คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1
บทที่ 1
กาลครั้งหนึ่งนาน ณ เมืองอันสงบสุขเมืองหนึ่ง ถูกปกครองโดยพระราชาผู้ทรงปรีชาสามารถและมีพระราชินีเลอโฉมคู่ใจเคียงคู่กาย ทั้งคู่ให้กำเนิดบุตรีคนโตซึ่งบัดนี้ก็โตเป็นสาวงามสะพรั่ง เป็นฝั่งเป็นฝากับเจ้าชายจากเมืองตะวันออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นที่กล่าวขานกันว่าเจ้าชายตะวันออกบุกไปชิงตัวเจ้าหญิงจากเงื้อมมือของแม่มดที่อาศัยอยู่ในปราสาททมิฬ และแม่มดก็มีสัตว์คู่ใจเป็นมังกรพ่นไฟ ในอ้อมอกของพระราชาและพระราชินีในตอนนี้ก็เหลือแต่บุตรชายคนเล็กหรือเจ้าชายคนเดียวของเมืองนี้
กล่าวถึงเจ้าชายผู้รับภาระสืบทอดบัลลังก์ต่อจากพระราชาในอนาคต เขามีนิสัยไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยอย่างที่เจ้าชายควรจะเป็น วันๆเอาแต่คลุกคลีกับพวกทหารและเล่นโลดโผน ชื่นชอบการผจญภัย ฟันดาบ ยิงธนู และขี่ม้าเป็นชีวิตจิตใจ
“พอแค่นี้เถอะพะย่ะค่ะ ข้าสู้ท่านไม่ไหวแล้ว”ชายวัยกลางคนย่างเข้าวัยชรา ผมสีดอกเลารูปร่างสันทัดใช้ดาบค้ำพยุงตัวหอบแฮ่กๆ เขาอดีตขุนพลผู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพระราชาในสนามรบ
“เรารู้สึกว่าท่านยังไม่ได้เอาจริง”ชายหนุ่มร่างสูงกำยำพูดยิ้มๆ พลางสะบัดศีรษะเล็กน้อยเพื่อให้ผมสีทองเรียบลื่นยาวประต้นคอบางส่วนที่ปรกหน้าอยู่กลับไปอยู่ข้างหลังตามเดิม ดวงตาสีเขียวน้ำทะเลเผยยิ้มยิ่งกว่าริมฝีปากบางเสียอีก ปลายจมูกโด่งเป็นสันดักหยาดเหงื่อไว้เป็นหยด เขายกต้นแขนที่ปกคลุมด้วยแขนเสื้อแขนยาวสีเขียวขึ้นมาเช็ด
“ข้าแก่แล้ว เรี่ยวแรงย่อมสู้คนหนุ่มไฟแรงอย่างท่านไม่ได้”ขุนศึกอธิบาย
“ในเมื่อท่านแพ้เราแล้วก็ต้องทำตามข้อตกลง”
“ฮึ่ม!”ขุนศึกแค่นเสียงในลำคออย่างเจ็บใจ “ข้ามันไม่เอาไหนจริงๆ..เจ้าชาย ท่านอย่าบอกให้ใครรู้ว่าข้าปล่อยท่านออกไปเที่ยวนอกปราสาทนะ ไม่อย่างนั้นข้าแย่แน่”
“อ้าว! หน้าที่รักษาความลับเป็นหน้าที่ของท่านต่างหาก”เจ้าชายเล่นตลกหน้าตาย พอขุนศึกมีสีหน้ากระวนกระวายจึงยิ้มออกมา “วางใจเถอะ เราไม่บอกใครอยู่แล้ว”
หลังจากได้รับป้ายผ่านสะดวกจากขุนศึกมาแล้ว เจ้าชายก็เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าเนื้อหยาบสีน้ำตาลซีดพร้อมกับฮู้ดคลุมศีรษะ เขาไปหยุดอยู่หน้าประตูไม้ขนาดใหญ่ซึ่งอยู่ระหว่างกำแพงหินขนาดใหญ่กว่า แสดงแผ่นป้ายผ่านสะดวก ทหารยามสาวรอก ประตูไม้เปิดออกอย่างช้าๆ เจ้าชายเดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์ออกไปเที่ยวชมตัวเมือง ทำตัวกลมกลืนไปกับฝูงชน ถนนและตึกราบ้านช่องสะอาดสะอ้านสบายตา เจ้าของแผงลอยร้านค้าสนทนาปราศรัยกับลูกค้าอย่างเป็นกันเอง สองข้างทางเกลื่อนกลาดไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ นานๆทีจะมีทหารยามเดินตรวจตระเวนผ่านมา พ่อค้าแม่ขายก็มักจะมอบของเล็กๆน้อยๆเป็นน้ำใจติดมือทหาร
