คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่4
บทที่ 4
ทั้งสองควบม้าเหยาะย่างผ่านปราการธรรมชาติ แมกไม้ชอุ่มน้ำค้าง แมลงป่าส่งเสียงร้องระงม แว่วเสียงสายน้ำในลำธารไหลมาแต่ไกล แม่มดปล่อยใจไปกับธรรมชาติ แต่นั่งหลังตรง แผ่นหลังแนบห่างจากแผงอกเจ้าชายเล็กน้อย
“เจ้าเอนหลังลงมาก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก”เจ้าชายบอก “หลังตรงแบบนั้นคงเมื่อยแย่”
“ขอบคุณ”แม่มดสาวกล่าวพลางเอนหลังลงมาพิงกับแผงอกเจ้าชาย เจ้าชายไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมธรรมชาติ เขาพยายามจินตนาการว่าปัญหาที่รอเขาอยู่จะออกมาในรูปแบบใด
กล่าวถึงเมืองอันแสนสุขบัดนี้เงียบเชียบ ประตูเมืองเปิดอ้าค้างรอไว้ ทหารยามบุคลิกดีกับเทพีโฉมฉายยืนเรียงรายอยู่บนกำแพงเมือง สองมือของพวกหล่อนอุ้มชะลอมใส่กลีบดอกไม้ที่เริ่มช้ำหม่นคล้ำ ทหารยามบางคนอาสาเอาชะลอมไปเปลี่ยนกลีบดอกไม้ให้ใหม่ เบื้องล่างนั้นชาวเมืองต่างก็ยืนรอกันอย่างเงียบกริบ พวกเขาออกันสองฟากของเส้นทางที่ทอดตัวไปสู่ราชวัง เทพีโปรยดอกไม้ยืนประจำอยู่เป็นระยะๆ หลายคนที่อยู่ไกลจากกำแพงเมืองก็มักจะคอยชะเง้อดูต้นทาง นานๆครั้งก็มีเสียงเด็กหัวเราะเอิ๊กๆ สตรีซุบซิบกันหัวเราะคิกคัก หรือสุนัขครางหงิงๆสอดแทรกเข้ามาท่ามกลางความเงียบ
“นั่นใช่ม้าของเจ้าชายหรือเปล่า”ทหารยามคนหนึ่งพูดทำลายความเงียบขึ้น ทุกคนบนกำแพงหันไปมองตามทางที่นิ้วชี้ชี้
“เจ้าชายนี่!”
“เจ้าชายมาแล้ว!”เสียงร้องบอกต่อๆกันดังขึ้นเรื่อยๆ
“ตื่นเต้นจริงๆ”
“ทุกคนเตรียมพร้อม”นายทหารชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งสั่ง จากนั้นส่งสัญญาณมือบอกให้วงดนตรีที่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนเตรียมตัวบรรเลง
“เห็นประตูเมืองแล้ว แถมเปิดรอไว้ด้วย”แม่มดชี้ให้เจ้าชายดู
“เรารีบเข้าไปกันเถอะ”เจ้าชายกล่าวพลางกระตุ้นม้าให้วิ่งเร็วขึ้น
ทันทีที่ควบม้าเข้าประตูเมืองมา เสียงวงมโหรีก็เริ่มบรรเลงอย่างดังกระหึ่ม แม่มดสาวสะดุ้งตกใจจนแทบเป็นลมล้มพับ เจ้าชายรั้งบังเหียนม้าลดความเร็วของม้าขาวลงเป็นการวิ่งเหยาะๆแทน ชาวเมืองและทหารเปล่งเสียงแสดงความต้อนรับ คราใดที่เจ้าชายผ่านชาวเมืองก็จะค้อมคำนับ(ชาย)และถอนสายบัว(หญิง) ใบหน้าของทุกคนล้วนระบายไว้ด้วยรอยยิ้ม แถวคนที่เรียงรายโค้งขึ้นลงราวกับระลอกคลื่น เจ้าชายโบกมือทักทายตอบย่างเป็นกันเอง ส่วนแม่มดยังอยู่ในอารามทำตัวไม่ถูก
