ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตำนานรักปรัมปรา ที่ไม่ธรรมดา

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่4

    • อัปเดตล่าสุด 24 ม.ค. 53


    บทที่ 4

    ทั้งสองควบม้าเหยาะย่างผ่านปราการธรรมชาติ  แมกไม้ชอุ่มน้ำค้าง  แมลงป่าส่งเสียงร้องระงม  แว่วเสียงสายน้ำในลำธารไหลมาแต่ไกล  แม่มดปล่อยใจไปกับธรรมชาติ  แต่นั่งหลังตรง  แผ่นหลังแนบห่างจากแผงอกเจ้าชายเล็กน้อย

     

    เจ้าเอนหลังลงมาก็ได้  ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอกเจ้าชายบอก หลังตรงแบบนั้นคงเมื่อยแย่

     

    ขอบคุณแม่มดสาวกล่าวพลางเอนหลังลงมาพิงกับแผงอกเจ้าชาย  เจ้าชายไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมธรรมชาติ  เขาพยายามจินตนาการว่าปัญหาที่รอเขาอยู่จะออกมาในรูปแบบใด

     

    กล่าวถึงเมืองอันแสนสุขบัดนี้เงียบเชียบ  ประตูเมืองเปิดอ้าค้างรอไว้  ทหารยามบุคลิกดีกับเทพีโฉมฉายยืนเรียงรายอยู่บนกำแพงเมือง  สองมือของพวกหล่อนอุ้มชะลอมใส่กลีบดอกไม้ที่เริ่มช้ำหม่นคล้ำ  ทหารยามบางคนอาสาเอาชะลอมไปเปลี่ยนกลีบดอกไม้ให้ใหม่  เบื้องล่างนั้นชาวเมืองต่างก็ยืนรอกันอย่างเงียบกริบ  พวกเขาออกันสองฟากของเส้นทางที่ทอดตัวไปสู่ราชวัง  เทพีโปรยดอกไม้ยืนประจำอยู่เป็นระยะๆ  หลายคนที่อยู่ไกลจากกำแพงเมืองก็มักจะคอยชะเง้อดูต้นทาง  นานๆครั้งก็มีเสียงเด็กหัวเราะเอิ๊กๆ  สตรีซุบซิบกันหัวเราะคิกคัก หรือสุนัขครางหงิงๆสอดแทรกเข้ามาท่ามกลางความเงียบ

     

    นั่นใช่ม้าของเจ้าชายหรือเปล่าทหารยามคนหนึ่งพูดทำลายความเงียบขึ้น  ทุกคนบนกำแพงหันไปมองตามทางที่นิ้วชี้ชี้

     

    เจ้าชายนี่!”

     

    เจ้าชายมาแล้ว!”เสียงร้องบอกต่อๆกันดังขึ้นเรื่อยๆ

     

    ตื่นเต้นจริงๆ

     

    ทุกคนเตรียมพร้อมนายทหารชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งสั่ง  จากนั้นส่งสัญญาณมือบอกให้วงดนตรีที่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนเตรียมตัวบรรเลง

     

    เห็นประตูเมืองแล้ว  แถมเปิดรอไว้ด้วยแม่มดชี้ให้เจ้าชายดู

     

    เรารีบเข้าไปกันเถอะเจ้าชายกล่าวพลางกระตุ้นม้าให้วิ่งเร็วขึ้น

     

    ทันทีที่ควบม้าเข้าประตูเมืองมา  เสียงวงมโหรีก็เริ่มบรรเลงอย่างดังกระหึ่ม  แม่มดสาวสะดุ้งตกใจจนแทบเป็นลมล้มพับ  เจ้าชายรั้งบังเหียนม้าลดความเร็วของม้าขาวลงเป็นการวิ่งเหยาะๆแทน  ชาวเมืองและทหารเปล่งเสียงแสดงความต้อนรับ  คราใดที่เจ้าชายผ่านชาวเมืองก็จะค้อมคำนับ(ชาย)และถอนสายบัว(หญิง)  ใบหน้าของทุกคนล้วนระบายไว้ด้วยรอยยิ้ม  แถวคนที่เรียงรายโค้งขึ้นลงราวกับระลอกคลื่น  เจ้าชายโบกมือทักทายตอบย่างเป็นกันเอง  ส่วนแม่มดยังอยู่ในอารามทำตัวไม่ถูก

