คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2
บทที่ 2
รุ่งอรุณวันใหม่พระอาทิตย์ดวงแดงกลมโตปริ่มขอบฟ้า สวนหย่อมภายในปราสาทจำลองสภาพธรรมชาติออกมาได้อย่างน่ารื่นรมย์ เสียงนกขับขาน เสียงลำธารสายเล็กๆไหลเอื่อย เจ้าชายเตรียมสัมภาระอย่างลวกๆ และสวมชุดชาวบ้านธรรมดา เขาออกมาฝึกดาบไม้ตั้งแต่เช้า ขณะกวัดแกว่งก็จินตนาการว่ากำลังต่อสู้กับคู่ต่อสู้ เวลาผ่านไปสักพักคู่ต่อสู้ของเขาก็มาถึง
“นึกว่าท่านจะไม่กล้ามาเสียแล้ว”เจ้าชายพูดอย่างยิ้มแย้มโดยไม่หันไปมองบุคคลที่เพิ่งมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังของเขา
“ท่านเสียแรงฝึกซ้อมไปมากแล้ว พักเสียก่อนเถอะ”ขุนศึกแนะนำ
“ไม่ดีๆ”เจ้าชายส่ายหน้า “เดี๋ยวท่านจะหาว่าข้ารังแกคนแก่ผู้โรยแรง”
“ได้ข่าวว่าเจ้าชายจะออกเดินทางไปช่วยเจ้าหญิง ข้าขอแสดงความยินดี”ขุนศึกค้อมตัวลง
“ท่านขุนศึก ท่านช่วยอวยพรให้กับเราด้วย”เจ้าชายขอ
“อีกสามวันค่อยอวยพรไม่ดีกว่าหรือพะย่ะค่ะ”
“ช่างมันเถอะ”เจ้าชายยักไหล่
“เจ้าชาย ข้าเข้าใจความคิดของท่านดี”ขุนศึกยิ้มออกมาอย่างคนรู้ทัน “เพราะฉะนั้นวันนี้ข้าจะไม่ยอมให้ท่านผ่านออกไปเด็ดขาด”
ขุนศึกเงื้อดาบไม้รี่เข้าหาทันที กระหน่ำฟาดใส่อย่างหนักหน่วง เจ้าชายหันหลังกลับมากวัดแกว่งดาบป้องกันอย่างทุลักทุเล
“โอ๊ะ! เรี่ยวแรงผิดกับเมื่อวานลิบลับเลยนะท่านขุนศึก” เจ้าชายแซว
แต่ขณะที่ขุนศึกกำลังโหมกระหน่ำโจมตีอย่างดุดัน แทนที่เจ้าชายจะออกแรงต้านกลับโอนอ่อนไปตามแรง แรงที่ขุนศึกโจมตีถูกสลายไปกับการเบี่ยงเบนทิศทาง จากนั้นเจ้าชายก็ควงดาบเป็นวงกลม ดาบของขุนศึกราวกับว่าถูกดาบของเจ้าชายชักนำไป ขุนศึกจึงออกแรงกระชากดาบให้หลุดจากวงกลม เจ้าชายวกดาบไปดักแล้วสะบัดข้อมือ ดาบของขุนศึกจึงหลุดจากมือลอยละลิ่ว
“ข้าแพ้อีกแล้ว”ขุนพลพูดเสียงอ่อน
“เมื่อครู่ท่านใจร้อนจะพิชิตเราเกินไป”เจ้าชายวิจารณ์พร้อมกับรอยยิ้ม โยนดาบไม้ในมือทิ้ง
“ข้าห้ามท่านไม่ได้แล้วเจ้าชาย หลังจากที่ท่านออกจากกำแพงเมืองไปแล้วอาจจะต้องเจอกับภัยอันตรายนาๆชนิด ขอให้ท่านระวังตัวให้ดี”
“ได้ยอดขุนศึกอย่างท่านเป็นอาจารย์ ข้าไม่กลัวใครแล้ว”เจ้าชายพูดพลางเดินไปตบไหล่ขุนศึก
“ข้ารู้ว่าวิชาการต่อสู้ของท่านยากจะหาผู้ใดเทียบ แต่จุดอ่อนของคนเก่งก็คือความประมาท”
“เรื่องนี้คงต้องให้บาดแผลเป็นสิ่งสอนเราเอง”สายตาของเจ้าชายเหม่อมองไปยังภูเขาซึ่งเห็นอยู่ไกลลิบนอกกำแพงเมือง ถูกปกคลุมด้วยแมกไม้เขียวทั้งลูก
ยอดขุนผลส่งป้ายผ่านสะดวกให้ แล้วถามว่า
“ท่านรู้ทางไปปราสาทแม่มดหรือยัง”
“อืมม์ ข้าพอจะรู้มาจากเฒ่าเคราข้างอยู่บ้าง”เจ้าชายเอานิ้วลูบคางอย่างใช้ความคิด
“จะให้ข้าไปส่งไหม”ขุนพลถามด้วยความเป็นห่วง
“ขอบใจ แต่ไม่เป็นไร”
เจ้าชายผู้ซ่อนรูปอยู่ในรูปลักษณ์ของชาวบ้านธรรมดาควบม้าขาวคู่ใจเหยาะย่างออกสู่เบื้องนอกของกำแพงเมือง เข้าสู่ปราการธรรมชาติ ด้านนอกเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านที่ยึกอาชีพเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ ต้นข้าวออกรวงทอ
อร่ามชูสลอนเป็นทิวแถว เมื่อควบม้าเข้าสู่ป่า แสงแดดส่องสะท้อนใบไม้ที่แผ่ปกคลุมเบื้องบนเรืองแสงเป็นสีเขียวขจีอ่อนๆ เสียงจักจั่นเรไรไม่ขาดสาย แว่วเสียงน้ำไหลกระทบโตรกหินมาแต่ไกล เจ้าชายควบม้าไปหยุดพักตรงริมน้ำตก ปล่อยให้ม้าดื่มน้ำ เสียงน้ำใสไรรินกระทบหินระรื่นหูเจ้าชายยิ่งนัก
“นี่สิที่ข้าใฝ่ฝันมานาน”
เมื่อคนและม้าพักกันจนเต็มอิ่มก็ออกเดินทางต่อ พ้นออกจากป่ามาสู่ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มบนเนินเขา ลมธรรมชาติกรรโชกมาเป็นระยะๆทำให้ยอดหญ้าพลิ้วปลิวไสว ท้องฟ้าแจ่มใสแสงทองสาดส่องกำลังดี แต่เมื่อทอดตามองออกไปเบื้องหน้าก็พบกับเนินหินผาสีดำทะมึน ที่ตั้งอยู่บนยอดคือปราสาทหลังย่อมที่ดำทะมึนยิ่งกว่า เบื้องบนถูกปกคลุมด้วยกลุ่มเมฆสีดำผืนหนา ส่งสายฟ้าแลบแปลบปลาบลงมาเป็นระยะ
