ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The legend of devil : ตำนานปีศาจผู้สิ้นหวัง

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 2 ชิงตัวนักโทษ

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 55


     ตอนที่ 2 ชิงตัวนักโทษ

     

     

                            เรือนผมสีเงินสลวยพัดไหวตามแรงลมเอื่อยๆที่โชยมาอยู่เป็นระยะ  ขณะที่ดวงตาสีม่วงสวยก็กำลังจับจดอยู่กับภาพใบหน้าของบุรุษคนหนึ่ง  มันคือภาพที่เธอได้มาจากเทียร์  นายหน้าผู้ว่าจ้างงานทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมายและเธอก็มักจะรับงานจากเขามาทำ  และภาพที่อยู่ในมือเธอใบนี้มันก็คืองานของใหม่เธอ

                            เอลวี่จ้องเข้าไปในรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของภาพที่อยู่ในมือ  รอยยิ้มที่อ่อนโยน  รอยยิ้มที่ดูใจดีและอบอุ่น  เอลวี่มองมัน  มองรอยยิ้มนั้นแล้วค่อยๆลูบไล้รอยยิ้มนั้นด้วยเรียวนิ้วที่เย็นชืดอย่างแผ่วเบา

                            “ทำยังไงถึงจะยิ้มได้แบบนี้นะ”  เอลวี่พึมพำกับตัวเองเบาๆ  ระหว่างนั้นเธอก็ได้ยินเสียงอะไรซักอย่างดังแว่วมา  เอลวี่เหล่หางตามองไปยังพื้นเบื้องล่างขณะที่ร่างของเธอก็กำลังนอนพาดอยู่บนกิ่งไม้เล็กขนาดเพียงลำนิ้วของเธอเท่านั้น  ตรงข้างๆต้นไม้ที่เธออาศัยอยู่มันคือลานดินกว้างคล้ายลานดินธรรมดา  เพียงแต่รอบๆลานดินนั้นมีเสาหินสลักอักขระโบราณล้อมรอบอยู่หกด้าน  และตรงกลางลานก็มีวงแหวนเวทมนตร์รูปดาวหกแฉกล้อมด้วยตัวอักขระโบราณคล้ายๆกับที่สลักไว้บนเสาหินวาดอยู่กับพื้นดิน

    บนลานดินแห่งนี้  ลานดินที่ดูแสนธรรมดาไม่มีอะไรแต่กลับกลายเป็นที่ฝังวิญญาณของนักโทษมาแล้วหลายต่อหลายคน  นักโทษที่ต้องโทษประหารจากเซนเทียซี่จะถูกนำตัวมาที่นี่  จากนั้นพวกเขาก็จะถูกพรากวิญญาณไปเหลือเพียงแค่ร่างไร้ชีวิต  ที่นี่ก็คือลานประหารแห่งเซนเทียซี่นั่นเอง

    เสียงนั้นยังคงดังมา  เอลวี่ยันกายขึ้นจากกิ่งไม้มองไปทางต้นเสียงที่ได้ยิน  มันคือเสียงของโซ่ตรวนที่เสียดสีกันระหว่างการเยื้องย่างก้าวของบุรุษคนหนึ่งที่กำลังเดินลงมาในลานประหารพร้อมด้วยผู้คุมในชุดทหารสีขี้ม้าเข้มที่มีตราสัญลักษณ์รูปดาบไขว้กันสองเล่มติดอยู่หน้าอกอีกสิบกว่านาย  เอลวี่ครี่ภาพที่อยู่ในมือดูอีกครั้ง  เธอมองมันสลับกับบุรุษในชุดนักโทษสีขาวขุ่นผมเผ้ารุงรังหน้าตาเต็มไปด้วยหนวดเคราที่กำลังถูกนำตัวมาคนนั้น  เขามีดวงตาสีดำ  ผมสีดำ  รูปร่างสูงโปร่ง  สีผิวขาวซีดจนเอลวี่ไม่คิดว่าภายในร่างนั้นจะมีเลือดหมุนเวียนอยู่  แต่นั่นก็คงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับนักโทษที่ออกมาจากคุกที่น่ากลัวแห่งนั้น  คุกเซนเทียซี่  เพราะทุกคนต่างรู้กันว่านักโทษของที่นี่จะถูกกักขังอยู่ในน้ำเพราะฉนั้นการมีสีผิวเช่นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

