คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 ว่าจ้าง
"นานมาแล้วเคยมีตำนานเล่าขานถึงเรื่องราวความรักของราชันปีศาจนามว่าเซเฟดัสกับหญิงสาวที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา แต่ด้วยความแตกต่างนั้นทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถจะครองรักร่วมกันได้ เซเฟดัสจึงตัดสินใจคิดครอบครองโลกใบนี้เพียงเพราะแค่อยากอยู่ร่วมกับเธอ..."
"หยุดอ่านอะไรไร้สาระได้แล้วคาเรล"
น้ำเสียงทุ้มต่ำที่บอกถึงความเบื่อหน่ายจากเสียงรบกวนดังขึ้นเรียบๆทำให้บุรุษเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงที่กำลังส่งเสียงขณะไล่สายตาตามตัวหนังสือโบราณจากแผ่นกระดาษเก่าๆที่ปลิวลอยเข้ามาจากทางหน้าต่างกับสายลมเมื่อครู่ต้องหุบปากลง ทันใดนั้นนัยน์ตาสีอัมพันก็เปลี่ยนความสนใจจากแผ่นกระดาษเก่าๆในมือมาเป็นใบหน้าคมสันได้รูปที่แฝงไว้ด้วยความงดงามที่เป็นสง่าของบุรุษที่กำลังทำหน้าตาอมทุกข์นั่งปิดจมูกอยู่ตรงข้ามแทน
เขามีใบหน้าที่เรียวยาว ดวงตาสีฟ้าดั่งน้ำทะเลสดใสพาให้ใจเบิกบานเมื่อสบเจอ เส้นผมประกายสีทองดั่งดวงตะวันที่ฉายแสงลงมาถูกถักร้อยเก็บเป็นเปียอย่างมีระเบียบ รูปร่างแขนขาแม้ไม่กำยำแต่ก็ดูไม่ผอมแห้งจนน่าเกลียดคล้ายบุรุษที่รักสำอางค์ ซึ่งก็ไม่ผิดที่บุรุษผู้นี้จะแลดูบอบบางน่าทะนุถนอมแม้จะเป็นชายชาตรี เพราะเขาก็คือ เลออน เลโอโนริส องค์รัชทายาทแห่งประเทศอาเทอเรียส ประเทศที่ทรงอำนาจที่สุดในขณะนี้
"องค์ชายไม่ชอบเรื่องพวกนี้หรอกเหรอพะย่ะค่ะ" คาเรลเอ่ยถามพลางมอง 'องค์ชาย' ของเขาด้วยสายตาถามว่า 'ทำไม' ในขณะที่องค์ชายกลับถอนหายใจเบาๆก่อนชี้แจงให้ราชองครักษ์คนสนิทฟัง
"มันก็แค่เรื่องเล่าที่ไม่รู้มีจริงหรือเปล่า" เลออนให้เหตุผลอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเปิดผ้าม่านข้างๆศีรษะแล้วมองออกไปข้างนอกหน้าต่างรถม้าที่กำลังแล่นอยู่นั้น ท้องฟ้าภายนอกถูกทาทับด้วยสีดำสนิท แม้จะไม่เห็นอะไร เขาก็ยังมองออกไป มองเข้าไปในความมืดนั้นอย่างคุ้นชิน เขามองกลับไปทางที่ตนเองจากมา สิ่งที่อยู่ไกลสายตานั้นคือราชวังอาเทอเรียส ราชวังที่พำนักพักพิงของเขาตลอดเวลาที่เขาเกิดมาจนกระทั่งอายุได้ยี่สิบสามปีและนานทีเขาถึงจะมีโอกาสได้ออกมาโลดแล่นยังอาณาเขตที่ไม่ใช่ราชวังด้วยสภาพสามัญชนคนธรรมดาอย่างนี้
"แต่เรื่องเล่าเรื่องนี้มันถูกเขียนขึ้นด้วยอักษรโบราณเลยนะพะย่ะค่ะ" คาเรลยังคงให้เหตุผลสนับสนุนความคิดของตนอย่างน่าเชื่อถือด้วยน้ำเสียงชวนเชื่อ แต่เลออนก็ยังคงเมินเหตุผลของเขาเช่นเดิม
"ถ้าหากเราแต่งเรื่องบ้างแล้วเขียนด้วยอักษรโบราณก็แสดงว่าเรื่องที่เราแต่งมันเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นซิ"