     

    เกิดมาข้าไม่เคยเจออะไรยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลยแม่มดบอก

     

    แล้วเจ้าชอบไหม?”เจ้าชายถาม

     

    ชอบสิ

     

    ดีแล้วล่ะที่เจ้าชอบ  เสียดายที่ข้าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

     

    เจ้าชายควบม้าผ่านฝูงชนไปแล้ว  ฝูงชนสองข้างทางก็เดินโอบหลังเข้ามารวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆกลุ่มเดียว  มองแผ่นหลังบนหลังม้าขาวของเจ้าชาย

     

    เจ้าสงสัยเหมือนกับข้าหรือไม่สตรีชาวบ้านนางหนึ่งเอ่ยกับเพื่อน

     

    ข้าสงสัยว่าที่นั่งอยู่ข้างหน้าพระองค์นั้นคือเจ้าหญิงหรือเปล่าเพื่อนนางตอบ

     

    จะบ้ารึ! ก็เจ้าหญิงมารอเจ้าชายที่ปราสาทตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่สตรีอีกคนหันมาคุยด้วย

     

    ข้าว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่สตรีชาวบ้านสรุป

     

    พอม้าขาวเหยาะย่างมาถึงหน้ากำแพงปราสาท  ทหารยามสองคนยิ้มแก้มแทบปริเปิดประตูให้

     

    ยินดีต้อนรับกลับมาขอรับ  เจ้าชายทหารยามทั้งสองคนกล่าวขึ้นพร้อมกัน  แต่พอเห็นหน้าของหญิงสาว  รอยยิ้มก็จางเจื่อนกลายเป็นรอยขมวดแห่งความสงสัย

     

    ท่านคนนี้คือเจ้าหญิงหรือขอรับทหารยามคนหนึ่งถาม

     

    ใช่แล้ว  เจ้าหญิงในดวงใจของข้าทีเดียวเชียวล่ะเจ้าชายตอบพร้อมกับยิ้มอย่างปลอดโปร่ง  แม่มดแก้มแดงระเรื่อรีบหรุบตาต่ำลง

     

    ท่านพิชิตแม่มดร้ายได้ไหมขอรับทหารยามอีกคนถาม

     

    ข้าพิชิตกายนางได้  แต่ใจข้าสิถูกนางพิชิตตั้งแต่แรกพบ  จะเรียกว่าแม่มดร้ายก็ยังไม่ถูกนัก  แต่หัวใจข้าบอกมาว่าเป็นแม่มดที่ร้ายกาจนักเจ้าชายพูดราวกับคนเพ้อไข้  แม่มดพยายามซ่อนรอยยิ้ม  แอบเอื้อมมือไปหยิกต้นขาเจ้าชาย  จนร้อง โอ๊ย!”เบาๆ

     

    อ้อทหารยามสองคนร้องขึ้นพร้อมกัน  พยายามทำความเข้าใจกับคำพูดของเจ้าชาย

     

    พวกข้าสองคนเหนื่อยมากแล้ว  ขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะเจ้าชายกล่าวแล้วควบม้าผ่านไป

     

    ไปพักห้องข้าก่อนดีไหม?”เจ้าชายถามพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย

     

    ทำไมไม่ไปหาพระราชาก่อนล่ะ  เขาคงรอท่านอยู่แม่มดสาวย้อน

     

    ทำตามที่เจ้าบอกก็แล้วกัน

     

