ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF

    ลำดับตอนที่ #1 : Sugar

    • อัปเดตล่าสุด 21 ม.ค. 58


                    แสงไฟสลัวๆตามข้างทางทำให้รู้ว่าตอนนี้คือเวลากลางคืน

     

                สองเท้าย่ำไปตามข้างทาง รองเท้าหนังฝังลงไปในเกล็ดสีขาวหม่นๆบนพื้นหนาราวๆหนึ่งนิ้วเหมือนทุกวัน และเพราะหิมะที่เพิ่งหยุดตกไปเมื่อชั่วโมงก่อนทำให้การสัญจรไปมาลำบากขึ้นเล็กน้อยในกลางเมืองหลวง

     

    แต่สำหรับคนที่ใช้วิธีการเดินไปไหนมาไหนแบบเขาก็คงไม่กระทบอะไรมากมายนอกเสียจากอุณหภูมิที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนอยากจะประชดเข้าไปในนอนในช่องแช่แข็งของซุปเปอร์แถวบ้านให้รู้แล้วรู้รอด

     

                เขาไม่ได้สนใจรอบข้างมากมายนัก เสียงจอแจทั้งหมดถูกปิดกั้นด้วยหูฟังสีขาวหนึ่งกันกับเพลงในเพลย์ลิสต์นับสิบที่เขาตั้งเอาไว้แถมห่อทับด้วยผ้าพันคอผืนหนาและหมวกบีนนี่สีเข้มอีกชั้นจนเหลือแค่ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม ประกายหม่นๆดูไม่ค่อยจะเป็นมิตรสำหรับคนที่ผ่านไปผ่านมาเท่าไหร่นัก...นี่จึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าทำไมเวลาคนรู้จักเดินผ่านมาเรียกเข้า เขาจึงไม่เคยแม้แต่จะหันไปทักทายเลยซักนิด

     

                เอาเข้าจริงๆคนรู้จักของเขามีไม่มากนักหรอก

                ดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพื่อนสนิทเลย...ไม่นับชูก้าร์เจ้าแมวขี้เซานั่นเป็นเพื่อนสนิทหรอกนะ

               

                หลังจากที่จมกับตัวเองอยู่นาน เสียงเพลงหม่นๆที่ได้ยินถูกเปลี่ยนเป็นเพลงจังหวะไม่ช้าไม่เร็ว เสียงกีตาร์ที่คลอเคล้ากับบทเพลงหวานเบาๆทำให้คนฟังขมวดคิ้วเล็กน้อย เท่าที่จำได้มันไม่มีเพลงแบบนี้ในโทรศัพท์เขาแน่ๆ ครั้นจะเปลี่ยนก็คงไม่จำเป็น เพราะถัดไปอีกแค่สองสามบล็อกก็จะถึงแถวบ้านแล้ว อีกอย่างมือข้างหนึ่งก็กำลังโอบถุงผักจากร้านของชำ

     

                อากาศหนาวทำให้สองเท้าเร่งความเร็วให้มากขึ้นอีกนิด ดวงตาสีหม่นทอดมองไปข้างหน้าพลางภาวนาให้ถึงบ้านอุ่นๆของตัวเองซักที

     

                และไม่กี่อึดใจ เขาก็พาตัวเองเดินฝ่าอากาศหนาวและหิมะบนพื้นจนมาถึงที่หน้าบ้าน เขาขยับสายตาโฟกัสมองไปบนด้านบนของชานบันไดสี่ห้าขั้นที่ชันพอตัว ดวงตาสีหม่นที่คนรอบข้างมักจะเปรยบ่อยๆว่ามันเย็นชาดูมีประกายเล็กน้อยเมื่อมองไป

     

                ประตูสีน้ำตาลแดงที่ถูกทาสีไปเมื่อหลายเดือนก่อนทำให้มันค่อนข้างใหม่เล็กน้อย แต่ก็ไม่มากเท่ากับบ้านข้างๆของมิสคินเดอร์สันที่มักจะอวดเรื่องแปลงผักที่ไม่มีแม้แต่ผักจะโตขึ้นกับรั้วบ้านเตี้ยๆกับคนที่รู้จัก แน่นอนว่ารวมถึงเขาด้วย

     

                เขาล้วงหยิบกุญแจในกระเป๋าเสื้อโค้ทของตัวเอง มือไปแตะผ่านถุงร้อนที่พกมาด้วยทำให้รู้สึกดีขึ้นนิดๆ ก่อนที่จะควานหาโลหะอันจิ๋วสีเงินในขณะที่สองเท้ากำลังเดินขึ้นบันไดอย่างคุ้นเคย

     

                คิ้วเรียวขมวดมุ่นเล็กน้อยเมื่อไม่เจอในสิ่งที่ต้องการ เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายมาค้นหาในซอกเล็กๆของกระเป๋าสะพายแทน แม้จะทุลักทุเลเล็กน้อยเพราะมีถุงกระดาษในมือ แต่ก็เหมือนจะเป็นไปได้สวยเมื่อมือแตะลงบนเนื้อโลหะเย็นเฉียบ

