ตอนที่ 27 : {OS} where is Bangkok?
ไม่ขวา ไม่ซ้าย ไม่สมบูรณ์ไป ไม่มองแง่ร้าย หรือเอาแต่ใจ
แต่มีอะไรไม่ธรรมดา
.
.
.
.
.
.
อากาศประเทศไทยนี่มันร้อนนัก
แบคฮยอนยืนอยู่หน้าสนามบินสุวรรณภูมิมานานกว่ายี่สิบนาทีอย่างคนไร้จุดหมายปลายทาง ว่ากันง่ายๆก็ไม่รู้จะไปที่ไหนนั่นแหละ แถมชุดที่ใส่มาตั้งแต่อยู่เกาหลีก็ไม่ได้เข้ากับอากาศที่นี่เลยแม้แต่ขี้ปลายเล็บ ตอนนี้เลยเหงื่อแตกพลั่กคาเสื้อฮู้ดกางเกงขายาว แบบชนิดที่แทบปิดมิดจนโผล่มาแค่หัวกับมือ
แต่สำหรับแบคฮยอนน่ะ..
ร้อนกายพอทนได้ แต่ร้อนใจนี่มันหนักกว่ากันเยอะ
“แต่งตัวอย่างกับจะบินไปลอนดอน ไม่ใส่โม่งมาด้วยเลยล่ะครับ จะได้ปิดให้ครบทั้งตัวไปเลย”
แบคฮยอนขมวดคิ้วแล้วทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจไอ้คนที่ยืนอยู่ข้างๆ มันใส่เสื้อยืดลายกราฟิคสีเหลืองกับกางเกงขาสามส่วนสีครีม ยืนพิงกระเป๋าเดินทางแบบเต๊ะท่าสุดๆ แถมที่หลังก็ยังสะพายเป้ไปเบ้อเริ่มอย่างกับพวกแบคแพ็คเกอร์ ต่างจากแบคฮยอนโข เพราะเขามีแค่เป้ใบเดียวติดหลังมา
“พูดด้วยก็ไม่พูดด้วยอีกเนอะคนเรา”
“เสือก” แบคฮยอนทำเป็นพูดลอยๆกับตัวเอง เขากำโทรศัพท์แน่นเพื่อระงับความร้อนที่กำลังแผดเผาจนเหงื่อแตก อย่าพูดถึงผิวหนังใต้ร่มผ้าทุกส่วนตอนนี้เลย เพราะเหงื่อมันไหลจนให้ความรู้สึกเหมือนกระโดดลงไปแช่น้ำแล้วเพิ่งขึ้นมาหมาดๆเป๊ะ
“อ้าว พูดด้วยดีๆยังจะมาด่าอีก”
“แถวบ้านมึงคุยกันดีๆแบบนี้หรอ” แบคฮยอนหมดความอดทน เขากันไปเอ่ยถามไอ้ตัวสูงที่ยืนเก๊กหน้าอยู่ข้างๆ มันขมวดคิ้วหน่อยๆแบบวางมาด เห็นแล้วอยากจะข่ากดังๆให้ได้ยินทั่วทั้งแผ่นดินไปเลยจริงๆ
จะว่าเป็นความซวยก็ได้ที่ทำให้เขาต้องเจอปาร์คชานยอลบนเครื่องบิน บอกตามตรงว่าถ้าเป็นคนอื่นที่รู้จักจะบินมาประเทศเดียวกันเขาจะรีบเข้าไปทักและขอติดสอยห้อยตามไปด้วยทันที แต่พอเป็นมันมานั่งข้างๆกลับให้ฟีลเหมือนนรกชังสวรรค์แกล้ง แบคฮยอนแทบจะร้องไห้เดี๋ยวนั้นเมื่อรับรู้ว่าเป็นมัน
แถมยังตีคู่แบบสนิทนักหนามาจนถึงหน้าสนามบิน ทั้งที่พยายามจะออกห่างแล้วก็ตามเกาะเป็นปลิงพร้อมกับพูดจากวนทรีนอยู่แบบนั้นไม่หยุด ขนาดเขาไม่ตอบกลับมันก็ยังพูดแล้วพูดอีก ก็คิดเอาแล้วกันว่าหน้ามันโบกปูนซีเมนต์มากี่เซน
“คนเขาเป็นห่วง กลัวจะเหงื่อแตกเป็นลมตายก่อน” มันว่าอย่างนั้นแล้วยกมือขึ้นมากอดอก “ทำคุณบูชาโทษจริงๆเลยคนเรา”
“ขอบใจ แต่มึงวางทิ้งไว้แถวนี้แหละ”
“...............”
“เพราะกูไม่เอา” แบคฮยอนพูดเน้นคำแล้วเดินกระแทกส้นให้ห่างออกมาจากไอ้คนกวนประสาท อากาศร้อนก็หงุดหงิดจนแทบทำลายข้าวของอยู่แล้วยังจะมาเจอคนประเภทนี้อีก รู้มาบ้างหรอกว่าไอ้นี่แสบที่สุดในแก๊ง แต่ก็ไม่คิดว่าจะชอบยั่วโมโหคนอื่นขนาดนี้
ใช่.. กลุ่มก้อนของไอ้ปาร์คชานยอลมันเป็นอริกับกลุ่มของเขาเอง
แบคฮยอนไม่ได้เป็นฝ่ายทัพหน้า เขาไม่ค่อยได้ออกไปปะฉะดะกับพวกมันเวลาอยู่มหาลัยเท่าไหร่นัก สิ่งที่แบคฮยอนจะคอยทำให้แก่กลุ่มคือการแชทด่า มันบอกว่าเขาเป็นนักเลงคีย์บอร์ด แต่ถามจริงเถอะ ตัวเท่าขี้หมาแบบกูนี่จะให้ไปต่อยกับใครเขาวะ ด่าในแชทนี่แหละเหมาะกับเขาที่สุดแล้ว
“ต่อหน้าก็เก่งเหมือนกันนี่” มันลากกระเป๋าเดินทางพร้อมเขยิบเข้ามาใกล้ “เห็นเก่งแต่ในแชท ก็นึกว่ามีความสามารถแค่นั้นซะอีก”
ร่างเล็กกรอกตาแบบหน่ายๆ เขาร้อนจนรู้สึกเหมือนกำลังอบตัวอยู่ไม่มีผิด นี่ถ้ามีกลิ่นสมุนไพรหน่อยคงใช่เลย แบคฮยอนจึงระงับอารมณ์โดยการถอนหายใจหนักๆไปหนึ่งที จะยกมือขึ้นมาพัดก็กลัวเสียฟอร์มไอ้ปาร์คซะก่อน เพราะงั้นเขาจะยืนอยู่แบบนี้จนกว่าจะคิดออกว่าควรไปไหนต่อดี
อือ.. อย่างที่คิด.. แบคฮยอนไม่มีที่พักในกรุงเทพฯหรอก
ก็เขามาแบบกะทันหัน ชนิดที่ว่าอยากมาก็มาเลย เพราะอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะเป็นวันเกิดแล้วเลยถือโอกาสมาฉลองที่นี่ด้วยตัวเอง แถมราคาตั๋วเครื่องบินนั่งมาไทยก็มีโปรแบบลดแลกแจกแถม แบคฮยอนเลยจัดการกดไปเมื่อวานซืนแล้วก็นั่งเครื่องมานี่โดยบอกพ่อกับแม่ไว้สองคนเท่านั้น
มาแบบตัวเปล่าเล่าเปลือย ที่พักก็ไม่มี.. แผนการเที่ยวก็ไม่มี.. ขนาดเงินไทยก็ยังไม่มีเลย!