“เจ้ากระต่าย เจ้ามองเห็นข้างหน้านั่นไหม นั่นคือที่ๆเราจะต้องเข้าไป”
เจ้าม้าสีขาวที่ถูกตั้งชื่อว่า เจ้ากระต่ายส่งเสียงร้อง ฮี้ เจ้าชายหัวเราะพลางลูบหัวมันอย่างเอ็นดู เขาลงจากหลังม้าแล้วทิ้งตัวลงไปนอนบนผืนหญ้านุ่มๆ สูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด
“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไป เดินชมรอบๆก่อนแล้วค่อยเข้าไปก็ได้”เจ้าชายบอกกับตัวเอง
เขาปล่อยม้าให้เล็มหญ้า ส่วนตัวเองวิ่งไปสำรวจบริเวณหน้าผา พบว่ามีทางขึ้นทางเดียวคือถนนลาดชันทางด้านซ้ายมือ เขาค่อยๆเดินขึ้นจนมาถึงด้านบน ภาพของปราสาททมิฬในตำนานที่เล่าขานต่อกันมาปรากฏอยู่เบื้องหน้า มีรั้วหินสูงโอบล้อม ประตูหน้าเป็นรั้วทำจากเหล็กมีช่องแง้มไว้เล็กน้อยเหมือนเชื้อเชิญให้เข้าไปได้ตลอดเวลา หน้าประตูข้าวของตัวปราสาทเป็นสวนหย่อมขนาดย่อมที่ตายไปแล้ว ต้นไม้เหลือแต่กิ่งก้านเรียงตัวเป็นแถว ใบ้ไม้กรอบที่เกลื่อนกลาดตามพื้นปลิวไปตามแรงลมพัด มีม้านั่งตั้งไว้โดดเดี่ยวกลางสวน
“เดี๋ยวค่อยเข้าไปก็ได้”เจ้าชายบอกกับตัวเองเบาๆ เดินเลียบกำแพงอ้อมไปทางด้านหลังปราสาท เขาแปลกใจยิ่งนักที่ได้ยินเสียงนกร้องอย่างระรื่นหู มองขึ้นไปเหนือกำแพงเห็นยอดไม้แผ่กิ่งก่านใบดุดมสมบูรณ์ มีนกกลุ่มหนึ่งเกาะจับกลุ่มคุยกัน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเจ้าชายจึงกระโดดเอาเท้าถีบกำแพงส่งตัวขึ้นไปเกาะขอบ ออกแรงแขนดึงตัวขึ้นให้ระดับสายตาพ้นจากขอบกำแพง
เจ้าชายแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองกับภาพที่เห็น หญิงสาววัยกำดัดผู้หนึ่งกำลังหว่านอาหารนก นกพิราบสีดำเมื่อมฝูงเล็กๆบินลงมาจิกกิน เธอสวมชุดสีทึบหลวมๆ จมูกเรียวเล็ก ดวงตากลมโตเปล่งประกายสุกใสคล้ายมีกระจกเคลือบไว้อีกชั้นหนึ่ง ผิวขาวราวหิมะตัดกับชุดสีเข้มดึงดูดสายตาเจ้าชายได้ดีนัก แต่เสน่ห์ทั้งหมดยังไม่เทียบเท่าบุคลิกที่คงความเป็นเด็กของหล่อน หญิงสาวฮัมเพลงกล่อมเด็กให้หายกลัวเบาๆในลำคอ เธอหัวเราะกับอิริยาบถตลกๆของนกบางตัว และคอยห้ามในยามที่มันทะเลาะกัน
“ฮะ ฮะ น่ารักจัง” เจ้าชายเผลอพูดออกมาอย่างลืมตัว
“นั่นใครน่ะ”หญิงสาวหันขวับมามองตรงกับแพง เจ้าชายสะดุ้งเฮือกปล่อยตัวเองร่วงลงกระแทกกับพื้น จากนั้นเขาก็กระโดดเกาะกับแพงค่อยๆดึงตัวขึ้นให้ศีรษะโผล่พ้นขอบกำแพง
“สวัสดีแม่นาง ท่านไม่ต้องกลัวข้าหรอก”เจ้าชายทักทายพร้อมกับรอยยิ้ม
“ท่านเป็นใคร”เธอถามอย่างไม่ไว้ใจ
เจ้าชายแหงนหน้านึกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า
“ข้าเป็นคนเลี้ยงม้า เผอิญข้าเอาม้ามาเล็มหญ้าแถวนี้แล้วเห็นปราสาทหลังนี้แปลกดี จึงถือวิสาสะเข้ามาดู ขออภัยท่านด้วย”
“ท่านโหนตัวอยู่อย่างนั้นคงเมื่อยแย่”หญิงสาวค่อยยิ้มออกมา “เข้ามาข้างในก่อนได้ไหม”
เจ้าชายปีนข้ามกำแพงลงไป สองมือปัดฝุ่น
“เอาแอปเปิ้ลสักลูกไหม”
เจ้าชายพยักหน้าอย่างเงอะๆงะๆ หญิงสาวเดินไปเด็ดผลแอปเปิ้ลสีแดงระเรื่อออกมาจากขั้ว เจ้าชายมองแก้มสีขาวซีดของหญิงสาวพาลนึกอยากเห็นแก้มของหล่อนแดงระเรื่อเหมือนสีผลแอปเปิ้ลบ้าง เขารับผลแอปเปิ้ลมากัดกินทันที
“อืม..ม..”เจ้าชายครางพร้อมกับหลับตาพริ้ม อยู่ในปราสาทเขาไม่เคยได้ลิ้มรสผลไม้ที่ชุ่มฉ่ำขนาดนี้มาก่อน
“มันอร่อยถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”เธอหัวเราะคิกคัก เจ้าชายผงกศีรษะรัวๆพลางกัดกินไม่หยุด
“แต่ท่านไม่ควรแอบเข้ามาโดยพลการ” หญิงสาวมีทีท่าจริงจังขึ้นในทันที “ปราสาทนี้มีอันตรายอยู่มาก ท่านอาจจะโดยลูกหลงได้”
“ขอบคุณที่เป็นห่วง”เจ้าชายพูดในขณะที่ปากยังเคี้ยวตุ้ยๆ “แต่ท่านไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงคนต่ำต้อยอย่างข้าหรอก”