คาเรลเริ่มคิดตามคำพูดของเลออนแล้วล้มเลิกความคิดที่จะต่อเถียงในเรื่องไม่เป็นเรื่องกับบุรุษตรงหน้าในทันทีเมื่อคิดดีแล้วว่าถึงจะพูดไปยังไงคนตรงหน้าเขาก็คงต้องหาทางมาล้มล้างความคิดเขาแน่นอน เขาถอนหายใจแล้วมองเลออนด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงก่อนจะกล่าวขึ้น
"แหมพระองค์เนี่ยจะจริงจังเกินไปหรือเปล่าพะย่ะค่ะ"
แต่เลออนก็ยังเมินอยู่เช่นเดิม
"แล้ว..." คาเรลส่งเสียง "พระองค์แน่ใจแล้วหรือพะย่ะค่ะที่จะจ้างวานคนอื่นให้รวบรวมเมจิกลอร์" อยู่ๆเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยอย่างรวดเร็วจนเลออนแทบตามอารมณ์ไม่ทัน
เลออนผละสายตาจากรัตติกาลที่มืดมิดเบื้องหน้ากลับเข้ามาสนใจใบหน้าของคาเรล ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนและสุภาพนั้นประกอบไปด้วยดวงตาสีอัมพันแสนอบอุ่น ริมฝีปากบางเรียวได้รูปกำลังขบเม้มรอคำตอบจากเขาอย่างใจจดใจจ่อจนลำคอขึ้นเส้นเลือดให้เห็น
"แน่ใจ" เลออนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น นัยน์ตาสีฟ้าส่อประกายถึงเจตจำนงที่ไม่สั่นคลอนเลยซักนิด
"ความจริงเรื่องนี้ให้หม่อมฉันเป็นคนจัดการเองก็ได้นะพะย่ะค่ะ"
"ไม่ได้!" เลออนตะวาดกลับเสียงเข้มทำให้คาเรลต้องปิดปากลงอีกครั้ง "ถ้านายหายไปคนอื่นต้องสงสัย"
"พระองค์ก็ทรงโกหกว่าใช้งานหม่อมฉันให้ไปทำนู่นนี่ก็ได้นี่พะย่ะค่ะ"
"ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ได้ ลืมไปแล้วเหรอว่าฉันกำลังโดนเล่นงานอยู่ถ้าไม่มีนาย...." พูดถึงตรงนี้เลออนก็หยุด
"พระองค์อาจจะถูกฆ่าตาย" คาเรลกล่าวต่อประโยคนั้นของเลออน
เลออนเลี่ยงสายตาแล้วหลุบต่ำลงพื้น
"นายก็รู้" เขากล่าวเบาๆ คาเรลมีสีหน้าเศร้าลงทันตา
"ขอพระองค์ทรงประทานอภัยให้แก่ความโง่เขลาของหม่อมฉันด้วยพะย่ะค่ะ" แล้วคาเรลก็ก้มหน้าด้วยความสำนึกผิด เลออนเหล่หางตามองกลับมาที่คาเรล เขารู้ดีว่าคาเรลรู้สึกเช่นไร ตอนนั้นเองเขาก็ค่อยๆเอื้อมมือไปจับไหล่ของคาเรลเบาๆ คาเรลเงยหน้าขึ้นมองเลออน เลออนกำลังยิ้มให้แก่เขา ยิ้มอย่างอ่อนโยนและจริงใจ รอยยิ้มนี้เป็นรอยยิ้มเดียวกับวันนั้น วันที่เลออนช่วยเขาออกจากความมืด ออกจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังทำลายจิตใจเขา เพียงแค่เห็นรอยยิ้มนี้ของเลออนก็ทำให้หัวใจที่เศร้าหมองของคาเรลดีขึ้นถนัดตาแม้เลออนจะไม่พูดอะไรแต่คาเรลก็สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงที่ส่งผ่านไออุ่นจากมือที่แตะอยู่ตรงหัวไหล่ นั่นยิ่งทำให้คาเรลมั่นใจ มั่นใจว่าตัวเองเลือกทางเดินที่ถูกแล้ว ถูกแล้วที่จะก้าวไปกับคนๆนี้ ถูกแล้วที่เขายอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนๆนี้
"ไม่ว่าพระองค์ประสงค์เช่นไรหม่อมฉันก็ยินดีน้อมรับพระบัญชาของพระองค์ตลอดพะย่ะค่ะ" คาเรลกล่าวขึ้น
ในตอนนั้นเองรถม้าที่กำลังเคลื่อนอยู่ก็หยุดลง คาเรลค่อยๆเลิกผ้าม่านแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมเอ่ยถามเบาๆ
"ถึงแล้วเหรอ?"