“เกิดมาข้าไม่เคยเจออะไรยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย”แม่มดบอก
“แล้วเจ้าชอบไหม?”เจ้าชายถาม
“ชอบสิ”
“ดีแล้วล่ะที่เจ้าชอบ เสียดายที่ข้าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่”
เจ้าชายควบม้าผ่านฝูงชนไปแล้ว ฝูงชนสองข้างทางก็เดินโอบหลังเข้ามารวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆกลุ่มเดียว มองแผ่นหลังบนหลังม้าขาวของเจ้าชาย
“เจ้าสงสัยเหมือนกับข้าหรือไม่”สตรีชาวบ้านนางหนึ่งเอ่ยกับเพื่อน
“ข้าสงสัยว่าที่นั่งอยู่ข้างหน้าพระองค์นั้นคือเจ้าหญิงหรือเปล่า”เพื่อนนางตอบ
“จะบ้ารึ! ก็เจ้าหญิงมารอเจ้าชายที่ปราสาทตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่”สตรีอีกคนหันมาคุยด้วย
“ข้าว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่”สตรีชาวบ้านสรุป
พอม้าขาวเหยาะย่างมาถึงหน้ากำแพงปราสาท ทหารยามสองคนยิ้มแก้มแทบปริเปิดประตูให้
“ยินดีต้อนรับกลับมาขอรับ เจ้าชาย”ทหารยามทั้งสองคนกล่าวขึ้นพร้อมกัน แต่พอเห็นหน้าของหญิงสาว รอยยิ้มก็จางเจื่อนกลายเป็นรอยขมวดแห่งความสงสัย
“ท่านคนนี้คือเจ้าหญิงหรือขอรับ”ทหารยามคนหนึ่งถาม
“ใช่แล้ว เจ้าหญิงในดวงใจของข้าทีเดียวเชียวล่ะ”เจ้าชายตอบพร้อมกับยิ้มอย่างปลอดโปร่ง แม่มดแก้มแดงระเรื่อรีบหรุบตาต่ำลง
“ท่านพิชิตแม่มดร้ายได้ไหมขอรับ”ทหารยามอีกคนถาม
“ข้าพิชิตกายนางได้ แต่ใจข้าสิถูกนางพิชิตตั้งแต่แรกพบ จะเรียกว่าแม่มดร้ายก็ยังไม่ถูกนัก แต่หัวใจข้าบอกมาว่าเป็นแม่มดที่ร้ายกาจนัก”เจ้าชายพูดราวกับคนเพ้อไข้ แม่มดพยายามซ่อนรอยยิ้ม แอบเอื้อมมือไปหยิกต้นขาเจ้าชาย จนร้อง “โอ๊ย!”เบาๆ
“อ้อ”ทหารยามสองคนร้องขึ้นพร้อมกัน พยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของเจ้าชาย
“พวกข้าสองคนเหนื่อยมากแล้ว ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะ”เจ้าชายกล่าวแล้วควบม้าผ่านไป
