ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The legend of devil : ตำนานปีศาจผู้สิ้นหวัง

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 ว่าจ้าง

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 55


    ตอนที่ 1 ว่าจ้าง

     

                            "นานมาแล้วเคยมีตำนานเล่าขานถึงเรื่องราวความรักของราชันปีศาจนามว่าเซเฟดัสกับหญิงสาวที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา  แต่ด้วยความแตกต่างนั้นทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถจะครองรักร่วมกันได้   เซเฟดัสจึงตัดสินใจคิดครอบครองโลกใบนี้เพียงเพราะแค่อยากอยู่ร่วมกับเธอ..."

                            "หยุดอ่านอะไรไร้สาระได้แล้วคาเรล" 

                            น้ำเสียงทุ้มต่ำที่บอกถึงความเบื่อหน่ายจากเสียงรบกวนดังขึ้นเรียบๆทำให้บุรุษเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงที่กำลังส่งเสียงขณะไล่สายตาตามตัวหนังสือโบราณจากแผ่นกระดาษเก่าๆที่ปลิวลอยเข้ามาจากทางหน้าต่างกับสายลมเมื่อครู่ต้องหุบปากลง  ทันใดนั้นนัยน์ตาสีอัมพันก็เปลี่ยนความสนใจจากแผ่นกระดาษเก่าๆในมือมาเป็นใบหน้าคมสันได้รูปที่แฝงไว้ด้วยความงดงามที่เป็นสง่าของบุรุษที่กำลังทำหน้าตาอมทุกข์นั่งปิดจมูกอยู่ตรงข้ามแทน

                            เขามีใบหน้าที่เรียวยาว   ดวงตาสีฟ้าดั่งน้ำทะเลสดใสพาให้ใจเบิกบานเมื่อสบเจอ  เส้นผมประกายสีทองดั่งดวงตะวันที่ฉายแสงลงมาถูกถักร้อยเก็บเป็นเปียอย่างมีระเบียบ  รูปร่างแขนขาแม้ไม่กำยำแต่ก็ดูไม่ผอมแห้งจนน่าเกลียดคล้ายบุรุษที่รักสำอางค์  ซึ่งก็ไม่ผิดที่บุรุษผู้นี้จะแลดูบอบบางน่าทะนุถนอมแม้จะเป็นชายชาตรี  เพราะเขาก็คือ เลออน  เลโอโนริส  องค์รัชทายาทแห่งประเทศอาเทอเรียส  ประเทศที่ทรงอำนาจที่สุดในขณะนี้

                            "องค์ชายไม่ชอบเรื่องพวกนี้หรอกเหรอพะย่ะค่ะ"  คาเรลเอ่ยถามพลางมอง 'องค์ชาย' ของเขาด้วยสายตาถามว่า 'ทำไมในขณะที่องค์ชายกลับถอนหายใจเบาๆก่อนชี้แจงให้ราชองครักษ์คนสนิทฟัง

                            "มันก็แค่เรื่องเล่าที่ไม่รู้มีจริงหรือเปล่า"  เลออนให้เหตุผลอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเปิดผ้าม่านข้างๆศีรษะแล้วมองออกไปข้างนอกหน้าต่างรถม้าที่กำลังแล่นอยู่นั้น  ท้องฟ้าภายนอกถูกทาทับด้วยสีดำสนิท  แม้จะไม่เห็นอะไร  เขาก็ยังมองออกไป  มองเข้าไปในความมืดนั้นอย่างคุ้นชิน  เขามองกลับไปทางที่ตนเองจากมา  สิ่งที่อยู่ไกลสายตานั้นคือราชวังอาเทอเรียส  ราชวังที่พำนักพักพิงของเขาตลอดเวลาที่เขาเกิดมาจนกระทั่งอายุได้ยี่สิบสามปีและนานทีเขาถึงจะมีโอกาสได้ออกมาโลดแล่นยังอาณาเขตที่ไม่ใช่ราชวังด้วยสภาพสามัญชนคนธรรมดาอย่างนี้

