ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานรักปรัมปรา ที่ไม่ธรรมดา

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 24 ม.ค. 53


    บทที่ 5

    บรรยากาศภายในห้องบรรทมของเจ้าชายเต็มไปด้วยความวิตกกังวล  เจ้าสวมชุดเกราะเหล็กเดินกลับไปกลับมาอย่างร้อนรุ่ม  ดาบคมกริบซ่อนคมอยู่ในฝักเหน็บไว้ที่ข้างเอว  เขาพร้อมจะรบทัพจับศึกเสมอหากเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นกับแม่มด  เดินไปมาพลางจินตนาการภาพเหตุการณ์เลวร้ายสารพัดแบบที่อาจเกิดขึ้นกับแม่มด

    ตะวันคล้อยต่ำลับขอบฟ้า ม่านราตรีเข้าปกคลุมนภาแล้วในยามนี้  ดวงจันทร์กระจ่างเกือบเต็มดวงทอแสงเงินยวงอาบไล้เบื้องล่าง  แต่แสงนวลนั้นไม่สามารถบรรเทาความร้อนรุ่มในใจเจ้าชายลงได้เลย  เขายังคงเดินกลับไปกลับมาจนเหงื่อโซมกาย  ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น  เจ้าชายหยุดเดินแทบจะทันทีทันใด  ประตูถูกเปิดออก  ผู้ที่เดินเข้ามาคือขุนพล

     

    เป็นอย่างไรบ้าง?”คำถามประโยคแรกโพล่งออกมาจากปากเจ้าชาย

     

    พระราชาเมืองใต้ยกทัพมาถึงเมืองเราแล้ว

     

    พวกเขามาทำไมกัน

     

    เจ้าหญิงสงข่าวไปบอกพระราชาเมืองใต้  พระองค์อยากมาร่วมพิธีเผาแม่มดด้วย

     

    ปัญหาใหญ่แล้วสิเจ้าชายกัดฟันกรอด นึกแค้นความเอาแต่ใจของเจ้าหญิงวูบหนึ่ง  แต่แล้วก็คิดขึ้นได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของตัวเขาเอง  เรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นเพราะความเอาแต่ใจของเขา  และความเอาแต่ใจของเขาก็ทำให้แม่มดผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย

     

    แม่มดสบายดีไหม?”เจ้าชายถามพลางเอื้อมสองมือไปจับไหล่ของขุนพล

     

    ท่านอย่ารู้เลยดีกว่า  สงบสติอารมณ์แล้วลืมนางซะขุนพลกล่าวพลางสะบัดให้มือเจ้าชายออกไปจากไหล่

     

    ข้าถามหน่อยเถอะ  ในชีวิตขุนพลกล้าหาญชาญชัยเช่นท่านเคยมีความรักสักครั้งหนึ่งในชีวิตบ้างไหม

     

    ขุนพลนิ่งเงียบ  เจ้าชายจึงพูดต่อ

    ถ้าท่านเคยท่านก็จะเข้าใจความรู้สึกของข้าในตอนนี้  คนที่ข้ารักกำลังจะถูกเผาทั้งเป็นและเรื่องทั้งหมดก็เป็นเพราะความผิดของข้า  ท่านลองคิดดู...ถ้านางเป็นอะไรขึ้นมาข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร

     

    ขุนพลยังคงยืนนิ่งไม่ตอบอะไร  แต่จ้องตาเจ้าชายเขม็ง

    ตั้งแต่เด็กท่านก็พร่ำสอนเสมอมิใช่หรือ  ว่าลูกผู้ชายเมื่อทำผิดก็ต้องกล้ายืดอกรับผิดชอบ

     

    ขุนพลนิ่งอยู่ชั่วอึดใจก่อนที่จะตอบว่า ตอนนี้แม่มดถูกมัดติดกับกองฟืนที่ลานใจกลางเมือง

     

    ให้ข้าออกไปเถอะ  ก่อนที่จะสายเกินไปเจ้าชายวิงวอนอย่างร้อนรุ่ม

     

    ครั้งนี้ไม่ใช่การเที่ยวนอกวัง  ข้ายอมให้ท่านไม่ได้ขุนพลพูดพลางสั่นศีรษะเล็กน้อย

     

    ข้าคงต้องสู้กับท่านอีกครั้งแล้วเจ้าชายชักดาบออกมาจากฝัก  ขุนพลก็ชักดาบของเขาออกมารอตั้งรับ  ท่วงท่านและแววตาเยือกเย็นน่าเกรงขามผิดกับทุกครั้งที่เคยประลองฝีมือด้วย  ทำให้เจ้าชายตระหนักว่าที่ผ่านมาขุนพลไม่เคยเอาจริงกับเขาเลย  เจ้าชายปรี่เข้าหาฟาดฟันดาบเปิดฉากจู่โจม  ครั้งนี้มิใช่การประลองด้วยดาบไม้  ขุนพลยังคงมีประกายตาที่แน่วนิ่งไม่ยี่หระแม้แต่น้อย  ผิดกับเจ้าชายที่เกร็งและแสดงอาการขยาดทุกจะหวะที่หลบหรือกันคมดาบฝ่ายตรงข้ามได้อย่างน่าหวาดเสียว

     

    เจ้าชาย  ท่านเอาแต่เดินไปเดินมาตั้งแต่หัววัน เรี่ยวแรงจึงตกลงไปเยอะขุนพลกล่าวแล้วเปลี่ยนเป็นฝ่ายโจมตีอย่างโถมสุดกำลัง  แม้กำลังจะเป็นรองคนหนุ่ม  แต่ด้วยความต่อเนื่อง ความเจนจัดและความมั่นใจทำให้เจ้าชายต้องตกเป็นรอง  จนสุดท้ายดาบก็กระเด็นหลุดจากมือเจ้าชายไปเสียบกับผนัง  แต่เขายังไม่ยอมแพ้  ใช้ปลอกแขนเหล็กสู้แทนดาบ  หลายครั้งที่คมดาบเจาะเหล็กเป็นรูผ่านเข้าไปลิ้มรสเลือดใต้ผิวหนัง  เจ้าชายก็ยังกัดฟันสู้ต่อไปอย่างเลือดขึ้นหน้า

