คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5
บทที่ 5
บรรยากาศภายในห้องบรรทมของเจ้าชายเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เจ้าสวมชุดเกราะเหล็กเดินกลับไปกลับมาอย่างร้อนรุ่ม ดาบคมกริบซ่อนคมอยู่ในฝักเหน็บไว้ที่ข้างเอว เขาพร้อมจะรบทัพจับศึกเสมอหากเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นกับแม่มด เดินไปมาพลางจินตนาการภาพเหตุการณ์เลวร้ายสารพัดแบบที่อาจเกิดขึ้นกับแม่มด
ตะวันคล้อยต่ำลับขอบฟ้า ม่านราตรีเข้าปกคลุมนภาแล้วในยามนี้ ดวงจันทร์กระจ่างเกือบเต็มดวงทอแสงเงินยวงอาบไล้เบื้องล่าง แต่แสงนวลนั้นไม่สามารถบรรเทาความร้อนรุ่มในใจเจ้าชายลงได้เลย เขายังคงเดินกลับไปกลับมาจนเหงื่อโซมกาย ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น เจ้าชายหยุดเดินแทบจะทันทีทันใด ประตูถูกเปิดออก ผู้ที่เดินเข้ามาคือขุนพล
“เป็นอย่างไรบ้าง?”คำถามประโยคแรกโพล่งออกมาจากปากเจ้าชาย
“พระราชาเมืองใต้ยกทัพมาถึงเมืองเราแล้ว”
“พวกเขามาทำไมกัน”
“เจ้าหญิงสงข่าวไปบอกพระราชาเมืองใต้ พระองค์อยากมาร่วมพิธีเผาแม่มดด้วย”
“ปัญหาใหญ่แล้วสิ”เจ้าชายกัดฟันกรอด นึกแค้นความเอาแต่ใจของเจ้าหญิงวูบหนึ่ง แต่แล้วก็คิดขึ้นได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของตัวเขาเอง เรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นเพราะความเอาแต่ใจของเขา และความเอาแต่ใจของเขาก็ทำให้แม่มดผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย
“แม่มดสบายดีไหม?”เจ้าชายถามพลางเอื้อมสองมือไปจับไหล่ของขุนพล
“ท่านอย่ารู้เลยดีกว่า สงบสติอารมณ์แล้วลืมนางซะ”ขุนพลกล่าวพลางสะบัดให้มือเจ้าชายออกไปจากไหล่
“ข้าถามหน่อยเถอะ ในชีวิตขุนพลกล้าหาญชาญชัยเช่นท่านเคยมีความรักสักครั้งหนึ่งในชีวิตบ้างไหม”
ขุนพลนิ่งเงียบ เจ้าชายจึงพูดต่อ
“ถ้าท่านเคยท่านก็จะเข้าใจความรู้สึกของข้าในตอนนี้ คนที่ข้ารักกำลังจะถูกเผาทั้งเป็นและเรื่องทั้งหมดก็เป็นเพราะความผิดของข้า ท่านลองคิดดู...ถ้านางเป็นอะไรขึ้นมาข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร”
ขุนพลยังคงยืนนิ่งไม่ตอบอะไร แต่จ้องตาเจ้าชายเขม็ง
“ตั้งแต่เด็กท่านก็พร่ำสอนเสมอมิใช่หรือ ว่าลูกผู้ชายเมื่อทำผิดก็ต้องกล้ายืดอกรับผิดชอบ”
ขุนพลนิ่งอยู่ชั่วอึดใจก่อนที่จะตอบว่า “ตอนนี้แม่มดถูกมัดติดกับกองฟืนที่ลานใจกลางเมือง”
“ให้ข้าออกไปเถอะ ก่อนที่จะสายเกินไป”เจ้าชายวิงวอนอย่างร้อนรุ่ม
“ครั้งนี้ไม่ใช่การเที่ยวนอกวัง ข้ายอมให้ท่านไม่ได้”ขุนพลพูดพลางสั่นศีรษะเล็กน้อย
“ข้าคงต้องสู้กับท่านอีกครั้งแล้ว”เจ้าชายชักดาบออกมาจากฝัก ขุนพลก็ชักดาบของเขาออกมารอตั้งรับ ท่วงท่านและแววตาเยือกเย็นน่าเกรงขามผิดกับทุกครั้งที่เคยประลองฝีมือด้วย ทำให้เจ้าชายตระหนักว่าที่ผ่านมาขุนพลไม่เคยเอาจริงกับเขาเลย เจ้าชายปรี่เข้าหาฟาดฟันดาบเปิดฉากจู่โจม ครั้งนี้มิใช่การประลองด้วยดาบไม้ ขุนพลยังคงมีประกายตาที่แน่วนิ่งไม่ยี่หระแม้แต่น้อย ผิดกับเจ้าชายที่เกร็งและแสดงอาการขยาดทุกจะหวะที่หลบหรือกันคมดาบฝ่ายตรงข้ามได้อย่างน่าหวาดเสียว
“เจ้าชาย ท่านเอาแต่เดินไปเดินมาตั้งแต่หัววัน เรี่ยวแรงจึงตกลงไปเยอะ”ขุนพลกล่าวแล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายโจมตีอย่างโถมสุดกำลัง แม้กำลังจะเป็นรองคนหนุ่ม แต่ด้วยความต่อเนื่อง ความเจนจัดและความมั่นใจทำให้เจ้าชายต้องตกเป็นรอง จนสุดท้ายดาบก็กระเด็นหลุดจากมือเจ้าชายไปเสียบกับผนัง แต่เขายังไม่ยอมแพ้ ใช้ปลอกแขนเหล็กสู้แทนดาบ หลายครั้งที่คมดาบเจาะเหล็กเป็นรูผ่านเข้าไปลิ้มรสเลือดใต้ผิวหนัง เจ้าชายก็ยังกัดฟันสู้ต่อไปอย่างเลือดขึ้นหน้า
