ตอนที่ 6 : {OS} our room
เคยรักและห่วงหนักหนา
.
.
.
“ไปก่อนนะ เดี๋ยวรีบกลับ”
เสียงใสที่เอื้อนเอ่ยทำให้ชานยอลยกยิ้มก่อนจะใช้มือลูบศีรษะไล่ลงมาถึงเส้นผมยาวสีน้ำตาลอ่อนอย่างที่เขาชอบของคนตรงหน้า อีกคนยกยิ้มให้อย่างสดใสเช่นทุกวันก่อนจะคว้ากระเป๋าขึ้นเตรียมออกจากห้อง
“รีบกลับนะ ระวังฝนตกด้วยล่ะรู้ไหม”
“รู้แล้วจ้า เป็นแฟนหรือพ่อเนี่ย” รอยยิ้มน่ารักผุดขึ้นมาอีกครั้งจนชานยอลอดจะยกยิ้มตามไม่ได้ “ไปก่อนนะเดี๋ยวสาย ป่านนี้เพื่อนรอหมดแล้วเนี่ย”
ชานยอลไม่ได้ว่าอะไร เขาเพียงเดินไปหอมแก้มอีกคนฟอดใหญ่ก่อนจะปล่อยตัวประกันให้เป็นอิสระ รายนั้นเบ้หน้า แต่สุดท้ายก็ยิ้มขำออกมาก่อนจะโบกมือหยอยๆให้อีกรอบแล้วเดินออกจากห้องไป
ชีวิตวันอาทิตย์อันแสนน่าเบื่อของชานยอลเกิดขึ้นอีกครั้งเหมือนวัฏจักร เขาเบื่อทุกครั้งเวลาที่คนรักซึ่งแชร์ห้องด้วยกันจะออกไปข้างนอก แต่ก็นั่นแหละ เขาไม่มีสิทธิ์ไปห้ามอะไรมากมายนักหรอก เพราะเขารู้ดีว่าแต่ละคนก็ควรจะมีเวลาส่วนตัวเป็นของตัวเองกันบ้าง ดังนั้นชานยอลจึงใช้เวลาว่างเหล่านี้ในการนอนเอกเขนกดูทีวีหรือไม่ก็แต่งรูปที่ทำงานค้างไว้ในคอมสักรูปสองรูป
และสำหรับวันนี้เขาเลือกที่จะดูทีวีเงียบๆเพราะอากาศมันดีจนอยากจะหลับ
เสียงเฮฮาจากรายการวาไรตี้ดังเข้าหูจนชานยอลต้องหัวเราะตาม แม้การดูรายการจะไม่ใช่แนวถนัดของเขานักแต่มันก็ยังดีกว่านั่งเงียบๆ ชานยอลชอบดูภาพยนตร์เป็นเรื่องๆมากกว่าอะไรทั้งหมด แต่เท่าที่มีแผ่นอยู่ในห้องเขาก็ดูมันจบไปสี่ถึงห้ารอบแล้ว
ชานยอลหาววอด รู้สึกไม่มีอะไรทำอย่างถึงที่สุด หากเป็นวันเสาร์เขาก็คงจะโทรชวนไอ้พวกก๊วนเพื่อนออกไปเที่ยวอยู่เหมือนกัน แต่ติดตรงที่ว่าพวกมันดันไม่ว่างวันอาทิตย์กันสักคน สงสัยจะมีแค่ชานยอลคนเดียวนี่แหละที่ทำตัวว่างเสียเหลือเกิน
ร่างสูงค่อยๆเอนหลังนอนลงไปบนโซฟา เขากะว่าจะหลับยาวรอจนคนรักกลับมาปลุกเสียเลย เพราะถึงยังไงวันอาทิตย์ที่น่าเบื่อนี้ก็คงไม่มีอะไรให้เขาทำมากไปกว่านี้อยู่ดี
ติ๊ง..
แต่เสียงกริ่งหน้าห้องทำให้ชานยอลต้องลืมตาขึ้นหลังจากเพิ่งจะหลับไปได้ไม่กี่วินาที
คนตัวสูงยันร่างกายขึ้นนั่งบนโซฟาก่อนจะมองไปที่ประตูหน้าห้อง คิดไม่ออกเลยว่าเป็นใครที่มากดกริ่งในเวลานี้ จะว่าเป็นคนรักของเขาย้อนกลับมาก็คงไม่น่าใช่ รายนั้นมีคีย์การ์ดรูดเข้ามาได้สบาย ไม่ต้องเสียเวลากดกริ่งเลยด้วยซ้ำ
หรือจะลืมคีย์การ์ด?