“ไปพักห้องข้าก่อนดีไหม?”เจ้าชายถามพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ทำไมไม่ไปหาพระราชาก่อนล่ะ เขาคงรอท่านอยู่”แม่มดสาวย้อน
“ทำตามที่เจ้าบอกก็แล้วกัน”
ท้องพระโรงโอ่โถง ภาพวาดจากนิทานปรัมปราประดับตามผนัง ตัวสีนั้นเกิดจากการประดับด้วยกระจกสีชิ้นเล็กๆสีต่างๆ เบื้องบนมีหลังคายอดแหลมสูง ตัวหลังคาส่วนยอดเป็นแผ่นกระจกที่ช่วยกรองแสงอาทิตย์ให้อ่อนแรงลงก่อนจะฉายลงมายังบัลลังก์คู่ของพระราชาและพระราชินี จากประตูมีพรมแดงผืนยาวผืนหนึ่งวางทอดตัวกลางพื้นหินอ่อนไปสิ้นสุดอยู่ตรงเบื้องหน้าของบัลลังก์ สองฟากของพรมแดงยืนเรียงรายไว้ด้วยขุนนางน้อยใหญ่ แต่ที่โดดเด่นเหนือผู้อื่นก็คงต้องยกให้ขุนพลคนสนิทของพระราชาที่เจ้าชายมักจะประลองดาบด้วยเสมอ ใบหน้าประดับด้วยรอยย่นจากช่วงวัยและประสบการณ์ทางอารมณ์ผสมปนเปกับรอยแผลที่เกิดจากคมอาวุธ ผมสั้นติดหนังศีรษะ ดวงตาเรียวเปล่งประกายมาแต่ไกล ริมฝีปากเม้มนิดๆอยู่ตลอด จมูกงองุ้ม เคราสีเงินโอบล้อมโครงหน้าส่วนคางสะท้อนกับแสงระยิบระยับ ร่างกายไม่ใหญ่โตอย่างจอมพลังแต่สันทัด หนักแน่น และปราดเปรียว
ผิดกับพระราชาที่มีร่างใหญ่โตอ้วนท้วนสมบูรณ์ สวมชุดผ้าแพรเรียบลื่นสีแดงอ่อนประดับลวดลายขลิบทอง หนวดเคราสีขาวดกเฟิ้มฟูฟ่อง เวลายิ้มจะมีริ้วรอยตีนกาบริเวณหางตามากมายหลายสายเปรียบได้ดั่งรํศมีแห่งดวงอาทิตย์ และหน้าของพระองค์ดูเหมือนจะระบายไว้ด้วยรอยยิ้มตลอดเวลาแม้แต่ตอนไม่ได้ยิ้มก็ตาม แม่มดเปรียบเทียบคนทั้งสอง คนหนึ่งเย็นชาและดำมืดเหมือนมหาสมุทรยามวิกาล อีกคนหนึ่งแผ่รัศมีเหมือนอาทิตย์ไขแสงยามอรุณ ส่วนพระราชินีนั้นมีลักษณะเหมือนแม่พระผู้เข้าใจโลกอย่างถ่องแท้ มงกุฎขนาดเล็กคล้ายที่คาดผมทองคำเรืองอร่ามสวมไว้เหนือเส้นผมดำสลวยที่รวบเป็นหางม้ายาวไปถึงกลางหลัง ชุดสีน้ำเงินน้ำทะเลเปลือยไหล่ ผ้าคลุมเฉียงสะพายแล่งปิดไหล่ขวา ไหล่ซ้ายยังเผยให้เห็นเนื้อหนัง ริ้วรอยแห่งวัยเล็กน้อยที่ประดับตามใบหน้าไม่ได้บั่นทอนความงาม กลับเพิ่มเสน่ห์ที่น่ายำเกรงขึ้นเสียด้วยซ้ำ แม่มดเห็นว่าพระราชินีไม่ได้สวยหยาดเยิ้มหรือเป็นสาวงามล่มเมือง แต่เป็นสตรีที่ลงตัวในความพอดีที่สุดคนหนึ่ง
แม่มดสาวหยุดยืนอยู่หน้าประตู เจ้าชายเดินเข้าไปแต่เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตามเข้ามาด้วย จึงหันไปเรียก