“พอเถอะเจ้าชาย ท่านสู้ข้าไม่ได้หรอก”ขุนพลถอยฉากห่างออกมา
“ข้าสู้ท่านไม่ได้ก็จริง แต่ไม่สู้ไม่ได้”
เจ้าชายรีบวิ่งไปกระชากดาบออกมาจากผนัง ตั้งท่าเตรียมจะเข้าไปจู่โจมอีก ขุนพลประเมินเจ้าชายด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึกก่อนที่จะเสียบดาบของตนเองกลับเข้าฝัก แววตาจึงค่อยเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“ข้ามองเห็นความมุ่งมั่นของท่านแล้วเจ้าชาย เชิญท่านไปเถอะ”ขุนพลกล่าวจากนั้นหลบไปยืนอยู่ข้างๆประตู
เจ้าชายหลับตาค้อมศีรษะลง
“ขอบคุณท่านมาก”
“เจ้าชาย ท่านต้องรักษาตัวให้ดี ถ้าท่านเป็นอะไรไปข้าก็คงไม่มีหน้าอยู่สืบต่อไปเช่นกัน”
เจ้าชายส่งเสียงอืมม์รับคำ ใบหน้าขมวดเกร็งพยายามข่มความรู้สึกอัดอั้นตันใจเอาไว้
“ครั้งนี้ไม่มีป้ายผ่านสะดวก ท่านต้องพึ่งตัวเอง”
“ข้าทราบแล้ว ข้าไปก่อนล่ะ”เจ้าชายกล่าวจบก็รีบวิ่งออกจากประตูไป
“ระวังตัวให้ดีนะพะย่ะค่ะ”ขุนพลตะโกนไล่หลังมา
ทันทีที่เจ้าชายกระโดดลงมาจากหน้าต่างชั้นสองก็พุ่งดิ่งลงไปยังพุ่มไม้ทึบในสนามหญ้าดังสวบ! ทหารยามคนหนึ่งหันหยุดมามองครู่หนึ่งจากนั้นก็ทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ทหารยามกระจายกำลังกันรักษาการณ์เป็นจุดๆ เจ้าชายมองหาจุดที่มีเงามืดปกคลุมแสงจันทร์ส่องไม่ถึง คำนวณเส้นทางไว้ล่วงหน้า พอคิดว่าทหารยามเผลอเจ้าชายก็รีบวิ่งฝ่าไปหลบอยู่ในมุมมืดอีกจุดหนึ่ง พอพ้นบริเวณนั้นออกมาก็ปลอดทหารยามรักษาการณ์ แต่เจ้าชายก็ไม่ประมาท พยายามเดินเลียบเคียงตามมุมมืดเสมอจนไปถึงโรงเลี้ยงม้า ม้าขาวส่งเสียงร้องอย่างดีใจเมื่อเห็นเจ้านาย เจ้าชายชู่ว์ปากบอกให้มันเงียบ พอคนเลี้ยงม้าเดินออกมาดูเจ้าชายก็รีบหาที่ซ่อนตัว
“เจ้าม้าขาวเป็นอะไรรึ”ทันทีที่คนเลี้ยงม้าหยุดยืนอยู่หน้าเจ้าม้าขาว เจ้าชายก็รีบย่องเข้าไปประชิดข้างหลัง ทุบท้ายทอยคนเลี้ยงม้าหมดสติ รีบก้มลงรับร่างที่อ่อนระทวยก่อนที่จะถึงพื้น
“ขอโทษนะลุง ข้าเองก็ไม่อยากทำแบบนี้แต่มันจำเป็นจริงๆ”
เจ้าชายเปิดประตูคอก ปลดเชือกแล้วขึ้นขี่เจ้าม้าขาว ควบออกมาอย่างเต็มฝีเท้า ทหารสองคนบริเวณนั้นได้ยินเสียงผิดปรกติจึงรีบวิ่งมาขวางหน้าทางออก
“หยุดก่อนพะย่ะค่ะ!”ทหารคนหนึ่งร้องบอก
เจ้าชายไม่ฟัง ใช้เท้าเตะท้องม้าทีหนึ่ง ม้าขาวพลันโจนทะยานลอยสูงเหนือพื้น ทหารทั้งสองคนหงายหลังล้มลงหลบเกือกม้าที่ลอยเฉียดผ่านหน้าไป
“เจ้าชายหนีไปแล้ว! เจ้าชายหนีไปแล้ว!”ทหารทั้งสองคนเที่ยวตะโกนบอก
เจ้าชายไม่มีเวลามาสนใจ ควบม้าจนมาถึงหน้าประตูปราสาท ทหารยามราวสิบกว่าคนชักอาวุธออกมาตั้งท่าขวางประตูบานใหญ่ซึ่งปิดอยู่ เจ้าชายเหลียวหลังไปดูพบว่ามีทหารหลายสิบคนวิ่งกระหืดกระหอบไล่หลังมา
“เจ้าชายท่านไร้หนทางไปแล้ว ยอมจำนนแต่โดยดีเสียเถอะ”หัวหน้าทหารยามซึ่งยืนขวางหน้าประตูร้องบอก
เจ้าชายมองหาบันไดที่ทอดขึ้นไปสู่บนกำแพง จากนั้นลูบหัวเจ้าม้าขาวก้มลงกระซิบข้างหูว่า
“เจ้ากระต่าย เราคงต้องเสี่ยงกันหน่อยแล้ว”
เจ้าชายร้องย่ะห์!เตะเท้ากระตุ้นให้เจ้าม้าขาววิ่ง เจ้ามาขาวพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วราวลูกธนูพุ่งออกจากแหล่ง เจ้าชายรั้งบังเหียนเปลี่ยนทิศมุ่งหน้าไปทางบันไดขึ้นกำแพงด้านขวา ทหารยามที่ขวางประตูอยู่อย่างแน่นหนารู้ตัวว่าเสียท่ารีบวิ่งไปสกัด เจ้าชายควบม้าวิ่งขึ้นใบได ทหารจากบนกำแพงจำนวนหนึ่งวิ่งลงมาสกัด เจ้าชายแกว่งดาบปะทะกับอาวุธของพวกเขาจนล้มกลิ้งลงบันไดหลายต่อหลายคน เมื่อขึ้นมาถึงบนกำแง แทนที่เจ้าชายจะรั้งบังเหียนหยุดฝีเท้าม้ากลับกระตุ้นให้มันเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น เจ้าม้าขาวส่งเสียงร้องเมื่อร่างของมันพุ่งทะยานออกจากยอดกำแพง ลอยเคว้งกลางอากาศ
ตึง!