“ข้ารับไม่ได้หรอก ข้าแค่ทำตามหน้าที่ของข้าเท่านั้นเอง” นี่คือคำพูดยอดนิยมของทหาร
“อย่างเกรงใจไปเลย รับไว้เพื่อรักษาน้ำใจข้าก็แล้วกัน” ส่วนนี่ก็คือคำตอบยอดนิยมของพ่อค้าแม่ขาย
เจ้าชายถอนหายใจอย่างมีความสุข เดินทอดน่องเรื่อยเปื่อยมาหยุดอยู่หน้าร้านน้ำชาซึ่งเป็นร้านประจำของเขา บรรยากาศในร้านตอนเที่ยงคึกคักแต่เงียบกริบ เพราะทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอฟังนิทานจากผู้เฒ่าเคราขาวนักเล่านิทานผู้สั่งสมประสบการณ์มาหลายสิบปี ออกเดินทางไปทั่วภพจบแดนตั้งแต่ยังหนุ่ม ผ่านสิ่งสวยงามและเลวร้ายมามาก ไม่ใช่แค่ผ่านแล้วผ่านเลยแต่ยังเก็บสิ่งที่ประสบพานพบมาใส่สีปรุงแต่งให้เป็นเรื่องเล่าที่แปลกใหม่ ผู้เฒ่าเคราขาวรักในสิ่งที่เขาเป็น
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นานเท่าที่ข้าพอจำความได้”นี่คือคำขึ้นต้นการเล่าของผู้เฒ่าเคราขาวที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เจ้าชายนั่งเอามือเท้าคางฟัง เป็นอิริยาบถเช่นเดียวกับเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วที่พระราชาเชิญผู้เฒ่าเคราขาวไปเล่านิทานให้ฟัง พระราชาเห็นว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับการผจญภัยเหล่านี้ก็สนุกดีแต่หาสาระที่เกี่ยวข้องกับการปกครองมิได้จึงไม่สนใจเท่าไหร่ ผิดกับเจ้าชายที่ต้องแอบหนีออกจากปราสาทมาฟังนิทานอยู่บ่อยๆ เขาฝึกขี่ม้าฝึกต่อสู้เพราะหวังไว้ว่าสักวันจะสามารถเป็นอย่างเจ้าชายในเรื่องเล่าของผู้เฒ่าเคราขาว
ณ ห้องบรรทม พระราชาและพระราชินีเรียกเจ้าชายมาคุยด้วยเป็นการส่วนตัว
“หลังจากที่เจ้าเหลวไหลมาหลายปี ถึงเวลาที่เจ้าต้องพิสูจน์ตัวเองเสียแล้ว”พระราชาเปรยขึ้น
“พิสูจน์อย่างไรพะย่ะค่ะ”เจ้าชายถาม คิ้วขมวดเข้าหากัน แต่ตายังส่อแววความเป็นคนขี้เล่น
พระราชาถอนหายใจส่งม้วนกระดาษสีทองให้เจ้าชาย เจ้าชายคลี่ออกอ่านอย่างผิดๆถูกๆพอจับใจความได้ว่า
“จะให้ข้าไปช่วยเจ้าหญิงเมืองใต้จากปราสาทแม่มด”เจ้าชายเอ่ยขึ้นพลางเอานิ้วลูบคางอย่างครุ่นคิด
“นี่ถือเป็นโอกาสดีนะลูก”น้ำเสียงของราชินีเปี่ยมด้วยปิติและความหวัง “ลูกจะได้คู่ครองที่ดีพร้อมถ้าลูกผ่านการทดสอบนี้ไปได้”
“ด่านทดสอบมันก็น่าทดสอบอยู่หรอกท่านแม่ แต่เรื่องคู่ครองนี่สิข้ายังไม่อยากคิด”น้ำเสียงหวั่นๆของเจ้าชายแสดงให้เห็นว่าเขากลัวจะเสียความมีอิสระ
“ข้าไม่ยอมให้เจ้าเถลไถลต่อไปจนข้าตายหรอก เจ้าจะต้องมีคู่ครองมาคอยควบคุมและเจ้าต้องเรียนรู้การเป็นนักปกครองที่ดีเพื่อสืบบัลลังก์ต่อจากข้า”พระราชาพูด