     

    พอเถอะเจ้าชาย  ท่านสู้ข้าไม่ได้หรอกขุนพลถอยฉากห่างออกมา

     

    ข้าสู้ท่านไม่ได้ก็จริง  แต่ไม่สู้ไม่ได้

     

    เจ้าชายรีบวิ่งไปกระชากดาบออกมาจากผนัง  ตั้งท่าเตรียมจะเข้าไปจู่โจมอีก  ขุนพลประเมินเจ้าชายด้วยแววตาที่ไร้ความรู้สึกก่อนที่จะเสียบดาบของตนเองกลับเข้าฝัก  แววตาจึงค่อยเริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

     

    ข้ามองเห็นความมุ่งมั่นของท่านแล้วเจ้าชาย  เชิญท่านไปเถอะขุนพลกล่าวจากนั้นหลบไปยืนอยู่ข้างๆประตู 

     

    เจ้าชายหลับตาค้อมศีรษะลง

    ขอบคุณท่านมาก

     

    เจ้าชาย  ท่านต้องรักษาตัวให้ดี  ถ้าท่านเป็นอะไรไปข้าก็คงไม่มีหน้าอยู่สืบต่อไปเช่นกัน

     

    เจ้าชายส่งเสียงอืมม์รับคำ  ใบหน้าขมวดเกร็งพยายามข่มความรู้สึกอัดอั้นตันใจเอาไว้

     

    ครั้งนี้ไม่มีป้ายผ่านสะดวก  ท่านต้องพึ่งตัวเอง

     

    ข้าทราบแล้ว  ข้าไปก่อนล่ะเจ้าชายกล่าวจบก็รีบวิ่งออกจากประตูไป

     

    ระวังตัวให้ดีนะพะย่ะค่ะขุนพลตะโกนไล่หลังมา

     

    ทันทีที่เจ้าชายกระโดดลงมาจากหน้าต่างชั้นสองก็พุ่งดิ่งลงไปยังพุ่มไม้ทึบในสนามหญ้าดังสวบ!  ทหารยามคนหนึ่งหันหยุดมามองครู่หนึ่งจากนั้นก็ทำหน้าที่ของตัวเองต่อ  ทหารยามกระจายกำลังกันรักษาการณ์เป็นจุดๆ  เจ้าชายมองหาจุดที่มีเงามืดปกคลุมแสงจันทร์ส่องไม่ถึง  คำนวณเส้นทางไว้ล่วงหน้า  พอคิดว่าทหารยามเผลอเจ้าชายก็รีบวิ่งฝ่าไปหลบอยู่ในมุมมืดอีกจุดหนึ่ง  พอพ้นบริเวณนั้นออกมาก็ปลอดทหารยามรักษาการณ์  แต่เจ้าชายก็ไม่ประมาท  พยายามเดินเลียบเคียงตามมุมมืดเสมอจนไปถึงโรงเลี้ยงม้า  ม้าขาวส่งเสียงร้องอย่างดีใจเมื่อเห็นเจ้านาย  เจ้าชายชู่ว์ปากบอกให้มันเงียบ  พอคนเลี้ยงม้าเดินออกมาดูเจ้าชายก็รีบหาที่ซ่อนตัว

     

    เจ้าม้าขาวเป็นอะไรรึทันทีที่คนเลี้ยงม้าหยุดยืนอยู่หน้าเจ้าม้าขาว  เจ้าชายก็รีบย่องเข้าไปประชิดข้างหลัง  ทุบท้ายทอยคนเลี้ยงม้าหมดสติ  รีบก้มลงรับร่างที่อ่อนระทวยก่อนที่จะถึงพื้น

     

    ขอโทษนะลุง  ข้าเองก็ไม่อยากทำแบบนี้แต่มันจำเป็นจริงๆ

     

    เจ้าชายเปิดประตูคอก  ปลดเชือกแล้วขึ้นขี่เจ้าม้าขาว  ควบออกมาอย่างเต็มฝีเท้า  ทหารสองคนบริเวณนั้นได้ยินเสียงผิดปรกติจึงรีบวิ่งมาขวางหน้าทางออก

     

    หยุดก่อนพะย่ะค่ะ!”ทหารคนหนึ่งร้องบอก

     

    เจ้าชายไม่ฟัง  ใช้เท้าเตะท้องม้าทีหนึ่ง  ม้าขาวพลันโจนทะยานลอยสูงเหนือพื้น  ทหารทั้งสองคนหงายหลังล้มลงหลบเกือกม้าที่ลอยเฉียดผ่านหน้าไป

     

    เจ้าชายหนีไปแล้ว! เจ้าชายหนีไปแล้ว!”ทหารทั้งสองคนเที่ยวตะโกนบอก

     

    เจ้าชายไม่มีเวลามาสนใจ  ควบม้าจนมาถึงหน้าประตูปราสาท  ทหารยามราวสิบกว่าคนชักอาวุธออกมาตั้งท่าขวางประตูบานใหญ่ซึ่งปิดอยู่  เจ้าชายเหลียวหลังไปดูพบว่ามีทหารหลายสิบคนวิ่งกระหืดกระหอบไล่หลังมา

     

    เจ้าชายท่านไร้หนทางไปแล้ว  ยอมจำนนแต่โดยดีเสียเถอะหัวหน้าทหารยามซึ่งยืนขวางหน้าประตูร้องบอก 

     

    เจ้าชายมองหาบันไดที่ทอดขึ้นไปสู่บนกำแพง  จากนั้นลูบหัวเจ้าม้าขาวก้มลงกระซิบข้างหูว่า

    เจ้ากระต่าย  เราคงต้องเสี่ยงกันหน่อยแล้ว

     