ให้ตายเถอะ แล้วแบบนี้เขาจะไปไหนต่อได้วะเนี่ย
แบคฮยอนเคาะเล็บลงกับเคสโทรศัพท์ที่ตัวเองกำไว้แน่น เขากัดริมฝีปากแล้วคิดทบทวนอยู่ในหัว ถ้าสมมติว่าเขาไปตายเอาดาบหน้า โบกแท็กซี่ตอนนี้แล้วบอกแท็กซี่ให้ไปหย่อนลงแถวสยาม(ซึ่งขณะนี้ก็รู้จักอยู่ที่เดียว)แล้วเดินหาที่พักแถวนั้นเอามันจะโอเคไหม ..แต่ก็ลืมไปว่าไม่มีเงินไทยติดตัวมาซักกะบาท
งั้นก็นั่งจ๋องอยู่ในสนามบินสักพัก เสิร์ชหาข้อมูลในโทรศัพท์ก่อนแล้วค่อยวางแผนเที่ยว..
ไม่อะ แบบนั้นมันยุ่งยากเกินไป แบคฮยอนอยากไปพักแล้ว เขาอยากนอนบนเตียงนุ่มๆ ตากแอร์เย็นๆ หลับสักสามตื่นให้มันเย็นฉ่ำจนสุดขั้วปอด
งั้นทางเดียวที่เขาจะสามารถอยู่รอดภายในกรุงเทพฯได้ก็คงจะเป็น..
“เฮ้อ.. งั้นกูไปละดีกว่า” ไอ้ปาร์คพูดก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินทางของตัวเอง “โชคดีนะครับคุณแบคฮยอน หวังว่าจะเที่ยวอย่างมีความสุขตลอดทริป”
มันว่าอย่างนั้นก่อนจะโบกมือให้ในท่าทางที่คล้ายๆเวลาตำรวจตะเบ๊ะ ต่างกันตรงที่ทำหน้าเจ้าเล่ห์ผสมความกวนประสาทเอาไว้เต็มเปี่ยมจนแบคฮยอนอยากจะยกรองเท้าขึ้นแนบหน้า
แต่เดี๋ยวนะ
“เฮ้ย! เดี๋ยว!”
ปาร์คชานยอลชะงักขาที่กำลังจะเดินไปถึงรถแท็กซี่ คนที่ดูเหมือนจะหล่อล้วงมือเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วหันเสี้ยวหน้ามาให้แบคฮยอน เห็นแล้วมันคันตีนยิกๆ แต่เก็บไว้ก่อน
เพราะนาทีนี้เขาคงต้องพึ่งพามัน
“กู.. ไปด้วยได้ป่ะ”
เอาวะ.. เพราะอย่างน้อยมันก็คงดีกว่าต้องไปเผชิญชีวิตคนเดียวในเมืองใหญ่ๆแบบนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ไม่มีอะไรเกี่ยวกับกรุงเทพฯในหัวเลยอย่างแบคฮยอนก็ยิ่งแล้วใหญ่
เพราะงั้น.. ไปกับปาร์คชานยอลนี่แหละ ถ้ามันกวนตีนมากๆก็ค่อยแยกตัวออกมาแล้วกัน
“ทีงี้มาทำเป็นง้อ เมื่อกี้ไม่เห็นพูดดีกับกูมั่งอะ” มันพูดทั้งที่ยังหันเสี้ยวหน้าให้เขาอยู่แบบนั้น โถ่พ่อคุ๊ณณ คงคิดว่าตัวเองหล่อเหมือนคิมวูบินมั้งถึงได้คิดจะทำท่าอะไรก็ทำ เห็นแล้วอยากจะขำให้ฟันหลุดออกมาหมดทั้งปาก
“พูดเหมือนความสัมพันธ์ของเราสองคนเป็นไปอย่างราบรื่น เจอกันที่มหาลัยก็จับมือเชคแฮนด์ไม่ก็โค้งเก้าสิบองศาให้กันงั้นแหละ”
แบคฮยอนเอ่ยกระแนะกระแหนไปตามความจริง ปาร์คชานยอลมันควรคิดหน่อยว่าคนที่ไม่ชอบขี้หน้ามันแบบเขามีความจำเป็นอะไรที่จะต้องพูดจาดีๆกับมัน
“ถ้างั้นมีอะไรก็ว่ามา” ชานยอลหันตัวมาแล้วเท้าแขนไว้กับกระเป๋าเดินทาง ส่วนมืออีกข้างก็ยกขึ้นเท้าสะเอว มันใช้ตาโตๆจ้องมาที่เขาจนอากาศที่ว่าร้อนอยู่แล้วยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่
ไม่ได้เขินนะ แต่ร้อนเพราะอารมณ์ความอยากตั๊นท์หน้าคนมันแล่นริ้ว
“เออ กูยอมรับก็ได้อะว่าตอนมานี่ไม่มีแผนอะไรในหัวเลย” แบคฮยอนบอกไปตามตรง “นี่ไม่มีที่พัก เงินไทยก็ยังไม่มี แล้วงี้จะให้กูไปซุกหัวอยู่ที่ไหน”
“มึงเป็นคนประเภทไหนวะเนี่ย” ชานยอลเอียงคอแล้วทำหน้าเหลือเชื่อออกมา “จะมาเที่ยวทั้งทีแต่ไม่วางแผนห่าอะไรเลยเนี่ยนะ คุณพระคุณเจ้า เกิดมากูเพิ่งเคยเห็นมนุษย์อินดี้แบบนี้ครั้งแรก!”
“พล่ามห่าอะไร ตกลงจะให้กูไปด้วยมั้ย ตอบมาคำเดียว”
“ไม่”
“............”