คิดได้อย่างนั้นชานยอลก็ลุกขึ้น แต่ไหนแต่ไรแฟนเขาก็เป็นประเภทขี้ลืมอยู่แล้ว คงไม่แปลกหรอกถ้าจะลืมสิ่งสำคัญๆเอาไว้ในห้อง คนตัวสูงเดินไปที่ประตูอย่างไม่เร่งรีบก่อนจะกระชากมันให้เปิดออก
“ลืมอะไร..”
ชานยอลหุบปากลงในตอนนั้นเมื่อเห็นหน้าคนที่มายืนอยู่หน้าห้องชัดๆ
ร่างเล็กๆในชุดเสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงยีนส์พร้อมกับทรงผมสั้นทรงเดิมกำลังส่งยิ้มมาให้ แก้มอูมๆแทบปริแตกเมื่ออีกฝ่ายยิ้มกว้างขึ้นไปอีกตอนที่เห็นหน้าเขา
“ชานยอล”
ชานยอลยืนนิ่งในตอนนั้น สมองของเขาหยุดประมวลผลไปชั่วขณะ นานทีเดียวกว่าจะดึงสติกลับมาได้ ก็ตอนที่อีกฝ่ายทำหน้าสงสัยนั่นแหละ แต่ควรจะเป็นเขามากกว่าไม่ใช่หรอที่ควรจะสงสัย ควรเป็นเขาที่ควรจะถามออกไปเลยว่า ‘มาทำไม!’ แต่ก็นั่นแหละ ตอนนี้ชานยอลพูดอะไรไม่ออกแล้ว
“ฉันซื้อของกินมาเพียบ หวังว่านายจะยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงหรอกนะ”
“.....”
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ” อีกฝ่ายหัวเราะ “ขอเข้าไปหน่อยนะ”
พูดจบก็เดินแทรกเข้าไปทันใด คนตัวสูงพยายามจะดึงสติให้กลับมามากที่สุด เขาหันไปมองร่างเล็กที่เดินเข้าไปยังห้องครัวอย่างชำนิชำนาญ แล้วถ้าจะให้ไล่ไปตอนนี้ก็คงจะไม่ทันแล้ว อีกอย่างอีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ชานยอลจะไม่ทำตัวไร้มารยาทถึงขั้นนั้นหรอก
เขาหันมาปิดประตู ก่อนจะเดินตามอีกคนไปที่ห้องครัว จ้องมองแผ่นหลังเล็กที่กำลังง่วนอยู่กับการหยิบนั่นจับนี่ ทั้งช้อนและจานชามถูกหยิบออกมาก่อนจะเทอาหารลงไปในนั้นแล้วลำเลียงเดินไปยังโต๊ะอาหารเอง
ชานยอลมองเห็นทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วก็เห็นด้วยว่าร่างเล็กๆนั้นดูมีความสุขเหลือเกิน
อีกฝ่ายทำท่าทางร่าเริงเหมือนเดิมในตอนที่เขาตัดสินใจไปร่วมโต๊ะอาหารด้วย นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เรามานั่งร่วมโต๊ะกันอีกครั้ง ชานยอลไม่ได้ยิ้มออกไปแต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าหงุดหงิดใจ ผิดกับอีกคนที่ยิ้มกว้างเหมือนอย่างเคยราวกับมีความสุขนักหนา
“อันนี้ไก่ทอดร้านเดิมที่นายชอบ ฉันแวะไปซื้อมาให้น่ะ”
“....”