    เจ้าชายร้องย่ะห์!เตะเท้ากระตุ้นให้เจ้าม้าขาววิ่ง  เจ้ามาขาวพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วราวลูกธนูพุ่งออกจากแหล่ง  เจ้าชายรั้งบังเหียนเปลี่ยนทิศมุ่งหน้าไปทางบันไดขึ้นกำแพงด้านขวา  ทหารยามที่ขวางประตูอยู่อย่างแน่นหนารู้ตัวว่าเสียท่ารีบวิ่งไปสกัด  เจ้าชายควบม้าวิ่งขึ้นใบได  ทหารจากบนกำแพงจำนวนหนึ่งวิ่งลงมาสกัด  เจ้าชายแกว่งดาบปะทะกับอาวุธของพวกเขาจนล้มกลิ้งลงบันไดหลายต่อหลายคน   เมื่อขึ้นมาถึงบนกำแง  แทนที่เจ้าชายจะรั้งบังเหียนหยุดฝีเท้าม้ากลับกระตุ้นให้มันเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น  เจ้าม้าขาวส่งเสียงร้องเมื่อร่างของมันพุ่งทะยานออกจากยอดกำแพง  ลอยเคว้งกลางอากาศ

     

    ตึง!

     

     เกือกม้าทั้งสี่กระแทกพื้น  ร่างเจ้าชายลอยละลิ่วจากหลังม้าลงไปกลิ้งกับพื้น  เจ้าม้าส่งเสียงร้องเพราะความเจ็บปวดแต่ก็วิ่งเหยาะๆอย่างกระเผลกๆนำหน้าไป  เจ้าชายรีบลุกขึ้นวิ่งไปกระโดดขึ้นควบม้าอย่างคล่องแคล่ว  ทันทีที่เจ้าชายขึ้นขี่เรียบร้อย  เจ้าม้าก็ฝืนใจวิ่งเต็มฝีเท้าตามแต่สังขารจะวิ่งได้  ราวกับมันเข้าใจความรีบเร่งของเจ้านายดี

     

    ตึกราบ้านช่องยามวิกาลช่างเงียบสงัดผิดกับตอนกลางวัน  ชาวบ้านบางคนเปิดหน้าต่างออกมาดูเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าม้าขับควบผ่านไป  เจ้าชายเข้าใกล้ลานใจกลางเมืองไปทุกทีแล้ว  ที่นั่นเป็นลานวงกลมกว้างขวาง  มีบ่อน้ำพุขนาดใหญ่ประดับด้วยประติมากรรมจากเทพนิยาย ณ  จุดศูนย์กลาง  ตามปรกติที่แห่งนี้จะใช้สำหรับชุมนุมหรือจัดงานเทศกาลรื่นเริง  แต่วันนี้กองฟืนขนาดใหญ่ถูกกองไว้  เป็นกองฟืนชุ่มน้ำมันเป็นหย่อมๆ  เหนือกองฟืนมีเสากระโดงขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน  หญิงสาวชุดดำกลมกลืนกับสีของม่านราตรีถูกมัดติดกับเสา  พระราชา พระราชินี และพระชาเมืองใต้ปรึกษาหารือกับนักบวชคนหนึ่ง  ผู้ซึ่งถือคบไฟอยู่ในมือ  เหงื่อชุ่มศีรษะไม่ใช่เพราะอากาศร้อนแต่เพราะหนักใจกับหน้าที่สำคัญที่ได้รับมอบหมาย

     

    ข้าสวดเสร็จแล้วนักบวชกล่าว ต่อจากนี้จะเริ่มทำการเผาล่ะ

     

    เชิญทำหน้าที่ของท่านเถอะพระราชากล่าว

     

    ท่านพ่อ  เผานางแล้วนางจะตายหรือเปล่า  อย่าลืมว่านางเป็นแม่มดนะเจ้าหญิงถามบิดาผู้เป็นพระราชาเมืองใต้

     

    ตำนานเล่าขานว่า  วิธีเดียวที่จะฆ่าแม่มดได้คือเผาทั้งเป็นพระราชาเมืองใต้ตอบ

     

    อันที่จริงไม่จำเป็นหรอกท่านพ่อเจ้าชายเมืองใต้ผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายของเจ้าหญิงเอ่ยขึ้น ตอนข้าไปช่วยชายาข้ามาจากปราสาท  ข้าก็แผลงศรใส่พ่อมดตายมาแล้วเจ้าชายเมืองใต้พูดอย่างภาคภูมิใจในตัวเอง

     

    แม่มดหันไปมองหน้าเจ้าชายเมืองใต้  แม้ใบหน้าจะมีริ้วรอยแห่งวัยเพิ่มขึ้นมาบ้าง  แต่เธอก็ยังจำได้ว่าเขาคือคนคนเดียวกับที่ยิงธนูใส่หลังพ่อเธอและหลังเธอเองตอนที่เธอยังเด็กๆ

     

    เจ้าชายเมืองใต้  ข้าขอถามอะไรท่านหน่อยแม่มดพูดขึ้นหลังจากที่เงียบมานาน

     

    ถามข้ารึ?”เจ้าชายเมืองใต้ชี้นิ้วที่ตัวเอง

     

    เจ้าหญิงคนที่ท่านเคยช่วยไว้ไม่ได้มาด้วยหรือ

     

    จะมาได้อย่างไรในเมื่อนางตายไปแล้วเจ้าชายเมืองใต้ตอบอย่างเย็นชา

     

    โอ!...นางเป็นอะไรตายล่ะ

     

    เห็นแก่ที่เจ้ากำลังจะตายข้าจะบอกให้ก็ได้เจ้าเมืองใต้กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเยาะๆ นางนอกใจคิดจะหนีไปจากข้า  ข้าจับได้จึงฆ่านางเสีย

     