“ไม่ปฏิเสธจ้า”
“ไอ้สัส” แบคฮยอนชูนิ้วกลางใส่หน้ามันไปทีนึงก่อนจะเดินชนไหล่เพื่อจะไปขึ้นแท็กซี่ กะจะขึ้นไปตากแอร์ดับความร้อน แต่ก็ไม่ทันแขนยาวๆของไอ้หูกางที่คว้าต้นแขนเขาเอาไว้เสียก่อน “อะไรของมึงอีกล่ะ”
“กูมีข้อแม้”
แบคฮยอนควงลูกตาเป็นรูปอินฟินิทตี้ เขาถอนหายใจออกมาหนักๆหนึ่งทีก่อนจะยืนทิ้งสะโพกเพื่อรับฟังคำพล่ามของไอ้คนตรงหน้าอีกครั้ง
ซึ่งเป็นคำพล่ามที่ทำให้เขาตกใจจนแทบสลบ
“เป็นแฟนกันนะ”
“ห้ะ” แบคฮยอนทำตาถลน.. ถลนจริงๆ เขารู้สึกว่ามันเกือบจะหลุดออกมาจากเบ้าอยู่แล้ว
“..............”
“มะ.. มึงว่าไงนะ”
“เป็นแฟนกันไง” แต่ปาร์คชานยอลกลับพูดออกมาได้ง่ายๆเหมือนคุยเรื่องลมฟ้าอากาศ “ไหนๆก็อยู่กันแค่สองคนละ มาลองเป็นแฟนกันดีกว่า จะได้สนิทกันมากขึ้น จบทริปนี้ก็เลิกไง แฟร์ๆ”
“วิธีการที่จะทำให้สนิทมีตั้งเยอะแยะ แต่มึงเสือกเลือกการเป็นแฟนกันเนี่ยนะ!” แบคฮยอนถามออกมาด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ “อีกอย่าง กูบอกตอนไหนว่าอยากสนิทกับมึง”
"อ่ะ งั้นก็แล้วแต่มึงนะ” ปาร์คชานยอลปล่อยแขนของเขาออกจากการกอบกุมแล้วล้วงกระเป๋ากางเกง “งั้นก็ต่างคนต่างไปละกัน ขอให้แลกเงินไทยได้เร็วๆล่ะ บาย”
“ดะ.. เดี๋ยว!”
กลับกลายเป็นแบคฮยอนเองที่คว้าแขนของมันไว้ เอาล่ะ นาทีนี้ด้านได้อายอด เสียฟอร์มนิดหน่อยแต่มีความสบายและความปลอดภัย(มั้ง)ตลอดทริปก็คงไม่แย่เท่าไหร่
เอาน่าแบคฮยอน.. ยอมๆมันไปนิดนึงน่า..
“ก็ได้..”
“ว่าไงนะ?” ชานยอลเอ่ยถามแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ “ไม่ได้ยินเลยอะ อีกทีซิ”
“กูยอมเป็นแฟนมึงก็ได้! ไอ้หอกหัก!”
เขาเห็นว่าชานยอลทำหน้าพึงพอใจ ก่อนที่มือข้างขวาของเขาจะถูกกอบกุมเอาไว้โดยอีกฝ่าย แบคฮยอนโดนลากให้เดินไปพร้อมกับมัน มือของเขาชื้นเหงื่อไปหมดจนแขยงแทนปาร์คชานยอล
แต่เชื่อสิ เขาแขยงมันมากกว่านั้นหลายเท่า
ร่างเล็กถูกยัดให้เข้ามานั่งบนแท็กซี่ ก่อนที่ชานยอลจะยื่นกระดาษใบหนึ่งให้ลุงคนขับ กลิ่นใบเตยตลบอบอวลจนแบคฮยอนเวียนหัว พอหันหลังกลับไปก็รับรู้ได้ทันทีว่าลุงแกคงมีความฝันอยากปลูกใบเตยบนรถ ถึงได้วางเอาไว้ตั้งหลายกอขนาดนั้น
“อโศก?” ลุงหันมาถามด้วยสำเนียงไทยสุดๆ และชานยอลก็พยักหน้าตอบกลับไป
“เย้ส อโศก” พร้อมกับเอ่ยตอบด้วยสำเนียงที่โคตรเกาหลีสุดๆเช่นกัน
ให้ตายเถอะ แบคฮยอนคิดถูกใช่ไหมที่ยอมมาเสี่ยงชีวิตกับไอ้คนสมองห้าสิบสตางค์แบบมัน
แต่เอาน่า.. ลองดูซักตั้งคงไม่เสียหายหรอก
มั้ง
20%
เรื่องราวน่าปวดหัวไม่ได้เกิดขึ้นแค่ที่สนามบินเท่านั้น
ความซวยประการใดของแบคฮยอนที่ทำให้เขาต้องทำเงินวอนหล่นหายบนแท็กซี่.. เอาล่ะ เดาว่าอาจจะเป็นตอนที่ล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง นับว่าเป็นความสะเพร่าของเขาเองที่ใส่เงินไว้ในกระเป๋ากางเกงแบบนี้ แต่คนเรามันจะซวยซ้ำซวยซ้อนอะไรเบอร์นั้นกันวะ สรุปว่าเขามีตังติดตัวอยู่หมื่นวอนเพราะหาในกระเป๋าเจอ แล้วพอบอกไอ้ชานยอลไป รู้มั้ยว่ามันให้กำลังใจเขายังไง
‘ว้าย สมหน้า ดีนะที่มีกูเนี่ย ไม่งั้นน้องบยอนต้องร้องไห้ไปขอร้องให้สถานทูตช่วยส่งกลับประเทศแหงๆเลย แบบ พิจ๋า หนูไม่มีตังแย้ว ฮือ พิจ๋า..’
เอาล่ะ.. นอกเหนือจากความซวยประการนั้น แบคฮยอนก็รู้สึกชื่นชมตัวเองที่คิดถูกต้องเป๊ะตามกระบวนการสมองว่าไอ้ชานยอลมันไม่มีทางญาติดีเพียงเพราะเขายอมเป็นแฟนกับมันแน่ ความกวนประสาทเหล่านั้นจะไม่จบลงเพียงแค่ที่สนามบินหรือหลังจากลงรถแท็กซี่ และตอนนี้ชานยอลก็ทำให้รู้ว่าเขาคิดถูกต้องตามนั้นเป๊ะๆทุกประการ
“มึงบ้าหรอ” แบคฮยอนขมวดคิ้ว “เตียงเล็กเท่าที่แมวฉี่ มันจะนอนเบียดกันไปได้ยังไง ประสาทแดกหรือปล่า”
“งั้นมึงก็นอนพื้นไปถ้ารับไม่ได้”
“เดี๋ยวนะ” แบคฮยอนยกมือขึ้นกอดอก “คือถ้านี่มันเป็นช่วงไฮซีซั่นกูจะไม่ด่าซักคำ ห้องก็ว่างเป็นตับ ทำไมมึงต้องให้กูมานอนเบียดกับมึงบนเตียงด้วย”
“สำเหนียกไว้ด้วยว่ามึงใช้เงินกูอยู่”
“............”