“ข้าไม่ชอบคำพูดของท่านเลย” หญิงสาวเชิดคางขึ้น “ชีวิตท่านย่อมมีคนที่ท่านรักและคนที่รักท่านรออยู่”
เจ้าชายกลืนแอปเปิ้ลลงไปแล้วพูดว่า “ท่านคงจะให้ความสำคัญกับความรักมากสินะ”
“ที่ท่านพูดก็ถูก”หญิงสาวเผยยิ้ม “ความรักจะช่วยเติมเต็มชีวิตที่ไร้ความหมายให้มีคุณค่ามากขึ้น”
“ท่านคงมีคนรักแล้วสินะ”เจ้าชายถาม พยายามตีสีหน้าเรียบเฉย
“ขะ...ข้า..ม..ม.ไม่มีหรอก”หญิงสาวพูดตะกุกตะกัก ตาหรุบต่ำลง สองมือบิดไปมาอย่างอยู่ไม่สุข แก้มค่อยๆแดงระเรื่อ เจ้าชายรู้สึกหวิวหัวใจวาบ
“โกหกหรือเปล่า ดูเหมือนท่านจะรู้จักกับความรักดีนี่”
“ไม่ใช่ๆ”หญิงสาวส่ายมือทั้งสองข้างรัวๆ “พอข้าได้เห็นความรักของคนอื่นข้าก็มีความสุขไปด้วย”
“ความรักจากอัศวินม้าขาวสินะ”เจ้าชายถามหยั่งเชิง
“อื้อ ใช่”หญิงสาวประสานมือกลางอก แหงนหน้ามองขึ้นฟ้า รอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้าคล้ายรอยยิ้มของเด็กที่มีความใฝ่ฝัน เจ้าชายชมดูภาพเบื้องหน้าจนหัวใจแทบละลาย
“ท่านเตรียมตัวให้พร้อมเถอะ”เจ้าชายพูด “อัศวินม้าขาวจะมาในเร็วไว”
“เอ...ท่านหมายความว่าอย่างไร”
หญิงสาวยังไม่ทันได้คำตอบ เจ้าชายก็ปีนกำแพงออกไปเสียแล้ว
เขาวิ่งวกกลับไปยังด้านหน้าของปราสาท ทันใดนั้นเขาก็พบกับเจ้าชายต่างเมืองซึ่งยืนชั่งใจรออยู่หน้าประตูรั้ว ผมสีทองมันวับเรียบแปล้หวีไปทางเดียวกัน ใบหน้าสำอางหล่อเหลา เรือนร่างสะโอดสะองประดับด้วยชุดเกราะเบาอันหรูหรา
“นี่แน่ะเจ้าชาวบ้าน”เจ้าชายต่างเมืองร้องเรียก “เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร”
“แล้วเจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร” เจ้าชายที่ซ่อนร่างอยู่ในรูปลักษณ์ชาวบ้านถามกลับ
“เจ้าเป็นแค่ชาวบ้านอย่าบังอาจมาเล่นลิ้นกับเจ้าชายอย่างข้า เจ้าจงมาเดินนำหน้าข้าเข้าไปเสียดีๆ”เจ้าชายต่างเมืองสั่ง
“อ้าว! อย่างนี้ข้าก็ตายก่อนท่านน่ะสิ”
“ข้าเป็นถึงเจ้าชาย ชีวิตย่อมมีค่ามากกว่าชาวบ้านอย่างเจ้ามากนัก”
“จะให้ข้าเสี่ยงชีวิตให้ท่านก็ย่อมได้ แต่ที่บ้านข้าก็มีคนที่ข้ารัก และคนที่รักข้าอยู่”เจ้าชายพูดอย่างคนใช้ความคิด
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”เจ้าชายต่างเมืองขมวดคิ้ว
“ข้าต้องการค่าตอบแทน”เจ้าชายพูดพลางบิดไปมาอย่างเคอะเขิน
“ฮ่าฮ่า”เจ้าชายต่างเมืองหัวเราะ “ข้าตอบแทนเจ้าไม่อั้นแน่ๆ”
“ข้าไม่ต้องการอะไรมาก ขอแค่เจ้าหญิงคนเดียวก็พอแล้ว”เจ้าชายพูดจบก็แหงนหน้าหัวเราะ
“สามหาวนัก!”เจ้าชายต่างเมืองตวาด ชักดาบที่คมมันแวววับ ตัวด้ามประดับด้วยพลอยเจ็ดสีเม็ดเท่ากำมือ พาดคมดาบกับต้นคอเจ้าชาย
“ดูจากดาบก็รู้แล้วว่าท่านสู้ข้าไม่ได้หรอก”เจ้าชายกล่าวพลางยิ้มอย่างปลอดโปร่ง
“ชักดาบของเจ้ามาสู้กับข้าสิ”เจ้าชายต่างเมืองท้า
“สู้กับคนฝีมือระดับเจ้าไม่ต้องใช้ดาบหรอก”
เจ้าชายต่างเมืองกู่ร้องเงื้อดาบฟัน เจ้าชายฉากหลบไปข้างหลัง สับขาหลอกไปทางซ้าย เจ้าชายต่างเมืองฟันดาบตามไปอย่างหลงกล เจ้าชายคว้ามือกระชากฝักดาบจากหว่างเอวของเจ้าชายต่างเมืองติดมือมา จากนั้นกระแทกสันฝักดาบเข้าที่ปลายจมูกของเจ้าชายต่างเมืองอย่างรวดเร็ว เจ้าชายต่างเมืองไม่ว่องไวพอที่จะปิดป้องหรือหลบได้ทัน
“โอ๊ย! จมูกข้า”เจ้าชายต่างเมืองเอามือกุมจมูกที่นองเลือด น้ำตาไหลพรากอาบสองโหนกแก้ม
“ถ้าเป็นยามปรกติข้าคงยกเจ้าหญิงให้เจ้าไปแล้ว เพียงแต่นางคนนี้ถูกใจข้ามากจริงๆ ข้าไม่มีทางยกให้ใครหรอก เจ้ากลับบ้านไปเถอะ”
เจ้าชายต่างเมืองเดินไปขึ้นอาชาพ่วงพีตัวสีเงิน ขับควบกลับดินแดนของตนด้วยความเจ็บอาย เจ้าชายเป้าปากวี้ดวิ้ว! เจ้าม้าขาวห้อตะบึงมาแต่ไกลอย่างคึกคะนอง เพียงชั่วพริบตาเดียวก็มาถึง เจ้าชายขึ้นนั่งบนอาน ชูดาบกวาดแกว่งเป็นวงเหนือศีรษะ เจ้าม้าขาวชูสองขาหน้าขึ้นพร้อมกับร้องฮี้!