    ท้องพระโรงโอ่โถง  ภาพวาดจากนิทานปรัมปราประดับตามผนัง ตัวสีนั้นเกิดจากการประดับด้วยกระจกสีชิ้นเล็กๆสีต่างๆ  เบื้องบนมีหลังคายอดแหลมสูง  ตัวหลังคาส่วนยอดเป็นแผ่นกระจกที่ช่วยกรองแสงอาทิตย์ให้อ่อนแรงลงก่อนจะฉายลงมายังบัลลังก์คู่ของพระราชาและพระราชินี  จากประตูมีพรมแดงผืนยาวผืนหนึ่งวางทอดตัวกลางพื้นหินอ่อนไปสิ้นสุดอยู่ตรงเบื้องหน้าของบัลลังก์   สองฟากของพรมแดงยืนเรียงรายไว้ด้วยขุนนางน้อยใหญ่  แต่ที่โดดเด่นเหนือผู้อื่นก็คงต้องยกให้ขุนพลคนสนิทของพระราชาที่เจ้าชายมักจะประลองดาบด้วยเสมอ  ใบหน้าประดับด้วยรอยย่นจากช่วงวัยและประสบการณ์ทางอารมณ์ผสมปนเปกับรอยแผลที่เกิดจากคมอาวุธ  ผมสั้นติดหนังศีรษะ  ดวงตาเรียวเปล่งประกายมาแต่ไกล  ริมฝีปากเม้มนิดๆอยู่ตลอด  จมูกงองุ้ม  เคราสีเงินโอบล้อมโครงหน้าส่วนคางสะท้อนกับแสงระยิบระยับ  ร่างกายไม่ใหญ่โตอย่างจอมพลังแต่สันทัด หนักแน่น และปราดเปรียว

     

    ผิดกับพระราชาที่มีร่างใหญ่โตอ้วนท้วนสมบูรณ์  สวมชุดผ้าแพรเรียบลื่นสีแดงอ่อนประดับลวดลายขลิบทอง  หนวดเคราสีขาวดกเฟิ้มฟูฟ่อง  เวลายิ้มจะมีริ้วรอยตีนกาบริเวณหางตามากมายหลายสายเปรียบได้ดั่งรํศมีแห่งดวงอาทิตย์  และหน้าของพระองค์ดูเหมือนจะระบายไว้ด้วยรอยยิ้มตลอดเวลาแม้แต่ตอนไม่ได้ยิ้มก็ตาม  แม่มดเปรียบเทียบคนทั้งสอง  คนหนึ่งเย็นชาและดำมืดเหมือนมหาสมุทรยามวิกาล  อีกคนหนึ่งแผ่รัศมีเหมือนอาทิตย์ไขแสงยามอรุณ     ส่วนพระราชินีนั้นมีลักษณะเหมือนแม่พระผู้เข้าใจโลกอย่างถ่องแท้  มงกุฎขนาดเล็กคล้ายที่คาดผมทองคำเรืองอร่ามสวมไว้เหนือเส้นผมดำสลวยที่รวบเป็นหางม้ายาวไปถึงกลางหลัง  ชุดสีน้ำเงินน้ำทะเลเปลือยไหล่   ผ้าคลุมเฉียงสะพายแล่งปิดไหล่ขวา  ไหล่ซ้ายยังเผยให้เห็นเนื้อหนัง  ริ้วรอยแห่งวัยเล็กน้อยที่ประดับตามใบหน้าไม่ได้บั่นทอนความงาม  กลับเพิ่มเสน่ห์ที่น่ายำเกรงขึ้นเสียด้วยซ้ำ  แม่มดเห็นว่าพระราชินีไม่ได้สวยหยาดเยิ้มหรือเป็นสาวงามล่มเมือง  แต่เป็นสตรีที่ลงตัวในความพอดีที่สุดคนหนึ่ง

     

    แม่มดสาวหยุดยืนอยู่หน้าประตู  เจ้าชายเดินเข้าไปแต่เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตามเข้ามาด้วย จึงหันไปเรียก

    เข้ามาสิ

     

    แม่มดยกเท้าขึ้นอย่างลังเลก่อนจะก้าวเหยียบย่างเข้าไป  ขุนนางทั้งสองข้างพรมแดงถวายคำนับ

     

    กลับมาแล้วหรือลูกราชินีถามอย่างยิ้มแย้ม  ความปิติยินดีเอ่อล้นออกมา

     