“เหลือตังหมื่นนึงแถมยังเป็นเงินวอนไม่ใช่หรอ ก็ต้องแบบนี้แหละ”
“แต่นี่มันเตียงสามฟุตนะไอ้ชานยอล มึงนอนคนเดียวก็ล้นเตียงแล้ว!”
ปาร์คชานยอลยังคงรื้อของออกมาจากกระเป๋าแล้วเก็บเข้าตู้เสื้อผ้า(ขนาดสำหรับคนเดียวเช่นกันกับเตียง) ทำหน้าตาไม่ยี่หระหรือเรียกว่าไม่แสดงออกทางสีหน้าเลยจะดีกว่า ปล่อยให้แบคฮยอนยืนทำท่าหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่คนเดียว เขากำลังไม่พอใจมากที่ไอ้ชานยอลมันไม่ยอมจองอีกห้องให้
ก็เข้าใจอยู่หรอกว่ามันจองเกสท์เฮ้าส์นี้มาตั้งแต่อยู่เกาหลีและคงจะขี้เกียจเปลี่ยน แต่ไอ้การที่ขอเปิดห้องเพิ่มอีกห้องมันจะหนักหนาอะไรวะ ยังไงเขาก็แค่ยืมตังมันใช้ เดี๋ยวยังไงกลับเกาหลีไปแล้วก็ต้องคืนให้อยู่ดีไหมล่ะ พูดอย่างกับว่าจะต้องเลี้ยงเขาไปตลอดชีวิตงั้นแหละ
“ห่า เรื่องมากนักก็ออกไปนอนโซฟาห้องนั่งเล่นไป๊” มันว่าแล้วทำท่าปัดๆมือ “แต่ระวังนะ ที่ห้องนั่งเล่นเมื่อกี้กูเห็นไอ้ฝรั่งตาน้ำข้าวนั่นจ้องตูดมึงอยู่ โดนลักหลับขึ้นมากูไม่ช่วยนะจ๊ะ”
“ไอ้ห่า! ทะลึ่ง!”
“อ้าว พูดจริงๆ มึงไม่เห็นหรอว่ามันมองมึงอะ”
แบคฮยอนทำท่าทางฟึดฟัด เถียงไม่ออกเพราะตัวเองก็เห็นเหมือนกับมันนั่นแหละ ดังนั้นเขาจึงวกกลับเข้าประเด็นเดิม “นี่กูมาขออยู่กับมึงฟรีหรือไงเนี่ย เงินอะกูก็มี เดี๋ยวก็คืนมั้ย”
“เฮ้อ” ชานยอลถอนหายใจแบบหนักหน่วง ก่อนจะยอมเงยหน้าจากสัมภาระแล้วสบตาเขา “งั้นเอางี้”
“..........”
“สลับกัน วันนึงมึงนอนพื้นแล้วกูนอนเตียง อีกวันนึงมึงนอนเตียงส่วนกูนอนพื้น โอเค๊?”
“นี่มึงจะไม่ยอมเปิดห้องให้กูจริงๆใช่ป่ะ”
“รู้แล้วถามเพื่อ?”
แบคฮยอนกัดฟันกรอด มองไอ้ชานยอลที่เลิกคิ้วแล้วเงยหน้ามองเขาอย่างกวนส้นตีนที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้เคยพบ.. แต่เย็นไว้แบคฮยอน.. ตอนนี้กำลังไม่มีตัง เพราะฉะนั้นอะไรที่พอจะยอมมันก็ยอมไป
ไอ้เรื่องที่สลับกันนอนพื้นกับเตียงก็ไม่แย่เท่าไหร่ อนุโลมได้
“เออ งั้นวันนี้กูขอนอนเตียงก่อนละกัน”
“เรื่องไรวะ กูเป็นคนจ่ายตังก็ต้องได้นอนเตียงก่อนดิ”
แบคฮยอนขมวดคิ้วฉับ แล้วไอ้ชานยอลมันจะต้องให้เขาทำยังไง โค้งให้ชนิดที่เอาหัวโหม่งพื้นเลยมั้ยมันถึงจะยอม แต่ไม่อะ ระดับแบคฮยอนแล้วไม่มีทางทำเรื่องน่าเสียฟอร์มแบบนั้นแน่
“โห่.. ชานยอลอา”
แต่เขาจะทำเรื่องเหนือความคาดหมายกว่านั้นเยอะ
“กูปวดหลังอะ.. ขอนอนเตียงหน่อยไม่ได้หรอ”
แบคฮยอนแสร้งทำหน้าตาน่าสงสารแล้วส่งสายตาเว้าวอนไปให้ปาร์คชานยอลที่ทำท่าทางเหมือนเห็นคนหนังเหนียวกำลังโชว์เจื๋อนแขน อะไรจะสยองเบอร์นั้น นี่แบคฮยอนยอมเสียฟอร์มเลยนะโว้ย!
“เอ่อ..”
“น้า..”
“........”
“น้า ชานยอล..”
“อ.. เออ!!” ชานยอลเอ่ยออกมาอย่างหัวเสีย ก่อนจะหันไปวุ่นวายกับกระเป๋าอีกครั้ง “กูนอนพื้นให้ก่อนก็ได้วะ เห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมโลกกันหรอกนะ”
“ห่า หูแดงนะมึงอะ” แบคฮยอนกลับมาตีหน้านิ่งเหมือนเดิมแล้วเบ้ปากออกมา “เหลือที่ในตู้ไว้ให้กูด้วยล่ะ”
พูดจบแบคฮยอนก็เดินไปคว้าเป้ที่มีของอัดรวมกันอยู่ในนั้นไม่ถึงสองในสี่ของสัมภาระไอ้ชานยอล แต่ก็นะ เขามันสายอินดี้ ใส่เสื้อซ้ำๆกันสองวันก็คงไม่มีใครรู้หรอก
ซะที่ไหนล่ะโว้ยยยย!
“มึง กูร้อน” แบคฮยอนบ่นอุบ ขอถอนคำพูดที่ว่าใส่เสื้อซ้ำกันสองวันได้ออกไปด่วน ลืมไปเลยว่าประเทศนี้อากาศร้อนกว่าประเทศตัวเองสิบเท่า นี่แบคฮยอนไม่ได้เพิ่งอาบน้ำมาใช่ไหม เสื้อกำลังจะชุ่มอยู่แล้ว!