“เตรียมตัวเตรียมหัวใจไว้ให้พร้อมเถอะเจ้าหญิง อัศวินม้าขาวคนนี้กำลังจะไปช่วยแล้ว...แต่เอ..เอาเจ้ากระต่ายเข้าไปด้วยสงสัยจะไม่สะดวก”
เจ้าชายลงจากหลังม้า เปิดประตูรั้วเหล็กอย่างช้าๆส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดแสบแก้วหู จากนั้นจึงก้าวเดินเข้าไป ทันทีที่ฝีเท้าก้าวแรกล่วงล้ำเข้ามา อีกาสีดำก็พากันบินพรึ่บขึ้นจากกิ่งต้นไม้ที่ไร้ใบ ส่งเสียงร้องคล้ายกับเสียงหัวเราะอันชั่วร้าย
“น่ากลัวดี”เจ้าชายยักไหล่ เดินเข้าไปผลักประตูปราสาทซึ้งทำจากไม้แผ่นหนา ประตูค่อยๆเลื่อนเปิดออก บรรยากาศภายในสลัวอึมครึม มีคบไปติดตามผนังเป็นระยะๆ ทันทีที่ก้าวเข้ามา ประตูก็เลื่อนปิดไล่หลังเองโดยอัตโนมัติ เสียงสายลมพักโกรกดังหวีดหวิว ระคนด้วยเสียงคราง ฮืมๆ ดังมาจากห้องข้างหน้านี้
“ข้างหน้าจะมีอะไรรออยู่นะ”
เจ้าชายเดินต่อไปข้างหน้า มีบางจังหวะที่เท้าเหยียบเศษอะไรบางอย่างที่พื้นแตกดังเปรี๊ยะปร๊ะ! เขาไม่แน่ใจว่าเป็นเศษหินหรือเศษโครงกระดูก ยิ่งเดินต่อไปข้างหน้าเสียงครางต่ำๆก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เบื้องหน้าเขาคือประตูไม้สองฝาบานหนึ่ง เสียงครางต่ำๆดังมาจากหลังประตูบานนี้นี่เอง เจ้าออกแรงแขนทั้งซ้ายและขวาผลักประตูทั้งสองข้าง ประตูเคลื่อนได้อย่างลื่นไหล แต่ที่บานพับกลับส่งเสียงฝืดโหยหวน แสงสว่างจ้าส่องผ่านช่องประตูเข้ามา เจ้าชายรู้แล้วว่าเจ้าของเสียงครางต่ำๆนั้นคือตัวอะไร
มันกำลังแยกเขี้ยวขู่ เกล็ดตามลำตัวสีม่วงมันเลื่อม หงอนแผงยาวพาดตั้งแต่หัวจรดต้นคอของมันตั้งแข็งชูชัน เจ้าชายค่อยๆสืบเท้าเข้าไปใกล้ทีละนิด มันโก่งคอก้มหัวต่ำพินิจมองเจ้าชาย เจ้าชายเอื้อมมือเข้าไปจะลูบหัวมันแต่ทันใดนั้นมันกลับอ้าปากคำราม พลังเสียงและพลังลมส่งผลให้เจ้าชายเซถลาไปข้างหลัง
“กลิ่นปากเจ้าไม่พึงประสงค์เอาเสียเลย..เหวอ!”เจ้าชายรีบกระโดดพุ่งตัวหลบไปด้านข้าง เปลวไฟจากปากมังกรแผดเผาผนังแทนที่จะเป็นตัวเขา
“เจ้านี่เล่นแรงดีแท้” พูดจบเจ้าชายก็ต้องรีบกลิ้งตัวหลบผ่านใต้ท้องมังกรที่บินพุ่งเข้าชนใส่ผนังจนปราสาทสะเทือนไปทั้งหลัง เจ้าชายอาศัยจังหวะที่เจ้ามังกรกำลังสั่นศีรษะสลัดความมึนวิ่งขึ้นบันไดเวียนซึ่งวนเลียบกำแพงไปมาสี่ห้าชั้น วิ่งขึ้นมาได้รอบหนึ่งเจ้ามังกรก็บินตามขึ้นมาเสียแล้ว เจ้าชายรู้ดีว่าวิ่งต่อไปคงหนีไม่ทัน
“ย้าก!”เจ้าชายตัดสินใจกระโดดลงบนหลังมังกร เจ้ามังกรทำตาโตร้องอุ๊! คงเพราะคาดไม่ถึง มันบินขึ้นด้วยความเร็วมากกว่าเดิมเกือบเท่าตัวพลางสลัดหลังไปมา เจ้าชายจับหงอนของมันไว้แน่น งอเข่าสองข้างรอจังหวะเพื่อจะกระโดดเมื่อถึงชั้นบนสุด พอหลังมังกรเลยชั้นบนสุดไม่ทันไรเจ้าชายก็กระโดดออกไปทันที ม้วนตัวกลิ้งไปกับพื้นเพื่อลดการกระแทก มังกรฟาดหางเฉี่ยวศีรษะเจ้าชายใส่ผนังอิฐแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เจ้าชายรีบวิ่งเข้าประตูไปก่อนที่มันจะพ่นไฟไล่หลังมา
“สนุกจริงๆ”เจ้าชายปัดฝุ่นที่สองมือ จากนั้นคลำไหลขวาที่บาดเจ็บเล็กน้อยจากการกระแทกเมื่อครู่
ในห้องที่เข้ามานั้นรอบข้างขึงด้วยม่านสีแดงเต็มพรืดไปหมด เสียงหัวเราะแหลมเล็กบาดหูดังขึ้น เจ้าชายมองเห็นเงาตะคุ่มๆของร่างที่หลังงองุ้มยืนอยู่เบื้องหน้า ไม้เท้าข้างหนึ่งค้ำพยุงกาย ส่วนศีรษะคล้ายกับสวมฮู้ดอยู่
“เจ้าเก่งมากที่ผ่านมังกรของข้ามาได้”น้ำเสียงแหบและสั่นเครือดังขึ้น
“มังกรของท่านยังอ่อนหัดนัก ต้องฝึกอีกเยอะ”เจ้าชายยักไหล่