                            "แต่เรื่องเล่าเรื่องนี้มันถูกเขียนขึ้นด้วยอักษรโบราณเลยนะพะย่ะค่ะ"  คาเรลยังคงให้เหตุผลสนับสนุนความคิดของตนอย่างน่าเชื่อถือด้วยน้ำเสียงชวนเชื่อ  แต่เลออนก็ยังคงเมินเหตุผลของเขาเช่นเดิม

                            "ถ้าหากเราแต่งเรื่องบ้างแล้วเขียนด้วยอักษรโบราณก็แสดงว่าเรื่องที่เราแต่งมันเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นซิ"

                            คาเรลเริ่มคิดตามคำพูดของเลออนแล้วล้มเลิกความคิดที่จะต่อเถียงในเรื่องไม่เป็นเรื่องกับบุรุษตรงหน้าในทันทีเมื่อคิดดีแล้วว่าถึงจะพูดไปยังไงคนตรงหน้าเขาก็คงต้องหาทางมาล้มล้างความคิดเขาแน่นอน  เขาถอนหายใจแล้วมองเลออนด้วยใบหน้าที่บึ้งตึงก่อนจะกล่าวขึ้น

                            "แหมพระองค์เนี่ยจะจริงจังเกินไปหรือเปล่าพะย่ะค่ะ" 

                            แต่เลออนก็ยังเมินอยู่เช่นเดิม

                            "แล้ว..."  คาเรลส่งเสียง   "พระองค์แน่ใจแล้วหรือพะย่ะค่ะที่จะจ้างวานคนอื่นให้รวบรวมเมจิกลอร์"  อยู่ๆเขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยอย่างรวดเร็วจนเลออนแทบตามอารมณ์ไม่ทัน

                            เลออนผละสายตาจากรัตติกาลที่มืดมิดเบื้องหน้ากลับเข้ามาสนใจใบหน้าของคาเรล  ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนและสุภาพนั้นประกอบไปด้วยดวงตาสีอัมพันแสนอบอุ่น  ริมฝีปากบางเรียวได้รูปกำลังขบเม้มรอคำตอบจากเขาอย่างใจจดใจจ่อจนลำคอขึ้นเส้นเลือดให้เห็น

                            "แน่ใจ"  เลออนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น  นัยน์ตาสีฟ้าส่อประกายถึงเจตจำนงที่ไม่สั่นคลอนเลยซักนิด

                            "ความจริงเรื่องนี้ให้หม่อมฉันเป็นคนจัดการเองก็ได้นะพะย่ะค่ะ" 

                            "ไม่ได้!"  เลออนตะวาดกลับเสียงเข้มทำให้คาเรลต้องปิดปากลงอีกครั้ง  "ถ้านายหายไปคนอื่นต้องสงสัย" 

                            "พระองค์ก็ทรงโกหกว่าใช้งานหม่อมฉันให้ไปทำนู่นนี่ก็ได้นี่พะย่ะค่ะ"

                            "ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ได้  ลืมไปแล้วเหรอว่าฉันกำลังโดนเล่นงานอยู่ถ้าไม่มีนาย...."  พูดถึงตรงนี้เลออนก็หยุด

     

                            "พระองค์อาจจะถูกฆ่าตาย" คาเรลกล่าวต่อประโยคนั้นของเลออน

                            เลออนเลี่ยงสายตาแล้วหลุบต่ำลงพื้น

    "นายก็รู้" เขากล่าวเบาๆ  คาเรลมีสีหน้าเศร้าลงทันตา

                            "ขอพระองค์ทรงประทานอภัยให้แก่ความโง่เขลาของหม่อมฉันด้วยพะย่ะค่ะ"  แล้วคาเรลก็ก้มหน้าด้วยความสำนึกผิด  เลออนเหล่หางตามองกลับมาที่คาเรล  เขารู้ดีว่าคาเรลรู้สึกเช่นไร  ตอนนั้นเองเขาก็ค่อยๆเอื้อมมือไปจับไหล่ของคาเรลเบาๆ  คาเรลเงยหน้าขึ้นมองเลออน  เลออนกำลังยิ้มให้แก่เขา  ยิ้มอย่างอ่อนโยนและจริงใจ  รอยยิ้มนี้เป็นรอยยิ้มเดียวกับวันนั้น  วันที่เลออนช่วยเขาออกจากความมืด  ออกจากสิ่งชั่วร้ายที่กำลังทำลายจิตใจเขา  เพียงแค่เห็นรอยยิ้มนี้ของเลออนก็ทำให้หัวใจที่เศร้าหมองของคาเรลดีขึ้นถนัดตาแม้เลออนจะไม่พูดอะไรแต่คาเรลก็สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงที่ส่งผ่านไออุ่นจากมือที่แตะอยู่ตรงหัวไหล่  นั่นยิ่งทำให้คาเรลมั่นใจ  มั่นใจว่าตัวเองเลือกทางเดินที่ถูกแล้ว  ถูกแล้วที่จะก้าวไปกับคนๆนี้  ถูกแล้วที่เขายอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนๆนี้