"ถึงแล้วที่นี่แหละหมู่บ้านแห่งคนตาย" เสียงคนขับรถม้าตะโกนกลับมา
เมื่อได้ยินดังนั้นเลออนกับคาเรลก็ค่อยๆเคลื่อนกายลงจากรถม้าสู่พื้นดิน ข้างหน้าของพวกเขาก็คือหมู่บ้านแห่งคนตาย หมู่บ้านที่มีเพียงซากของชีวิตและเศษความทรงจำที่ร่วงหล่นเท่านั้น เมื่อก่อนหมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นหมู่บ้านที่รุ่งเรืองมีคนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากแต่โชคร้ายเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ เปลวไฟเผาผลาญลุกลามไปทั่วทั้งหมู่บ้านกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ และตั้งแต่นั้นมาหมู่บ้านแห่งนี้ก็กลายเป็นหมู่บ้านร้างเพราะไม่มีใครอาศัยอยู่อีก เชื่อกันว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นี่จะโดนรังควานจากวิญญาณที่ตายจากเหตุไฟไหม้ครั้งนั้นจนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้ เลยทำให้ที่นี่กลายเป็นหมู่บ้านร้างจวบจนมาถึงปัจจุบัน แต่ทั้งที่เป็นแบบนั้น ที่นี่ก็มีผู้คนผลัดเปลี่ยนวนเวียนกันเข้ามาอยู่ตลอด นั่นเพราะที่นี่มีคน 'คนนั้น' อยู่ และ 'คนนั้น' ก็เป็นเหตุผลที่เลออนและคาเรลมาที่นี่เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
"ดูน่าขนลุกนะพะย่ะค่ะองค์ชาย" คาเรลกล่าวน้ำเสียงสั่นขณะกวาดสายตามองเข้าไปในหมู่บ้านร้างที่อยู่เบื้องหน้า
"ถ้าไงพวกนายเดินเข้าไปกันเองนะเดี๋ยวฉันจะรออยู่ตรงนี้" คนขับรถม้ากล่าว เลออนหันไปพยักหน้าให้ก่อนจะเริ่มเดินเข้ามาในหมู่บ้านโดยมีองครักษ์อย่างคาเรลเดินตามเข้ามาด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้
เมื่อเดินเข้ามาข้างในทั้งคู่ก็สัมผัสได้กับบรรยากาศที่ชวนน่าขนหัวลุก ความเงียบที่ไม่มีแม้เสียงลมพัดบวกกับซากบ้านเรือนที่ถูกไฟไหม้ไร้การเก็บกวาด เศษเถ้าถ่านซากศพยังคงมีให้เห็นอยู่ตามสองข้างทางเดินที่มีหมอกสีขาวปกคลุมอยู่เบาบาง แต่ถึงกระนั้นเลออนก็ยังมุ่งหน้าเดินต่อไปด้วยความกล้าขณะที่เสียงหัวใจของคาเรลก็ดังระส่ำอย่างไม่เป็นจังหวะให้ได้ยินอยู่เบื้องหลังจนในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งที่มีป้ายไม้ขนาดใหญ่ว่า ‘รับงานทุกประเภท’ มันเป็นบ้านไม้หลังเก่าๆที่มีสภาพทรุดโทรมจนรู้สึกว่าหากแตะโดนนิดเดียวมันอาจจะพังลงมาทั้งหลังได้ เลออนค่อยๆเอื้อมมือผลักประตูไม้ผุๆเก่าๆข้างหน้าเบาๆอย่างกล้าๆกลัวๆ เมื่อประตูเริ่มขยับเขาก็หันขวับดูตัวบ้าน เมื่อมั่นใจแล้วว่ามันจะไม่พังลงมาเขาก็ค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปข้างใน
ภายในบ้านมีเพียงโต๊ะไม้เก่าๆตัวหนึ่งตั้งอยู่กลางบ้านกับเทียนไขที่ถูกจุดไฟเพียงหนึ่งเล่มตั้งอยู่กลางโต๊ะ ความวิเวกของมันยิ่งทำให้ความกลัวของคาเรลยิ่งทวีมากขึ้นและในตอนนั้นก็มีเสียงดังมาจากในบ้าน บ้านที่เงียบงัน บ้านที่ไม่น่าจะมีคนหลังนี้
"ไม่ทราบว่าองค์รัชทายาทแห่งอาเทอเรียสมีเรื่องอะไรให้เทียร์ผู้นี้รับใช้หรือครับ"
คาเรลสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบกระโดดเข้าหลบหลังเลออนด้วยความกลัวสุดจะบรรยายต่างจากเลออนที่ยังคงนิ่ง ดูเขาเหมือนจะไม่ตกใจเลยแม้ซักนิดกับเสียงที่ดังมา เขากวาดสายตามองไปบริเวณรอบๆบ้านเพื่อหาเจ้าของน้ำเสียงนั้น
"สะเสียงผีหรือเปล่าพะย่ะค่ะองค์ชาย" คาเรลพยายามเหลือกตามองออกมาจากหลังของเลออนพร้อมเหงื่อที่เต็มหน้าผาก ตอนนั้นเองเลออนก็เห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งกำลังนั่งห้อยขาลงมาจากคานไม้ในที่ที่แสงเทียนส่องไม่ถึง
"นายรู้ได้ยังไงว่าฉันคือองค์รัชทายาทแห่งอาเทอเรียส?" เลออนถาม แน่นอนว่าการมาที่นี่ของเขาไม่มีใครรู้เพราะพวกเขาแอบออกจากวังมากันเงียบๆซึ่งคาดว่าขณะนี้ในวังเองก็ยังไม่มีใครรู้ ที่สำคัญตอนนี้เขาก็ไม่ได้อยู่ในเครื่องแต่งกายที่ใครจะรู้ได้เลยว่าเป็นถึงเชื้อพระวงศ์
"แหมพระองค์เนี่ยคิดว่าแค่อาภรณ์สามัญชนจะตบตาคนอย่างเทียร์ผู้นี้ได้หรือครับ อย่าลืมนะว่าผมเป็นใคร ถ้าผมโง่ถึงขนาดไม่รู้จักพระองค์ พระองค์ก็คงไม่เดินทางมาหาผมถึงหมู่บ้านคนตายแห่งนี้หรอกจริงมั้ย" พูดจบร่างที่อยู่บนคานก็กระโดดลงมายืนบนโต๊ะ การปรากฎตัวของเขาทำเอาคาเรลหัวใจแทบวายแต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าการปรากฎตัวของเขาก็คือความสูงของเขาล่ะมั่ง ถ้ามองอย่างผิวเผินแล้วส่วนสูงของเขาสูงไม่ถึงหนึ่งร้อยเซนด้วยซ้ำ ดูคร่าวๆคงจะเท่าๆกับเด็กวัยห้าถึงหกขวบเท่านั้นเอง