แม่มดเปล่งเสียงหัวเราะลั่น เจ้าชายก็หัวเราะขึ้นบ้าง
“เจ้าหัวเราะอะไร”แม่มดถาม
“ข้าหัวเราะที่อยู่ดีๆท่านก็หัวเราะอย่างไม่มีเหตุผล”เจ้าชายตอบ
แม่มดหัวเราะอีกครั้งแล้วตอบว่า
“ข้าหัวเราะเพื่อระบายความชั่วร้ายของข้าต่างหาก”
“ท่านเสียงแหบไปหน่อยแต่ตอบได้ฉะฉานและมีไหวพริบดี สนใจไปเป็นขุนนางเมืองข้าไหมล่ะ”
“เจ้าคิดจะช่วยเจ้าหญิงหรือไม่”แม่มดเปลี่ยนเรื่อง “ถ้าอยากช่วยก็ต้องสู้กับข้าให้ชนะ”
“ตอนนี้เจ้าหญิงอยู่ที่ไหน”
“อยู่ห้องข้างหลังข้านี่แหละ กำลังหลับอยู่”แม่มดตอบ
“ถ้าอย่างนั้นยังไม่สู้ดีกว่า”เจ้าชายโบกมือ “รอให้เจ้าหญิงตื่นแล้วค่อยสู้ก็แล้วกัน ข้าอยากอวดฝีมือต่อหน้านางน่ะ”
“เจ้านี่เป็นเจ้าชายที่แปลกเอาการอยู่นา”แม่มดเกาศีรษะแกรกๆ “ดูเจ้าไม่กระตือรือร้นที่จะช่วยเจ้าหญิงเลย”
“ข้าก็แปลกใจเช่นกัน”เจ้าชายกล่าว “เมื่อครู่ข้ายังเห็นเจ้าหญิงอวดโฉมอยู่ข้างล่างอยู่เลย”
“หา!” แม่มดอุทานอย่างประหลาดใจ “เป็นไปไม่ได้ เจ้าหญิงไม่มีทางผ่านด่านของข้าออกไปได้หรอก”
“ช่างเถอะๆ”เจ้าชายบอกปัด “ข้อขอนอนงีบเอาแรงสักครู่ รอเจ้าหญิงตื่นก่อนแล้วข้าจะสู้กับท่าน”
“เจ้าหญิงกำลังรอการจุมพิตจากเจ้าอยู่ ถ้าขืนชักช้านางอาจจะต้องหลับใหลไปตลอดกาล”แม่มดขู่
“ถ้าเช่นนั้นเรามาสู้กันตอนนี้เลยดีกว่า”เจ้าชายพูดพลางชักดาบออกจากฝัก เดินตรงเข้าไปหาแม่มด
แม่มดหัวเราะเสียงแหลมเดินถอยหลังผ่านประตูเข้าไป เจ้าชายเดินตามออกไปสู่อีกห้องหนึ่ง ผนังประดับด้วยภาพวาดสีน้ำมัน ตู้หนังสือโบราณอยู่ที่มุมห้อง ชุดเกราะอัศวินยืนประจำเป็นจุดๆ แม่มดสวมเสื้อคลุมสีดำล้วนพร้อมฮู้ดคลุมศีรษะ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นจนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นใบหน้าของคนจริงๆ ที่ส่วนหัวของไม้เท้ามีลูกแก้วสีแดงเรืองแสง เจ้าชายสังเกตเห็นประตูไม้ขัดมันเงางามประดับด้วยผ้าม่านสีชมพูที่จีบเป็นรอยกลีบกุหลาบ เจ้าชายคาดว่าน่าจะเป็นห้องที่เจ้าหญิงนอนอยู่ เจ้าชายเงื้อดาบโจมตีเพื่อหยั่งเชิง แม่มดกวัดแกว่งไม้เท้าโต้ตอบ แสงสีแดงวูบวาบฉวัดเฉวียน เจ้าชายร่ายรำดาบไปมาอย่างสบายอารมณ์คล้ายกับหยอกเล่นกับเด็กอยู่ก็ไม่ปาน
“มีแรงแค่นี้รึ”แม่มดถอยกรูดไปข้างหลัง ชี้หัวไม้เท้าไปยังเจ้าชาย ลำแสงสีแดงพุ่งออกมาจากลูกแก้ว เจ้าชายพลิกข้อมือเอาหน้ากว้างของดาบป้องกันไว้แต่ก็มิวายถูกแรงอัดจนร่างลอยละลิ่วปลิวไปข้างหลัง
“เจ้าเป็นเจ้าชายที่แย่มาก” แม่มดตำหนิ “เจ้ามาเพื่อช่วยคู่ชีวิตของเจ้าแต่เจ้ากลับไม่จริงจังแม้แต่น้อย มันแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่เห็นคุณค่าของความรัก ข้าปล่อยให้เจ้าหญิงไปกับคนแบบนี้ไม่ได้หรอก”
คำพูดของแม่มดคล้ายคมมีดกรีดแทงใจดำ เจ้าชายกระชับด้ามดาบในอุ้งมือ ชันกายลุกขึ้น
“ข้าจะเอาจริงล่ะนะ”เจ้าชายเตือนก่อนที่จะวิ่งตรงเข้าไปเงื้อดาบฟันใส่
แม่มดอุทานอย่างประหลาดใจ แกว่งไม้เท้าต้านทานได้ทันท่วงทีแต่ก็ถูกแรงปะทะอันหนักหน่วงผลักให้เซไปข้างหลัง เจ้าชายยังคงฟาดฟันอย่างต่อเนื่อง แม่มดต้านทานไม่ไหวถูกคมดาบกระแทกไม้เท้ากระเด็นหลุดมือ เจ้าชายเอาไหล่ชนแม่มดจนล้มลง
“ข้าไม่อยากทำร้ายคนแก่”เจ้าชายส่งยิ้มพร้อมกับยักคิ้วให้
เจ้าชายเดินตรงไปที่ประตูไม้ผ้าม่านจีบ แม่มดเรียกไม้เท้าลอยกลับมาอยู่ในอุ้งมือ ชี้หัวไม้เท้าไปยังชุดเกราะอัศวินที่ยืนอยู่ข้างประตูสองตัว ภายใต้หน้ากากหมวกเหล็กปรากฏแสงสีแดงระเรื่อ ชุดเกราะอัศวินพลันมีชีวิตขึ้นมา
เคร้ง! เคร้ง!