เกือกม้าทั้งสี่กระแทกพื้น ร่างเจ้าชายลอยละลิ่วจากหลังม้าลงไปกลิ้งกับพื้น เจ้าม้าส่งเสียงร้องเพราะความเจ็บปวดแต่ก็วิ่งเหยาะๆอย่างกระเผลกๆนำหน้าไป เจ้าชายรีบลุกขึ้นวิ่งไปกระโดดขึ้นควบม้าอย่างคล่องแคล่ว ทันทีที่เจ้าชายขึ้นขี่เรียบร้อย เจ้าม้าก็ฝืนใจวิ่งเต็มฝีเท้าตามแต่สังขารจะวิ่งได้ ราวกับมันเข้าใจความรีบเร่งของเจ้านายดี
ตึกราบ้านช่องยามวิกาลช่างเงียบสงัดผิดกับตอนกลางวัน ชาวบ้านบางคนเปิดหน้าต่างออกมาดูเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้าขับควบผ่านไป เจ้าชายเข้าใกล้ลานใจกลางเมืองไปทุกทีแล้ว ที่นั่นเป็นลานวงกลมกว้างขวาง มีบ่อน้ำพุขนาดใหญ่ประดับด้วยประติมากรรมจากเทพนิยาย ณ จุดศูนย์กลาง ตามปรกติที่แห่งนี้จะใช้สำหรับชุมนุมหรือจัดงานเทศกาลรื่นเริง แต่วันนี้กองฟืนขนาดใหญ่ถูกกองไว้ เป็นกองฟืนชุ่มน้ำมันเป็นหย่อมๆ เหนือกองฟืนมีเสากระโดงขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน หญิงสาวชุดดำกลมกลืนกับสีของม่านราตรีถูกมัดติดกับเสา พระราชา พระราชินี และพระชาเมืองใต้ปรึกษาหารือกับนักบวชคนหนึ่ง ผู้ซึ่งถือคบไฟอยู่ในมือ เหงื่อชุ่มศีรษะไม่ใช่เพราะอากาศร้อนแต่เพราะหนักใจกับหน้าที่สำคัญที่ได้รับมอบหมาย
“ข้าสวดเสร็จแล้ว”นักบวชกล่าว “ต่อจากนี้จะเริ่มทำการเผาล่ะ”
“เชิญทำหน้าที่ของท่านเถอะ”พระราชากล่าว
“ท่านพ่อ เผานางแล้วนางจะตายหรือเปล่า อย่าลืมว่านางเป็นแม่มดนะ”เจ้าหญิงถามบิดาผู้เป็นพระราชาเมืองใต้
“ตำนานเล่าขานว่า วิธีเดียวที่จะฆ่าแม่มดได้คือเผาทั้งเป็น”พระราชาเมืองใต้ตอบ
“อันที่จริงไม่จำเป็นหรอกท่านพ่อ”เจ้าชายเมืองใต้ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายของเจ้าหญิงเอ่ยขึ้น “ตอนข้าไปช่วยชายาข้ามาจากปราสาท ข้าก็แผลงศรใส่พ่อมดตายมาแล้ว”เจ้าชายเมืองใต้พูดอย่างภาคภูมิใจในตัวเอง
แม่มดหันไปมองหน้าเจ้าชายเมืองใต้ แม้ใบหน้าจะมีริ้วรอยแห่งวัยเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่เธอก็ยังจำได้ว่าเขาคือคนคนเดียวกับที่ยิงธนูใส่หลังพ่อเธอและหลังเธอเองตอนที่เธอยังเด็กๆ
“เจ้าชายเมืองใต้ ข้าขอถามอะไรท่านหน่อย”แม่มดพูดขึ้นหลังจากที่เงียบมานาน
“ถามข้ารึ?”เจ้าชายเมืองใต้ชี้นิ้วที่ตัวเอง
“เจ้าหญิงคนที่ท่านเคยช่วยไว้ไม่ได้มาด้วยหรือ”
“จะมาได้อย่างไรในเมื่อนางตายไปแล้ว”เจ้าชายเมืองใต้ตอบอย่างเย็นชา
“โอ!...นางเป็นอะไรตายล่ะ”
“เห็นแก่ที่เจ้ากำลังจะตายข้าจะบอกให้ก็ได้”เจ้าเมืองใต้กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเยาะๆ “นางนอกใจคิดจะหนีไปจากข้า ข้าจับได้จึงฆ่านางเสีย”
“อา...นี่มันอะไรกัน”น้ำตาของแม่มดเริ่มหลั่งริน ทนไม่ได้ที่ความตั้งใจของพ่อแม่ของหล่อนถูกย่ำยีแบบนี้ ถ้าพ่อแม่ของเธอได้รับรู้ก็ไม่รู้ว่าพวกท่านจะเสียใจขนาดไหน ภาพที่แม่มดนึกได้ก็มีแต่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของท่านทั้งสอง คงทำใจได้ยากถ้าหากความเศร้าโศกเข้าไปแทนใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั้น