    อา...นี่มันอะไรกันน้ำตาของแม่มดเริ่มหลั่งริน  ทนไม่ได้ที่ความตั้งใจของพ่อแม่ของหล่อนถูกย่ำยีแบบนี้  ถ้าพ่อแม่ของเธอได้รับรู้ก็ไม่รู้ว่าพวกท่านจะเสียใจขนาดไหน  ภาพที่แม่มดนึกได้ก็มีแต่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของท่านทั้งสอง  คงทำใจได้ยากถ้าหากความเศร้าโศกเข้าไปแทนใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั้น

     

    รีบๆเผาดีกว่าพระราชาเมืองใต้แนะ

     

    จะดีหรือ  ถ้าที่นางพูดเป็นความจริงก็เท่ากับเราเผาคนบริสุทธิ์ทั้งเป็นเลยนะพระราชินีเตือน  พระราชาอ้ำอึ้งอย่างลังเลก่อนจะกล่าวกับแม่มดว่า

     

    ยกโทษให้ข้าด้วยนะ  ข้าทำเพื่อความปลอดภัยของบ้านเมืองข้าพระราชาพูดจบก็หันไปพยักหน้าให้กับนักบวช  นักบวชถือคบเพลิง ค่อยๆเดินเข้ามาใกล้

     

    มันจะเจ็บหรือเปล่าแม่มดถามอย่างกลัวๆ

     

    ทันใดนั้นกลับเกิดเสียงเอ็ดตะโรและเสียงอาวุธปะทะกัน  กลุ่มทหารถูกทะลวงฝ่าจนแยกเป็นสองฟาก  เจ้าม้าขาวห้อตะบึงฝ่ามาอย่างน่ากลัวแต่บุรุษผู้อยู่บนหลังม้ากลับกวัดแกว่งดาบได้น่าเกรงขามยิ่งกว่า

     

    นักบวชหลับตาโยนคบเพลิงไปยังกองฟืนเบื้องหน้า  ทันใดนั้นเจ้าม้าขาววิ่งมาถึงพอดี  เจ้าชายรีบกระโจนออกจากหลังม้าคว้าคบเพลิงกลางอากาศได้อย่างทันท่วงที  จากนั้นล้มกลิ้งตัวไปกับพื้นเพื่อลดแรงกระแทก  เจ้าชายค่อยๆชันกายลุกขึ้น  คบเพลิงที่เปลวไฟสั่นไหวถืออยู่ในมือ  ทั้งทหารในเมืองและทหารต่างเมืองทุกคนชักอาวุธออกมาดัง เช้ง!  เจ้าชายยืนอยู่เบื้องหน้าแม่มดอย่างสงบ  ส่งคบเพลิงคืนให้กับนักบวช

     

    รับของๆท่านคืนไป

     

    อ่า..อะ..อ้านักบวชยอมรับคบเพลิงมาแต่โดยดี  แล้วถอยห่างออกมาอย่างงกๆเงิ่นๆ

     

    เจ้าทำอะไรของเจ้า!”พระราชาตวาด  ตาเบิกโพลงอย่างน่ากลัว

     

    ในเมื่อข้าเป็นคนพานางมา  ข้าก็ต้องรับผิดชอบชีวิตของนางจากนั้นหันไปกล่าวกับแม่มดว่า ไม่ต้องห่วง  ข้าจะช่วยเจ้าออกไปให้ได้

     

    ท่านไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยแม่มดกล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อแต่ก็ซ่อนความปลาบปลื้มประโลมใจไว้ไม่มิด

     

    เจ้ายอมแพ้และยอมรับความจริงเสียเถอะ  เจ้าไม่มีทางช่วยนางออกไปได้หรอกพระราชาร้องบอก  พลางผายมือไปยังทหารนับร้อยพันที่รายล้อมอยู่รอบๆ

     

    ถึงรู้ดีว่าทำไม่ได้  ข้าก็จะลองเสี่ยงดูเจ้าชายตอบอย่างเด็ดเดี่ยว

     

    เฮอะ! ทั้งทหารเมืองเจ้าและทหารเมืองเราล้วนหันอาวุธไปที่เจ้า  เสี่ยงไปก็เปล่าประโยชน์เจ้าชายเมืองใต้กล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

     

    พี่ข้าพูดถูกเจ้าหญิงสนับสนุน ท่านควรปล่อยนางวอดวายไปแต่เพียงผู้เดียว  อย่าเอาตัวท่านติดร่างแหไปกับนางด้วยเลย

     

    เจ้าชายจ้องหน้าเจ้าชายเมืองใต้เขม็ง  แล้วกล่าวขึ้นว่า

    ท่านคงเป็นเจ้าชายเมืองใต้สินะ

     

    ถูกแล้ว  แม้แต่เด็กน้อยอย่างเจ้าก็ยังรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเราที่เขาพูดเช่นนี้ก็เพราะเจ้าชายเมืองใต้มีอายุมากกว่าเจ้าชายเกือบสิบปี

     

    ท่านจำได้หรือไม่  ที่ปราสาทแม่มดเมื่อสิบปีที่แล้วท่านทำอะไรลงไป

     

    ทุกคนก็ได้รู้กิตติศัพท์ของข้าดีแล้ว  ข้าสามารถฆ่าพ่อมดได้ด้วยลูกธนูเพียงดอกเดียว

     

    ยังจะมีหน้ามาภูมิใจอีกเรอะ!”เจ้าชายคำราม เจ้าพรากชีวิตพ่อของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง  แล้วเกือบจะพรากชีวิตเด็กผู้หญิงคนนั้นไปด้วย

     

    เธอเป็นลูกแม่มดเจ้าชายเมืองใต้ยักไหล่

     

    ครอบครัวหนึ่งที่หวังดีช่วยปลูกความรักให้เจริญงอกงามเจ้าชายกัดฟันพูด แต่ท่านกลับทำลายชีวิตครอบครัวของเขาจนพังพินาศเพียงเพื่อชื่อเสียงของตัวเอง  จงดูเสียให้เต็มตาเถอะ  เด็กผู้หญิงที่ท่านเกือบฆ่าตายในวันนั้นก็คือแม่มดคนนี้ไงล่ะ

     