เจ้าชายปะทะดาบกับพวกมันสองตัว พวกมันเชื่องช้าทึ่มทื่อแต่โจมตีหนักหน่วงและทนทายาด เขาต้องรับดับของอัศวินตัวหนึ่งในขณะเดียวกันก็ต้องเบี่ยงตัวหลบดาบของอีกตัวหนึ่ง เจ้าชายฟันถูกตัวมันสี่ถึงห้าครั้งจนเกราะเหล็กบุบและมีรอยโหว่แต่ก็ยังล้มไม่ได้ ขณะนั้นมีลำแสงสีแดงพุ่งวาบมาจากข้างหลัง เจ้าชายก้มตัวลง ลำแสงพลาดจากเจ้าชายไปถูกอัศวินตัวหนึ่งแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อีกตัวหนึ่งเงื้อดาบจะฟันลงมาใส่เจ้าชาย เขารีบแทงดาบเข้าที่รอยต่อบริเวณคอ จากนั้นตวัดดาบไปด้านข้างทำให้หมวกเหล็กของอัศวินกระเด็นออกจากส่วนลำตัว ร่างของมันร่วงผล็อยลงไปกองเป็นกองเหล็กอยู่กับพื้น แม่มดกรีดร้องเสียงแหลมลั่นชี้ไม้เท้ายิงลำแสงใส่ไม่ยั้ง เจ้าชายวิ่งพลางหลบไปมา สร้างความเสียหายให้กับผนัง เครื่องใช้ และเครื่องตกแต่งของแม่มดเป็นอย่างมาก แม่มดทิ้งไม้เท้าลงเอามือกุมขมับ กรีดร้องระบายความเครียด เจ้าชายรีบฉวยโอกาสเปิดประตูไม้ผ้าม่านจีบกลีบเข้าไป
กลิ่นอายของสตรีโชยเตะจมูกในทันทีทันใด เจ้าชายไม่มัวรีรอสงสัยรีบตรงเข้าไปที่เตียงนอน โน้มศีรษะลงจุมพิตทันทีโดยไม่ต้องคิด หญิงสาวลืมตาขึ้นมาแทบจะทันที โผร่างขึ้นสวมกอดอัศวินม้าขาวเบื้องหน้า
“ขอบคุณสวรรค์ ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว”
เจ้าชายอุทานอย่างประหลาดใจ จับไหล่ดึงตัวหญิงสาวออกห่างเพื่อพินิจดูหน้าค่าตาของนาง ผมสีทองเงางามยาวและนุ่มสลวย ใบหน้าขาวเนียนเกลี้ยงเกลาราวกับเนื้อแอปเปิ้ล ส่วนสองแก้มที่แดงระเรื่อนั้นก็คล้ายกับผิวแอปเปิ้ลที่บางเบา ดวงตาคลอด้วยม่านน้ำตาสุกใสผืนบางๆที่รินหล่อเลี้ยงอยู่ช่างดูหวานซึ้งดื่มด่ำยิ่งนัก จมูกเป็นสันโด่งคล้ายยอดเขาที่ชายทั้งหลายหมายพิชิต รูปร่างอ้อนแอ้นแบบบางที่บิดไปมา กับดวงตาที่พริ้มลงแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังเรียกร้องไออุ่นจากอ้อมกอด
เจ้าชายรู้สึกผิดหวังในทันที
“ท่านคือเจ้าหญิง?”เจ้าชายถาม
“อืมม์”เจ้าหญิงครางตอบเบาๆอย่างเหนื่อยอ่อน
“ในปราสาทมีท่านโดนจับคนเดียวเหรอ มีใครโดนจับอีกไหม”เจ้าชายถามอย่างร้อนรุ่ม
“มันก็ต้องมีข้าคนเดียวสิ”เจ้าหญิงตอบเสียงแผ่ว
เจ้าชายนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะฉุดดึงข้อมือเจ้าหญิงให้ลุกขึ้นมาจากเตียง
“เจ้าหญิง เรารีบไปกันดีกว่า”
“โอย..ข้าอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปหมด เดินไม่ไหวหรอก”
เจ้าชายร่างเจ้าหญิงขึ้นแบกพาดบ่า เธอหัวเราะคิกคักด้วยความขวยเขิน เจ้าชายเดินไปถีบประตูไม้ผางออก อัศวินเกราะเหล็กสี่ตัวยืนประจันบาญรออยู่แล้ว ข้างหลังยืนไว้ด้วยแม่มดที่กำลังกรีดเสียงหัวเราะ
“ดูซิว่าเจ้าจะผ่านไปได้อย่างไร” แม่มดพูดพลางผายมือทั้งสองข้าง
“อยากดูก็จงดูให้เต็มตา”เจ้าชายกวัดแกว่งดาบเดินจ้ำพรวดเข้าไปหา
“เดี๋ยวๆ ปล่อยข้าลงก่อน”เจ้าหญิงพูดพลางเบิกตาโต พยายามเตะขาไปมาให้หลุดรอดจากอ้อมแขนที่ล็อคเธอไว้กับบ่าของเขา เจ้าหญิงกรีดร้องลั่นเมื่อสองฝ่ายเริ่มปะทะดาบกัน หุ่นอัศวินตีวงล้อมเจ้าชาย
“เจ้าโง่! ทำไมเจ้าไม่วางเจ้าหญิงลงก่อน!”แม่มดตะโกนบอกด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความวิตกกังวล
เจ้าชายไม่ฟัง ปะทะดาบกับหุ่นอัศวินเหล่านั้นต่อ เบี่ยงตัวหลบเป็นบางครั้ง คมดาบเฉี่ยวร่างเจ้าหญิงไปมา เจ้าหญิงร้องกรี๊ดสุดเสียงจนเจ้าชายหูอื้อตาลายไปหมด วงล้อมของหุ่นอัศวินบีบแคบเข้ามา เจ้าชายหมุนตัวเหวี่ยงเท้าเจ้าหญิงเตะใส่หัวของพวกมันทั้งสี่จนหมวกเหล็กทั้งสี่ใบกระเด็นตกลงพื้น พออัศวินสี่ตัวกลายเป็นกองเศษเหล็ก เจ้าชายก็วางร่างเจ้าหญิงลง
“โอย”เจ้าหญิงโอดครวญพลางเอามือกุมที่ข้อเท้า
“อย่าหนีนะ!”เจ้าชายตะโกนพลางวิ่งตามหลังแม่มดที่เพิ่งวิ่งออกประตูไป เอามือแหวกฝ่าม่านสีแดงหลายชั้นให้พ้นทาง เมื่อออกมาสู่ห้องบันไดเวียนก็พบว่าแม่มดอยู่บนหลังของมังกรเรียบร้อยแล้ว เพดานหินอ่อนเบื้องบนถูกเปิดออกเป็นช่องเห็นท้องฟ้า เจ้ามังกรกระพือปีกค่อยๆบินสูงขึ้นเรื่อยๆ แยกเขี้ยวส่งยิ้มอย่างท้าทายให้กับเจ้าชาย แม่มดหัวเราะเคี้ยกๆ
“วันนี้ข้าสู้เจ้าไม่ได้ ฝากไว้ก่อนก็แล้วกัน”แม่มดพูดพลางโบกมืออำลา