“รีบๆเผาดีกว่า”พระราชาเมืองใต้แนะ
“จะดีหรือ ถ้าที่นางพูดเป็นความจริงก็เท่ากับเราเผาคนบริสุทธิ์ทั้งเป็นเลยนะ”พระราชินีเตือน พระราชาอ้ำอึ้งอย่างลังเลก่อนจะกล่าวกับแม่มดว่า
“ยกโทษให้ข้าด้วยนะ ข้าทำเพื่อความปลอดภัยของบ้านเมืองข้า”พระราชาพูดจบก็หันไปพยักหน้าให้กับนักบวช นักบวชถือคบเพลิง ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้
“มันจะเจ็บหรือเปล่า”แม่มดถามอย่างกลัวๆ
ทันใดนั้นกลับเกิดเสียงเอ็ดตะโรและเสียงอาวุธปะทะกัน กลุ่มทหารถูกทะลวงฝ่าจนแยกเป็นสองฟาก เจ้าม้าขาวห้อตะบึงฝ่ามาอย่างน่ากลัวแต่บุรุษผู้อยู่บนหลังม้ากลับกวัดแกว่งดาบได้น่าเกรงขามยิ่งกว่า
นักบวชหลับตาโยนคบเพลิงไปยังกองฟืนเบื้องหน้า ทันใดนั้นเจ้าม้าขาววิ่งมาถึงพอดี เจ้าชายรีบกระโจนออกจากหลังม้าคว้าคบเพลิงกลางอากาศได้อย่างทันท่วงที จากนั้นล้มกลิ้งตัวไปกับพื้นเพื่อลดแรงกระแทก เจ้าชายค่อยๆชันกายลุกขึ้น คบเพลิงที่เปลวไฟสั่นไหวถืออยู่ในมือ ทั้งทหารในเมืองและทหารต่างเมืองทุกคนชักอาวุธออกมาดัง เช้ง! เจ้าชายยืนอยู่เบื้องหน้าแม่มดอย่างสงบ ส่งคบเพลิงคืนให้กับนักบวช
“รับของๆท่านคืนไป”
“อ่า..อะ..อ้า”นักบวชยอมรับคบเพลิงมาแต่โดยดี แล้วถอยห่างออกมาอย่างงกๆเงิ่นๆ
“เจ้าทำอะไรของเจ้า!”พระราชาตวาด ตาเบิกโพลงอย่างน่ากลัว
“ในเมื่อข้าเป็นคนพานางมา ข้าก็ต้องรับผิดชอบชีวิตของนาง”จากนั้นหันไปกล่าวกับแม่มดว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะช่วยเจ้าออกไปให้ได้”
“ท่านไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลย”แม่มดกล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อแต่ก็ซ่อนความปลาบปลื้มประโลมใจไว้ไม่มิด
“เจ้ายอมแพ้และยอมรับความจริงเสียเถอะ เจ้าไม่มีทางช่วยนางออกไปได้หรอก”พระราชาร้องบอก พลางผายมือไปยังทหารนับร้อยพันที่รายล้อมอยู่รอบๆ
“ถึงรู้ดีว่าทำไม่ได้ ข้าก็จะลองเสี่ยงดู”เจ้าชายตอบอย่างเด็ดเดี่ยว
“เฮอะ! ทั้งทหารเมืองเจ้าและทหารเมืองเราล้วนหันอาวุธไปที่เจ้า เสี่ยงไปก็เปล่าประโยชน์”เจ้าชายเมืองใต้กล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“พี่ข้าพูดถูก”เจ้าหญิงสนับสนุน “ท่านควรปล่อยนางวอดวายไปแต่เพียงผู้เดียว อย่าเอาตัวท่านติดร่างแหไปกับนางด้วยเลย”
เจ้าชายจ้องหน้าเจ้าชายเมืองใต้เขม็ง แล้วกล่าวขึ้นว่า
“ท่านคงเป็นเจ้าชายเมืองใต้สินะ”
“ถูกแล้ว แม้แต่เด็กน้อยอย่างเจ้าก็ยังรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเรา”ที่เขาพูดเช่นนี้ก็เพราะเจ้าชายเมืองใต้มีอายุมากกว่าเจ้าชายเกือบสิบปี
“ท่านจำได้หรือไม่ ที่ปราสาทแม่มดเมื่อสิบปีที่แล้วท่านทำอะไรลงไป”
“ทุกคนก็ได้รู้กิตติศัพท์ของข้าดีแล้ว ข้าสามารถฆ่าพ่อมดได้ด้วยลูกธนูเพียงดอกเดียว”
“ยังจะมีหน้ามาภูมิใจอีกเรอะ!”เจ้าชายคำราม “เจ้าพรากชีวิตพ่อของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วเกือบจะพรากชีวิตเด็กผู้หญิงคนนั้นไปด้วย”
“เธอเป็นลูกแม่มด”เจ้าชายเมืองใต้ยักไหล่