“กูก็ร้อน จะบ่นทำห่าไร”
ไอ้ชานยอลว่าก่อนจะเอาพัดลมไฟฟ้าที่เพิ่งซื้อกันข้างทางคนละอันมาจ่อหน้า แบคฮยอนทำตามบ้าง แต่ไอ้เครื่องแค่นี้มันจะช่วยให้เย็นขึ้นสักเท่าไหร่กันเชียว นี่เอามือโบกยังจะเย็นกว่าเลยมั้ง
ตอนนี้เราเดินกันอยู่ริมถนนที่แบคฮยอนจำชื่อไม่ได้แล้วว่ามันคือที่ไหน.. แต่รู้ว่านั่งรถไฟฟ้ามาก็ถึงเลย ข้างทางไม่ค่อยมีอะไรหรอก คนก็เยอะ แต่รถเยอะกว่า แล้วก็มีอนุเสาวรีย์อะไรสักอย่างอยู่กลางวงเวียนด้วย
“เราอยู่ที่ไหนกันวะ”
“อา-นุ-สาว-วะ-ลี-ชัย-สะ-มอ-ละ-บูม”
แบคฮยอนเลิกคิ้วให้กับความพยายามพูดของไอ้ปาร์ค แอบพึมพำออกมานิดหน่อยว่า ‘ยาวสาด’ แต่เขาก็สาวเท้าเดินขนาบข้างไอ้ปาร์คต่อไป ขืนหลงกับมันนี่มีร้องไห้แน่ เพราะขนาดที่นี่คือที่ไหนเขายังไม่รู้เลย ไอ้อากาศนี่ก็จะร้อนอะไรนักหนา กับแดดน่ะแบคฮยอนไม่แคร์หรอก เขาไม่ใช่ประเภทกลัวดำซะหน่อย แต่ไอ้ร้อนเนี่ยไม่ไหวแล้วนะ ขอพ่นไฟทีได้มั้ย
“มึง แต่กูร้อนจริงว่ะ นี่เหมือนจะเป็นลมแล้ว” แบคฮยอนคว้าชายเสื้อของอีกคนไว้
“ไอ้ห่า เมื่อเช้าแดกไรมายังอะ”
ร่างเล็กส่ายหัวไปมา
“นี่ไงถึงจะเป็นลม” ชานยอลขมวดคิ้วแน่น คว้าข้อมือของแบคฮยอนไว้ก่อนจะออกแรงลากให้เดินไปด้วยกัน “มานี่ หาไรแดกก่อนแล้วค่อยไปต่อ”
แบคฮยอนเดินตามไอ้ปาร์คไปอย่างว่าง่าย สมองเบลอๆเหมือนจะเป็นลมแล้ว มันลากไปไหนก็ไปหมดนั่นแหละ แล้วไม่นานเขาก็โดนผลักให้มานั่งในร้านก๋วยเตี๋ยวที่คนเยอะ(แบบปานกลาง) พอพนักงานมารับออเดอร์ก็ชี้ๆนิ้วจิ้มไปในเมนู ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรและรสชาติเป็นยังไง แต่นาทีนี้อะไรก็ได้ หิว!
“นี่มึงพากูมาที่นี่ทำไม” แบคฮยอนเอ่ยถาม เขาหมายถึงอนุเสาวรีย์อะไรนี่ “ร้อนก็ร้อน คนก็เยอะ รถเยอะกว่าคน กูบอกอยากไปพารากอนก็ไม่พาไป มึงนี่มันเป็นคนยังไงวะ”
“พามาแดกเนี่ยแหละ”
“เนี่ยอะนะ”
“เออ” ชานยอลเอ่ยยืนยัน “ไอ้จีซูเพื่อนกูมันเคยมากินแล้วบอกอร่อย ผิดตรงไหนถ้ากูจะอยากมาบ้าง”
แบคฮยอนยักไหล่และหลังจากนั้นน้ำกับน้ำแข็งก็ถูกนำมาเสิร์ฟ ตามด้วยชามของอะไรสักอย่างสองชาม แบคฮยอนลองคีบเส้นมันขึ้นมาและดมกลิ่น คือก็โอเคนะ งั้นกินเลยดีกว่า
“เย้ด อร่อย!”
“เห็นมั้ย กูบอกแล้ว เรื่องอะไรก็ไว้ใจพี่ปาร์คได้”
แบคฮยอนเบะปากให้คนยอตัวเองหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยถาม “มันคือไรอะ”
“ดิส อิส อะ กวย-เตียว”
“ชื่อแปลกๆป่ะวะ” แบคฮยอนเลิกคิ้ว ก่อนจะจ้วงกวย-เตียวของไอ้ชานยอลเข้าปาก ได้ยินมันพึมพำว่า ‘แดกๆไปเถอะ’ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ นาทีนี้เรื่องกินเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะกับคนที่หิวโคตรๆอย่างแบคฮยอน
“เออ กูมีไรจะบอก”
แบคฮยอนก้มหน้าก้มตาซดน้ำซุปไม่ได้เงยหน้าขึ้นสนใจไอ้คนที่กำลังมีเรื่องจะบอกเขา “ว่า”
“กูชอบมึงอะ”
แต่พอสิ้นประโยคนั้น เสียงไอหลังจากสำลักอาหารดัง แค่กแค่ก ก็ดังขึ้นทั่วร้าน แบคฮยอนกุลีกุจอรับเอาแก้วน้ำจากไอ้ปาร์คขึ้นมาดูด ตามด้วยทิชชู่ที่มันเองก็ส่งมาให้
“อะไรวะ พูดแค่นี้ถึงกับสำลัก”
“ไอ้ห่า ก็ดูมึงดิ” แบคฮยอนขมวดคิ้ว “พูดเล่นอะไร กูตลกด้วยไหมเนี่ย ถ้าเกิดน้ำซุปย้อนขึ้นสมองแล้วกูตายห่าขึ้นมาจะทำยังไง”
“โอ๊ย เรื่องเว่อร์นี่ที่หนึ่ง” ชานยอลขมวดคิ้วบ้าง “แต่กูพูดเล่นที่ไหน ก็กูชอบมึงจริงๆอะ”
“หน้าตามึงดูน่าเชื่อถือมากอะปาร์ค”
“..............”
“คนเราเวลาชอบใครเขาจะบอกกันโต้งๆแบบนี้เลยหรอ เอาไปหลอกเด็กอนุบาลไป๊”
“กูจริงจังมากแบคฮยอน”
“...............”
คราวนี้แบคฮยอนถึงกับเงียบกริบ ชานยอลมองมาทางเขาด้วยสายตาที่จริงจังกว่าครั้งไหนๆจนต้องลอบกลืนน้ำลาย ความอึดอัดเข้าปะทะใจของแบคฮยอนทันที นี่มันพูดจริงหรอวะ แล้วเขาจะกล้าอยู่ข้างมันแบบบริสุทธิ์ใจได้ยังไงอะ
“จริงๆนะเนี่ย” มันเอ่ยบอกแล้วคว้าช้อนสั้นในชามเพื่อตักน้ำซุปเข้าปากอีกครั้ง “ชอบตั้งแต่เห็นที่มหาลัยละ ยิ่งปากเก่งๆแต่ในแชทนี่ยิ่งชอบ แต่มึงไม่ต้องใส่ใจหรอก คือจริงๆกูก็ไม่ได้แคร์เท่าไหร่ว่ามึงจะชอบหรือไม่ชอบกูอะ”
“อะไร.. อะไรของมึงวะชานยอล”
“คือกูชอบมึงแค่นั้นก็พอละป่ะ อีกอย่างกูก็ไม่ใช่พวกโรแมนติก ชอบพูดอะไรเสี่ยวๆใส่คนที่ชอบ เพราะงั้นไม่ต้องห่วงหรอก”
“..............”