“เจ้ายังไปไม่ได้ เจ้าต้องบอกมาก่อนว่าเอาเจ้าหญิงอีกคนไปซ่อนไว้ที่ไหน”
“เจ้าหญิงอีกคน?”แม่มดทวนคำอย่างงุนงง
เจ้าชายก้าวกระโดดลอยตัวขึ้นไป เอื้อมมือจะคว้าจับอุ้งเท้ามังกร ทว่ามือของเขากลับคว้าถูกอากาศธาตุ
“อันตราย!!”แม่มดกรีดร้องเสียงหลง
ทว่าเสียงที่เขาได้ยินกลับเป็นเสียงของสาวแรกรุ่น เหตุการณ์ในขณะที่ร่างอยู่กลางอากาศผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของเจ้าชาย เขามองดูแม่มดผู้นั้นอีกครั้ง ฮู้ดคลุมศีรษะถูเปิดไปข้างหลังเผยให้เห็นผมยาวสีดำเงางามแผ่สยายปลิวไสว หน้ากากถูกถอดออกเผยให้เห็นโฉมงามที่ตอนนี้เปี่ยมด้วยความกังวล
โฉมเดียวกันกับที่เขาพบในสวนหลังปราสาท
เขาส่งยิ้มให้หล่อน ลืมเสียสนิทว่าตนเองกำลังจะดิ่งลงไปสู่ความตาย แม่มดชี้หัวไม้เท้าออกมาข้างหน้า ลำแสงสีแดงพุ่งไปยังขั้นบันไดเวียน ฉับพลันทันใดขั้นบันไดหินแข็งกร้าวกลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นพรมสีแดงรองรับร่างของเจ้าชายได้อย่างทันท่วงที แม่มดถอนหายใจอย่างโล่งอก อิริยาบถนี้ของเธอคงฝังใจเจ้าชายไม่มีวันจาง เขามองดูเธอสูงห่างออกไปเรื่อยๆจนลับสายตา รู้สึกตัวอีกทีก็ไถลมากับพรมจนมาถึงชั้นล่างสุดแล้ว ผืนพรมสีแดงกลับกลายเป็นบันไดหินสีเทาซีดเช่นเก่า
“ท่านสบายดีไหม”เจ้าหญิงชะโงกหัวลงมาจากชั้นบนสุดตะโกนถาม
“แค่ตกบันไดน่ะ ไม่เป็นไรหรอก”เจ้าชายตะโกนตอบ
“โอ! ข้าเป็นห่วงท่านมาก ข้าอยากวิ่งลงไปหาท่านแต่ขาข้าเจ็บเหลือเกิน”
เจ้าชายถอนหายใจแล้วตะโกนตอบไปว่า “เดี๋ยวข้าจะไปอุ้มท่านลงมาเอง”
เมื่อมาถึงหน้าประสาท กว่าจะจัดแจงให้เจ้าหญิงนั่งบนอานม้าได้นั้นเจ้าชายรู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าการผจญภัยทั้งปวงที่ผ่านมาเสียอีก เจ้าหญิงหัวเราะคิกคัก เท้าคางมองหน้าอัศวินม้าขาวอย่างชื่นชม เขาเงยหน้าจากม้าขาวแล้วกล่าวว่า
“ม้าตัวนี้แสนรู้มาก ภายในครึ่งวันมันจะพาท่านไปถึงเมืองของข้า ขบวนต้อนรับสมเกียรตินั้นเอาไว้ค่อยจัดวันหลังก็ได้”
รอยยิ้มของเจ้าหญิงเหือดหายไปในทันที “ท่านไม่ไปด้วย?”
“ข้ามีธุระต้องทำ เดี๋ยวข้าจะตามไปทีหลัง”
“ไม่...”ไม่ทันที่เจ้าหญิงจะคัดค้านมากไปกว่านี้ เจ้าชายเอามือตบตะโพกเจ้ากระต่าย ม้าขาวจอมคะนองวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วราวลูกธนูหลุดจากแหล่ง
“ดูแลเจ้าหญิงให้ดีๆล่ะเจ้ากระต่าย”เจ้าชายตะโกนไล่หลัง เจ้ากระต่ายร้องฮี้ตอบ เขาแหงนหน้ามองเบื้องบน พบว่าม่านราตรีเริ่มครอบคลุมฟ้าเสียแล้ว
ดวงจันทร์กลมโตกระจ่างกลางฟ้า ผืนเมฆสีเทาทึบคอยบดบังเป็นระยะ เหนือปราสาทถูกบดบังแสงจันทร์ด้วยเงาจากร่างใหญ่ยักษ์ของเจ้ามังกร มันค่อยๆกระพือปีกบินลงมาอย่างช้าๆจนถึงห้องบันไดเวียนชั้นล่างสุด แม่มดกระโดดลงจากหลังมังกรเดินไปสาวโซ่ที่ซ่อนอยู่หลังขั้นบันไดออกมา หลังคาปราสาทค่อยๆเลื่อนปิดอย่างช้าๆ จากนั้นก็เดินกลับไปลูบหัวเจ้ามังกร เจ้ามังกรพริ้มตาอย่างมีความสุข ตวัดลิ้นเลียตอบจนเธอจั๊กจี้หัวเราะคิกคัก
“พรุ่งนี้เช้าก็ออกไปเที่ยวได้แล้วล่ะ แต่ต้องกลับมาภายในสามวันนะ”
เจ้ามังกรผงกศีรษะราวกับเข้าใจในสิ่งที่แม่มดพูด แม่มดยิ้มอย่างเอ็นดู มันแยกเขี้ยวยิงฟันตอบทำเอาแม่มดหัวร่องอหาย
“ได้เวลาเข้านอนแล้ว เดี๋ยวข้าจะเล่านิทานก่อนนอนให้ฟังนะ”
แม่มดเดินขึ้นมาถึงชั้นบนสุด ผ่านห้องผ้าม่านสีแดง เสกผ้าม่านเหล่านั้นให้กลายเป็นผ้าปูที่นอนสีน้ำทะเล ร่อนลงมาห่มคลุมร่างของเจ้ามังกร จากนั้นเธอก็เดินผ่านเข้าไปในห้องนั่งเล่น
“เอ๊ะ!”แม่มดอุทานอย่างประหลาดใจระคนตกใจ
“หนังสือพวกนี้สนุกดี”เจ้าชายชูหนังสือเล่มหนาๆในมือ ซึ่งแต่เดิมมันเคยวางอยู่บนชั้นหนังสือมุมห้อง “ที่บ้านข้าหาหนังสือพวกนี้อ่านไม่ได้เลย”
“แล้วเจ้าหญิงล่ะ?”แม่มดถาม
“เจ้าหญิงทิ้งข้าไปแล้ว”
“ทำไมล่ะ!”แม่มดโพล่งออกมา “แต่ไหนแต่ไรเจ้าชายกับเจ้าหญิงก็ต้องลงเอยกันด้วยดีไม่ใช่หรือ”
เจ้าชายได้แต่ยิ้มและยักไหล่
“ข้าไม่เข้าใจเลย”คิ้วของแม่มดเกิดปมขมวดมุ่น
“ข้าเองไม่เข้าใจเหมือนกัน ท่านเป็นแม่มดแท้ๆแต่ทำไมต้องเป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องความรักระหว่างเจ้าหญิงกับเจ้าชายด้วย”เจ้าชายถามกลับ
