีรัตนมหาธาตุ ๕๐  รักษาพระธรรมศาลา ๒๐ รักษาอุโบสถ ๒๐ แต่นี้ไปเมื่อน่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×