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
ชานยอลลอบถอนหายใจตอนที่เจ้าของร่างเล็กทำหน้าสงสัยที่เคลือบไปด้วยรอยยิ้มบางเบาเหมือนอย่างเคย เขาไม่เข้าใจจุดประสงค์ของการที่อีกคนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากหายไปนานหลายปี
และแน่นอน เขาคงไม่มีวันเข้าใจมัน
“ฉันก็แค่สงสัยว่านายมาที่นี่ทำไม”
ถ้าไม่ตัดสินใจถาม
ชานยอลเห็นแล้วว่าอีกฝ่ายชะงักไปพร้อมกับใบหน้าที่หม่นหมองเพียงเสี้ยววินาที ความสั่นคลอนในแววตาของคนตัวเล็กนั้นมีหรือที่ชานยอลจะไม่สังเกตเห็น ไม่ใช่คนไม่รู้จักกันเสียหน่อย ในทางกลับกัน เราน่ะรู้จักกันดีเลยต่างหาก
“ก็นึกออกว่าจะผ่านมาแถวนี้.. เลยซื้อของเข้ามากิน” แบคฮยอนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูจะคลายความมั่นใจลงไปเล็กน้อย “หวังว่านายคงไม่รังเกียจ”
ชานยอลไม่เคยนึกรังเกียจ เขาไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องรังเกียจหากได้มานั่งกินข้าวร่วมกันอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะกระทันหันขนาดนี้ ไม่คิดว่าอีกคนจะเข้ามาโดยไม่บอกเขาเลยสักคำ
“ไม่หรอก กินเถอะ” ชานยอลตัดบทก่อนจะหยิบช้อนขึ้นมาทานอาหารบนโต๊ะและพยายามทำให้สถานการณ์เป็นปกติมากที่สุด
ไม่มีเสียงพูดคุยกันระหว่างเราตลอดช่วงเวลาบนโต๊ะอาหารจนกระทั่งทุกอย่างถูกจัดการจนหมดเกลี้ยง ชานยอลอาสาเก็บจานโดยไม่ได้พูดอะไร เขาใช้วิธีแสดงออกด้วยท่าทางแทนการพูดจากับอีกฝ่าย พอล้างทุกอย่างเสร็จสรรพก็เดินออกมา ก่อนจะเห็นว่าอีกคนนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาแทนแล้วและชานยอลก็เดินไปนั่งข้างๆ โดยเว้นระยะห่างเอาไว้ตามความเหมาะสม
ช่องของรายการวาไรตี้ที่เขาเปิดทิ้งเอาไว้เปลี่ยนมาเป็นละครรีเมคแทนแล้ว ชานยอลเห็นว่าอีกฝ่ายชันเข่าขึ้นมานั่งดูมันเหมือนกับว่าเป็นห้องของตัวเอง แต่เขาก็ไม่ว่าอะไรหรอก เพราะถึงจะไม่ใช่เจ้าของห้องแต่ก็คงใช้คำนั้นไม่ได้เสมอไป
“ห้องยังเหมือนเดิมเลยเนอะ”
จู่ๆอีกคนก็พูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ชานยอลจึงใช้ตากลมๆสอดส่องไปทั่วห้องบ้าง
“ก็ไม่เหมือนเดิมไปทั้งหมดหรอก”
“นั่นสิ” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะไม่ได้ทำให้บรรยากาศดีขึ้นมาแม้แต่นิด “เฟอร์นิเจอร์พวกนี้ไงที่ไม่เหมือนเดิม นายเปลี่ยนมันหมดเลยหรอ”
ใครมันจะบ้าใช้ของตอกย้ำความทรงจำกัน.. นั่นคือสิ่งที่ชานยอลคิดในใจ
“ใช่ แฟนฉันไม่ชอบสีอ่อนๆน่ะ เขาบอกว่ามันเปื้อนง่าย”
ผู้มาเยือนพยักหน้าเข้าใจก่อนจะยกยิ้มแล้วใช้ตาเรียวๆสำรวจไปรอบห้อง ทุกอย่างถูกจัดอยู่ในที่เดิม แตกต่างกันไปตรงที่เฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งของแต่ละอย่างนั้นไม่มีอะไรเลยที่เป็นของเดิม แม้กระทั่งทีวีที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้มันเคยเป็นสีอ่อนๆอย่างพวกสีครีมหรือสีน้ำตาลอ่อนแบบที่แบคฮยอนชอบ แต่ตอนนี้กลับถูกเปลี่ยนให้เป็นสีเข้มไปเสียหมด
รวมไปถึง..