    “ตัวจริงดูแตกต่างจากในรูปจังนะ  เซริล  นีเบอเรียส”  เอลวี่พึมพำหยัดกายนิดหน่อยแล้วชักดาบออกมา  “เอาล่ะนะ”  เธอกล่าวขึ้นก่อนจะกระโดดลงจากต้นไม้

    ขณะเดียวกันอีกฟากของลานประหารเลออนก็กำลังแฝงตัวอยู่ในพุ่มไม้กับคาเรลในเสื้อผ้าเก่าๆที่ผุขาด  ทั้งสองกำลังมองตรงไปที่ลานประหารเพื่อรอดูสถานการณ์อยู่อย่างร้อนใจ  นั่นเพราะอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาว่าจ้างให้เทียร์รวบรวมเมจิกลอร์ก็เพราะว่าเขาต้องการช่วยเหลือนักโทษประหารคนนี้หรือจะพูดให้สวยหน่อยก็คือต้องการช่วยเพื่อนนั่นเอง  เพื่อนที่สำคัญต่อเขา  เพื่อนที่เหลือเพียงคนเดียวซึ่งกลายเป็นคนที่สำคัญมากที่สุดในชีวิตนี้  นั่นเพราะคนสำคัญของเขาต่างพากันตายจากไปหมดแล้ว  ทุกคนตายไปเพราะเขา  เพื่อช่วยเขา  ทั้งแม่และเอลิน่า  ทุกคนต่างตายไปหมดแล้ว  ตายไปหมดเพราะความอ่อนแอของเขา 

    เลออนกำมือแน่นเมื่อความทรงจำที่เจ็บปวดค่อยๆปรากฏในห้วงสำนึก  ตอนนั้นเองเขาก็พูดขึ้น

    “ฉันจะต้องช่วยนายให้ได้เซริล” 

    คาเรลหันมองหน้าเลออนแล้วเผยยิ้มเล็กๆก่อนหลับตาแล้วกล่าว “ที่แท้ที่พระองค์จ้างวานให้คนพวกนั้นตามหาเมจิกลอร์นั่นก็เพราะรู้ว่าคนพวกนั้นจะมาช่วยเขาคนนี้ใช่มั้ยพะย่ะค่ะ” 

    คำถามนั้นของคาเรลเรียกให้เลออนที่กำลังจมดิ่งกับความทรงจำที่เจ็บปวดในอดีตรู้สึกตัวแล้วเลออนก็หันไปทางคาเรล

    “ใช่แล้ว  เพราะคนที่จะสามารถรวบรวมเมจิกลอร์ได้มีเพียงแค่หมอนั่นกับเซริลแค่นั้น  ซึ่งแน่นอนว่าหมอนั่นหายสาบสูญไปเพราะงั้นก็เหลือเพียงแค่เซริลเท่านั้นที่จะสามารถทำเรื่องนี้ได้” 

    คาเรลพยักหน้าแล้วพูด “พระองค์ช่างชาญฉลาด”  จากนั้นทั้งคู่ก็กลับไปให้ความสนใจกับกลุ่มคนในลานประหารต่อ

               

                เซริลถูกนำตัวเข้าไปในกลางลานดินเขาแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยดวงตาที่เรียวหรี่  แสงแดดที่ส่องลงมาทำให้เขารู้สึกร้อน  มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน  เขายกมือที่ถูกล่ามด้วยโซ่เส้นใหญ่ขึ้นดู  มือที่เกือบจะเหลือแต่กระดูก  มือที่ขาวซีดจนน่าใจหาย  ซึ่งเขาเองก็รับกับสภาพที่เกิดขึ้นกับตัวเองไม่ค่อยได้แต่....