     

                “เจอแล้ว”

     

                เรียวปากบางขยับยิ้มกับตัวเองภายใต้ผ้าพันคอที่หนาผิดปกติ มือหยิบกุญแจออกมาเตรียมจะไขประตูเพื่อเข้าไปพักในที่อุ่นๆ

     

                ทว่าอะไรบางอย่างที่ขวางประตูทำให้เขาเกือบจะทำกุญแจบ้านตกลงไปในแปลงผักหน้าบ้านของมิสคินเดอร์สัน พร้อมๆกับถุงกระดาษที่เกือบจะเทของทั้งหมดลงบนหน้าประตูบ้านของตัวเอง

     

                ไม่ใช่ทั้งเจ้าชูก้าร์ที่ชอบออกมาเดินเที่ยว

     

                และไม่ใช่พัสดุอะไรทั้งนั้น

     

                ปกติแล้วบันไดที่สูงและชันกว่าปกติ ทำให้เขาไม่สามารถจะมองเห็นตรงหน้าประตูบ้านได้ ยิ่งในวันที่ถือของมาเต็มไม้เต็มมือเช่นนี้

     

                แต่นี่มัน... “...”

     

                “เขา...เป็นใคร?”

     

     

     

     

                ผิวหนังขาวซีดที่โผล่พ้นขอบเสื้อแขนยาวตัวบางถูกหิมะกัดเป็นจ้ำทำให้เขาตัดสินใจพาอีกคนเข้ามาในบ้านอุ่นๆแทนจะนั่งสัมผัสอากาศหนาวต่อทั้งคืน

     

                เขาไม่อยากให้ใครมาหนาวตายหน้าบ้านตัวเองแบบนี้

                นั่นคือเหตุผลที่คิดหาให้ตัวได้หลังจากที่ลากชายหนุ่มแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน

     

                เอาเข้าจริงๆแล้ว...มันเป็นเพราะอย่างอื่นมากกว่า

     

                ในบ้านอุ่นเหมือนทุกวัน เตาผิงไฟขนาดพอเหมาะถูกจุดขึ้นเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงที่แล้ว เจ้าของบ้านตัวเล็กฮัมเพลงไปพร้อมๆกับฟังเสียงแตกตัวของเชื้อเพลิงที่โดนเผาเพื่อให้มั่นใจว่ามันยังมีเชื้อเพลิงพอใช้อยู่

     

                เสื้อโค้ทตัวหนาและผ้าพันคอถูกถอดไปพาดที่เก้าอี้นวมเก่าๆ หมวกบีนนี่ที่ใส่ประจำถูกถอดออกเผยให้เห็นผมสีน้ำตาลเข้มดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย เหลือเพียงแต่เสื้อสเวตเตอร์สีครีมหม่นตัวโคร่งคอเต่าที่ยาวปิดจนถึงแขนกับกางเกงยีนส์สีซีดยาวตามความยาวขา

     

                ตอนนี้เขากำลังจัดการอาหารมื้อเย็นวันนี้ ซุปเห็ดร้อนๆกับขนมปังอบใหม่ที่เพิ่งซื้อมาจากซุปเปอร์ฯทำให้รู้สึกหิวเพิ่มขึ้นมานิดหน่อย ร่างสมส่วนกำลังยืนคนซุปในขณะที่สูดกลิ่นหอมของครีมเห็ดเข้าไปประทังความรู้สึกหิว...

     

                เมี้ยว

     

                ไม่ทันไร เจ้าชูการ์แมวเปอร์เซียสีขาวสะอาดก็มาถูไถที่หน้าขา ขนฟูนุ่มทำให้มันดูน่าฟัดไม่น้อย หางที่มีขนเป็นพวงสะบัดลูบเนื้อหนังเจ้านายผ่านเนื้อผ้ายีนส์สีเข้มเหมือนกำลังออดอ้อน ซึ่งนั่นเขาเดาได้ว่ามันคงได้กลิ่นหอมๆของซุปและแน่นอนว่ามันหิว ถึงได้เข้ามาคลอเคลียอยู่ตอนนี้

     

                “นี่อาหารเย็นของฉันนะ” เสียงแหบหวานที่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากบ่นพึมพำเบาๆเอ่ยขึ้น สายตาและมือยังคงสาละวนกับหม้อเล็กๆที่มีซุปครีมเห็ดเหมือนมันเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงซึ่งเขาผู้เป็นเจ้าของก็หวังว่าจะไม่ได้ทำมันพังลง “อ่า...แล้วก็เป็นของเขาด้วย”

     