                            "ไม่ว่าพระองค์ประสงค์เช่นไรหม่อมฉันก็ยินดีน้อมรับพระบัญชาของพระองค์ตลอดพะย่ะค่ะ"  คาเรลกล่าวขึ้น 

    ในตอนนั้นเองรถม้าที่กำลังเคลื่อนอยู่ก็หยุดลง  คาเรลค่อยๆเลิกผ้าม่านแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมเอ่ยถามเบาๆ

                            "ถึงแล้วเหรอ?"

                            "ถึงแล้วที่นี่แหละหมู่บ้านแห่งคนตาย"  เสียงคนขับรถม้าตะโกนกลับมา

                            เมื่อได้ยินดังนั้นเลออนกับคาเรลก็ค่อยๆเคลื่อนกายลงจากรถม้าสู่พื้นดิน  ข้างหน้าของพวกเขาก็คือหมู่บ้านแห่งคนตาย  หมู่บ้านที่มีเพียงซากของชีวิตและเศษความทรงจำที่ร่วงหล่นเท่านั้น  เมื่อก่อนหมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นหมู่บ้านที่รุ่งเรืองมีคนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากแต่โชคร้ายเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่  เปลวไฟเผาผลาญลุกลามไปทั่วทั้งหมู่บ้านกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่  และตั้งแต่นั้นมาหมู่บ้านแห่งนี้ก็กลายเป็นหมู่บ้านร้างเพราะไม่มีใครอาศัยอยู่อีก  เชื่อกันว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นี่จะโดนรังควานจากวิญญาณที่ตายจากเหตุไฟไหม้ครั้งนั้นจนไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้  เลยทำให้ที่นี่กลายเป็นหมู่บ้านร้างจวบจนมาถึงปัจจุบัน  แต่ทั้งที่เป็นแบบนั้น  ที่นี่ก็มีผู้คนผลัดเปลี่ยนวนเวียนกันเข้ามาอยู่ตลอด  นั่นเพราะที่นี่มีคน 'คนนั้นอยู่  และ  'คนนั้นก็เป็นเหตุผลที่เลออนและคาเรลมาที่นี่เช่นเดียวกับคนอื่นๆ  

                            "ดูน่าขนลุกนะพะย่ะค่ะองค์ชาย"  คาเรลกล่าวน้ำเสียงสั่นขณะกวาดสายตามองเข้าไปในหมู่บ้านร้างที่อยู่เบื้องหน้า

                            "ถ้าไงพวกนายเดินเข้าไปกันเองนะเดี๋ยวฉันจะรออยู่ตรงนี้"  คนขับรถม้ากล่าว  เลออนหันไปพยักหน้าให้ก่อนจะเริ่มเดินเข้ามาในหมู่บ้านโดยมีองครักษ์อย่างคาเรลเดินตามเข้ามาด้วยสีหน้าราวกับจะร้องไห้ 

     