                “ช่างมันเถอะ”

    เขาคิดอย่างนั้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเขา  เมื่อมองตรงไปยังเบื้องหน้า  ตอนนี้ไม่ว่าร่ายกายเขาจะเป็นเช่นไร  ใบหน้าจะดูโทรมแค่ไหนก็ช่างมัน  ช่างมัน  ช่างมัน  เพราะในเวลาอันไกล้นี้เขาก็จะจบชีวิตลงแล้วภายในลานกว้างแห่งนี้  ทั้งเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นมากมาย  เสียงร้องไห้  ความเสียใจ  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา  เขาอยากจะลืม 

    เซริลส่ายหัวให้กับตัวเองเบาๆแล้วหัวเราะออกมา  หัวเราะเหมือนกับคนบ้าเสียสติขณะที่เหล่าผู้คุมก็พากันงงงวย  แต่ก็คิดได้แค่ว่านี่คงเป็นวิธีการแสดงออกเพื่อคลายความกังวลใจก่อนตายเท่านั้น

    เมื่อเดินมาจนถึงขอบของวงแหวนเวทมนตร์ขนาดใหญ่ใจกลางลานขณะที่เซริลกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปในวงแหวนนั้นผู้คุมคนหนึ่งก็พูดขึ้น

    “น่าเสียดายนักปราชญ์อย่างนายเหมือนกันนะ  ยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ๆ”  เขาทำสีหน้าเสียใจตอกย้ำความตายที่มิอาจหลีกหนี 

    เมื่อได้ยินเสียงเซริลก็เปิดเปลือกตาที่ลืมอยู่เพียงครึ่งเดียวขึ้น  เขาหันไปหาเจ้าของประโยคดังกล่าวด้วยใบหน้ามึนๆไม่มีทีท่าเสียใจหรือหวาดกลัวกับความตายที่มายืนรออยู่เลยแม้แต่น้อย

                “ชาตินี้ผมคงทำบุญมาน้อยมั้งครับ”  เซริลกล่าวก่อนจะยิ้มน้อยๆให้แก่ผู้คุมคนนั้นแล้วก้าวเข้าไปในวงแหวนเวทมนตร์ในทันทีและตอนนั้นเอง

                “เห้ยนั่นมันใครกันน่ะ”  ผู้คุมคนหนึ่งตะโกนดังลั่นพลางชี้นิ้วไปที่หญิงสาวผมสีเงินในชุดสีดำปิดหน้าที่กำลังวิ่งตรงมายังพวกเขาด้วยความเร็วสูงขณะที่เหล่าผู้คุมที่เริ่มแตกตื่นก็เริ่มตั้งสติ

                “ด้วยความจงรักที่ข้ามีแก่พระแม่ธรนี  โปรดจงประธานพลังให้แก่ข้า  ปฐพีทลาย”  ผู้คุมคนหนึ่งร่ายเวท วงแหวนเวทขนาดไม่ใหญ่มากเกิดขึ้นตรงหน้าเขาจากนั้นผืนดินก็แยกแตกกันพุ่งตรงไปยังร่างของหญิงสาวที่กำลังเคลื่อนเข้ามา

                ผู้บุกรุกกระโดดขึ้นกลางอากาศเพื่อหลบรอยแตกที่ลามมาหาจังหวะนั้นเองก็มีลูกธนูเวทสีแดงพุ่งใส่ร่างที่กำลังลอยเคว้งอยู่นั้นต่อทันที  แต่ทว่าผู้บุกรุกก็หลบไว้ได้อีกเช่นเคย  เมื่อกลับสู่พื้นอย่างปลอดภัยหญิงสาวก็เคลื่อนกายต่อด้วยความรวดเร็ว

                “มีคนบุกชิงตัวนักโทษ”  ใครคนหนึ่งตะโกนมา  จากนั้นเหล่าผู้คุมทั้งหลายก็พากันเข้ามาล้อมรอบเซริลไว้อย่างแข็งขันขณะที่ผู้บุกรุกก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะถอย  เธอยังวิ่งเข้ามาท่ามกลางเสียงร่ายเวทที่เซงแซ่ขึ้นเรื่อยๆ  ทั้งระเบิดไฟ  ระเบิดดิน  ระเบิดน้ำต่างถาโถมใส่ร่างของหญิงสาวเพียงคนเดียวที่วิ่งเข้ามา  เซริลมองร่างบางนั้นอย่างตกตะลึงด้วยความประหลาดใจ