เลออนพยายามจ้องลึกเข้าไปในหมวกที่คลุมใบหน้าเขาเกือบมิดเห็นเพียงแค่ปลายคางนั้น ขณะนั้นเทียร์ก็ทำจมูกฟุตฟิตเหมือนได้กลิ่นอะไรซักอย่าง
เทียร์กล่าว "ว่าแต่ องค์ชายนี่สุดยอดไปเลยนะครับ อุตส่าห์ลงทุนหาเสื้อผ้าเหม็นๆมาใส่เพื่ออำพลางตนเองเลย" พูดไปเทียร์ก็ปิดจมูกไปขณะที่เลออนก็เหล่หางตามองคาเรลที่กำลังฉีกยิ้มแห้งๆอยู่ข้างๆ
"ไอ้กลิ่นเหม็นพวกนั้นมันติดมาจากรถม้าต่างหากล่ะ" เลออนกล่าว
"อ้า....ผมขอโทษจริงๆครับที่ลืมหยิบถุงเงินมา เลยต้องเช่ารถม้าที่เก่าและถูกที่สุด"
"แถมเหม็นที่สุดด้วย" เลออนช่วยเสริม
คาเรลก้มหน้าสำนึกผิด
"แล้วองค์ชายเลออนแห่งอาเทอเรียสมีเรื่องอะไรให้เทียร์ผู้นี้รับใช้หรือครับ" เทียร์วกกลับเข้าเรื่องจนได้
“ฉันมีงานที่อยากว่าจ้าง” เลออนกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย
เทียร์เลิกคิ้วอย่างสนใจกล่าวว่า “งานอะไรหรือพะย่ะค่ะ”
“รวบรวมคัมภีร์ทั้งหกของเมจิกลอร์” สิ้นคำตอบเทียร์ก็หันมองเลออนด้วยสีหน้าที่ตกใจภายใต้หมวกใบใหญ่ที่ปกคลุม
“งานนี้ยากเกินไปหรือเปล่าครับ คาดว่านักล่าเงินทั้งหลายที่มารับงานกับผมคงจะไม่มีใครมีความสามารถถึง” เทียร์กล่าว
“ถ้าอย่างนั้นนายก็หาคนที่มีความสามารถมาซิ” คาเรลแทรกขึ้นตอนนั้นเองใบหน้าเคร่งเครียดของเทียร์ก็ค่อยๆปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก
“นี่คงเป็นงานที่แท้จริงซินะครับ องค์รัชทายาทแห่งอาเทอเรียสนี่ช่างมีสมองที่ปราดเปรื่อง”
“ถ้างั้นงานนี้พอจะหาคนทำให้ได้หรือเปล่า”
เทียร์ยังไม่ตอบ เขาลูบลางตัวเองอย่างใช้ความคิดขณะที่เลออนกับคาเรลก็กำลังรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อตอนนั้นเองเลออนก็พูด
“งานนี้เราทุ่มไม่อั้น จะเรียกเท่าไหร่ก็ได้”
เทียร์เลิกคิ้วมองเลออนแล้วยิ้ม
“สรุปจะรับงานนี้หรือเปล่า” เลออนถามย้ำอีกครั้ง
“ถ้าเงินดีจะงานอะไรผมก็รับทั้งนั้นแหละครับ” เทียร์กล่าว
“ถ้างั้นก็รบกวนด้วยนะ ส่วนเงินเราจะเอามาให้อีกครั้งตอนที่นายพาตัวหมอนั่นออกมาจากคุกได้สำเร็จ อ้อ แล้วก็เรามีเรื่องจะบอก วันเสาร์นี้ตอนเที่ยงหมอนั่นก็จะถูกประหารแล้ว ถ้ายังไงก็รีบๆหน่อยแล้วกันนะ” พูดจบเลออนก็ค่อยๆเดินกลับออกไปทางประตู