                            เมื่อเดินเข้ามาข้างในทั้งคู่ก็สัมผัสได้กับบรรยากาศที่ชวนน่าขนหัวลุก  ความเงียบที่ไม่มีแม้เสียงลมพัดบวกกับซากบ้านเรือนที่ถูกไฟไหม้ไร้การเก็บกวาด  เศษเถ้าถ่านซากศพยังคงมีให้เห็นอยู่ตามสองข้างทางเดินที่มีหมอกสีขาวปกคลุมอยู่เบาบาง   แต่ถึงกระนั้นเลออนก็ยังมุ่งหน้าเดินต่อไปด้วยความกล้าขณะที่เสียงหัวใจของคาเรลก็ดังระส่ำอย่างไม่เป็นจังหวะให้ได้ยินอยู่เบื้องหลังจนในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งที่มีป้ายไม้ขนาดใหญ่ว่า รับงานทุกประเภท   มันเป็นบ้านไม้หลังเก่าๆที่มีสภาพทรุดโทรมจนรู้สึกว่าหากแตะโดนนิดเดียวมันอาจจะพังลงมาทั้งหลังได้  เลออนค่อยๆเอื้อมมือผลักประตูไม้ผุๆเก่าๆข้างหน้าเบาๆอย่างกล้าๆกลัวๆ  เมื่อประตูเริ่มขยับเขาก็หันขวับดูตัวบ้าน  เมื่อมั่นใจแล้วว่ามันจะไม่พังลงมาเขาก็ค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปข้างใน 

                            ภายในบ้านมีเพียงโต๊ะไม้เก่าๆตัวหนึ่งตั้งอยู่กลางบ้านกับเทียนไขที่ถูกจุดไฟเพียงหนึ่งเล่มตั้งอยู่กลางโต๊ะ ความวิเวกของมันยิ่งทำให้ความกลัวของคาเรลยิ่งทวีมากขึ้นและในตอนนั้นก็มีเสียงดังมาจากในบ้าน  บ้านที่เงียบงัน  บ้านที่ไม่น่าจะมีคนหลังนี้

                            "ไม่ทราบว่าองค์รัชทายาทแห่งอาเทอเรียสมีเรื่องอะไรให้เทียร์ผู้นี้รับใช้หรือครับ"

                            คาเรลสะดุ้งสุดตัวแล้วรีบกระโดดเข้าหลบหลังเลออนด้วยความกลัวสุดจะบรรยายต่างจากเลออนที่ยังคงนิ่ง  ดูเขาเหมือนจะไม่ตกใจเลยแม้ซักนิดกับเสียงที่ดังมา  เขากวาดสายตามองไปบริเวณรอบๆบ้านเพื่อหาเจ้าของน้ำเสียงนั้น

                            "สะเสียงผีหรือเปล่าพะย่ะค่ะองค์ชาย"  คาเรลพยายามเหลือกตามองออกมาจากหลังของเลออนพร้อมเหงื่อที่เต็มหน้าผาก   ตอนนั้นเองเลออนก็เห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งกำลังนั่งห้อยขาลงมาจากคานไม้ในที่ที่แสงเทียนส่องไม่ถึง

                            "นายรู้ได้ยังไงว่าฉันคือองค์รัชทายาทแห่งอาเทอเรียส?"  เลออนถาม  แน่นอนว่าการมาที่นี่ของเขาไม่มีใครรู้เพราะพวกเขาแอบออกจากวังมากันเงียบๆซึ่งคาดว่าขณะนี้ในวังเองก็ยังไม่มีใครรู้  ที่สำคัญตอนนี้เขาก็ไม่ได้อยู่ในเครื่องแต่งกายที่ใครจะรู้ได้เลยว่าเป็นถึงเชื้อพระวงศ์

                            "แหมพระองค์เนี่ยคิดว่าแค่อาภรณ์สามัญชนจะตบตาคนอย่างเทียร์ผู้นี้ได้หรือครับ  อย่าลืมนะว่าผมเป็นใคร  ถ้าผมโง่ถึงขนาดไม่รู้จักพระองค์  พระองค์ก็คงไม่เดินทางมาหาผมถึงหมู่บ้านคนตายแห่งนี้หรอกจริงมั้ย"  พูดจบร่างที่อยู่บนคานก็กระโดดลงมายืนบนโต๊ะ  การปรากฎตัวของเขาทำเอาคาเรลหัวใจแทบวายแต่สิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าการปรากฎตัวของเขาก็คือความสูงของเขาล่ะมั่ง  ถ้ามองอย่างผิวเผินแล้วส่วนสูงของเขาสูงไม่ถึงหนึ่งร้อยเซนด้วยซ้ำ  ดูคร่าวๆคงจะเท่าๆกับเด็กวัยห้าถึงหกขวบเท่านั้นเอง 