“ขอแค่ท่านพ่อสอนข้าวันนี้ วันพรุ่งนี้ข้าก็เป็นพระราชาได้แล้ว”เจ้าชายกล่าวอย่างมั่นใจ “ บ้านเมืองสงบสุขแบบนี้ นักปกครองไม่เห็นต้องทำอะไรเลย”
“แต่เจ้าต้องไป”พระราชายืนกรานด้วยท่าทีแข็งกร้าว “การฝ่าฟันอันตรายเพื่อชิงตัวเจ้าหญิงออกมาจากประสาทแม่มดเปรียบเสมือนประเพณีที่เจ้าชายทุกคนต้องผ่านก่อนที่จะขึ้นครองบัลลังก์”
“ก็เพราะมันเป็นประเพณีน่ะสิ ข้าจึงคิดว่ามันไร้สาระยิ่งนัก แม่มดอย่างนู้นมังกรอย่างนี้ สุดท้ายเจ้าชายก็พาเจ้าหญิงกลับออกมาได้ทุกคน ไม่เห็นมีอะไรท้าทายสักนิด”
“แต่แม่ว่ามันเป็นประเพณีที่ดีนะ”พระราชินีพูดพลางมีสีหน้าแดงระเรื่อ “ในวันนั้นพ่อเจ้าองอาจและสง่างามเหลือเกิน”
พระราชาก้มมองต่ำพร้อมกับกระแอมไอแก้เขิน พระราชินีหลุดหัวเราะคิกออกมา เจ้าชายป้องปากหัวเราะเบาๆแล้วกล่าวว่า“เพื่อความสงบสุขของทุกฝ่ายข้าจะยอมไปแต่โดยดี....เพียงแต่ในปราสาทมีทั้งมังกรไฟและเวทมนตร์อาถรรพ์ ข้าไม่มั่นใจว่าจะช่วยเจ้าหญิงออกมาได้หรือเปล่า”
“ลูกไม่ต้องกังวลหรอก แม่เชื่อว่าลูกต้องทำได้แน่นอน” พระราชินีให้กำลังใจ “พี่สาวของเจ้าก็เคยถูกแม่มดจับไปขังในปราสาททมิฬเช่นกัน เจ้าชายจากเมืองตะวันออกความจริงมีสมาธิสั้นและบุคลิกไม่สมประกอบ แต่พอช่วยพี่เจ้าออกมาได้ก็เกิดความมั่นใจทำให้บุคลิกสง่าผ่าเผยผิดจากเดินเป็นคนละคน”
“ข้าสงสัยว่าพี่ข้าโดนจับไปได้อย่างไร”เจ้าชายถามพร้อมกับยกมือขึ้น
“เอ่อ...”พระราชาอ้ำอึ้ง “คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวง แสงจันทร์สาดส่องเสริมพลังเวทย์ของแม่มดให้กล้าแกร่งยิ่งขึ้น หล่อนปลอมตัวเป็นคนใช้ในปราสาทแล้วแอบลักพาตัวพี่สาวเจ้าออกไป”
“ข้าเข้าใจแล้วท่านพ่อท่านแม่ ให้ข้าไปพรุ่งนี้เช้าเลยดีไหม”
“ย่างเพิ่งรีบร้อนไปลูกรัก ใช้เวลาเตรียมสัมภาระสักสองสามวันดีกว่า แม่จะให้พ่อจัดเตรียมทหารมือดีไว้ใจได้เดินทางไปเป็นเพื่อนลูกด้วย”
“อ้าว! แล้วกัน”เจ้าชายอุทานพร้อมกับหัวเราะร่วน “ถ้าเป็นเช่นนั้นขนกระโจมไปตั้งด้วยเลยดีไหมพะย่ะค่ะ เกณฑ์ไพร่พลเสียหนึ่งกองทัพ สั่งปีกซ้ายไปสู้มังกร ปีกขวาไปปราบแม่มด ขุนพลปีนไปอุ้มเจ้าหญิงลงมา ส่วนข้านอนรอรับความรัก เอาแบบนี้ดีไหมพะย่ะค่ะ”
“ท่านแม่เป็นห่วงเจ้า แต่เจ้ากลับเล่นลิ้นกวนประสาท”พระราชาดุ
“ไม่เป็นไรหรอก แม่ชินกับนิสัยลูกเสียแล้ว”
เจ้าชายหัวเราะหึๆ “เอาเป็นว่าให้ข้าไปคนเดียวเลยดีกว่า”
“ไม่ได้เด็ดขาด!”พระราชาปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดยิ่งกว่าคำพูด
“อืมม์”เจ้าใช้เอานิ้วลูบคางอย่างใช้ความคิด “ตกลง ท่านพ่อเตรียมทหารของท่านไว้เถอะ ข้าขอเวลาเตรียมตัวเตรียมใจสักสามวัน”
“ว่าง่ายอย่างนี้ค่อยสมกับเป็นลูกข้า”พระราชาพูดพลางส่งยิ้มให้พระราชินี เธอยิ้มตอบ ส่วนเจ้าชายแอบยิ้มกริ่มคนเดียวอย่างคนมีแผน
ความคิดเห็น