“ข้าแค่อยากเห็นคู่รักได้สมปรารถนาเท่านั้นเอง” แม่มดตอบอ้อมแอ้ม
“ข้าว่าท่านคงอ่านนิทานปรัมปราเหล่านี้มากเกินไป”เจ้าชายชูหนังสือในมืออีกครา “มีแต่เรื่องเจ้าชายฝ่าฟันอุปสรรคไปช่วยคู่รัก แล้วก็ลงเอยด้วยกันอย่างมีความสุข”
“ข้าเป็นแม่มดนะ เจ้าไม่กลัวเหรอ”แม่มดปั้นสีหน้าขู่
“น่ารักล่ะไม่ว่า... ข้าควรจะเป็นคนถามท่านมากกว่าว่า กลัวข้ารึเปล่า”เจ้าชายกล่าวจบวางหนังสือลง ก้าวย่างไปหาแม่มดอย่างช้าๆพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม แม่มดเริ่มมีท่าทีเงอะงะลนลาน
“เจ้าจะทำอะไร?”แม่มดถามอย่างหวั่นๆ เจ้าชายยังคงเดินเข้าไปหา กางแขนเล็กน้อยเหมือนจะสวมกอด
“อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้นะ”แม่มดชี้หัวไม่เท้าไปข้างหน้า แต่ลำแสงสีแดงกลับไม่ยอมพุ่งออกมา
“โธ่!”เสียงของแม่มดสั่นเครือ ลักษณะท่าทางราวกับเด็กกำลังจะร้องไห้
“ฮ่ะๆๆ ที่แท้แม่มดอย่างเจ้าเวลากลัวก็ไม่ต่างจากเด็กน้อยเลย”เจ้าชายพูดพลางหัวเราะชอบอกชอบใจ ขยับกายถอยห่างออกมาเล็กน้อย
“ข..ข้าเปล่านะ ท่านต่างหากที่แกล้งข้า”แม่มดพูดพลางหลบตาไปที่อื่น
“เจ้าน่ารักเหลือเกิน ข้าแอบเฝ้าดูตั้งแต่ตอนที่เจ้าให้อาหารนกที่สวนหลังปราสาทแล้ว ข้าเข้าใจผิดว่าเจ้าเป็นเจ้าหญิงเลยรีบบุกเข้ามาช่วย ที่ไหนได้เจ้ากลับเป็นแม่มดเสียนี่”
“ข้าก็เชื่อสนิทว่าท่านเป็นคนเลี้ยงม้า” แม่มดหัวเราะฝืนๆ “ท่านต่อสู้ได้เก่งมาก ข้าไม่เคยสู้กับเจ้าชายคนไหนที่เก่งอย่างท่านมาก่อน”
“ถ้ารู้ว่าเจ้าเป็นแม่มดตั้งแต่แรกข้าคงยอมวางดาบแต่โดยดี” เจ้าชายกล่าว ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเคยฟันดาบใส่ไม้เท้าของแม่มดอย่างแรงจนกระเด็นหลุดมือ “เจ้ายังเจ็บข้อมืออยู่หรือเปล่า”เจ้าชายฉวยข้อมือขาวนุ่มน่าสัมผัสขึ้นมาคลำดู
“ข้าไม่เป็นไร”แม่มดอ้อมแอ้มตอบ สลัดข้อมือเบาๆ
เจ้าชายจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของแม่มด จนหญิงสาวต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ จากนั้นเขาก็เขยิบเข้าใกล้ในระยะกระชั้นชิด โน้มใบหน้าเข้าไปหาช้าๆ ทีแรกเธอมีท่าทีขัดขืน แต่เมือลมหายใจอุ่นๆของแต่ละฝ่ายสัมผัสผิวกายของกันและกัน ก็ทำให้เธออ่อนยวบลงทั้งกายและใจ จนเจ้าชายต้องรีบเอื้อมสองมือไปประคองไหล่เธอไว้ไม่ให้ล้ม แม่มดพริ้มตาลง หอบหายใจอย่างแรงและปั่นป่วน แต่ทันใดนั้นก็เหมือนมีจิตใต้สำนึกอะไรบางอย่างมารั้งเตือนเธอไว้
“อย่างยุ่งกับข้าดีกว่า”แม่มดผลักอกเจ้าชายจนเขาเซไปข้างหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว ส่วนตัวเธอเดินหลบห่างออกมาหันหลังให้ ชี้ไม้เท้าไปยังชิ้นส่วนของเกราะอัศวินและเครื่องเรือนที่ได้รับความเสียหายต่างๆ ทุกอย่างถูกเนรมิตให้กลับสู่สภาพเดิม
“เจ้าไม่ชอบข้าเหรอ”เจ้าชายถามเสียงอ่อน
“ข้าว่ามันไม่เหมาะสม ท่านเป็นเจ้าชายแต่ข้าเป็นแม่มด”แม่มดกล่าว
“เจ้าชายกับแม่มดมันสำคัญตรงไหน ในเมื่อข้ารักเจ้า!”
“ท่านตัดใจจากข้าเสียเถอะ”แม่มดยังคงยืนยันในคำตอบ และยังคงหันหลังให้เขาอยู่
เจ้าชายนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นว่า
“เจ้าไม่รับรักข้าก็ไม่เป็นไร แต่นี่ก็มืดแล้ว แถมม้าคู่ใจของข้าก็ไม่อยู่เสียด้วย ข้าคงต้องพักแรมอยู่ที่นี่สักคืนหนึ่ง”เจ้าชายกล่าว ในใจหวังว่าจะยืดระยะเวลาที่ได้อยู่ใกล้เธอออกไปได้
“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องห่วง เดี๋ยวข้าจะให้ท่านขี่มังกรของข้าไปลงใกล้ๆกำแพงของเมืองของท่าน อย่าเข้าใกล้เกินไปเดี๋ยวชาวบ้านจะแตกตื่นตกใจ”แม่มดพูด พลางหันหน้าเดินออกไปที่ประตู
“เดี๋ยวก่อน! มังกรของเจ้ามันดุร้ายมาก ตอนสู้กันเมื่อครู่มันก็เกือบฆ่าข้า”เจ้าชายพยายามหาข้ออ้าง
“เจ้ามังกรสามารถประเมินคู่ต่อสู้ ทุกครั้งก่อนที่จะโจมตีมันคำนวณไว้แล้วว่าท่านจะไม่ได้รับอันตราย ที่มันทำมันเพียงแต่แสดงละครเท่านั้น ไม่ได้คิดทำร้ายท่านจริงๆหรอก”แม่มดอธิบาย
เจ้าชายเอาฝ่ามือตีหน้าผากอย่างผิดหวัง แต่นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มว่า
“มีข้อแม้ว่าเจ้าจะต้องขี่หลังมังกรไปกับข้าด้วย ข้าจะได้อุ่นใจ”
แม่มดทำท่าฮึดฮัดอย่างลำบากใจก่อนจะหันกลับมาตอบว่า “ตกลง ข้าจะไปส่งท่าน”
ความคิดเห็น