                            เลออนพยายามจ้องลึกเข้าไปในหมวกที่คลุมใบหน้าเขาเกือบมิดเห็นเพียงแค่ปลายคางนั้น ขณะนั้นเทียร์ก็ทำจมูกฟุตฟิตเหมือนได้กลิ่นอะไรซักอย่าง

                            เทียร์กล่าว  "ว่าแต่  องค์ชายนี่สุดยอดไปเลยนะครับ  อุตส่าห์ลงทุนหาเสื้อผ้าเหม็นๆมาใส่เพื่ออำพลางตนเองเลย"  พูดไปเทียร์ก็ปิดจมูกไปขณะที่เลออนก็เหล่หางตามองคาเรลที่กำลังฉีกยิ้มแห้งๆอยู่ข้างๆ

                            "ไอ้กลิ่นเหม็นพวกนั้นมันติดมาจากรถม้าต่างหากล่ะ"  เลออนกล่าว

                            "อ้า....ผมขอโทษจริงๆครับที่ลืมหยิบถุงเงินมา  เลยต้องเช่ารถม้าที่เก่าและถูกที่สุด"

                            "แถมเหม็นที่สุดด้วย"  เลออนช่วยเสริม 

    คาเรลก้มหน้าสำนึกผิด

                            "แล้วองค์ชายเลออนแห่งอาเทอเรียสมีเรื่องอะไรให้เทียร์ผู้นี้รับใช้หรือครับ"  เทียร์วกกลับเข้าเรื่องจนได้ 

                            “ฉันมีงานที่อยากว่าจ้าง”  เลออนกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย

                            เทียร์เลิกคิ้วอย่างสนใจกล่าวว่า “งานอะไรหรือพะย่ะค่ะ”

                            “รวบรวมคัมภีร์ทั้งหกของเมจิกลอร์”  สิ้นคำตอบเทียร์ก็หันมองเลออนด้วยสีหน้าที่ตกใจภายใต้หมวกใบใหญ่ที่ปกคลุม

                            “งานนี้ยากเกินไปหรือเปล่าครับ  คาดว่านักล่าเงินทั้งหลายที่มารับงานกับผมคงจะไม่มีใครมีความสามารถถึง”  เทียร์กล่าว

                            “ถ้าอย่างนั้นนายก็หาคนที่มีความสามารถมาซิ”  คาเรลแทรกขึ้นตอนนั้นเองใบหน้าเคร่งเครียดของเทียร์ก็ค่อยๆปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก

                            “นี่คงเป็นงานที่แท้จริงซินะครับ  องค์รัชทายาทแห่งอาเทอเรียสนี่ช่างมีสมองที่ปราดเปรื่อง”

                            “ถ้างั้นงานนี้พอจะหาคนทำให้ได้หรือเปล่า” 

                            เทียร์ยังไม่ตอบ  เขาลูบลางตัวเองอย่างใช้ความคิดขณะที่เลออนกับคาเรลก็กำลังรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อตอนนั้นเองเลออนก็พูด

                            “งานนี้เราทุ่มไม่อั้น  จะเรียกเท่าไหร่ก็ได้” 

                            เทียร์เลิกคิ้วมองเลออนแล้วยิ้ม

                            “สรุปจะรับงานนี้หรือเปล่า”  เลออนถามย้ำอีกครั้ง

                            “ถ้าเงินดีจะงานอะไรผมก็รับทั้งนั้นแหละครับ”  เทียร์กล่าว

                            “ถ้างั้นก็รบกวนด้วยนะ  ส่วนเงินเราจะเอามาให้อีกครั้งตอนที่นายพาตัวหมอนั่นออกมาจากคุกได้สำเร็จ  อ้อ  แล้วก็เรามีเรื่องจะบอก  วันเสาร์นี้ตอนเที่ยงหมอนั่นก็จะถูกประหารแล้ว  ถ้ายังไงก็รีบๆหน่อยแล้วกันนะ”  พูดจบเลออนก็ค่อยๆเดินกลับออกไปทางประตู

                            “งานนี้คงกะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยล่ะซิองค์ชายเลออน”  เทียร์พึมพำเบาๆขณะกำลังยืนมองหลังเลออนที่ค่อยๆไกลออกไปอยู่บนหลังคาขณะที่สายลมก็พัดไหวพาให้เสื้อคลุมโบกสะบัดไปมาก่อนที่หมวกที่คลุมหน้าอยู่จะเปิดเผยดวงหน้าแสนอ่อนวัยให้เห็น