“ครอบครัวหนึ่งที่หวังดีช่วยปลูกความรักให้เจริญงอกงาม”เจ้าชายกัดฟันพูด “แต่ท่านกลับทำลายชีวิตครอบครัวของเขาจนพังพินาศเพียงเพื่อชื่อเสียงของตัวเอง จงดูเสียให้เต็มตาเถอะ เด็กผู้หญิงที่ท่านเกือบฆ่าตายในวันนั้นก็คือแม่มดคนนี้ไงล่ะ”
“เรื่องนั้นลืมมันเสียเถอะ”แม่มดกล่าว “ข้าไม่โกรธ พ่อกับแม่ข้าก็ไม่โกรธเช่นกัน”
“สมควรแล้ว ก็นางเป็นแม่มดนี่”เจ้าชายเมืองใต้ตอบ
เจ้าชายแค่นหัวเราะ เค้นเสียงลอดไรฟันตอบกลับไปว่า
“แล้วเจ้าเป็นตัวอะไร กล้าดีอย่างไรมาแอบอ้างว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย”
“กล้าลองดีกับข้า เจ้าไม่ตายดีแน่!”พระราชาเมืองใต้ร้องด้วยโทสะ
“สบอารมณ์ข้านัก” เจ้าชายร้องตอบอย่างท้าทาย “ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าฝีมือดาบของท่านจะแน่สักแค่ไหน”
“พอเถอะ เจ้าชาย เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน”แม่มดปรามเจ้าชาย
ทันใดนั้นเกิดเสียงคำรามกึกก้องท้องฟ้า สายฟ้าแลบแปลบปลาบ เงาทะมึนร่างยักษ์พุ่งผ่านชั้นเมฆที่สูงลิบลิ่วลงมา แสงจันทร์ส่องต้องเผยให้เห็นเกร็ดสีม่วงมันเลื่อม ฟันสีขาวขุ่นคมกริบนับไม่ถ้วนซี่เรียงรายกันแสยะออกให้เห็น ดวงตาเสืองอำพันมีตาดำที่หดเล็กเรียวคล้ายดวงตาของงูขนาดยักษ์
“มังกร!”พระราชาร้องเสียงหลงอย่างตื่นตระหนก
เจ้าชายโห่ร้องอย่างผู้ชนะ ตวัดดาบตัดเชือกที่พันธนาการร่างแม่มดไว้กับเสากระโดงออก มังกรบินโฉบผ่านเหนือศีรษะหมู่ทหารไป แรงลมส่งผลให้ทหารบางจำนวนล้มลงเป็นทิวแถว
“หนีเร็ว!”เจ้าชายฉุดข้อมือแม่มดให้วิ่งตามมา เป่าปากเรียกเจ้าม้าขาว เจ้าม้าขาวพยายามวิ่งฝ่ากองทหารออกไปรอข้างนอก เจ้าชายก็พยายามพาแม่มดฝ่าไปเช่นกัน แม้ว่าทหารส่วนหนึ่งจะทุ่มเทความสนใจไปที่เจ้ามังกร แต่ทหารบางส่วนก็คอยสกัดการหนีของเจ้าชายและแม่มดเอาไว้ เจ้าชายวิ่งพลาง หลบอาวุธพลางและฟันดาบสวนกลับพลาง ทหารที่เข้ามาสกัดทุกคนล้วนได้รับบาดเจ็บแต่ไม่มีใครถึงตาย หลายครั้งที่แม่มดเกือบต้องคมอาวุธแต่เจ้าก็มักจะเบี่ยงตัวเข้ามันกันให้ทุกครั้งไป รอยคมอาวุธปรากฏทั่วตัวเกราะเหล็ก บางรอยฟันลึกเข้าไปถึงใต้ผิวหนังเลือดไหลซิบๆ ใบหน้าที่เรียบเนียนของเขาบัดนี้เต็มไปด้วยริ้วรอยแผลถากผิวจากของมีคม
“พลธนูเตรียมพร้อม!..ระวัง!...ยิง!”
“อย่าทำอย่างนั้น!”แม่มดตะโกนห้ามแต่สายเกินไปเสียแล้ว
ห่าฝนธนูมาได้แค่ระคายผิวของมังกรเท่านั้นแต่ยังทำให้มันโมโหอีกด้วย เมื่อครู่มันแค่บินโฉบผ่านไปมาเป็นการขู่และเบี่ยงเบนความสนใจ แต่คราวนี้มันส่งเสียงคำราม ฟาดหางใส่กลุ่มทหารกระเด็นไปเป็นแถว ฝนธนูถูกยิงออกไปอีกรอบทำให้เจ้ามังกรโมโหยิ่งกว่าเก่า พ่นไฟสวนกลับมา หลายคนโดนไฟคลอกร่างส่งเสียงร้องโหยหวนวิ่งตุปัดตุเป๋ไปหาบ่อน้ำพุ แม่มดพยายามสะบัดข้อมือหลุดจากการฉุดกุมของเจ้าชาย
“เราต้องรีบหนี”เจ้าชายเตือน
“ถ้าไม่หยุดเจ้ามังกร เมืองทั้งเมืองจะตกอยู่ในอันตราย”แม่มดตอบ
“พาเจ้าหนีไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”เจ้าชายเร่งเร้า