“ยังไงมึงก็เป็นไอ้เตี้ยแบคฮยอนคนเดิมสำหรับกูอยู่ดี”
แบคฮยอนไม่ได้ถามว่านานเท่าไหร่แล้วที่ชานยอลชอบเขา เช่นกันกับที่ลืมถามตัวเองไปสนิทว่านอนลืมตามองเพดานแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว
วันนี้เขาได้อภิสิทธิ์ในการนอนเตียงโดยที่ปาร์คชานยอลนอนพื้น หลังจากที่มันสารภาพ.. เอ่อ.. รัก.. กับเขาว่ามันชอบเขา แบคฮยอนก็ตะขิดตะขวงใจเรื่องนี้มาโดยตลอด แม้ชานยอลจะทำท่าทางเหมือนเดิมทุกอย่าง กวนประสาท ทำหน้าเหมือนหยะแหยงเวลาเขาเผลอทำอะไรแผลงๆ แต่ความปกตินั้นก็มีความไม่ปกติแฝงอยู่
ผ่านมาสองวันแล้วแต่แบคฮยอนก็ยังคิดไม่ตก
ร่างเล็กนอนตะแคงข้าง หลุบตามองอีกฝ่ายที่นอนตะแคงหันมาทางเขาเช่นกัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไอ้นี่มันก็หน้าตาดี ความจริงแล้วกลุ่มมันก็หน้าตาดีกันหมดนั่นแหละ เสียหายหน่อยตรงที่ปากหมากันครบกระบวนความ(โดยเฉพาะมันอีกเช่นเคย) แต่ถ้าถามว่านิสัยแย่มั้ย ตลอดเวลาหลายวันที่แบคฮยอนได้อยู่กับมัน ..คำนั้นยังห่างไกล
ชานยอลไม่ได้นิสัยแย่ ถ้าหากตัดเรื่องที่มันปากหมากับชอบกวนประสาทออกไปก็คงเป็นคนนิสัยดีคนหนึ่งเลย
เหมือนอย่างเช่นวันนี้ที่มันไปตามเขาออกมาจากห้องน้ำหญิงในพารากอน(แบคฮยอนเผลอเดินเข้าไป เขาไม่รู้จริงๆนะ ถึงจะมีผู้หญิงบางคนหันมามองบ้าง แต่ก็ไม่เห็นมีใครพูดอะไร) มันเดินเข้าไปลากเขาออกมาโทงๆ ผงกหัวขอโทษแทนเขาที่ยังยืนเอ๋อยกใหญ่ แล้วมันก็บอกว่า
‘อย่าทำแบบนี้อีกนะ ถ้าไม่มีกูเค้าจะมองมึงยังไง’
แต่แบคฮยอนก็อยากจะสวนกลับไปเหลือเกินว่าผู้หญิงพวกนั้นกำลังคิดว่าเขาเป็นทอมต่างหาก..
มันไม่ได้มีแค่นั้นหรอก เหตุการณ์เล็กๆน้อยๆบางอย่างก็ประทับใจแบคฮยอนเช่นกัน เหมือนอย่างตอนที่ชานยอลเปิดขวดน้ำแล้วเสียบหลอดดูดให้ ตอนเดินเข้าร้านอาหารแล้วเอาแก้วรินน้ำให้ หรือแม้กระทั่งตอนที่ฝนตกปรอยๆแล้วอีกฝ่ายกางร่มให้เขาโดยไม่ต้องร้องขอ
ทุกอย่างมันไม่ใช่เรื่องที่คนไม่ชอบหน้ากันควรจะทำให้กันไม่ใช่หรือไง
แต่ลืมไป.. ชานยอลมันชอบเขานี่หว่า
“ชอบกูจริงๆหรอ..” แบคฮยอนพึมพำแล้วจ้องหน้าไอ้คนที่หลับสนิทอยู่ตรงพื้นข้างล่าง “มึงเนี่ยนะ?”
ไอ้คนที่เวลาอยู่เกาหลีก็ชอบปะทะคารมในแชทกับเขา..
มันเนี่ยนะจะชอบเขา?
แบคฮยอนพรูลมหายใจออกมาเล็กน้อย เขาเผลอเอื้อมมือของตัวเองไปปัดผมหน้าม้าของมันจนได้ ชานยอลขมวดคิ้วนิดหน่อยที่ถูกรบกวนการนอน แบคฮยอนหัวเราะให้กับท่าทางเหมือนเด็กแบบนั้น
ก่อนที่เขาจะสะดุ้งสุดตัว เมื่อถูกอีกฝ่ายคว้ามือเอาไว้
“เชี่ย!” ร่างเล็กเผลออุทาน ก่อนจะใช้อีกมือนึงที่ว่างอยู่ปิดริมฝีปาก ปาร์คชานยอลยังคงหลับสนิทแถมยังรั้งมือเขาไว้แบบนั้นจนแบคฮยอนต้องเขยิบตัวให้ชิดกับขอบเตียงจนจะหล่นอยู่หมิ่นเหม่
มันจับมือเขาไว้ ก่อนจะวางเอาไว้ข้างๆตัว กลายเป็นว่าตอนนี้มือของแบคฮยอนทาบทับอยู่บนมือของปาร์คชานยอลในท่าที่โคตรลำบาก และเขาโคตรเมื่อย
แต่ช่างเถอะ
นอนๆไปแบบนี้.. ก็เปลี่ยนบรรยากาศดีเหมือนกัน
จวบจนกระทั่งร่างเล็กหลับตาแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราไป และไม่ทันได้รู้เลยว่าไอ้คนที่คิดว่าหลับไปแล้วน่ะ มันดันลืมตาขึ้นมาแล้วส่งยิ้มบางๆ ก่อนจะวางมือเขาเอาไว้ข้างลำตัวเหมือนเดิมเพราะกลัวเมื่อย
เพียงไม่นาน ก็เอ่ยพึมพำออกมาเบาๆ
“กูชอบมึงจริงๆ.. แบคฮยอน”
วันเกิดของแบคฮยอนแล้ว
เป็นปีแรกที่เขาออกมาฉลองวันเกิดนอกประเทศ ตอนช่วงเช้าเขาไปวัดพระแก้วกับชานยอลมา คนเยอะแล้วก็ร้อนมากแต่ความสวยมีมากกว่า เสร็จแล้วเราก็กลับมาที่พักตอนบ่ายๆก่อนจะหลับเป็นตาย