    ถ้ายังไม่กลับมาจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้หรือพะย่ะค่ะ

     

    ยังเล่นลิ้นกวนประสาทแบบนี้แสดงว่าสบายดีพระราชาสรวล เอ๋  แล้วแม่สาวคนนั้นใครกันล่ะ

     

    เอ่อ..คือ..นาง..นางเป็น..เจ้าชายอ้ำอึ้ง  ในหัวพยายามแต่งเรื่องที่ฟังดูเหมาะสม

     

    ข้าเป็นแม่มดแม่มดตอบอย่างฉะฉาน และปลอดโปร่ง

     

    ทันใดนั้นเกิดเสียงฮือฮาขึ้นทั่วท้องพระโรง  พระราชาและพระราชินีแสดงความตื่นตระหนกออกมาทางใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด

     

    เจ้าเป็นใครนะ พระราชาย้ำถามเพื่อความแน่ใจ

     

    แม่มดยิ้ม  ตอบอย่างสุภาพอีกครั้งว่า ข้าคือแม่มดคนที่จับเจ้าหญิงไปเองล่ะ

     

    เสียงฮือฮาดังขึ้นยิ่งกว่าเก่า  ขุนนางสูงอายุบางคนเป็นลมหงายท้องไปเสียแล้ว  ขุนพลคนสนิทกระชับดาบที่หว่างเอวปราดมายืนเคียงข้างพระราชา  พระชาเอนหลังพิงพนักหายใจหอบถี่

     

    ทหาร  รีบจับนางไว้พระราชาชี้นิ้วไปทางแม่มด  แต่เสียงของพระองค์ไม่ดังพอ  ขุนพลคนสนิทจึงรับหน้าที่ออกคำสั่งต่อ

     

    ทหาร! จับตัวนางไว้!”เสียงดังกังวานไปถึงทหารรักษาการณ์เบื้องนอก  พวกเขาวิ่งกรูกันเข้ามาล้อมแม่มดไว้

     

    ช้าก่อนๆ  ค่อยๆพูดค่อยๆจากันก็ได้เจ้าชายแบฝ่ามือสองข้างชูขึ้น  แต่ในเมื่อทหารไม่มีทีท่าว่าจะหยุด  เจ้าชายก็เป็นฝ่ายชักดาบออกมายืนประจันหน้าขวางแม่มดเอาไว้  เหล่าทหารเกิดความลังเล  หันไปมองขุนพลอย่างรอคำสั่ง

     

    เจ้าชายวางอาวุธลงเถอะ!”ขุนพลสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบชาด

     

    ท่านสั่งให้ทหารถอยออกไปก่อน  แล้วเราจะพูดกันดีๆ

     

    ขุนนางร่างท้วมผมหงอกผู้หนึ่ง  มองเจ้าชายด้วยความกลัวจนตัวสั่นงันงก  ร้องออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า

     

    เจ้าชายโดนมนต์สะกด!”

     

    อย่าพูดจาเหลวไหล!”เจ้าชายตวาดกลับ

     

    มนต์สะกดจริงๆด้วย!”ขุนนางอีกหลายคนร้องตาม

     

    มนต์สะกดอันร้ายกาจ!”

     

    มนต์สะกดอันชั่วร้าย!”

     

    สีหน้าของพระราชินีแสดงถึงความหวาดกลัวถึงขีดสุด  ลุกขึ้นจากบัลลังก์สั่งทหารว่า

     

    จับตัวทั้งคู่ไว้  ห้ามให้ลูกชายข้าได้รับบาดเจ็บเป็นอันขาด

     

    ทหารเปล่งเสียงรับคำอย่างพร้อมเพรียง  กรูกันเข้ามา

     

    ถ้าพวกเจ้าเข้ามาก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเจ้าชายคำรามพลางควงดาบด้วยข้อมือ  ทหารทุกคนชะงักฝีเท้าลง  ทุกคนต่างรู้จักนิสัยและฝีมือของเจ้าชายดี  การจะเข้าไปจับกุมโดยไม่มีฝ่ายใดได้รับบาดเจ็บคงเป็นไม่ได้