“นั่นแฟนนายหรอ น่ารักจัง”
รูปภาพนับสิบรูปที่แปะอยู่ตรงผนังนั่นก็เปลี่ยนไปด้วย
ร่างเล็กลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปยังบรรดารูปภาพดังกล่าว ภาพที่ถูกถ่ายขึ้นในเวลาเดียวกันแต่คนละอิริยาบถทำให้คนทั้งสองคนในภาพดูมีชีวิตชีวา แค่มองด้วยตาเปล่าก็รู้ถึงความสัมพันธ์แล้ว เดาได้ไม่ยากเลยว่าทั้งคู่รักกันมากมายเพียงไหน
แบคฮยอนรู้ดี เพราะก่อนหน้านี้เขาก็เคยมีความรู้สึกเหมือนคนในรูปเช่นกัน
“เธอชื่ออะไรนะ” เขาหันไปถามคนที่ยั่งนั่งมองมาจากตรงโซฟา
“โซบยอล”
“อ่า ใช่ๆ โซบยอล” คนตัวเล็กหันกลับไปมองรูปที่แปะตรงผนังอีกครั้ง “ฉันได้ยินจงแดเพื่อนของนายเคยเล่าให้ฟังตอนบังเอิญเจอกันน่ะ”
“....”
“รักกันดีใช่ไหม”
น้ำเสียงของแบคฮยอนไม่ได้แฝงไปด้วยความประชดประชัน เขาตั้งใจจะถามเพื่อต้องการสื่อให้รู้ว่าเขานั้นอยากจะเห็นความเป็นไปของอีกคนจริงๆ ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องความคุ้นเคยมันก็สาดเข้ามาจนแบคฮยอนรู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัว
ก็นี่มันเคยเป็นห้องของเขานี่นา
..ห้องของเขากับชานยอล
“ก็คบกันเรื่อยๆ ไม่ได้หวือหวาอะไร”
ดูเหมือนคำพูดของชานยอลจะไม่ได้เข้าหูแบคฮยอนเลยด้วยซ้ำ คนตัวเล็กเอาแต่ใช้ปลายนิ้วสวยๆไล้ไปบนรูปภาพนับสิบรูปบนผนัง เขายังชอบฝีมือการถ่ายภาพของชานยอลเสมอ อีกฝ่ายเป็นช่างภาพที่เก่งในสายตาของคนทั่วไป แล้วแบคฮยอนเองก็คิดแบบนั้น
เขาอยากถามว่า ‘แล้วรูปของเราหายไปไหนล่ะ’ แต่แบคฮยอนไม่ใช่ประเภทที่ชอบย้อนวันเวลา
ชานยอลเคยบอกว่าสเป็คที่แท้จริงคือผู้หญิงผมยาวสีน้ำตาลอ่อนๆ เธอคนนั้นจะต้องยิ้มสวย ตาโต และน่ารักที่สุดจนใครๆก็ต้องอิจฉา ตอนที่ชานยอลพูดแบบนั้นทำให้แบคฮยอนงอนไปหลายวัน แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาคืนดีจนได้เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมา
‘นั่นมันก็แค่สเป็คที่ฉันฝันไปวันๆ ตอนนี้นายน่ะคือเรื่องจริงนะแบคฮยอน’
นั่นแหละที่ทำให้เขาหายงอนอีกฝ่ายเป็นปลิดทิ้ง
แบคฮยอนมองไปที่กรอบรูปขนาดใหญ่อีกหนึ่งรูปซึ่งแขวนไว้ที่ผนัง รูปภาพของหญิงสาวหน้าตาสะสวยยกยิ้มให้กล้อง ดูลักษณะการถ่ายแบคฮยอนก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของชานยอล และเขาเองก็รู้สึกยินดีกับชานยอลด้วยใจจริง รู้สึกยินดีเหลือเกินที่ชานยอลพบเจอกับคนในฝันที่แท้จริงเสียที
โซบยอลมีผมสีน้ำตาลอ่อน ตากลมโต พร้อมกับรอยยิ้มที่สว่างไสวยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าเสียอีก
ชานยอลช่างโชคดีเหลือเกิน
ส่วนเธอเองก็โชคดีมากเช่นเดียวกัน
“แบคฮยอน”
คนตัวเล็กหันไปตามเสียงเรียกหลังจากที่พาตัวเองเดินมาจนถึงอีกฝั่งหนึ่งของห้อง ชานยอลยืนอยู่ตรงโซฟาหน้าทีวีที่เดิม อีกฝ่ายไม่ได้แสดงสีหน้า แต่จะว่าไปแล้วชานยอลก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาเลยตั้งแต่แรกที่แบคฮยอนเดินเข้ามา
“อะไรหรอ” เอ่ยถามเสียงใสออกไปพร้อมกับยิ้มบางๆ
“อีกเดี๋ยวโซบยอลคงกลับมา”
“.....”