    เรื่องนั้นลืมมันเสียเถอะแม่มดกล่าว ข้าไม่โกรธ  พ่อกับแม่ข้าก็ไม่โกรธเช่นกัน

     

    สมควรแล้ว  ก็นางเป็นแม่มดนี่เจ้าชายเมืองใต้ตอบ

     

    เจ้าชายแค่นหัวเราะ  เค้นเสียงลอดไรฟันตอบกลับไปว่า

    แล้วเจ้าเป็นตัวอะไร  กล้าดีอย่างไรมาแอบอ้างว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย

     

    กล้าลองดีกับข้า เจ้าไม่ตายดีแน่!”พระราชาเมืองใต้ร้องด้วยโทสะ

     

    สบอารมณ์ข้านัก เจ้าชายร้องตอบอย่างท้าทาย ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าฝีมือดาบของท่านจะแน่สักแค่ไหน

     

    พอเถอะ เจ้าชาย  เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านแม่มดปรามเจ้าชาย

     

    ทันใดนั้นเกิดเสียงคำรามกึกก้องท้องฟ้า  สายฟ้าแลบแปลบปลาบ  เงาทะมึนร่างยักษ์พุ่งผ่านชั้นเมฆที่สูงลิบลิ่วลงมา  แสงจันทร์ส่องต้องเผยให้เห็นเกร็ดสีม่วงมันเลื่อม  ฟันสีขาวขุ่นคมกริบนับไม่ถ้วนซี่เรียงรายกันแสยะออกให้เห็น  ดวงตาเสืองอำพันมีตาดำที่หดเล็กเรียวคล้ายดวงตาของงูขนาดยักษ์

     

    มังกร!”พระราชาร้องเสียงหลงอย่างตื่นตระหนก

     

    เจ้าชายโห่ร้องอย่างผู้ชนะ  ตวัดดาบตัดเชือกที่พันธนาการร่างแม่มดไว้กับเสากระโดงออก  มังกรบินโฉบผ่านเหนือศีรษะหมู่ทหารไป  แรงลมส่งผลให้ทหารบางจำนวนล้มลงเป็นทิวแถว

     

    หนีเร็ว!”เจ้าชายฉุดข้อมือแม่มดให้วิ่งตามมา  เป่าปากเรียกเจ้าม้าขาว  เจ้าม้าขาวพยายามวิ่งฝ่ากองทหารออกไปรอข้างนอก  เจ้าชายก็พยายามพาแม่มดฝ่าไปเช่นกัน  แม้ว่าทหารส่วนหนึ่งจะทุ่มเทความสนใจไปที่เจ้ามังกร  แต่ทหารบางส่วนก็คอยสกัดการหนีของเจ้าชายและแม่มดเอาไว้  เจ้าชายวิ่งพลาง  หลบอาวุธพลางและฟันดาบสวนกลับพลาง  ทหารที่เข้ามาสกัดทุกคนล้วนได้รับบาดเจ็บแต่ไม่มีใครถึงตาย  หลายครั้งที่แม่มดเกือบต้องคมอาวุธแต่เจ้าก็มักจะเบี่ยงตัวเข้ามันกันให้ทุกครั้งไป  รอยคมอาวุธปรากฏทั่วตัวเกราะเหล็ก  บางรอยฟันลึกเข้าไปถึงใต้ผิวหนังเลือดไหลซิบๆ  ใบหน้าที่เรียบเนียนของเขาบัดนี้เต็มไปด้วยริ้วรอยแผลถากผิวจากของมีคม

     

    พลธนูเตรียมพร้อม!..ระวัง!...ยิง!”

     

    อย่าทำอย่างนั้น!”แม่มดตะโกนห้ามแต่สายเกินไปเสียแล้ว

     

    ห่าฝนธนูมาได้แค่ระคายผิวของมังกรเท่านั้นแต่ยังทำให้มันโมโหอีกด้วย  เมื่อครู่มันแค่บินโฉบผ่านไปมาเป็นการขู่และเบี่ยงเบนความสนใจ  แต่คราวนี้มันส่งเสียงคำราม  ฟาดหางใส่กลุ่มทหารกระเด็นไปเป็นแถว  ฝนธนูถูกยิงออกไปอีกรอบทำให้เจ้ามังกรโมโหยิ่งกว่าเก่า  พ่นไฟสวนกลับมา  หลายคนโดนไฟคลอกร่างส่งเสียงร้องโหยหวนวิ่งตุปัดตุเป๋ไปหาบ่อน้ำพุ   แม่มดพยายามสะบัดข้อมือหลุดจากการฉุดกุมของเจ้าชาย

     

    เราต้องรีบหนีเจ้าชายเตือน

     

    ถ้าไม่หยุดเจ้ามังกร  เมืองทั้งเมืองจะตกอยู่ในอันตรายแม่มดตอบ

     

    พาเจ้าหนีไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะเจ้าชายเร่งเร้า

     

    ช่วยเมืองไว้ให้ได้ก่อน  อย่างอื่นค่อยว่ากันแม่มดกล่าวพลางสลัดข้อมือจนหลุดจากการฉุด  แล้วรีบวิ่งไปในทันที

     

    เดี๋ยวก่อน!”เจ้าชายรีบวิ่งตามหลังแม่มดไปเพื่อช่วยป้องกันอันตรายจากคมอาวุธให้กับหล่อน

     

    เหล่าทหารสำนึกตนว่าทำอะไรสัตว์ร้ายตัวนี้ไม่ได้จึงพากันถอยห่างออกมา  เจ้ามังกรร่อนลงเหยียบพื้นอย่างย่ามใจ  กรอไฟที่คุกรุ่นในปากเพื่อเตรียมพ่นลูกไฟขนาดใหญ่กว่าเดิมออกไป

     

    ทหารทุกคนอย่าได้ถอยหนี  จงยืนหยัดสู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องบ้านเมือง!”พระราชาร้องสั่ง

     