     

    แต่ทันใดนั้นมือของแม่มดกลับคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนของเจ้าชาย ทิ้งดาบเถอะเธอกล่าว  เจ้าชายเหลียวหลังไปสบตากับแม่มด  แววตาของหล่อนคล้ายกับปลอบประโลมเป็นนัยๆว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย

     

    ก็ได้  ก็ได้เจ้าชายโยนดาบทิ้งลงพื้น

     

    ย้าก!”นายทหารคนหนึ่งร้องคำราม  พุ่งเข้ามาจะจับตัวแม่มด  เจ้าชายปราดเข้าขวางหน้าเหวี่ยงหมัดเข้าใส่กรามของทหารผู้นั้นดังกร๊อบ!  ลำตัวหมุนคว้างกลางอากาศลงไปร้องกระซิกๆกับพื้น

     

    ทำไมท่านโหดร้ายอย่างนี้แม่มดต่อว่าเจ้าชาย

     

    นางยอมแล้ว  เจ้าก็อย่าทำอะไรนางเจ้าชายกล่าว  เอามือประสานกันที่ท้ายทอยแล้วคุกเข่าลง  ทหารส่วนหนึ่งเข้าไปคุมตัวเจ้าชายให้ถอยห่างออกมา  ทหารอีกกองคุมตัวแม่มด  นายทหารคนหนึ่งถือบ่วงเชือกเดินเข้าไปหาแม่มดอย่างกล้าๆกลัวๆ  แม่มดยื่นแขนทั้งสองข้างออกมาหา

     

    ท่านเข้ามามัดเถอะ  ข้าไม่ทำอะไรท่านหรอกแม่มดกล่าว

     

    เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด  ทำไมเจ้าต้องยอมทำแบบนี้ด้วยเจ้าชายถามอย่างไม่เข้าใจ

     

    เพราะข้าไม่ได้ทำผิด  ข้าถึงต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจให้พวกเขาเห็น

     

    ทำไมจะไม่ผิดทันใดนั้นสุ้มเสียงของหญิงสาววัยแรกรุ่นดังขึ้นมากจากประตูท้องพระโรง  ทุกคนหันไปมองตามที่มาของเสียง  เธอคือเจ้าหญิงตางเมืองที่เจ้าชายไปช่วยมาจากปราสาทแม่มดนั่นเอง

     

    เจ้าขับตัวข้า  พรากข้าจากอ้อมอกท่านพ่อท่านแม่  แล้วยังจำกัดอิสรภาพของข้านางเรียกร้องความเป็นธรรมด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

     

    ข้าทำเพราะต้องการช่วยพวกท่านแม่มดพยายามอธิบาย

     

    ช่วยรึ!”เจ้าหญิงแค่นหัวเราะ ช่วยยังไงล่ะ?”

     

    ช่วยให้เจ้าชายและเจ้าหญิงได้พบรักกันแม่มดตอบ  จากนั้นหันไปพูดกับพระราชินี ท่านหน้าตาเปลี่ยนไปมากแต่ข้าก็ยังจำได้  ตอนนั้นข้ายังเด็กนัก  แม่ข้าจับเจ้าหญิงไปขังในปราสาท ซึ่งก็คือท่านนั่นเอง  พระราชินีจากนั้นหันไปกล่าวยิ้มๆให้กับพระราชาว่า ท่านบุกเข้าไปชิงตัวเจ้าหญิง  ไม่มีใครรู้ว่าท่านมีโรคประจำกายเกี่ยวกับกายหายใจ  ท่านเกือบตายมาครั้งหนึ่งแต่พ่อของข้าได้ช่วยท่านเอาไว้  เปลี่ยนความส่งจำแล้วส่งท่านกลับเมืองไปพร้อมกับเจ้าหญิง

     

    เดี๋ยวก่อนพระราชินีเอ่ยขึ้น เจ้าคือเด็กน้อยคนที่มาเล่นกับเราตอนที่เราถูกขังอยู่ใช่หรือไม่