“เข้ามาสิ”
แม่มดยกเท้าขึ้นอย่างลังเลก่อนจะก้าวเหยียบย่างเข้าไป ขุนนางทั้งสองข้างพรมแดงถวายคำนับ
“กลับมาแล้วหรือลูก”ราชินีถามอย่างยิ้มแย้ม ความปิติยินดีเอ่อล้นออกมา
“ถ้ายังไม่กลับมาจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้หรือพะย่ะค่ะ”
“ยังเล่นลิ้นกวนประสาทแบบนี้แสดงว่าสบายดี”พระราชาสรวล “เอ๋ แล้วแม่สาวคนนั้นใครกันล่ะ”
“เอ่อ..คือ..นาง..นางเป็น..”เจ้าชายอ้ำอึ้ง ในหัวพยายามแต่งเรื่องที่ฟังดูเหมาะสม
“ข้าเป็นแม่มด”แม่มดตอบอย่างฉะฉาน และปลอดโปร่ง
ทันใดนั้นเกิดเสียงฮือฮาขึ้นทั่วท้องพระโรง พระราชาและพระราชินีแสดงความตื่นตระหนกออกมาทางใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าเป็นใครนะ” พระราชาย้ำถามเพื่อความแน่ใจ
แม่มดยิ้ม ตอบอย่างสุภาพอีกครั้งว่า “ข้าคือแม่มดคนที่จับเจ้าหญิงไปเองล่ะ”
เสียงฮือฮาดังขึ้นยิ่งกว่าเก่า ขุนนางสูงอายุบางคนเป็นลมหงายท้องไปเสียแล้ว ขุนพลคนสนิทกระชับดาบที่หว่างเอวปราดมายืนเคียงข้างพระราชา พระชาเอนหลังพิงพนักหายใจหอบถี่
“ทหาร รีบจับนางไว้”พระราชาชี้นิ้วไปทางแม่มด แต่เสียงของพระองค์ไม่ดังพอ ขุนพลคนสนิทจึงรับหน้าที่ออกคำสั่งต่อ
“ทหาร! จับตัวนางไว้!”เสียงดังกังวานไปถึงทหารรักษาการณ์เบื้องนอก พวกเขาวิ่งกรูกันเข้ามาล้อมแม่มดไว้
“ช้าก่อนๆ ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้”เจ้าชายแบฝ่ามือสองข้างชูขึ้น แต่ในเมื่อทหารไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เจ้าชายก็เป็นฝ่ายชักดาบออกมายืนประจันหน้าขวางแม่มดเอาไว้ เหล่าทหารเกิดความลังเล หันไปมองขุนพลอย่างรอคำสั่ง
“เจ้าชายวางอาวุธลงเถอะ!”ขุนพลสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบชาด
“ท่านสั่งให้ทหารถอยออกไปก่อน แล้วเราจะพูดกันดีๆ”
ขุนนางร่างท้วมผมหงอกผู้หนึ่ง มองเจ้าชายด้วยความกลัวจนตัวสั่นงันงก ร้องออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า
“เจ้าชายโดนมนต์สะกด!”
“อย่าพูดจาเหลวไหล!”เจ้าชายตวาดกลับ
“มนต์สะกดจริงๆด้วย!”ขุนนางอีกหลายคนร้องตาม
“มนต์สะกดอันร้ายกาจ!”
“มนต์สะกดอันชั่วร้าย!”