“ฉันคิดว่านายควรจะกลับได้แล้ว”
นั่นสินะ
เพราะคงไม่ดีแน่ถ้าเธอมาเห็นเขาซึ่งเป็นแฟนเก่าของแฟนตัวเองมาอยู่ในห้องแบบนี้
“โอเค ฉันจะกลับแล้ว” แบคฮยอนยกยิ้มอย่างจริงใจ “แต่ก่อนกลับ ฉันมีเรื่องอยากจะถาม”
แบคฮยอนเห็นว่าชานยอลทำหน้าตาสงสัยเล็กน้อย แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นเคย ดังนั้นเขาจึงไม่รีรอที่จะถามคำถามซึ่งค้างคาอยู่ในใจมานานออกไป
“แฟนนายทำอาหารเป็นไหม”
คำถามโง่เง่าคำถามแรกถูกถามออกไป แน่นอนว่าชานยอลไม่ได้ตอบในทันที แบคฮยอนเห็นแล้วว่าอีกคนไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร แต่เขาไม่ได้ต้องการอะไรหรอก นั่นเป็นคำถามที่เขาต้องการคำตอบจริงๆ
“ถ้าทำเป็น แล้วข้าวผัดกิมจิของเธอถูกปากนายไหม”
“....”
“เธอรู้ใช่ไหมว่านายไม่กินของเผ็ดๆ”
“....”
“ฉันแค่เป็นห่วงสุขภาพนายน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” แบคฮยอนยิ้มอีกครั้ง “ถ้าเธอดูแลนายได้ดี ทุกอย่างมันก็ดีไม่ใช่หรอ แค่นั้นแหละที่ฉันต้องการ”
ชานยอลไม่พูดอะไรอีกแล้ว และแบคฮยอนก็รู้ดีว่านั่นเป็นเพราะอีกฝ่ายนึกรำคาญใจว่าเขามาพูดบ้าบออะไรอยู่ตรงนี้ ทางที่ดีเขาควรจะกลับบ้านดีกว่า ขืนอยู่นานๆจะทำให้ชานยอลลำบากใจเอา
“อ่า.. ฉันกลับแล้วก็ได้ ยังไงก็ดูแลตัวเองดีๆนะ”
ฝากดูแลห้องของเราให้ดีๆด้วยล่ะ
“ฉันจะคิดถึงนาย”
เพราะมันเป็นสิ่งสำคัญ เป็นความทรงจำอันแสนดีที่ฉันไม่เคยลืม
แบคฮยอนยิ้มให้อีกฝ่ายอีกครั้งแล้วโบกมือให้ ใบหน้าของชานยอลในตอนนี้ไม่ได้เรียบเฉยแต่ก็ไม่ได้ส่งยิ้มคืนมาให้เหมือนอย่างที่เขาหวัง มีเพียงหัวคิ้วเท่านั้นที่ขมวดเข้าหากันเพราะไม่เข้าใจ แต่ช่างเถอะ ถึงชานยอลจะไม่เข้าใจแต่แบคฮยอนก็คงไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว
“บ้ายบายชานยอล”
เพราะสำหรับเขา แค่การที่ได้เห็นว่าชานยอลยังมีความสุขดี
แค่นั้นก็เพียงพอ
TALK :
เทศกาลฉลองวันเลิก(อย่างเป็นทางการ) ผ่านไปแล้ว สถานีต่อไปเทศกาลฉลองวันคบ(ของชานแบค) รออยู่ค่ะ อิอิ
ตอนสั้นๆจากอารมณ์ชั่ววูบมาเสิร์ฟแล้วค่า ♥
สำหรับตอนนี้เราไม่ได้บอกนะคะว่าเลิกกันอิท่าไหน แต่คิดว่าจากท่าทีของคนทั้งคู่น่าจะพอบอกได้ บางทีแบคฮยอนอาจจะทำไว้แสบพี่ชานเลยมีท่าทีแบบนี้ หรือบางทีก็อาจจะไม่ ดังนั้นพี่ชานอาจจะใจร้ายหรือไม่ใจร้ายก็ได้ แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนที่อยากจะมองเลยค่ะ เราเปิดโอกาสให้เต็มที่ แฮร่
เอ็นจอยรีดดิ้งนะคะ
#น้ำผึ้งมะนาวCB
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แบคเข้มแข็ลมากง่ะ