     

     

                            เทียร์นั่งอยู่บนโต๊ะข้างๆเทียนไขที่เหลือเพียงครึ่งเล่ม   เขากำลังนั่งอยู่นิ่งๆอย่างใช้ความคิดและในตอนนั้นเอง  เศษฝุ่นจากทางหลังคาก็ตกลงมาใส่หัวเขา  เทียร์เหลือมองขึ้นไปบนหลังคาพบว่าตรงกระเบื้องข้างบนกำลังสั่นไหวและมันก็พังลงมา   เทียร์กระโดดหลบเศษกระเบื้องที่ตกลงมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเทียนไขที่ยังส่องแสงสว่าง   เศษฝุ่นผงที่หนาแน่นก็อบอวนคละคลุ้งจนเต็มบ้าน  เมื่อฝุ่นผงค่อยๆเจือจางลงก็ปรากฎร่างของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังสืบเท้าเข้ามาหาเทียร์พร้อมดาบเล่มใหญ่ที่ห้อยอยู่ข้างเอว  ในมือของเธอมีไก่แจ้ตัวหนึ่งและอีกข้างหนึ่งก็กำลังถืออมยิ้มสีแดงสดซึ่งมันไม่เข้ากับใบหน้าที่ตายด้านของเธอเลยแม้แต่น้อย

    เธอค่อยๆเดินเข้ามาหาเทียร์อย่างช้าๆด้วยใบหน้าไร้อารมณ์  ดวงตาสีอเมทิสต์ที่ด้านชานั้นกำลังจับจ้องอยู่ตรงใบหน้าเทียร์อย่างไม่ลดละ  เทียร์สัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตเล็กๆที่เล็ดลอดออกมาจากความด้านชาในดวงตานั้น  เทียร์ค่อยๆก้าวท้าวถอยหลังแล้วฉีกยิ้มแห้งๆให้กับเธอด้วยความกลัว  เขาเริ่มสั่น

                            แม้เทียร์จะกลัวเธออยู่บ้างไม่น้อยแต่เหตุผลจริงๆที่เขามีอาการกลัวจนออกนอกหน้าอย่างนี้นั่นเป็นเพราะไก่แจ้ที่เธออุ้มมาต่างหาก  เนื่องจากเทียร์นั้นไม่ถูกกับสัตว์ที่มีปีกเป็นอย่างมาก  เรียกได้ว่าหากอยู่ไกล้วันละสองชั่วโมงเขาอาจจะใจขาดตายได้เลยทีเดียว!

                            "อะ...เอลวี่"  เทียร์พยายามเค้นเสียงออกจากลำคอที่แห้งผากแล้วยื่นมือเป็นเชิงห้ามเธอไม่ให้เข้ามา  ทันใดนั้นหญิงสาวก็โยนไก่แจ้ในมือทิ้งอย่างไม่เหลียวแลแล้วชักดาบออกมาด้วยความรวดเร็วจากนั้นก็กระโดดเหยียบหน้าเทียร์อย่างจัง

                            "แย๊ก!!!!" 

                            เทียร์ล้มลงไปด้วยความแรงจากลูกถีบจากนั้นหญิงสาวก็ชี้ปลายดาบจ่อไปกลางหน้าผากเทียร์แล้วเลียอมยิ้มในมือหนึ่งทีก่อนเหลือบมองเทียร์ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

                            "อ่ะ  เอลวี่งานเสร็จเรียบร้อยแล้วเหรอ"  เทียร์ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักภายใต้รองเท้าหนังที่ยังเหยียบหน้าอยู่  เขาพยายามงัดมันออกแต่เอลวี่ก็ยิ่งกระแทกรองเท้าเข้าหน้าแรงขึ้น

                            " ตอนแรกบอกว่าให้ไปเอาดวงใจดยุคไอเซนทามแล้วไหงกลายเป็นให้ไปขโมยไก่ของหมอนั่น   บังอาจเอางานจับไก่มาให้ชั้นคนนี้ทำ  อภัยให้ไม่ได้!"  เอลวี่กล่าวเรียบๆจากนั้นก็กระทืบ  กระทืบ  กระทืบ  แล้วก็กระทืบ