จริงๆแล้ววันนี้เขาต้องนอนพื้น แต่ปาร์คชานยอลกลับปฏิเสธ
‘วันเกิดมึง มึงจะมานอนพื้นได้ไง ขึ้นไปนอนเตียงนู่น’
และแบคฮยอนไม่สามารถปฏิเสธได้เลย ว่าชานยอลมันเริ่มจะน่ารักในสายตาของเขาขึ้นทุกวัน
ทั้งที่มันก็ทำตัวปกติ ด่าทอและกวนประสาทเขาเหมือนเคย แต่แบคฮยอนกลับเห็นความใส่ใจของมันมากขึ้น ไม่รู้ว่าเรียกเปิดใจได้ไหม แต่เขาก็ไม่ได้ปิดกั้นและเบะปากใส่มันทุกครั้งเวลาที่สบตากันอีกต่อไปแล้ว
เขากลับมียิ้มบางๆให้กับมันแทน เหมือนอย่างเช่นตอนนี้
หนึ่งทุ่มแล้ว ชานยอลมาเขามาที่ร้านกาแฟเล็กๆแถวๆที่พักของเรา แบคฮยอนเห็นแว้บๆตอนเดินผ่าน เขาคิดจะมาลองนั่งที่นี่สักพักก่อนกลับ แล้วก็เหมือนว่ามันจะรู้ใจถึงได้พาเขามาที่นี่ซะก่อน
“คิดไงพากูมานี่วะ” เขาถามไปยิ้มไป “อย่างมึงนี่ต้องผับบาร์มั้ย”
“เอ้าไอ้หอก เห็นกูเป็นคนอย่างงั้นหรอ”
“เออ”
“จบกัน” ชานยอลเบะปาก “เดี๋ยวกูไปสั่งเค้กให้ เอาอะไรมั้ย”
“พี่ปาร์คใจดีจัง เลี้ยงกูด้วยใช่ไหม”
“ไม่เลี้ยงมึงก็ไม่มีตังจ่ายอยู่ดีป่ะวะ” คราวนี้กลายเป็นแบคฮยอนบ้างที่เบะปาก เขาบอกมันไปว่าไม่กินเค้กแต่ขอลาเต้แก้วนึง ซึ่งไอ้ชานยอลก็ทำตามอย่างไม่อิดออด
ร่างเล็กทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างร้าน เนื่องจากว่าเป็นกระจกเกือบรอบด้านจึงเห็นวิวข้างนอกชัดเจน ร้านนี้ติดกับถนนสุขุมวิท ส่วนมากวิวที่ให้จึงเป็นวิวของรถที่ขับผ่านไปผ่านมา และผู้คนที่เดินสัญจร ที่เกาหลีก็คล้ายๆแบบนี้แหละ ไม่ต่างกันมากนัก จะต่างก็ตรงร้านรวงตามริมฟุตปาธที่ไทยมีโคตรเยอะ แล้วก็การแต่งตัวของคนไทยที่สบายๆเข้ากับสภาพอากาศ
คิดถึงแม่จัง..
โอเค แบคฮยอนรู้ว่ามันไม่ใช่เวลาที่เขาจะต้องมาคิดถึงแม่ตอนนี้ แต่หลายวันที่ผ่านมามันก็ทำให้เขารู้ว่ากรุงเทพฯก็น่าเที่ยวไม่เบา ถ้าพาแม่มาแม่คงชอบแหงๆ โดยเฉพาะกวย-เตียวนั่นน่ะ คุณนายต้องชอบแน่ เพราะมีแต่กลิ่นสมุนไพรทั้งนั้น
เมื่อเช้าครอบครัวเขาทักคาทกมาแฮปปี้เบิร์ดเดย์กันครบแล้วล่ะ ไอ้พวกเพื่อนฝูงก็ด้วย มันงอนใหญ่ที่เขาไม่ยอมอยู่เกาหลีเพื่อฉลองด้วย หาว่าเขาติสท์บ้างล่ะที่บินมาเที่ยวแบบฉายเดี่ยว แบคฮยอนขอบคุณพวกมันแล้วก็ทวงของขวัญวันเกิดไปตามระเบียบ ซึ่งพวกมันก็รับปากแล้วว่าจะให้ แต่ก็คงไม่ให้อีกตามระเบียบของพวกมันเช่นกัน
ทุกคนน่ะอวยพรกันหมดแล้ว
จะเหลือก็แต่..
พรึ่บ
ความมืดมิดเข้าครอบงำทั่วทั้งร้านในตอนนั้น
แบคฮยอนเดาว่าไฟดับ แม้จะมีแสงไฟจากด้านนอกส่องสว่างเข้ามาบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้เขามองเห็นทั่วทั้งร้านชัดเจน ร่างเล็กหมุนตัวมองไปทั่วร้าน ก่อนจะเบิกตาเมื่อเห็นแสงของเทียนที่ส่องสว่างอยู่หลังเค้าน์เตอร์
อย่าบอกนะว่า..
“แซงงิลชุกคา.. ฮัมนีดา”
“............”
“แซงงิลชุกคา.. ฮัมนีดา”
เสียงร้องเพลงอวยพรวันเกิดแปร่งๆดังขึ้นมาจากหลังเค้าน์เตอร์ ก่อนที่ไม่นานเปลวเทียนพวกนั้นจะค่อยๆเคลื่อนที่เข้ามาใกล้แบคฮยอนเรื่อยๆ ร่างเล็กไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอยิ้มจนแก้มแทบปริ เขายืนขึ้นจากเก้าอี้ มองก้อนขนมเค้กที่ถูกเขียนเอาไว้ว่า ‘빠쿠헨’ (ปาคุเฮน)
และนั่นทำให้แบคฮยอนหลุดหัวเราะออกมาอย่างจริงใจ
“ซารางฮานึล.. ปาคุเฮน!”
“ย่าห์-”
แบคฮยอนกำลังจะโวยวายออกไป แต่ก็ถูกไอ้คนตัวสูงตรงหน้าส่งเสียง ‘ชู่ว’ เอาไว้เสียก่อน
“แซงงิลชุกคา.. ฮัมนีดา..”