สีหน้าของพระราชินีแสดงถึงความหวาดกลัวถึงขีดสุด ลุกขึ้นจากบัลลังก์สั่งทหารว่า
“จับตัวทั้งคู่ไว้ ห้ามให้ลูกชายข้าได้รับบาดเจ็บเป็นอันขาด”
ทหารเปล่งเสียงรับคำอย่างพร้อมเพรียง กรูกันเข้ามา
“ถ้าพวกเจ้าเข้ามาก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”เจ้าชายคำรามพลางควงดาบด้วยข้อมือ ทหารทุกคนชะงักฝีเท้าลง ทุกคนต่างรู้จักนิสัยและฝีมือของเจ้าชายดี การจะเข้าไปจับกุมโดยไม่มีฝ่ายใดได้รับบาดเจ็บคงเป็นไม่ได้
แต่ทันใดนั้นมือของแม่มดกลับคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนของเจ้าชาย “ทิ้งดาบเถอะ”เธอกล่าว เจ้าชายเหลียวหลังไปสบตากับแม่มด แววตาของหล่อนคล้ายกับปลอบประโลมเป็นนัยๆว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย
“ก็ได้ ก็ได้”เจ้าชายโยนดาบทิ้งลงพื้น
“ย้าก!”นายทหารคนหนึ่งร้องคำราม พุ่งเข้ามาจะจับตัวแม่มด เจ้าชายปราดเข้าขวางหน้าเหวี่ยงหมัดเข้าใส่กรามของทหารผู้นั้นดังกร๊อบ! ลำตัวหมุนคว้างกลางอากาศลงไปร้องกระซิกๆกับพื้น
“ทำไมท่านโหดร้ายอย่างนี้”แม่มดต่อว่าเจ้าชาย
“นางยอมแล้ว เจ้าก็อย่าทำอะไรนาง”เจ้าชายกล่าว เอามือประสานกันที่ท้ายทอยแล้วคุกเข่าลง ทหารส่วนหนึ่งเข้าไปคุมตัวเจ้าชายให้ถอยห่างออกมา ทหารอีกกองคุมตัวแม่มด นายทหารคนหนึ่งถือบ่วงเชือกเดินเข้าไปหาแม่มดอย่างกล้าๆกลัวๆ แม่มดยื่นแขนทั้งสองข้างออกมาหา
“ท่านเข้ามามัดเถอะ ข้าไม่ทำอะไรท่านหรอก”แม่มดกล่าว
“เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมเจ้าต้องยอมทำแบบนี้ด้วย”เจ้าชายถามอย่างไม่เข้าใจ
“เพราะข้าไม่ได้ทำผิด ข้าถึงต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจให้พวกเขาเห็น”
“ทำไมจะไม่ผิด”ทันใดนั้นสุ้มเสียงของหญิงสาววัยแรกรุ่นดังขึ้นมากจากประตูท้องพระโรง ทุกคนหันไปมองตามที่มาของเสียง เธอคือเจ้าหญิงตางเมืองที่เจ้าชายไปช่วยมาจากปราสาทแม่มดนั่นเอง
“เจ้าขับตัวข้า พรากข้าจากอ้อมอกท่านพ่อท่านแม่ แล้วยังจำกัดอิสรภาพของข้า”นางเรียกร้องความเป็นธรรมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ข้าทำเพราะต้องการช่วยพวกท่าน”แม่มดพยายามอธิบาย
“ช่วยรึ!”เจ้าหญิงแค่นหัวเราะ “ช่วยยังไงล่ะ?”