    ทหาร! ถอยทัพกลับไปป้องกันเมืองของเราก่อนพระราชาเมืองใต้ร้องสั่งทหารของตนเอง

     

    แต่ทันใดนั้นทุกการกระทำก็ต้องชะงักลง  เมื่อแม่มดวิ่งออกไปหยุดยืนตรงหน้าเจ้ามังกร  กางแขนทั้งสองข้างออก

     

    หยุดเดี๋ยวนี้นะเจ้ามังกร!”แม่มดร้องสั่งด้วยบุคลิกคล้ายกับเด็กน้อยเจ้ากี้เจ้าการ

     

     มังกรกลืนไฟลงคอแล้วเปล่งเสียงคำรามอย่างไม่พอใจ  ชี้ขาหน้าไปยังเหล่าทหาร  ส่งเสียงงึมๆงัมๆคล้ายจะอธิบายให้แม่มดฟัง

     

    พวกเขาไม่ได้รังแกข้าหรอก  เจ้ากลับปราสาทไปเถอะ

     

    เจ้ามังกรส่ายหัวปฏิเสธ  ทำท่าฮึดฮัดจะเอาเรื่องกับทหารทุกคนให้ได้

     

    ทำไมดื้ออย่างนี้!”แม่มดขึ้นเสียง ราวกับแม่ที่กำลังดุด่าลูกน้อยแสนซนอยู่ก็ไม่ปาน แต่ได้ผล  เจ้ามังกรคอตกส่งเสียงครางหงิงๆ  สายตากวาดไปยังทหารรอบๆตัวอย่างไม่วางใจ

     

    พ่อแม่ข้าไม่อยู่แล้วเจ้าก็ต้องเชื่อฟังข้าสิ  กลับปราสาทไปซะแม่มดยืนกรานอย่างเด็ดขาด

     

    เจ้ามังกรแหงนหน้าขึ้นฟ้า  หลับตาส่งเสียงร้องอย่างโศกาอาดูรเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนที่จะโฉบบินขึ้นฟ้าจากไปอย่างรวดเร็ว  แม่มดถอนหายใจพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างโล่งอก

     

    ไม่!!”เจ้าชายร้องเสียงหลง  พยายามแหวกกลุ่มทหารออกมาหาแม่มดแต่สายไปเสียแล้ว 

     

    ลูกธนูสีทองพุ่งแหวกฝ่าอากาศเร็วปานสายฟ้าฟาด  แต่เมื่อครู่แม่มดสะดุ้งตกใจกับเสียงร้องของเจ้าชาย  ทำให้หัวธนูปักเข้าที่ร่องไหล่แทนที่จะเป็นกลางหัวใจ   ทีแรกแม่มดแค่ตกใจอ้าปากตะกุกตะกักพูดอะไรไม่ออก  จากนั้นความเจ็บปวดก็ค่อยแล่นไปทั่วร่าง  บันดาลให้ทรุดลงไปนอนกับพื้น  สีหน้าบิดเบี้ยวอย่างปวดร้าว  พยายามอ้าปากส่งเสียงร้องเพื่อระบายความเจ็บปวดแต่กลับไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมา  เจ้าฝ่ากลุ่มทหารออกมาได้สำเร็จ สอดดาบเก็บเข้าฝัก วิ่งมาล้มตัวลงดูอาการของแม่มด

     

    ไม่เป็นไร  หัวธนูปักเข้าที่ร่องไหล่เท่านั้นเองเจ้าชายฝืนยิ้มให้แม่มดอุ่นใจ

     

    ท่านพี่  ฝีมือธนูของท่านร้ายกาจจริงๆเจ้าหญิงเอ่ยปากชมพี่ชายของตน

     

    ข้าดันพลาดจุดสำคัญไปเสียได้  แต่ไม่ต้องห่วง  หัวศรนั่นอาบยาพิษร้ายแรงไว้  นางไม่มีทางรอดแน่

     

    ข้าหนาว ...หนาวเหลือเกินแม่มดโอดครวญอย่างทรมานระคนอ่อนแรงเมื่อเห็นหน้าเจ้าชาย  หายใจหอบถี่ๆ  เจ้าชายตื่นตระหนกจนหน้าซีดเผือดเมื่อสังเกตเห็นว่าบริเวณปากแผลมีเลือดสีดำเมื่อมไหลออกมา  เจ้าชายกัดฟันกลั้นน้ำตา  ก่อนจะตะโกนออกไปว่า

     

    ไอ้สารเลวเอ๊ย!”

     

    เจ้าชายหันไปยังทิศที่เจ้าชายเมืองใต้ยืนอยู่  แต่ขณะที่จะลุกขึ้นยืน  แม่มดกลับคว้าข้อมือของเขาเอาไว้

     

    ข้าหนาว  ท่านกอดข้าหน่อยได้ไหม

     

    ตกลงๆเจ้าชายตอบอย่างร้อนรน แต่เจ้าต้องไม่ตายนะ

     

    เจ้าชายช้อนร่างแม่มดขึ้นมาโอบกอด  คนอื่นๆในบริเวณนั้นทำเพียงแต่ยืนดูเหตุการณ์ต่อไป

     

    เป็นภาพที่น่าขยะแขยงที่สุดเจ้าหญิงร้องยี้  เอามือปิดตา

     

    แม่มดฝืนยิ้มให้กับเจ้าชาย แล้วตอบว่า ข้ารับปากท่านไม่ได้หรอก

     

    หยดน้ำตาไหลเป็นสายผ่านโหนกแก้มทั้งสองข้างของเจ้าชาย   แม่มดยื่นมือที่สั่นเทาออกไปเบื้องหน้า  ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาให้เขาอย่างนุ่มนวล

     

    ข้ายังไม่ร้องไห้เลย  ท่านก็อย่าร้องสิ

     

    ตอนนี้เจ้าอยากได้อะไรมากที่สุด  ข้าจะพยายามหามาให้เจ้าเจ้าชายถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

     