ขนมเค้กถูกยื่นออกมาตรงหน้า และแบคฮยอนก็รู้ทันทีว่าเขาควรจะทำยังไงต่อไป ร่างเล็กยกสองมือขึ้นมากุมไว้ระดับอกแล้วอธิษฐานในใจ
บอกไม่ได้หรอกว่าอธิษฐานว่าอะไร.. เรื่องแบบนี้เขาให้เก็บไว้เป็นความลับ
ก่อนจะค่อยๆลืมตาขึ้น แล้วเบาเทียนทั้งหมดให้ดับลง แบคฮยอนคิดว่าเขาจะได้ยินเสียงปรบมือจากพนักงานดังทั่วทุกสารทิศเพราะทำเซอร์ไพร์สเขาได้เสียอีก แต่มันกลับไม่ใช่อย่างนั้น เมื่อปาร์คชานยอลวางเค้กเอาไว้ตรงโต๊ะ แล้วเอ่ยพูดกับเขา
“อธิษฐานว่าไรอะ”
“เสือก”
“ถามดีๆนะเนี่ย” มันว่าด้วยน้ำเสียงแผ่วลง
“เรื่องแบบนี้ใครเขาให้พูดกันล่ะ” แบคฮยอนพูดบ้าง “บอกไม่ได้หรอก”
มืดจนแทบมองไม่เห็นหน้าไอ้ปาร์คด้วยซ้ำ แต่จมูกกับตามันก็ยังเด่นจนทะลุความมืดได้อยู่ดี แล้วแบคฮยอนก็ยังเห็นชัดด้วยว่ามันกำลังยิ้มบางๆแบบที่ไม่เคยทำอยู่
“งั้นบอกได้ป่ะ”
“............”
“............”
“ก็บอกว่าบอกไม่ได้ไง เซ้าซี้”
“เปล่า ไม่ใช่เรื่องนั้น”
“............”
“บอกได้ป่ะ.. ว่าจะให้กูจีบได้หรือยัง”
แบคฮยอนรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาจนถึงหู มันไม่ใช่ความร้อนเพราะอยากต่อยหน้าไอ้ปาร์คเหมือนอย่างวันแรกที่เขามาเหยียบประเทศไทยอีกแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าความประทับใจเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ แต่แบคฮยอนต้องยอมรับว่าเขาดันเปิดใจให้มันเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ทั้งที่เกลียดขี้หน้ากันแทบตาย
อาจจะเป็นตอนที่มันดูแลเขา.. อย่างตอนที่กางร่มให้ก็ได้มั้ง
“แล้วทุกวันนี้..”
“............”
“ที่มึงทำนี่.. ไม่ได้เรียกว่าจีบหรอวะ”
แบคฮยอนแสร้งเอียงคอถาม ก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะแผ่วเบามาจากคนตรงหน้า ร่างทั้งร่างของเขาถูกรวบเอาไว้ในอ้อมแขนของมัน ทั้งที่เสียงหัวเราะของเราสองคนก็ยังดังอยู่แบบนั้น
“ขำห่าไร แดกกัญชาเข้าไปหรอ” เขาว่ามัน ทั้งที่ตัวเองก็ขำเหมือนกัน
“ปาก” มันว่าเสียงแข็งเหมือนตักเตือน “เดี๋ยวโดนจับขึ้นมาทำไง”
“ไม่กลัวอะ”
“............”
“เพราะถึงโดนจับ เดี๋ยวมึงก็ไปประกันตัวกูอยู่ดี”
“มั่นใจเหลือเกิน” ชานยอลผละตัวแบคฮยอนออก ก่อนจะเลื่อนมือมาวางไว้บนหัว
แบคฮยอนยิ้มไปให้ท่ามกลางความมืด
“ตกลงให้จีบได้หรือยัง”
ร่างเล็กทำหน้าครุ่นคิด แม้จะไม่รู้ก็ตามว่าไอ้คนตรงหน้าจะเห็นสีหน้าเขาตอนนี้ไหม แต่ก็ทำไปอย่างงั้นแหละ ประวิงเวลาตอบเอาไว้หน่อย ตอบไปทันทีเดี๋ยวมันจะได้ใจ
“นอกจากเรื่องที่อธิษฐานแล้วไม่ให้บอกใคร.. แม่กูก็ยังสอนมาเรื่องนึงด้วย”
“...........”
“ว่าถ้ามีคนจะมาจีบ ต้องพาไปให้แม่ดูก่อนว่าผ่านไหม”
แล้วคำตอบแบบแก่นเซี้ยวนั้นก็ทำให้ชานยอลยิ้มออกมาได้ไม่ยาก
“งั้นถ้ากลับเกาหลีเมื่อไหร่ มึงคงต้องไปหาแม่กับกูแล้วล่ะ”
แบคฮยอนพูดออกไปอย่างนั้นพร้อมกับความเขินแบบสุดๆ เขากล้าพูดออกไปได้ไงวะ แต่ก็พูดไปแล้วและก็คงย้อนกลับคืนมาไม่ได้ เงียบกันไปสักพักและแบคฮยอนก็คาดหวังว่าจะได้ยินอะไรสักอย่างจากไอ้คนที่ขอเขาจีบหน้าด้านๆ
แล้วมันก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย
“สินสอดด้วยเลยไหมล่ะ ขอแต่งไปเลย”
“พ่อง!”
“55555555555555”
ยังกวนตีนได้สมกับเป็นปาร์คชานยอล
ถ้าคบกันไปจะรอดไหมวะเนี่ย
เฮ้อ..
TALK:
โอ้ย พี่ฟามเขินพิปาร์คกับคุณเจ้าของวันเกิด เข้ามาตอบแชทกันแบบวินาทีต่อวินาที คือเราสงสัยมาเว้ยว่าเพื่อนกันจำเป็นต้องอะไรกันเบอร์นี้มั้ย คือถ้าเพื่อนเรามาแฮปเราเที่ยงคืนเราก็จะเฉยๆนะ ไปนอนก่อนแล้วลุกมาตอบมันตอนหกโมงเช้าก็ยังได้ แต่นี่อะไรคะ คำว่าไม่บริสุทธิ์ใจแปะไว้เต็มหน้า!
อ่ะพอ นี่ฟินเกินไปละ 5555555555555555555
ตอนนี้ก็คลอดออกมาแล้วตามความตั้งใจของเราที่ว่าอยากจะเขียน OS วันเกิดแบคฮยอนซักเรื่อง มันอาจจะออกมาไม่ดูเป็น OS วันเกิดเท่าไหร่ แต่ก็รับไว้พิจารณาด้วยนะคะ >< (ขอโทษด้วย มาเลทไปเป็นชั่วโมง หึก)
#น้ำผึ้งมะนาวCB
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ทีมคุณนายปาร์คค่ะ มาต่อไวๆน้าาา
แล้วนายองดูไม่ได้ใสซื่ออะไรขนาดนั้นอะ
แบคทำงี้ก็ดีไปอย่าง อะไรๆจะได้เคลียร์
ถ้าพี่ชานชอบแบคบ้าง จะได้รู้ตัวซักที
#ทีมคุณแม่ ค่ะ 55555