                “ความเร็วขนาดนั้นมันอะไรกันน่ะ”  เซริลพึมพำ

                “ที่แท้แกนัดให้คนมาช่วยซินะไอ้หนุ่ม”  ผู้คุมคนหนึ่งตะโกนมามองเซริลด้วยใบหน้าโกรธแค้นขณะที่เซริลก็รีบยกมือปฏิเสธทำหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้  ก็เขาไม่รู้จริงๆนี่นา

                “แกอย่าไม่โกหก”  แต่ผู้คุมไม่เชื่อเขาสร้างดาบเวทมนตร์ขึ้นมาจากนั้นก็พุ่งใส่เซริลทันที  เซริลพยายามหนี  เขาได้แต่วิ่งหลบไปหลบมา

                ผู้คุมอีกคนหนึ่งตั้งท่าร่ายเวทขณะที่เธอกำลังวาดวงแหวนเวทพร้อมร่ายคาถาอยู่นั้น

                “ด้วยความเมตตาของสายนที....”

                ปึก!

                อั๊ก!

                ร่างของเขาก็ลอยกระเด็นขึ้นสู่ฟากฟ้าแล้วตกลงมากระแทกพื้นจนหมดสติลงในคราเดียว ความกลัวเริ่มฟุ้งซ่านในหัวผู้คุมคนอื่นๆมากยิ่งขึ้น 

                “ถ้าไม่อยากตายก็ส่งผู้ชายคนนั้นมาซะ  แล้วฉันจะยอมปล่อยพวกนายทุกคน”  หญิงสาวในชุดดำกล่าว

    “ไม่!  ต่อให้ตายพวกเราก็จะไม่ปล่อยให้พวกคนชั่วลอยนวลหรอกน่า”  ใครคนหนึ่งในบรรดาผู้คุมที่ยืนรวมกันอยู่นั้นกล่าวขึ้น  เอลวี่หรี่ตาจ้องมองไปยังคนพูดด้วยดวงตาเย็นเยียบ 

    “หว๋า  ยัยนั่นดูน่ากลัวเป็นบ้าเลย”  เซริลคิดในใจก่อนกลืนน้ำลายลงคอด้วยความกลัว แล้วการประทะกันระหว่างหญิงสาวชุดดำกับเหล่าผู้คุมก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง  แม้เอลวี่จะมีฝีมือดีแต่ผู้คุมจากเซนเทียซี่เองก็ใช่ว่ากระจอกแถมจำนวนยังเยอะกว่าด้วย

    เอลวี่เริ่มหอบหายใจเธอมองเซริลที่กำลังหนีตายอยู่แล้วถอนหายใจก่อนจะวิ่งไปทางเขาเพียงไม่นานเธอก็มาอยู่ตรงหน้าเซริลแล้ว

                            “นี่นายน่ะ”  เธอเอ่ยขึ้น  เซริลหันมองตามเสียง เธอตะโกนมาหลังจากที่ถีบผู้คุมคนหนึ่งจนลอยขึ้นไปบนฟ้าจนสูงลิ่ว

                “เรียกฉันเหรอ?”  เซริลถาม

                “ไม่คิดจะมาช่วยกันบ้างหรือยังไงนี่ฉันอุตส่าห์เข้ามาช่วยนายนะ”  เอลวี่ตะโกน 

    ตอนนั้นเอง

                ตูม!  เกิดระเบิดตรงข้างๆขาของเอลวี่โชคดีที่เธอกระโดดหลบทันพอดี

                และ

                ตูม! คราวนี้ระเบิดมาตรงข้างๆเซริล

                            เซริลถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย  “เห้อ! ถ้างั้นผมจะถ่วงผู้คุมเหล่านี้ให้เองเพราะฉนั้นเธอรีบหนีไปเถอะ”  เซริลปัดมือไล่

                “ว่าไงนะ”

                “ผมจะ...”  เซริลกำลังจะพูดต่อแต่เอลวี่ก็ขัดขึ้นพร้อมโยนร่างที่หมดสติของผู้คุมคนหนึ่งทิ้ง