“ช่วยเมืองไว้ให้ได้ก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน”แม่มดกล่าวพลางสลัดข้อมือจนหลุดจากการฉุด แล้วรีบวิ่งไปในทันที
“เดี๋ยวก่อน!”เจ้าชายรีบวิ่งตามหลังแม่มดไปเพื่อช่วยป้องกันอันตรายจากคมอาวุธให้กับหล่อน
เหล่าทหารสำนึกตนว่าทำอะไรสัตว์ร้ายตัวนี้ไม่ได้จึงพากันถอยห่างออกมา เจ้ามังกรร่อนลงเหยียบพื้นอย่างย่ามใจ กรอไฟที่คุกรุ่นในปากเพื่อเตรียมพ่นลูกไฟขนาดใหญ่กว่าเดิมออกไป
“ทหารทุกคนอย่าได้ถอยหนี จงยืนหยัดสู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องบ้านเมือง!”พระราชาร้องสั่ง
“ทหาร! ถอยทัพกลับไปป้องกันเมืองของเราก่อน”พระราชาเมืองใต้ร้องสั่งทหารของตนเอง
แต่ทันใดนั้นทุกการกระทำก็ต้องชะงักลง เมื่อแม่มดวิ่งออกไปหยุดยืนตรงหน้าเจ้ามังกร กางแขนทั้งสองข้างออก
“หยุดเดี๋ยวนี้นะเจ้ามังกร!”แม่มดร้องสั่งด้วยบุคลิกคล้ายกับเด็กน้อยเจ้ากี้เจ้าการ
มังกรกลืนไฟลงคอแล้วเปล่งเสียงคำรามอย่างไม่พอใจ ชี้ขาหน้าไปยังเหล่าทหาร ส่งเสียงงึมๆงัมๆคล้ายจะอธิบายให้แม่มดฟัง
“พวกเขาไม่ได้รังแกข้าหรอก เจ้ากลับปราสาทไปเถอะ”
เจ้ามังกรส่ายหัวปฏิเสธ ทำท่าฮึดฮัดจะเอาเรื่องกับทหารทุกคนให้ได้
“ทำไมดื้ออย่างนี้!”แม่มดขึ้นเสียง ราวกับแม่ที่กำลังดุด่าลูกน้อยแสนซนอยู่ก็ไม่ปาน แต่ได้ผล เจ้ามังกรคอตกส่งเสียงครางหงิงๆ สายตากวาดไปยังทหารรอบๆตัวอย่างไม่วางใจ
“พ่อแม่ข้าไม่อยู่แล้วเจ้าก็ต้องเชื่อฟังข้าสิ กลับปราสาทไปซะ”แม่มดยืนกรานอย่างเด็ดขาด
เจ้ามังกรแหงนหน้าขึ้นฟ้า หลับตาส่งเสียงร้องอย่างโศกาอาดูรเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะโฉบบินขึ้นฟ้าจากไปอย่างรวดเร็ว แม่มดถอนหายใจพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างโล่งอก
“ไม่!!”เจ้าชายร้องเสียงหลง พยายามแหวกกลุ่มทหารออกมาหาแม่มดแต่สายไปเสียแล้ว
ลูกธนูสีทองพุ่งแหวกฝ่าอากาศเร็วปานสายฟ้าฟาด แต่เมื่อครู่แม่มดสะดุ้งตกใจกับเสียงร้องของเจ้าชาย ทำให้หัวธนูปักเข้าที่ร่องไหล่แทนที่จะเป็นกลางหัวใจ ทีแรกแม่มดแค่ตกใจอ้าปากตะกุกตะกักพูดอะไรไม่ออก จากนั้นความเจ็บปวดก็ค่อยแล่นไปทั่วร่าง บันดาลให้ทรุดลงไปนอนกับพื้น สีหน้าบิดเบี้ยวอย่างปวดร้าว พยายามอ้าปากส่งเสียงร้องเพื่อระบายความเจ็บปวดแต่กลับไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมา เจ้าฝ่ากลุ่มทหารออกมาได้สำเร็จ สอดดาบเก็บเข้าฝัก วิ่งมาล้มตัวลงดูอาการของแม่มด
“ไม่เป็นไร หัวธนูปักเข้าที่ร่องไหล่เท่านั้นเอง”เจ้าชายฝืนยิ้มให้แม่มดอุ่นใจ
“ท่านพี่ ฝีมือธนูของท่านร้ายกาจจริงๆ”เจ้าหญิงเอ่ยปากชมพี่ชายของตน
“ข้าดันพลาดจุดสำคัญไปเสียได้ แต่ไม่ต้องห่วง หัวศรนั่นอาบยาพิษร้ายแรงไว้ นางไม่มีทางรอดแน่”
“ข้าหนาว ...หนาวเหลือเกิน”แม่มดโอดครวญอย่างทรมานระคนอ่อนแรงเมื่อเห็นหน้าเจ้าชาย หายใจหอบถี่ๆ เจ้าชายตื่นตระหนกจนหน้าซีดเผือดเมื่อสังเกตเห็นว่าบริเวณปากแผลมีเลือดสีดำเมื่อมไหลออกมา เจ้าชายกัดฟันกลั้นน้ำตา ก่อนจะตะโกนออกไปว่า
“ไอ้สารเลวเอ๊ย!”