                            "โอ๊ย!  โอ๊ย!  พอได้แล้วเอลวี่ฉันยอมแล้วๆ  ขอโทษคร้าบบบบบบบบบบบ  ขอโทษษษษษษษษ"   เทียร์พยายามอ้อนวอนจนในที่สุดเอลวี่ก็เริ่มเห็นใจ  เธอยกเท้าออกจากหน้าเทียร์ขณะที่เทียร์ก็ค่อยๆลุกขึ้น  ตอนนั้นเองหมวกที่คลุมหน้าของเขาก็เลื่อนลงเผยให้เห็นใบหน้าขาวใสของเด็กชายวัยหกขวบผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน  ดวงตาสีชาดูน่าค้นหา  เทียร์พยายามส่งสายตาน่าสงสารให้แก่เอลวี่ 

                             แต่เสียใจเอลวี่ไม่มอง   เธอมองออกไปทางอื่นพร้อมเลียอมยิ้มในมืออย่างสำราญใจแม้ใบหน้าจะไม่ใช่เช่นนั้นก็ตาม

                            "แหม  ถึงมันจะเป็นแค่งานจับไก่แต่นี่มันก็เป็นงานระดับเอสเลยนะเอลวี่"  เทียร์กล่าวพลางปัดฝุ่นที่ตัวออกแล้วค่อนๆเดินมานั่งบนซากโต๊ะที่พังเพราะเอลวี่เมื่อครู่

                            "แค่งานจับไก่นี่น่ะเหรอระดับเอส  นี่สงสัยฉันคงจะต้องไปหารับงานที่อื่นทำแล้วล่ะมั้งดูเหมือนว่าการจัดอันดับงานของนายมันจะงี่เง่าเกินไปนะ"  เอลวี่กล่าวออกมาเรียบๆเหมือนไม่คิดอะไรแต่เทียร์กลับสัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองที่ยังหลงเหลือไม่น้อยจากใบหน้านิ่งๆนั้น

                            "ไม่หรอก  เอลวี่ไม่รู้อะไรการบุกรุกเข้าคฤหาสน์ของดยุคไอเซนทามน่ะไม่ใช่เรื่อง่ายเลยนะ  ถ้าไม่ใช่เอลวี่ก็ไม่มีทางออกมาจากที่นั่นด้วยสภาพสบายๆแบบนี้หรอก"  พอพูดถึงตรงนี้เอลวี่ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจทันใดนั้นเธอก็ถีบเข้าที่กลางลำตัวของเด็กน้อยจนกระเด็นกระดอนชนกำแพงอย่างไม่สงสาร

                            "สบายงั้นเหรอ?"  พูดแล้วเอลวี่ก็ยกดาบฟาดหัวเทียร์อีกสองสามครั้งด้วยความโมโห

                            เทียร์ที่มีสภาพสะบักสะบอมก็ค่อยๆลุกขึ้นจากพื้นแล้วมองไปที่แขนของเอลวี่พบว่าที่แขนของเธอมีรอยแดงๆอยู่มันเหมือนกับรอยไก่จิก  แล้วเทียร์ก็รู้สาเหตุของอารมณ์โมโหทั้งหมดนี้แล้ว

                            "เอาน่าๆเอลวี่ยังไงๆงานนี้ก็ได้เงินคุ้มค่าน่า"  เทียร์พยายามปลอบใจทั้งที่ตัวเองไกล้จะตายอยู่มะรอมมะร่อ  แล้วเอลวี่ก็นึกขึ้นได้

                            "แล้วไหนเงิน"  เอลวี่ถาม  เทียร์จึงค่อยๆล้วงเข้าที่อกเสื้อของตนเองก่อนจะหยิบถุงเงินส่งให้เอลวี่แต่มีแผ่นกระดาษหลุดออกมาด้วย  เอลวี่หยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นดู

                            "นี่รูปใคร"  เธอถาม

                            "นะนั่นเป็นรูปของเซริล  นีเบอเรียส" 

                            "แล้วนายพกไว้ทำไม"

                            "นี่เป็นงานใหม่ที่พึ่งมีผู้ว่าจ้างน่ะ"