                “ฉันมารับตัวนายไป  เพราะงั้นยังไงๆนายก็ต้องไปกับฉัน  ถ้าอยากตายเอาไว้ออกไปจากที่นี่ได้ก่อนแล้วฉันจะเป็นคนสงเคราะห์ให้นายเอง”  เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ  เซริลมองตาเธอ  ดวงตาที่ด้านชาของเธอนั้นบอกว่าเธอ เอาจริง  ขณะนั้นก็มีลูกธนูเวทสีแดงยิงมาจากที่ไหนซักแห่งเฉียดใบหน้าของเอลวี่ไปอย่างเฉียดฉิว 

    “เห้ย!”  เซริลตะโกนลั่น  เมื่อเห็นว่าเอลวี่ไม่เป็อะไรเขาก็ถอนหายใจแล้วส่ายหัวเบาๆพลางมองไปยังผู้คุมที่กำลังยิงศรเวทมาเรื่อยๆขณะที่เอลวี่ก็ยังกระโดดหลบอย่างชำนาญ

                “ถึงจะพูดแบบนั้นแต่จะให้ฉันช่วยยังไงล่ะครับ  ในเมื่อฉันถูกโซ่ล่ามทั้งมือและเท้าไว้อย่างนี้  ที่สำคัญ...”

    ฉึบ!

    ไม่ทันที่เซริลจะพูดจบโซ่ที่แขนของเขาก็ขาดออกจากกันโดยง่ายเพียงเอลวี่ตวัดดาบมาเพียงแค่ครั้งเดียว  เซริลมองโซ่ที่ขาดออกจากกันแล้วกลืนคำพูดที่เหลือนั้นกลับลงลำคอแล้วหันไปมองหญิงสาวด้วยใบหน้าตกตะลึงจนสุดจะบรรยาย

    “ตะตัดโซ่เวทมนตร์ได้เพียงแค่ดาบเดียวเองเหรอเนี่ย  ผู้หญิงคนนี้มันอะไรกัน”  เซริลมองเธออย่างไม่เชื่อสายตา  เพราะเท่าที่เขารู้มานั้นจำได้ว่าโซ่เวทมนตร์เป็นโซ่ที่ไม่สามารถตัดขาดได้ง่ายๆยิ่งถ้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาๆแล้วยิ่งไม่มีทาง  เพราะโซ่เวทมนตร์นั้นจะต้องให้ผู้ที่ลงผนึกโซ่เป็นคนปลดเท่านั้น 

    แต่เธอ!

    และขณะที่เซริลกำลังยืนคิด  ผู้คุมคนหนึ่งก็ถลาตัวผ่าลมมาพร้อมดาบที่หมายไหล่ของเซริลจากทางด้านหลัง เซริลไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยจนกระทั่งเลือดสีแดงสดสาดกระเด็นเปรอะเปื้อนใบหน้าและลำตัวของเขา  เซริลเบิกตาอย่างตกใจขณะที่เลือดสีแดงก็ค่อยๆลอยผ่านหน้าแล้วหยดลงสู่พื้น  เซริลไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย  นั่นเพราะเลือดที่เขาเห็นนั่นไม่ใช่ของเขา  แต่มันเป็นเลือดของหญิงสาวในชุดดำที่เขาแขนมารับดาบไว้

     “ทำบ้าอะไรอยู่  บอกแล้วไงว่าถ้าอยากตายฉันจะสงเคราะห์นายเอง”  เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆก่อนจะถีบผู้สร้างบาดแผลให้แก่เธอ

    “คนที่ทำบ้าน่ะมันเธอต่างหากล่ะ  เข้ามารับดาบไว้ทำไม”  เซริลย้อนกลับ

    “..................”  แต่เอลวี่ก็ไม่พูดอะไรเธอยังคงฟาดฟันต่อกรกับผู้คุมต่อโดยไม่สะทกสะท้านและตอนนั้นเองศรเวทก็ยิงมาอีกแต่คราวนี้มันเสียบเข้ากลางลำตัวของเอลวี่เข้าให้อย่างจัง  เอลวี่ล้มลงต่อหน้าของเซริล  แล้วเธอก็ค่อยๆหันมองเซริล