เจ้าชายหันไปยังทิศที่เจ้าชายเมืองใต้ยืนอยู่ แต่ขณะที่จะลุกขึ้นยืน แม่มดกลับคว้าข้อมือของเขาเอาไว้
“ข้าหนาว ท่านกอดข้าหน่อยได้ไหม”
“ตกลงๆ”เจ้าชายตอบอย่างร้อนรน “แต่เจ้าต้องไม่ตายนะ”
เจ้าชายช้อนร่างแม่มดขึ้นมาโอบกอด คนอื่นๆในบริเวณนั้นทำเพียงแต่ยืนดูเหตุการณ์ต่อไป
“เป็นภาพที่น่าขยะแขยงที่สุด”เจ้าหญิงร้องยี้ เอามือปิดตา
แม่มดฝืนยิ้มให้กับเจ้าชาย แล้วตอบว่า “ข้ารับปากท่านไม่ได้หรอก”
หยดน้ำตาไหลเป็นสายผ่านโหนกแก้มทั้งสองข้างของเจ้าชาย แม่มดยื่นมือที่สั่นเทาออกไปเบื้องหน้า ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้เขาอย่างนุ่มนวล
“ข้ายังไม่ร้องไห้เลย ท่านก็อย่าร้องสิ”
“ตอนนี้เจ้าอยากได้อะไรมากที่สุด ข้าจะพยายามหามาให้เจ้า”เจ้าชายถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“อา...ของขวัญชิ้นสุดท้าย”แม่มดหอบหายใจก่อนจะพูดต่อ “ข้าขอแค่เปลวไฟอุ่นๆก็เพียงพอแล้ว”
“ตกลง”เจ้าชายรับคำอย่างเจ็บปวด ช้อนร่างแม่มดอุ้มขึ้น ค่อยๆเดินไปยังทิศที่กองฟืนขนาดยักษ์ตั้งอยู่ กองทหารยอมเปิดทางให้เขาแต่โดยดี
“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”เจ้าชายถามอย่างเป็นห่วง เมื่อสัมผัสได้ว่าลมหายใจของเธอแผ่วและช้าลง
“ทีแรกข้าหนาวมาก แต่พอท่านกอดข้าข้าก็หายแล้ว”
ขณะที่เดินจวนจะถึงกองฟืน เจ้าชายเมืองใต้ก็ปราดเข้ามาขวางหน้า
“เจ้ากล้ามากที่ลองดีกับข้า อยากจะรู้นักว่าเชิงดาบของเจ้าจะแน่เหมือนปากหรือไม่”
“ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับท่าน”เจ้าชายบอกปัดอย่างรำคาญระคนคับแค้น
“รับดาบ!”เจ้าชายเมืองใต้ตวาดลั่น เงื้อดาบวิ่งเข้ามาหา
“ข้าจะวางเจ้าลงครู่เดียวนะ”เจ้าชายกล่าวพลางค่อยๆวางร่างแม่มดลง เธอบีบแขนเขาอย่างเป็นห่วง
ขณะที่เจ้าชายเพิ่งวางร่างแม่มดเสร็จ เจ้าชายเมืองใต้ก็เข้ามาประชิดตัวแล้ว ดาบถูกฟันออกมา เจ้าชายยังไม่ได้ชักดาบ ไม่ได้เบี่ยงตัวหลบ แต่กลับใช้สนับไหล่เหล็กข้างซ้ายซึ่งเชื่อมกับตัวเกราะรับดับเอาไว้ คมดาบเฉาะผ่านเกราะเข้าลิ้มเลือดเนื้อสดๆลึกเกือบถึงกระดูก เจ้าชายอาศัยจังหวะที่ดาบของอีกฝ่ายติดอยู่กับไหล่ของเขา ใช้มือขวาชักดาบออกจากฝักตวัดขึ้นเบื้องบนอย่างรวดเร็ว เจ้าชายเมืองใต้แผดร้องโหยหวน เอามือกุมหน้าที่โชกเลือดลงไปนอนดิ้นเร่าๆกับเพื่อน
“ทหาร!!”พระราชาเมืองใต้ร้องสั่งทหารของตนเอง
“ทหาร!!”พระราชาร้องสั่งทหารของตนเองเช่นกัน
ทหารแต่ละฝ่ายต่างจ่ออาวุธประจันหน้ากัน เจ้าชายช้อนอุ้มร่างของแม่มดขึ้นมาใหม่ พอเดินไปถึงร่างเจ้าชายเมืองใต้ที่นอนดิ้นเร่าๆขวางทางอยู่เจ้าชายก็ใช้เท้าเตะให้กลิ้งออกไปพ้นทาง
เจ้าหญิงกับพระราชาเมืองใต้รีบวิ่งมาดูอาการของเจ้าชายเมืองใต้ จากนั้นส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและอับอายไปยังเจ้าชาย เจ้าชายไม่แม้แต่คิดจะหันไปมอง เขาเดินอุ้มร่างแม่มดไปจนถึงกองฟืนขนาดใหญ่ วางร่างแม่มดไว้ข้างบนโดยให้นั่งเอาหลังพิงกับเสากระโดง จากนั้นเจ้าชายก็เดินลงมา
“ท่านนักบวช ข้าขอคบเพลิงในมือท่านด้วย”
“อ่า..เอ้อ..เอาไปสิ”บาทหลวงยื่นคบเพลิงให้
“ท่านสวดให้นางขึ้นสวรรค์ได้ไหม?”เจ้าชายถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“อ่า..การสวดให้แม่มดขึ้นสวรรค์เกรงว่าจะ....”