“งานนี้คงกะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยล่ะซิองค์ชายเลออน” เทียร์พึมพำเบาๆขณะกำลังยืนมองหลังเลออนที่ค่อยๆไกลออกไปอยู่บนหลังคาขณะที่สายลมก็พัดไหวพาให้เสื้อคลุมโบกสะบัดไปมาก่อนที่หมวกที่คลุมหน้าอยู่จะเปิดเผยดวงหน้าแสนอ่อนวัยให้เห็น
เทียร์นั่งอยู่บนโต๊ะข้างๆเทียนไขที่เหลือเพียงครึ่งเล่ม เขากำลังนั่งอยู่นิ่งๆอย่างใช้ความคิดและในตอนนั้นเอง เศษฝุ่นจากทางหลังคาก็ตกลงมาใส่หัวเขา เทียร์เหลือมองขึ้นไปบนหลังคาพบว่าตรงกระเบื้องข้างบนกำลังสั่นไหวและมันก็พังลงมา เทียร์กระโดดหลบเศษกระเบื้องที่ตกลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเทียนไขที่ยังส่องแสงสว่าง เศษฝุ่นผงที่หนาแน่นก็อบอวนคละคลุ้งจนเต็มบ้าน เมื่อฝุ่นผงค่อยๆเจือจางลงก็ปรากฎร่างของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังสืบเท้าเข้ามาหาเทียร์พร้อมดาบเล่มใหญ่ที่ห้อยอยู่ข้างเอว ในมือของเธอมีไก่แจ้ตัวหนึ่งและอีกข้างหนึ่งก็กำลังถืออมยิ้มสีแดงสดซึ่งมันไม่เข้ากับใบหน้าที่ตายด้านของเธอเลยแม้แต่น้อย
เธอค่อยๆเดินเข้ามาหาเทียร์อย่างช้าๆด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาสีอเมทิสต์ที่ด้านชานั้นกำลังจับจ้องอยู่ตรงใบหน้าเทียร์อย่างไม่ลดละ เทียร์สัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตเล็กๆที่เล็ดลอดออกมาจากความด้านชาในดวงตานั้น เทียร์ค่อยๆก้าวท้าวถอยหลังแล้วฉีกยิ้มแห้งๆให้กับเธอด้วยความกลัว เขาเริ่มสั่น
แม้เทียร์จะกลัวเธออยู่บ้างไม่น้อยแต่เหตุผลจริงๆที่เขามีอาการกลัวจนออกนอกหน้าอย่างนี้นั่นเป็นเพราะไก่แจ้ที่เธออุ้มมาต่างหาก เนื่องจากเทียร์นั้นไม่ถูกกับสัตว์ที่มีปีกเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าหากอยู่ไกล้วันละสองชั่วโมงเขาอาจจะใจขาดตายได้เลยทีเดียว!
"อะ...เอลวี่" เทียร์พยายามเค้นเสียงออกจากลำคอที่แห้งผากแล้วยื่นมือเป็นเชิงห้ามเธอไม่ให้เข้ามา ทันใดนั้นหญิงสาวก็โยนไก่แจ้ในมือทิ้งอย่างไม่เหลียวแลแล้วชักดาบออกมาด้วยความรวดเร็วจากนั้นก็กระโดดเหยียบหน้าเทียร์อย่างจัง
"แย๊ก!!!!"