    “พอใจนายรึยัง”  เอลวี่กล่าวก่อนจะกระอักเลือดออกมาอีกกองใหญ่  เลือดสีแดงทั้งเปื้อนพื้น  เปื้อนตัว  มองไปทางไหนก็มีแต่สีแดง  สีแดง  สีแดง  เต็มไปหมด

    เซริลกวาดสายตามอง  มีแต่เลือด  เลือด  แล้วก็เลือด  ที่ตัวเขา  ที่หน้าเขา  เสื้อผ้าของเขาต่างมีแต่เลือด  แต่ทั้งหมดนี่ไม่ใช่เลือดของเขา  ที่ตัวเขาไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเลยด้วยซ้ำ  มีแต่เลือดของคนอื่น  คนอื่นกำลังจะตาย  คนอื่นกำลังจะตาย  คนอื่นกำลังจะตาย  เธอก็กำลังจะตาย  เธอที่ช่วยเขา  แล้วเขาล่ะทำอะไร 

    ตอนนี้ในหัวของเซริลเริ่มเกิดความวุ่นวายสับสน  เขารู้สึกว่าเลือดในกายของเขามันกำลังคลุ้มคลั่ง  เร่าร้อน  มันกำลังเดือด  แล้วตอนนั้นพลังที่หลับใหลมาเป็นเวลานานก็แล่นพล่านไปทั่วทั้งตัว  ทั้งพลัง  ความโกรธ  ความสับสน  ตอนนั้นเองมือของเซริลก็เริ่มวาดวงเวทขึ้นโดยไม่รู้ตัว  เขากำลังวาดวงเวทจากจิตสำนึก  จิตสำนึกที่ยังไม่ลืมเลือน  จิตสำนึกที่เขาฝังลึกลงในส่วนที่ลึกที่สุดของความทรงจำ  มันคือจิตสำนึกอันบ้าคลั่งที่เขาพยายาสะกดมันไว้ 

    ห้องทดลอง  กลิ่วคาวเลือด  เสียงกรีดร้อง  วงแหวนเวท  อักขระโบราณ  แล้วภาพต่างๆก็หมุนเวียนวนไป  มันวนไป วนไป  วนไปเรื่อยๆ

    “อ๊ากกกกกกกกกกกก”  เซริลตะโกนออกมาเขาจับหัวด้วยสองมือแล้วบดขยี้มันสุดแรง  เขาพยายามรอบรวมพลังสะกดมันไว้  สะกดจิตสำนึกที่บ้าคลั่ง  จิตสำนึกที่น่ารังเกียจ  เหมือนหัวกำลังจะระเบิด  เซริลกรีดร้องออกมาอย่างคลุ้มคลั่งแล้วตอนนั้นก็มีออร่าหลั่งออกมาจากร่างที่ขาวซีดนั่น  ออร่าสีขาว  สีเขียว  สีแดง  สีเหลือง สีม่วง สีฟ้าสลับสับเปลี่ยนกันอย่างคลุ่มคลั่ง

    ทุกคนต่างมองดูอย่างตะลึงงันเมื่อรู้สึกตัวอีกทีตรงหน้าของเซริลก็มีวงแหวนเกิดขึ้นแล้วหกวง