    อา...ของขวัญชิ้นสุดท้ายแม่มดหอบหายใจก่อนจะพูดต่อ ข้าขอแค่เปลวไฟอุ่นๆก็เพียงพอแล้ว

     

    ตกลงเจ้าชายรับคำอย่างเจ็บปวด  ช้อนร่างแม่มดอุ้มขึ้น  ค่อยๆเดินไปยังทิศที่กองฟืนขนาดยักษ์ตั้งอยู่  กองทหารยอมเปิดทางให้เขาแต่โดยดี

     

    เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าชายถามอย่างเป็นห่วง เมื่อสัมผัสได้ว่าลมหายใจของเธอแผ่วและช้าลง

     

    ทีแรกข้าหนาวมาก  แต่พอท่านกอดข้าข้าก็หายแล้ว

     

    ขณะที่เดินจวนจะถึงกองฟืน  เจ้าชายเมืองใต้ก็ปราดเข้ามาขวางหน้า

    เจ้ากล้ามากที่ลองดีกับข้า  อยากจะรู้นักว่าเชิงดาบของเจ้าจะแน่เหมือนปากหรือไม่

     

    ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับท่านเจ้าชายบอกปัดอย่างรำคาญระคนคับแค้น

     

    รับดาบ!”เจ้าชายเมืองใต้ตวาดลั่น เงื้อดาบวิ่งเข้ามาหา

     

    ข้าจะวางเจ้าลงครู่เดียวนะเจ้าชายกล่าวพลางค่อยๆวางร่างแม่มดลง  เธอบีบแขนเขาอย่างเป็นห่วง

     

      ขณะที่เจ้าชายเพิ่งวางร่างแม่มดเสร็จ  เจ้าชายเมืองใต้ก็เข้ามาประชิดตัวแล้ว  ดาบถูกฟันออกมา  เจ้าชายยังไม่ได้ชักดาบ ไม่ได้เบี่ยงตัวหลบ  แต่กลับใช้สนับไหล่เหล็กข้างซ้ายซึ่งเชื่อมกับตัวเกราะรับดับเอาไว้  คมดาบเฉาะผ่านเกราะเข้าลิ้มเลือดเนื้อสดๆลึกเกือบถึงกระดูก  เจ้าชายอาศัยจังหวะที่ดาบของอีกฝ่ายติดอยู่กับไหล่ของเขา  ใช้มือขวาชักดาบออกจากฝักตวัดขึ้นเบื้องบนอย่างรวดเร็ว  เจ้าชายเมืองใต้แผดร้องโหยหวน  เอามือกุมหน้าที่โชกเลือดลงไปนอนดิ้นเร่าๆกับเพื่อน

     

    ทหาร!!”พระราชาเมืองใต้ร้องสั่งทหารของตนเอง

     

    ทหาร!!”พระราชาร้องสั่งทหารของตนเองเช่นกัน

     

    ทหารแต่ละฝ่ายต่างจ่ออาวุธประจันหน้ากัน   เจ้าชายช้อนอุ้มร่างของแม่มดขึ้นมาใหม่  พอเดินไปถึงร่างเจ้าชายเมืองใต้ที่นอนดิ้นเร่าๆขวางทางอยู่เจ้าชายก็ใช้เท้าเตะให้กลิ้งออกไปพ้นทาง

     

    เจ้าหญิงกับพระราชาเมืองใต้รีบวิ่งมาดูอาการของเจ้าชายเมืองใต้  จากนั้นส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและอับอายไปยังเจ้าชาย  เจ้าชายไม่แม้แต่คิดจะหันไปมอง  เขาเดินอุ้มร่างแม่มดไปจนถึงกองฟืนขนาดใหญ่  วางร่างแม่มดไว้ข้างบนโดยให้นั่งเอาหลังพิงกับเสากระโดง  จากนั้นเจ้าชายก็เดินลงมา

     

    ท่านนักบวช  ข้าขอคบเพลิงในมือท่านด้วย

     

    อ่า..เอ้อ..เอาไปสิบาทหลวงยื่นคบเพลิงให้

     

    ท่านสวดให้นางขึ้นสวรรค์ได้ไหม?”เจ้าชายถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

     

    อ่า..การสวดให้แม่มดขึ้นสวรรค์เกรงว่าจะ....

     

    ยังไม่ทันพูดจบ  เจ้าชายก็ชักดาบออกมาพาดกับลำคอของนักบวชเสียแล้ว

     

    ได้เลย..เดี๋ยวข้าจัดการให้

     

    เจ้าชายสอดดาบคืนเข้าฝัก  เดินไปยืนเหนือกองฟืนข้างๆแม่มด

     

    ขอบคุณท่านมากแม่มดพูดอย่างแผ่วเบาเต็มที ข้ารักท่าน

     

    ราวกับสายฟ้าฟาดกลางใจจนเจ้าชายสะดุ้งเฮือก  ตอบกลับไปโดยไม่ต้องคิดว่า

    ข้ารักเจ้าพูดจบเจ้าชายก็ปล่อยคบเพลิงลงแทบเท้าตัวเอง

     

    ม่าย!!”พระราชินีกรีดร้องเสียงหลง  เปลวไฟลุกกระพือโหมเข้าลามเลียรอบๆร่างของทั้งสองอย่างรวดเร็ว

     

    ทหาร! รีบเข้าไปช่วยลูกข้าออกมาเร็ว!”พระราชาสั่งอย่างตื่นตระหนก

     

    แต่ทหารของพระราชาถูกคุมเชิงด้วยทหารเมืองใต้อยู่  ไม่สามารถบุ่มบ่ามทำตามคำสั่งได้

     

    ท่านไม่ควรทำเช่นนี้แม่มดกล่าวอย่างตื่นตระหนก

     

    ไม่ต้องกลัว  เจ้าจะไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้วเจ้าชายคุกเข่าลงสวมกอดร่างของเธอ

     

    ไม่ใช่ท่าน  ท่านควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไป

     