เทียร์ล้มลงไปด้วยความแรงจากลูกถีบจากนั้นหญิงสาวก็ชี้ปลายดาบจ่อไปกลางหน้าผากเทียร์แล้วเลียอมยิ้มในมือหนึ่งทีก่อนเหลือบมองเทียร์ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
"อ่ะ เอลวี่งานเสร็จเรียบร้อยแล้วเหรอ" เทียร์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักภายใต้รองเท้าหนังที่ยังเหยียบหน้าอยู่ เขาพยายามงัดมันออกแต่เอลวี่ก็ยิ่งกระแทกรองเท้าเข้าหน้าแรงขึ้น
" ตอนแรกบอกว่าให้ไปเอาดวงใจดยุคไอเซนทามแล้วไหงกลายเป็นให้ไปขโมยไก่ของหมอนั่น บังอาจเอางานจับไก่มาให้ชั้นคนนี้ทำ อภัยให้ไม่ได้!" เอลวี่กล่าวเรียบๆจากนั้นก็กระทืบ กระทืบ กระทืบ แล้วก็กระทืบ
"โอ๊ย! โอ๊ย! พอได้แล้วเอลวี่ฉันยอมแล้วๆ ขอโทษคร้าบบบบบบบบบบบ ขอโทษษษษษษษษ" เทียร์พยายามอ้อนวอนจนในที่สุดเอลวี่ก็เริ่มเห็นใจ เธอยกเท้าออกจากหน้าเทียร์ขณะที่เทียร์ก็ค่อยๆลุกขึ้น ตอนนั้นเองหมวกที่คลุมหน้าของเขาก็เลื่อนลงเผยให้เห็นใบหน้าขาวใสของเด็กชายวัยหกขวบผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน ดวงตาสีชาดูน่าค้นหา เทียร์พยายามส่งสายตาน่าสงสารให้แก่เอลวี่
แต่เสียใจเอลวี่ไม่มอง เธอมองออกไปทางอื่นพร้อมเลียอมยิ้มในมืออย่างสำราญใจแม้ใบหน้าจะไม่ใช่เช่นนั้นก็ตาม
"แหม ถึงมันจะเป็นแค่งานจับไก่แต่นี่มันก็เป็นงานระดับเอสเลยนะเอลวี่" เทียร์กล่าวพลางปัดฝุ่นที่ตัวออกแล้วค่อนๆเดินมานั่งบนซากโต๊ะที่พังเพราะเอลวี่เมื่อครู่
"แค่งานจับไก่นี่น่ะเหรอระดับเอส นี่สงสัยฉันคงจะต้องไปหารับงานที่อื่นทำแล้วล่ะมั้งดูเหมือนว่าการจัดอันดับงานของนายมันจะงี่เง่าเกินไปนะ" เอลวี่กล่าวออกมาเรียบๆเหมือนไม่คิดอะไรแต่เทียร์กลับสัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองที่ยังหลงเหลือไม่น้อยจากใบหน้านิ่งๆนั้น
"ไม่หรอก เอลวี่ไม่รู้อะไรการบุกรุกเข้าคฤหาสน์ของดยุคไอเซนทามน่ะไม่ใช่เรื่อง่ายเลยนะ ถ้าไม่ใช่เอลวี่ก็ไม่มีทางออกมาจากที่นั่นด้วยสภาพสบายๆแบบนี้หรอก" พอพูดถึงตรงนี้เอลวี่ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจทันใดนั้นเธอก็ถีบเข้าที่กลางลำตัวของเด็กน้อยจนกระเด็นกระดอนชนกำแพงอย่างไม่สงสาร
"สบายงั้นเหรอ?" พูดแล้วเอลวี่ก็ยกดาบฟาดหัวเทียร์อีกสองสามครั้งด้วยความโมโห
เทียร์ที่มีสภาพสะบักสะบอมก็ค่อยๆลุกขึ้นจากพื้นแล้วมองไปที่แขนของเอลวี่พบว่าที่แขนของเธอมีรอยแดงๆอยู่มันเหมือนกับรอยไก่จิก แล้วเทียร์ก็รู้สาเหตุของอารมณ์โมโหทั้งหมดนี้แล้ว