                เขาพูดเหมือนนึกขึ้นได้ ก่อนหน้านี้ราวๆครึ่งชั่วโมงที่กลับมาถึงบ้าน ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกลมโตเบิกกว้างเล็กน้อยตอนเห็นใครบางคนกำลังนอนสลบเหมือดในชุดเสื้อผ้าบางๆ ความรู้สึกกลัวที่ควรจะมีกลับถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกประหลาดใจ และทันที่ที่รู้สึกตัว ร่างที่หมดสติอยู่หน้าบ้านถูกย้ายมาไว้บนโซฟาหน้าเตาผิง

     

    นับได้ว่าเป็นอีกสถานที่ในบ้านที่เขาชอบอีกที่...นั่นก็เพราะมันอุ่นและสบาย

     

                ชูก้าร์ครางในลำคอบางเบาเหมือนต้องการจะสื่ออะไรซักอย่าง เด็กหนุ่มเดาเอาเองว่ามันคงกำลังเรียกร้องความสนใจอยู่เป็นแน่ เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นเมื่อรู้สึกถึงคมเล็บผ่านถุงเท้าสีเทาที่สวมอยู่ซึ่งคงไม่พ้นเจ้าตัวที่หัวเราะคิกคักอย่างถูกใจ

     

    แต่เจ้าแมวเหมียวไม่ได้เห็นเหมือนกันนัก หลังจากสะกิดสะเกาอยู่พักใหญ่ คนเป็นเจ้านายยังคงไม่ก้มลงมาสนอกสนใจ เจ้าแมวน้อยก็ตัดสินใจเดินผลุบหายเข้าไปในห้องนั่งเล่นเล็กๆแทน

     

    ดวงตาคู่เดิมมองตามพวงหางสีขาวผลุบหายเข้าไปในห้องนั่งเล่น เขาย่นจมูกเล็กน้อยก่อนจะบ่นพึมพำเบาๆกับตนเอง “งอนแน่เลย”

     

                มือหยุดคนซุปในหม้อซักพัก ชะโงกหน้าเข้าไปดูก็เห็นว่ามันเริ่มเดือด เขาเลยปิดเตาแก๊สแล้วยกฝาหม้อมาปิดไฟพักไว้ ก่อนจะเดินตามสิ่งมีชีวิตร่วมชายคาไปที่เดียวกัน

     

                เสียงลั่นเปรี๊ยะของถ่านไฟในห้องนั่งเล่นยังคงดังกลบความเงียบ แม้อากาศข้างนอกจะหนาว แต่เตาผิงไฟของบ้านนี้ทำให้เขาอุ่นมาได้ทุกปี รวมไปถึงชูก้าร์ที่มักจะมานอนเกลือกกลิ้งเล่นลูกบอลไหมพรมที่พื้นด้านหน้าอยู่บ่อยๆในหน้าหนาว

     

                “ชูก้าร์...”

     

                น้ำเสียงนุ่มเบาหวิว เหมือนกับกำลังกระซิบไปในอากาศ เคยมีคนบอกว่าน้ำเสียงแบบนี้ของเขาดูเซ็กซี่ปนน่ารัก มันทำให้เขามีเสน่ห์ไม่เบา แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจนัก มันเป็นเสียงที่เขาจะพูดกับอะไรๆที่สำคัญเท่านั้น

     

                ไร้เสียงตอบรับจากเจ้าของชื่อ ดวงตากลมโตมองไปยังด้านหลังของโซฟาที่หน้าเตาผิงเหมือนจะเพิ่งนึกออกว่ามีคนแปลกหน้ากำลังนอนหลับสบายอยู่ตรงนั้น เก้าอี้นวมสำหรับหนึ่งคนตั้งอยู่ข้างๆกันกับโต๊ะไม้เล็กๆสำหรับวางขนมคบเคี้ยวในยามพักผ่อน นึกสงสัยว่าอีกคนนอนหลับเข้าไปได้ยังไงทั้งที่กำลังเผชิญอากาศอันหนาวเหน็บที่ข้างนอกนั่น

     

    อื้อ

     

                เสียงครางอือเบาๆในลำคอทำเอาเขาสะบัดหน้าให้ควั่ก จนกระทั่งสายตาไปสะดุดกับหางอวบอ้วนสีขาวที่ตวัดไปมาอยู่หลังโซฟา

     

                ชูก้าร์...เพื่อนของเขากำลังเดินอยู่บนโซฟา

                และแน่นอน...มันกำลังเดินอยู่บนตัวเขา

     

                คนตัวเล็กเบิกตากว้างเมื่อนึกขึ้นได้ ครั้งล่าสุดเมื่อหลายปีที่แล้วมีเพื่อนเขาเมามายมาขอพักที่บ้าน ตอนแรก็ให้ไป แต่พอผ่านไปซักพัก เจ้าแมวเหมียวตัวแสบก็เอาแต่พยายามจะเอาอะไรซักอย่างมาสู้กันให้ได้ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×