    มีเจ้าอยู่ด้วยข้าก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้วกล่าวจบเจ้าชายก็โน้มหน้าเข้าจุมพิตกับริมฝีปาก  แม่มดพริ้มตาลง  หยาดน้ำตาสุกใสไหลผ่นแก้มแต่แทบจะถูกไอร้อนพัดพาระเหยไปในแทบจะทันที  ทันใดนั้นเองดวงตาของแม่มดกลับเบิกโพลงขึ้น

     

    ท่านต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป

     

    แรงเฮือกสุดท้ายของคนใกล้ตายที่เจ้าชายสัมผัสได้นั้นช่างมากมายมหาศาลยิ่งนัก  ร่างของเจ้าชายลอยคว้างออกมาจากกองไฟ  ทหารหลายคนไม่สนใจทหารเมืองใต้ที่คุมเชิงตนอีกต่อไปรีบวิ่งไปรองรับร่างของเจ้าชายก่อนจะตกถึงพื้น   ใบหน้าสุดท้ายที่เจ้าชายเห็นท่ามกลางเปลวไฟที่กำลังแผดเผาลามเลียนั้น  เป็นใบหน้าที่อ่อนหวาน  บริสุทธิ์และดูมีความสุขที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิตนี้  แต่สุดท้ายเปลวไฟก็ทำหน้าที่พรากเธอไปจากเขาตลอดกาล

     

    ลูกชายท่านทำกับลูกๆของข้าเจ็บแสบยิ่งนัก  ซักวันเราจะต้องเห็นดีกันพระราชาเมืองใต้ชี้หน้าพระราชา  กล่าวอย่างโกรธกริ้ว

     

    แต่ตอนนี้  ขอเชิญพวกท่านรีบไสหัวไปจากเมืองข้าโดยสวัสดิภาพด้วยเถอะ เฮอะ!”พระราชาผายมือโค้งคำนับอย่างประชดประชัน

     

    พระราชาเมืองใต้ยกทัพจากไปด้วยความเจ็บแค้น  หลังจากที่เจ้าชายเหม่อมองกองไฟอยู่เนิ่นนาน  ก็รู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างๆหู

     

    เจ้าชาย

     

    เจ้าชายรีบหันซ้ายหันขวา  เพราะเป็นเสียงของสตรีที่เขาถวิลหามากที่สุดในยามนี้

     

    ท่านหาข้าไม่เจอหรอก  เพราะข้ากระซิบมาจากที่ๆไกลมาก

     

    ข้าอยากเห็นเจ้าอีกสักครั้งหนึ่ง  ช่วยปรากฏกายให้ข้าเห็นได้ไหม

     

    เขาได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดู

    สิ่งที่ข้าทำได้ตอนนี้ก็คือบอกให้ท่านลืมข้าเสีย

     

    ข้าลืมไม่ได้หรอก  ไม่คิดจะลืมด้วย

     

    หนทางยังอีกยาวไกล  ท่านต้องการเดินต่อไปพร้อมกับชีวิตใหม่

     

    เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง  สบายดีไหมเจ้าชายถาม

     

    ข้ามีความสุขมาก  พ่อแม่ข้าก็อยู่ที่นี่  ท่านเองก็ควรจะมีความสุขให้มาก

     

    ถ้าไม่มีเจ้าข้าก็ไม่รู้จะมีความสุขได้อย่างไรเจ้าชายกล่าวอย่างท้อแท้

     

    เมื่อไหร่ที่ท่านลืมข้าได้  เมื่อนั้นแหละท่านก็จะพบกับความสุข  ดูท่านตอนก่อนจะได้เจอกับข้าสิ  ท่านก็สามารถมีความสุขได้โดยไม่ต้องมีข้า...เวลาของข้าเหลือน้อยเต็มทีแล้ว  ขอให้ท่านทำหน้าที่ของเจ้าชายที่ดีต่อไป  ข้าคงต้องไปล่ะ

     

    เดี๋ยวก่อน  อย่างเพิ่ง...

     

    เจ้าชาย  เจ้าชาย!”เสียงในโลกแห่งความเป็นจริงกลับเข้ามาในโสตประสาทของเขาอีกครั้ง  ทหารหลายคนกำลังร้องเรียกเข้าอย่างเป็นห่วง

     

    มีอะไรกันหรือ?”เจ้าชายถาม

     

    เฮ้อ! เห็นท่านเพ้อพูดอยู่คนเดียวนึกว่าท่านจะแย่ซะแล้ว

     

    พระราชาและพระราชินีเดินเข้ามาหา  ทหารลุกขึ้นถวายคำนับแล้วถอยห่างออกไป  เจ้าชายพยายามพยุงตัวเองลุกเพื่อขึ้นถวายคำนับ

     

    ลุกขึ้นเถอะพระราชาช่วยประคองตัวเขาให้ยืนขึ้น

     

    ข้าขออภัยที่ก่อเรื่องวุ่นวายเจ้าชายกล่าวอย่างสำนึกผิด

     

    เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้วพระราชินียิ้มทั้งที่หยาดน้ำตาสุกใสยังคลอดดวงตาทั้งสองข้าง  สวมกอดเจ้าชาย  เจ้าชายกอดตอบ

     

    ข้าเสียใจที่เป็นเหตุทำลายความรักของเจ้าพระราชากล่าวอย่างเศร้าสร้อย อุปสรรคความรักของเจ้ายิ่งใหญ่ยิ่งนัก  แต่เจ้าก็ยังดั้นด้นที่จะฝ่ามันไป  ข้าเชื่อว่าบทเรียนคราวนี้จะช่วยให้เจ้าแกร่งขึ้น

     

    เจ้าชายแหงนหน้ามองฟ้าเบื้องบน  จันทร์กระจ่างกลางฟ้าแหว่งเว้าหายไปในความมืดบางส่วน  คงถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องโบกมืออำลาพระจันทร์ที่มีอยู่เพียงดวงเดียวนี้  เพื่อต้อนรับอรุณเบิกฟ้ากับวันใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น

     

     

    จบบริบูรณ์

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×