                            "ให้ไปฆ่าไอ้หมอนี่เหรอ"

                            "เปล่า  ให้ไปช่วยหมอนี่ต่างหาก" 

                            "งานกระหรั่ว"  เอลวี่ทำเสียง หึ ในลำคอก่อนจะโยนกระดาษนั้นทิ้งไปอย่างไม่สนใจแล้วเดินไปที่ประตูขณะที่เทียร์เริ่มส่งสายตาเจ้าเล่ห์แล้วฉีกยิ้มเล็กๆขึ้นที่มุมปากก่อนชักสีหน้ากลับเป็นปรกติ  เอลวี่กำลังจะก้าวเท้าออกจากประตูเทียร์ก็พูดขึ้น

                            "งานนี้ไม่กระหรั่วอย่างที่คิดหรอกนะเอลวี่  คนที่จะรับงานนี้ได้ก็คงมีแต่พี่เธอละมั้ง"  ตอนนั้นเองเอลวี่ก็หยุดเดินแล้วหันกลับมา

                            "มันยากถึงขนาดต้องถึงมือพี่ของฉันเลยเหรอ"  เธอส่งเสียง

                            "อืม"

                            เอลวี่กรอกตาไปมาอย่างชั่งใจ

                            "ถ้างั้นฉันจะรับงานนี้"

                            "หา!  ไม่ได้นะเอลวี่อย่างเธอ...."  เทียร์พยายามปฏิเสธแต่เขาก็ต้องหยุดพูดทันทีเมื่อปลายดาบของเอลวี่จ่อคอของเขาอยู่ 

                            "อย่างฉันทำไมเหรอ?"  เอลวี่ถามย้ำมองมาอย่างเชือดเฉือนด้วยสายตาที่คมกริบภายใต้ใบหน้าที่หยั่งไม่ถึงอารมณ์

                            "ปะเปล่าจ้า  ไม่มีอะไร" เทียร์หัวเราะแหะๆก่อนหันหน้าไปอีกทางแล้วฉีกยิ้มอย่างเจ้าเลห์

                            "ถ้างั้นก็ตามนี้  ฉันจะรับงานนี้"   เอลวี่เพิ่มเสียงหนัก  "แล้วจะไปให้ช่วยหมอนี่ที่ไหนวันไหน

                            "วะ...วันเสาร์ตอนเที่ยงที่ลานประหารที่คุกเซนเทียซี่"

                            เอลวี่เลิกคิ้ว  "คุกเซนเทียซี่"  เธอทำเสียงสูง

                            “ปฏิเสธตอนนี้ไม่ได้แล้วนะเอลวี่เพราะถือว่าเธอรับงานนี้ไปแล้ว”  เทียร์พูดดักคอทันทีแต่เอลวี่ก็ตอบกลับมา

                            “คิดว่างานง่ายๆแค่นี้ฉันจะยอมแพ้เหรอ”  พูดจบเอลวี่ก็เก็บดาบกลับเข้าฝักแล้วพิจารณาดูรูปในมืออีกครั้งก่อนจะจากไปพร้อมอมยิ้ม 

                            เทียร์ก็ค่อยๆฉีกยิ้มเมื่อเอลวี่จากไป

                            "เรานี่มันฉลาดจริงๆ  ทำให้เอลวี่รับงานนี้ได้อย่างรวดเร็วสมแล้วที่เป็นอัฉริยะ"  พูดจบเทียร์ก็หัวเราะฮ่าฮ่าด้วยความสะใจอย่างเป็นที่สุด  แต่ทว่าตอนนั้นเอง

                            กระต๊าก!  กระต๊าก!

                            เสียงอะไรก็แว่วเข้าหูเทียร์มา  เทียร์หุบยิ้มลงแล้วค่อยๆหันไปหาต้นเสียง  มันคือเสียงของไก่แจ้ที่เอลวี่เอามานั่นเอง  ไก่ของดยุคไอเซนทาม

                            "แล้ว....ฉันจะจับไก่ตัวนี้เข้ากรงยังไง   เอลวี่กลับมาเดี๋ยวนี้  มาจับไก่ก่อนนนนนนนนนนนนนนนน"

     

                           

     .....................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×