"เอาน่าๆเอลวี่ยังไงๆงานนี้ก็ได้เงินคุ้มค่าน่า" เทียร์พยายามปลอบใจทั้งที่ตัวเองไกล้จะตายอยู่มะรอมมะร่อ แล้วเอลวี่ก็นึกขึ้นได้
"แล้วไหนเงิน" เอลวี่ถาม เทียร์จึงค่อยๆล้วงเข้าที่อกเสื้อของตนเองก่อนจะหยิบถุงเงินส่งให้เอลวี่แต่มีแผ่นกระดาษหลุดออกมาด้วย เอลวี่หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นดู
"นี่รูปใคร" เธอถาม
"นะนั่นเป็นรูปของเซริล นีเบอเรียส"
"แล้วนายพกไว้ทำไม"
"นี่เป็นงานใหม่ที่พึ่งมีผู้ว่าจ้างน่ะ"
"ให้ไปฆ่าไอ้หมอนี่เหรอ"
"เปล่า ให้ไปช่วยหมอนี่ต่างหาก"
"งานกระหรั่ว" เอลวี่ทำเสียง หึ ในลำคอก่อนจะโยนกระดาษนั้นทิ้งไปอย่างไม่สนใจแล้วเดินไปที่ประตูขณะที่เทียร์เริ่มส่งสายตาเจ้าเล่ห์แล้วฉีกยิ้มเล็กๆขึ้นที่มุมปากก่อนชักสีหน้ากลับเป็นปรกติ เอลวี่กำลังจะก้าวเท้าออกจากประตูเทียร์ก็พูดขึ้น
"งานนี้ไม่กระหรั่วอย่างที่คิดหรอกนะเอลวี่ คนที่จะรับงานนี้ได้ก็คงมีแต่พี่เธอละมั้ง" ตอนนั้นเองเอลวี่ก็หยุดเดินแล้วหันกลับมา
"มันยากถึงขนาดต้องถึงมือพี่ของฉันเลยเหรอ" เธอส่งเสียง
"อืม"
เอลวี่กรอกตาไปมาอย่างชั่งใจ
"ถ้างั้นฉันจะรับงานนี้"
"หา! ไม่ได้นะเอลวี่อย่างเธอ...." เทียร์พยายามปฏิเสธแต่เขาก็ต้องหยุดพูดทันทีเมื่อปลายดาบของเอลวี่จ่อคอของเขาอยู่
"อย่างฉันทำไมเหรอ?" เอลวี่ถามย้ำมองมาอย่างเชือดเฉือนด้วยสายตาที่คมกริบภายใต้ใบหน้าที่หยั่งไม่ถึงอารมณ์
"ปะเปล่าจ้า ไม่มีอะไร" เทียร์หัวเราะแหะๆก่อนหันหน้าไปอีกทางแล้วฉีกยิ้มอย่างเจ้าเลห์
"ถ้างั้นก็ตามนี้ ฉันจะรับงานนี้" เอลวี่เพิ่มเสียงหนัก "แล้วจะไปให้ช่วยหมอนี่ที่ไหนวันไหน
"วะ...วันเสาร์ตอนเที่ยงที่ลานประหารที่คุกเซนเทียซี่"
เอลวี่เลิกคิ้ว "คุกเซนเทียซี่" เธอทำเสียงสูง
“ปฏิเสธตอนนี้ไม่ได้แล้วนะเอลวี่เพราะถือว่าเธอรับงานนี้ไปแล้ว” เทียร์พูดดักคอทันทีแต่เอลวี่ก็ตอบกลับมา
“คิดว่างานง่ายๆแค่นี้ฉันจะยอมแพ้เหรอ” พูดจบเอลวี่ก็เก็บดาบกลับเข้าฝักแล้วพิจารณาดูรูปในมืออีกครั้งก่อนจะจากไปพร้อมอมยิ้ม
เทียร์ก็ค่อยๆฉีกยิ้มเมื่อเอลวี่จากไป
"เรานี่มันฉลาดจริงๆ ทำให้เอลวี่รับงานนี้ได้อย่างรวดเร็วสมแล้วที่เป็นอัฉริยะ" พูดจบเทียร์ก็หัวเราะฮ่าฮ่าด้วยความสะใจอย่างเป็นที่สุด แต่ทว่าตอนนั้นเอง
กระต๊าก! กระต๊าก!
เสียงอะไรก็แว่วเข้าหูเทียร์มา เทียร์หุบยิ้มลงแล้วค่อยๆหันไปหาต้นเสียง มันคือเสียงของไก่แจ้ที่เอลวี่เอามานั่นเอง ไก่ของดยุคไอเซนทาม
"แล้ว....ฉันจะจับไก่ตัวนี้เข้ากรงยังไง เอลวี่กลับมาเดี๋ยวนี้ มาจับไก่ก่อนนนนนนนนนนนนนนนน"
.....................................
ความคิดเห็น