    “นั่นมัน  ทุกคนหลบ”  ผู้คุมคนหนึ่งตะโกนมา

    “ด้วยสัญญาที่ข้าเคยมอบไว้แก่เมจิกลอร์ทั้งหก  โปรดบันดาลพลังของท่านทั้งหมดให้แก่ข้าผู้เคยมีสัญญาด้วยเถิด  วิถีหกทิศ”  เซริลตะโกนลั่นทันใดนั้นก็เกิดแสงออกมาจากวงเวททั้งหกทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวางกั้นทุกอย่างต่างถูกทำลายกลายเป็นทางราบเมื่อแสงนั้นพาดผ่าน  และเมื่อพลังถูกปล่อยออกไปเซริลก็หมดสติแล้วล้มลง  เอลวี่จึงรีบเข้าไปแบกร่างของเซริลขึ้นหลังแล้วเตรียมหลบหนี  เธอกวาดสายตามองรอบๆตอนนี้เหล่าผู้คุมต่างพากันหลบหายไปจนหมดแล้วเอลวี่จึงเริ่มวิ่ง   แต่ทว่ากลับมีมือของใครคนหนึ่งเข้ามาขวางไว้  มือของบุรุษผมแดงที่สวมชุดคล้ายกับผู้คุมเหล่านั้นเพียงแต่เข็มกลัดที่บอกถึงตัวตนแห่งเซนเทียซี่นั้นเป็นสีทอง

    เอลวี่มองเขาแล้วถอนหายใจ

    “ไม่เจอกันซะนานนะเอลวี่”  เขากล่าวขึ้นเรียบๆ ดวงตาเรียวหรี่สีแดงคล้ำมองตรงมายังหญิงสาวในชุดดำ แม้เธอจะปกปิดใบหน้าแต่ผมสีเงิน  ดวงตาที่ไร้ความรู้สึกสีม่วงคู่นี้มันคือสิ่งที่เขาจำได้  มันคือความทรงจำที่ไม่มีวันลืม 

                “ไม่คิดเลยนะว่าจะได้เจอนายที่นี่คาโลเนส”  เอลวี่กล่าวแล้วหลุบตาลงมองเข็มกลัดสีทองที่ติดหน้าอกคาโลเนส

    คาโลเนสก้มมองตามสายตาเอลวี่แล้วยักไหล่ให้เธอก่อนเดินวนมาด้านหลัง

    “คิดว่าฉันตายไปแล้วงั้นซิ  แต่โทษทีนะ คนอย่างฉันไม่ตายง่ายๆหรอกก็เหมือนอย่างเธอนั่นแหละเอลวี่ ที่ไม่ตายง่ายๆ”  เขากระซิบเบาๆรดหูเอลวี่  ขณะที่ดวงตาสีม่วงของเอลวี่ก็เริ่มเจือสีแดง  เธอกำดาบแน่นกำลังจะชักดาบออกมาขณะที่คาโลเนสก็จับปืนรอไว้แล้วเช่นกัน  และในตอนนั้นเองก็เกิดระเบิดเสียงดังแล้วควันก็ค่อยๆลอยฟุ้งขึ้นมาจากตรงคุกเซนเทียซี่  คาโลเนสหันมองไปทางที่มีเสียงระเบิดนั้น

    “เอาไง  ยังอยากจะสู้กันต่อมั้ย”  เอลวี่ถาม  ความจริงเธอรู้คำตอบของคาโลเนสดีอยู่แล้วแต่ก็แค่แกล้งถามไปอย่างนั้น 

    คาโลเนสเม้มริมฝีปากกัดฟันแล้วแค่นเสียงออกมา  “ฝากไว้ก่อนเถอะเอลวี่  พวกเราต้องได้เจอกันอีกแน่”  พูดจบคาโลเนสก็รีบวิ่งหายไปในทันที  ขณะนั้นเอลวี่ก็รีบพาเซริลหนีในระหว่างที่เธอกำลังวิ่งอยู่นั้นเธอก็เอ่ยขึ้น

    “ขอบใจนะเทียร์”  แล้วในความเงียบนั้นก็มีเสียงดังกลับมา

    “ไม่เป็นไรพอดีว่าฉันเองก็อยากจะลองระเบิดคุกเซนเทียซี่ดูบ้างน่ะ”

    เมื่อเอลวี่จากไปผู้ที่หลบอยู่ในพุ่มไม้ก็เดินออกมามองการจากไปของเอลวี่และเซริล

    “สำเร็จจนได้นะพะย่ะค่ะ”

    “อืมต่อไปก็คงเหลือแต่รวบรวมเมจิกลอร์ล่ะนะ”  เลออนกล่าวเบาๆก่อนจะเดินกลับเข้าไปในป่าที่มืดมิด  กลับเข้าไปสู่ความมืดที่รออยู่

     

     

    .................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×