“ช่วยให้เจ้าชายและเจ้าหญิงได้พบรักกัน”แม่มดตอบ จากนั้นหันไปพูดกับพระราชินี “ท่านหน้าตาเปลี่ยนไปมากแต่ข้าก็ยังจำได้ ตอนนั้นข้ายังเด็กนัก แม่ข้าจับเจ้าหญิงไปขังในปราสาท ซึ่งก็คือท่านนั่นเอง พระราชินี”จากนั้นหันไปกล่าวยิ้มๆให้กับพระราชาว่า “ท่านบุกเข้าไปชิงตัวเจ้าหญิง ไม่มีใครรู้ว่าท่านมีโรคประจำกายเกี่ยวกับกายหายใจ ท่านเกือบตายมาครั้งหนึ่งแต่พ่อของข้าได้ช่วยท่านเอาไว้ เปลี่ยนความส่งจำแล้วส่งท่านกลับเมืองไปพร้อมกับเจ้าหญิง”
“เดี๋ยวก่อน”พระราชินีเอ่ยขึ้น “เจ้าคือเด็กน้อยคนที่มาเล่นกับเราตอนที่เราถูกขังอยู่ใช่หรือไม่”
“โอ!”แม่มดอุทานอย่างปลื้มปิติ “ข้าดีใจยิ่งนักที่ท่านจำข้าได้ ตอนนั้นข้ารับบทเป็นวิญญาณเด็กหญิงที่ถูกขังอยู่ในปราสาท”
“วิญญาณที่สดใสไร้เดียงสาตนนั้น บัดนี้เติบโตเป็นสาวงามสะพรั่งแล้วเชียวหรือนี่”พระราชินีพูด ยิ้มแล้วยิ้มอีก
“ร้ายกาจ!”เจ้าหญิงแผดร้อง “นางใช้มนต์สะกดพวกท่านให้เชื่อเรื่องที่นางกุขึ้น”
“ข้าไม่ได้ใช้มนต์สะกดอะไรทั้งสิ้น”แม่มดกล่าว “ข้าไม่ได้เอาไม้เท้าติดมือมาด้วย ข้าใช้เวทย์มนต์ไม่ได้หรอก”
คำพูดของแม่มดทำให้เจ้าชายนึกขึ้นได้ในใจว่า ‘นางคงทำหล่นตอนร่วงจากหลังมังกร’
“เราเชื่อที่นางพูด”พระราชินีป่าวประกาศ
“แต่นางเป็นแม่มด”พระราชาลังเลใจ “เล่ากันว่านางจะมาเยือนในรูปของแม่พระใจบุญ แต่เมื่อนางจากไปแล้วกลับมาอีกครั้ง นางจะมาพร้อมกับเสียงหัวเราะแหลมลั่นอันชั่วร้าย และมังกรที่จะพ่นไฟแผดเผาทุกชีวิตให้มอดไหม้”
“ข้าไม่เคยได้ยินตำนานเช่นนั้นมาก่อนเลย”แม่มดกล่าว หน้าซีดเผือดด้วยความหวั่นสะพรึง
“นิทานหลอกเด็กเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้า”เจ้าชายเอ่ยแทรกขึ้นมา “โธ่! ท่านพ่อ ท่านอายุปูนนี้แล้วยังจะมาเชื่อเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้อีกหรือ”
แต่คนอื่นๆไม่ได้สนใจฟังเจ้าชาย ต่างพูดกันว่า
“อย่าให้นางได้กลับออกไป”
“วิธีฆ่าแม่มดมีเพียงวิธีเดียวคือเผาทั้งเป็น”
“เผาแม่เจ้าน่ะซี่!”เจ้าชายออกแรงดิ้นแต่สู้แรงของทหารนับสิบคนไม่ไหว
เจ้าหญิงถามแม่มดว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าต้องการช่วยเหลือให้เจ้าชายกับเจ้าหญิงได้สมหวังในความรักใช่หรือไม่”
“ข้ากล่าวเช่นนั้น เจ้าหญิง”แม่มดตอบพลางค้อมศีรษะลงเล็กน้อย
“แล้วแทนที่ข้าจะได้กลับเมืองมาพร้อมกับเจ้าชาย ทำไมข้ากลับได้ขี่ม้ากลับเมืองมาแต่เพียงผู้เดียว แต่เป็นเจ้าที่กลับมาพร้อมกับเจ้าชายในฐานะคนรัก เจ้าคงเห็นว่าข้าโง่เง่ามากสินะ”
“ป..ปล่าว..ข้าไม่..”แม่มดตอบตะกุกตะกักอย่างอับจนถ้อยคำ