ยังไม่ทันพูดจบ เจ้าชายก็ชักดาบออกมาพาดกับลำคอของนักบวชเสียแล้ว
“ได้เลย..เดี๋ยวข้าจัดการให้”
เจ้าชายสอดดาบคืนเข้าฝัก เดินไปยืนเหนือกองฟืนข้างๆแม่มด
“ขอบคุณท่านมาก”แม่มดพูดอย่างแผ่วเบาเต็มที “ข้ารักท่าน”
ราวกับสายฟ้าฟาดกลางใจจนเจ้าชายสะดุ้งเฮือก ตอบกลับไปโดยไม่ต้องคิดว่า
“ข้ารักเจ้า”พูดจบเจ้าชายก็ปล่อยคบเพลิงลงแทบเท้าตัวเอง
“ม่าย!!”พระราชินีกรีดร้องเสียงหลง เปลวไฟลุกกระพือโหมเข้าลามเลียรอบๆร่างของทั้งสองอย่างรวดเร็ว
“ทหาร! รีบเข้าไปช่วยลูกข้าออกมาเร็ว!”พระราชาสั่งอย่างตื่นตระหนก
แต่ทหารของพระราชาถูกคุมเชิงด้วยทหารเมืองใต้อยู่ ไม่สามารถบุ่มบ่ามทำตามคำสั่งได้
“ท่านไม่ควรทำเช่นนี้”แม่มดกล่าวอย่างตื่นตระหนก
“ไม่ต้องกลัว เจ้าจะไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว”เจ้าชายคุกเข่าลงสวมกอดร่างของเธอ
“ไม่ใช่ท่าน ท่านควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”
“มีเจ้าอยู่ด้วยข้าก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว”กล่าวจบเจ้าชายก็โน้มหน้าเข้าจุมพิตกับริมฝีปาก แม่มดพริ้มตาลง หยาดน้ำตาสุกใสไหลผ่นแก้มแต่แทบจะถูกไอร้อนพัดพาระเหยไปในแทบจะทันที ทันใดนั้นเองดวงตาของแม่มดกลับเบิกโพลงขึ้น
“ท่านต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”
แรงเฮือกสุดท้ายของคนใกล้ตายที่เจ้าชายสัมผัสได้นั้นช่างมากมายมหาศาลยิ่งนัก ร่างของเจ้าชายลอยคว้างออกมาจากกองไฟ ทหารหลายคนไม่สนใจทหารเมืองใต้ที่คุมเชิงตนอีกต่อไปรีบวิ่งไปรองรับร่างของเจ้าชายก่อนจะตกถึงพื้น ใบหน้าสุดท้ายที่เจ้าชายเห็นท่ามกลางเปลวไฟที่กำลังแผดเผาลามเลียนั้น เป็นใบหน้าที่อ่อนหวาน บริสุทธิ์และดูมีความสุขที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิตนี้ แต่สุดท้ายเปลวไฟก็ทำหน้าที่พรากเธอไปจากเขาตลอดกาล
“ลูกชายท่านทำกับลูกๆของข้าเจ็บแสบยิ่งนัก ซักวันเราจะต้องเห็นดีกัน”พระราชาเมืองใต้ชี้หน้าพระราชา กล่าวอย่างโกรธกริ้ว
“แต่ตอนนี้ ขอเชิญพวกท่านรีบไสหัวไปจากเมืองข้าโดยสวัสดิภาพด้วยเถอะ เฮอะ!”พระราชาผายมือโค้งคำนับอย่างประชดประชัน
พระราชาเมืองใต้ยกทัพจากไปด้วยความเจ็บแค้น หลังจากที่เจ้าชายเหม่อมองกองไฟอยู่เนิ่นนาน ก็รู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างๆหู
“เจ้าชาย”
เจ้าชายรีบหันซ้ายหันขวา เพราะเป็นเสียงของสตรีที่เขาถวิลหามากที่สุดในยามนี้
“ท่านหาข้าไม่เจอหรอก เพราะข้ากระซิบมาจากที่ๆไกลมาก”
“ข้าอยากเห็นเจ้าอีกสักครั้งหนึ่ง ช่วยปรากฏกายให้ข้าเห็นได้ไหม”
เขาได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดู
“สิ่งที่ข้าทำได้ตอนนี้ก็คือบอกให้ท่านลืมข้าเสีย”
“ข้าลืมไม่ได้หรอก ไม่คิดจะลืมด้วย”
“หนทางยังอีกยาวไกล ท่านต้องการเดินต่อไปพร้อมกับชีวิตใหม่”
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม”เจ้าชายถาม
“ข้ามีความสุขมาก พ่อแม่ข้าก็อยู่ที่นี่ ท่านเองก็ควรจะมีความสุขให้มาก”
“ถ้าไม่มีเจ้าข้าก็ไม่รู้จะมีความสุขได้อย่างไร”เจ้าชายกล่าวอย่างท้อแท้
“เมื่อไหร่ที่ท่านลืมข้าได้ เมื่อนั้นแหละท่านก็จะพบกับความสุข ดูท่านตอนก่อนจะได้เจอกับข้าสิ ท่านก็สามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องมีข้า...เวลาของข้าเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ขอให้ท่านทำหน้าที่ของเจ้าชายที่ดีต่อไป ข้าคงต้องไปล่ะ”
“เดี๋ยวก่อน อย่างเพิ่ง...”
“เจ้าชาย เจ้าชาย!”เสียงในโลกแห่งความเป็นจริงกลับเข้ามาในโสตประสาทของเขาอีกครั้ง ทหารหลายคนกำลังร้องเรียกเข้าอย่างเป็นห่วง
“มีอะไรกันหรือ?”เจ้าชายถาม
“เฮ้อ! เห็นท่านเพ้อพูดอยู่คนเดียวนึกว่าท่านจะแย่ซะแล้ว”
พระราชาและพระราชินีเดินเข้ามาหา ทหารลุกขึ้นถวายคำนับแล้วถอยห่างออกไป เจ้าชายพยายามพยุงตัวเองลุกเพื่อขึ้นถวายคำนับ
“ลุกขึ้นเถอะ”พระราชาช่วยประคองตัวเขาให้ยืนขึ้น
“ข้าขออภัยที่ก่อเรื่องวุ่นวาย”เจ้าชายกล่าวอย่างสำนึกผิด
“เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว”พระราชินียิ้มทั้งที่หยาดน้ำตาสุกใสยังคลอดดวงตาทั้งสองข้าง สวมกอดเจ้าชาย เจ้าชายกอดตอบ
“ข้าเสียใจที่เป็นเหตุทำลายความรักของเจ้า”พระราชากล่าวอย่างเศร้าสร้อย “อุปสรรคความรักของเจ้ายิ่งใหญ่ยิ่งนัก แต่เจ้าก็ยังดั้นด้นที่จะฝ่ามันไป ข้าเชื่อว่าบทเรียนคราวนี้จะช่วยให้เจ้าแกร่งขึ้น”
เจ้าชายแหงนหน้ามองฟ้าเบื้องบน จันทร์กระจ่างกลางฟ้าแหว่งเว้าหายไปในความมืดบางส่วน คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องโบกมืออำลาพระจันทร์ที่มีอยู่เพียงดวงเดียวนี้ เพื่อต้อนรับอรุณเบิกฟ้ากับวันใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
จบบริบูรณ์
ความคิดเห็น