     

    โอ!”แม่มดอุทานอย่างปลื้มปิติ ข้าดีใจยิ่งนักที่ท่านจำข้าได้  ตอนนั้นข้ารับบทเป็นวิญญาณเด็กหญิงที่ถูกขังอยู่ในปราสาท

     

    วิญญาณที่สดใสไร้เดียงสาตนนั้น  บัดนี้เติบโตเป็นสาวงามสะพรั่งแล้วเชียวหรือนี่พระราชินีพูด  ยิ้มแล้วยิ้มอีก

     

    ร้ายกาจ!”เจ้าหญิงแผดร้อง นางใช้มนต์สะกดพวกท่านให้เชื่อเรื่องที่นางกุขึ้น

     

    ข้าไม่ได้ใช้มนต์สะกดอะไรทั้งสิ้นแม่มดกล่าว ข้าไม่ได้เอาไม้เท้าติดมือมาด้วย  ข้าใช้เวทย์มนต์ไม่ได้หรอก

    คำพูดของแม่มดทำให้เจ้าชายนึกขึ้นได้ในใจว่า นางคงทำหล่นตอนร่วงจากหลังมังกร

     

    เราเชื่อที่นางพูดพระราชินีป่าวประกาศ

     

    แต่นางเป็นแม่มดพระราชาลังเลใจ เล่ากันว่านางจะมาเยือนในรูปของแม่พระใจบุญ  แต่เมื่อนางจากไปแล้วกลับมาอีกครั้ง  นางจะมาพร้อมกับเสียงหัวเราะแหลมลั่นอันชั่วร้าย  และมังกรที่จะพ่นไฟแผดเผาทุกชีวิตให้มอดไหม้

     

    ข้าไม่เคยได้ยินตำนานเช่นนั้นมาก่อนเลยแม่มดกล่าว  หน้าซีดเผือดด้วยความหวั่นสะพรึง

     

    นิทานหลอกเด็กเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้าเจ้าชายเอ่ยแทรกขึ้นมา โธ่! ท่านพ่อ  ท่านอายุปูนนี้แล้วยังจะมาเชื่อเรื่องเหลวไหลพรรค์นี้อีกหรือ

     

    แต่คนอื่นๆไม่ได้สนใจฟังเจ้าชาย  ต่างพูดกันว่า

    อย่าให้นางได้กลับออกไป

     

    วิธีฆ่าแม่มดมีเพียงวิธีเดียวคือเผาทั้งเป็น

     

    เผาแม่เจ้าน่ะซี่!”เจ้าชายออกแรงดิ้นแต่สู้แรงของทหารนับสิบคนไม่ไหว

     

    เจ้าหญิงถามแม่มดว่า เจ้าบอกว่าเจ้าต้องการช่วยเหลือให้เจ้าชายกับเจ้าหญิงได้สมหวังในความรักใช่หรือไม่

     

    ข้ากล่าวเช่นนั้น เจ้าหญิงแม่มดตอบพลางค้อมศีรษะลงเล็กน้อย

     

    แล้วแทนที่ข้าจะได้กลับเมืองมาพร้อมกับเจ้าชาย  ทำไมข้ากลับได้ขี่ม้ากลับเมืองมาแต่เพียงผู้เดียว  แต่เป็นเจ้าที่กลับมาพร้อมกับเจ้าชายในฐานะคนรัก  เจ้าคงเห็นว่าข้าโง่เง่ามากสินะ

     

    ป..ปล่าว..ข้าไม่..แม่มดตอบตะกุกตะกักอย่างอับจนถ้อยคำ

     

    ข้าเป็นคนชวนให้นางมากับข้าเองเจ้าชายกล่าว  เจ้าหญิงหันไปมองอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

     

    เพราะอะไร?”เธอถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

     

    ข้าเสียใจ  คนที่ข้ารักไม่ใช่เจ้าแต่เป็นนางเจ้าชายพยักพเยิดไปทางแม่มด  ทุกคนในท้องพระโรงส่งเสียงฮือฮาดังกว่าครั้งก่อนๆ  จากนั้นเจ้าชายก็ป่าวประกาศต่อด้วยน้ำเสียงดังกังวานว่า