“ข้าเป็นคนชวนให้นางมากับข้าเอง”เจ้าชายกล่าว เจ้าหญิงหันไปมองอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“เพราะอะไร?”เธอถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ข้าเสียใจ คนที่ข้ารักไม่ใช่เจ้าแต่เป็นนาง”เจ้าชายพยักพเยิดไปทางแม่มด ทุกคนในท้องพระโรงส่งเสียงฮือฮาดังกว่าครั้งก่อนๆ จากนั้นเจ้าชายก็ป่าวประกาศต่อด้วยน้ำเสียงดังกังวานว่า
“ที่ข้าพานางมาวันนี้ก็เพื่อจะบอกว่า ข้าขอสละสิทธิ์ในการครองบัลลังก์ต่อจากท่านพ่อ ข้าต้องการออกไปใช้ชีวิตอย่างสงบกับแม่มดเพียงลำพัง”
ขุนนางผู้สูงอายุเป็นลมล้มพับไปอีกเป็นทิวแถว อาการหืดหอบของพระราชาเริ่มจะกำเริบ พระราชินีลูบหลังเปล่งเสียงเป็นจังหวะช่วยกำกับการหายใจ
“เห็นรึยัง” เจ้าหญิงชี้หน้าแม่มด “ปากเจ้าบอกว่าจะช่วยให้เจ้าหญิงและเจ้าชายได้สมหวังในความรัก ที่ไหนได้เจ้ากลับแย่งชิงความรักนั้นไปเสียเอง อา...ข้ายอมตายดีกว่ายอมถูกย่ำยีหัวใจเช่นนี้”
ขุนนางทุกคนที่ยังมีสติดีในบริเวณนั้นมองดูเจ้าหญิงด้วยความเวทนา จากนั้นเปล่งเสียงขึ้นพร้อมกันว่า
“ฆ่าแม่มด!”
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้”แม่มดกล่าวอย่างรู้สึกผิด
“เจ้าไม่ผิดหรอก” เจ้าชายเอ่ยขึ้น “ข้าต่างหากที่ผิด เพียงแต่เรื่องหัวใจมันบังคับไม่ได้ จะให้ข้าเลิกรักเจ้าและเปลี่ยนไปรักเจ้าหญิงข้าทำไม่ได้หรอก”
“ก็เพราะท่านหลงมนตร์เสน่ห์ของมันยังไงล่ะ”เจ้าหญิงเค้นเสียงอย่างเจ็บปวด”
“ท่านทำใจซะเถอะเจ้าหญิง ถึงจะได้แต่งงานกัน แต่ถ้าไม่รักกันก็ต้องทนอยู่อย่างไม่มีความสุข”
“ข้ารักท่านนะ!”เจ้าหญิงร้อง
“ท่านแน่ใจหรือว่าท่านรักข้าจริง”เจ้าชายย้อนถาม “ท่านเข้าใจแล้วหรือว่าความรักมันเป็นอย่างไร”
“ข้าไม่เข้าใจ ท่านเป็นเจ้าชายแต่ทำไมถึงไปรักกับแม่มด ถ้าไม่ใช่มนตร์เสน่ห์”
“ข้าไม่เข้าใจว่า ระหว่างเจ้าชายกับแม่มดทำไมจะรักกันไม่ได้”เจ้าชายย้อนถามอีกครา
“พอ! พอได้แล้ว!”พระราชาเปล่งเสียงขึ้นอย่างเหลืออด “นำตัวนางแม่มดไปขังไว้รอการตัดสิน ส่วนลูกข้าให้พาไปสงบสติอารมณ์ภายในห้อง ห้ามให้ออกมา”
“สติข้ายังดีอยู่ท่านพ่อ!”
“จงทำตามที่ข้าสั่ง”จากนั้นพระราชาก็หันไปสั่งขุนพลคนสนิท “จับตาดูเจ้าชายให้ดี ถ้าไม่เชื่อฟังข้าจะสั่งฆ่านางแม่มด”
ขุนพลค้อมศีรษะรับคำสั่ง เจ้าชายยอมให้ทหารพาตัวไปแต่โดยดี ทั้งที่ในใจยังร้อนระอุอยู่ ก่อนจะออกจากท้องพระโรงไปเจ้าชายหันไปมองหน้าแม่มด เธอมองตอบเช่นกัน พยักหน้าน้อยๆเป็นสัญญาณว่า ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย
ความคิดเห็น