     

    ที่ข้าพานางมาวันนี้ก็เพื่อจะบอกว่า  ข้าขอสละสิทธิ์ในการครองบัลลังก์ต่อจากท่านพ่อ  ข้าต้องการออกไปใช้ชีวิตอย่างสงบกับแม่มดเพียงลำพัง

     

    ขุนนางผู้สูงอายุเป็นลมล้มพับไปอีกเป็นทิวแถว  อาการหืดหอบของพระราชาเริ่มจะกำเริบ  พระราชินีลูบหลังเปล่งเสียงเป็นจังหวะช่วยกำกับการหายใจ

     

    เห็นรึยัง เจ้าหญิงชี้หน้าแม่มด ปากเจ้าบอกว่าจะช่วยให้เจ้าหญิงและเจ้าชายได้สมหวังในความรัก ที่ไหนได้เจ้ากลับแย่งชิงความรักนั้นไปเสียเอง อา...ข้ายอมตายดีกว่ายอมถูกย่ำยีหัวใจเช่นนี้

     

    ขุนนางทุกคนที่ยังมีสติดีในบริเวณนั้นมองดูเจ้าหญิงด้วยความเวทนา  จากนั้นเปล่งเสียงขึ้นพร้อมกันว่า

    ฆ่าแม่มด!”

     

    ข้าขอโทษ  ข้าไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้แม่มดกล่าวอย่างรู้สึกผิด

     

    เจ้าไม่ผิดหรอก เจ้าชายเอ่ยขึ้น ข้าต่างหากที่ผิด  เพียงแต่เรื่องหัวใจมันบังคับไม่ได้  จะให้ข้าเลิกรักเจ้าและเปลี่ยนไปรักเจ้าหญิงข้าทำไม่ได้หรอก

     

    ก็เพราะท่านหลงมนตร์เสน่ห์ของมันยังไงล่ะเจ้าหญิงเค้นเสียงอย่างเจ็บปวด

     

    ท่านทำใจซะเถอะเจ้าหญิง  ถึงจะได้แต่งงานกัน แต่ถ้าไม่รักกันก็ต้องทนอยู่อย่างไม่มีความสุข

     

    ข้ารักท่านนะ!”เจ้าหญิงร้อง

     

    ท่านแน่ใจหรือว่าท่านรักข้าจริงเจ้าชายย้อนถาม ท่านเข้าใจแล้วหรือว่าความรักมันเป็นอย่างไร

     

    ข้าไม่เข้าใจ  ท่านเป็นเจ้าชายแต่ทำไมถึงไปรักกับแม่มด ถ้าไม่ใช่มนตร์เสน่ห์

     

    ข้าไม่เข้าใจว่า  ระหว่างเจ้าชายกับแม่มดทำไมจะรักกันไม่ได้เจ้าชายย้อนถามอีกครา

     

    พอ! พอได้แล้ว!”พระราชาเปล่งเสียงขึ้นอย่างเหลืออด นำตัวนางแม่มดไปขังไว้รอการตัดสิน  ส่วนลูกข้าให้พาไปสงบสติอารมณ์ภายในห้อง  ห้ามให้ออกมา

     

    สติข้ายังดีอยู่ท่านพ่อ!”

     

    จงทำตามที่ข้าสั่งจากนั้นพระราชาก็หันไปสั่งขุนพลคนสนิท จับตาดูเจ้าชายให้ดี  ถ้าไม่เชื่อฟังข้าจะสั่งฆ่านางแม่มด

     

    ขุนพลค้อมศีรษะรับคำสั่ง  เจ้าชายยอมให้ทหารพาตัวไปแต่โดยดี  ทั้งที่ในใจยังร้อนระอุอยู่  ก่อนจะออกจากท้องพระโรงไปเจ้าชายหันไปมองหน้าแม่มด  เธอมองตอบเช่นกัน  พยักหน้าน้อยๆเป็นสัญญาณว่า ทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×