ตอนที่ 2 : {SF} dear my best friend [end] ♡
warning : สำหรับตอนนี้อ่านในเว็บจะได้อรรถรสกว่าค่ะ
ถ้าอ่านในแอพเกรงว่าจะงงนิดหน่อย เพราะฉะนั้นตอนท้ายๆอยากให้ตั้งใจอ่านดีๆนะคะ
ปล. อ่านในเว็บอยากให้สังเกตตัวเอียงด้วยค่ะ เผื่องงเนอะ
I have one word to say.
.
.
.
.
ความไม่คุ้นชินกับเมืองหลวงทำให้แบคฮยอนต้องมายืนอยู่คนเดียวที่ริมเสา โรงแรมใหญ่โตที่เขาไม่เคยมา.. ไม่สิ สารภาพเลยว่าเขาไม่เคยเข้ามาในโซลเลยสักครั้งนับตั้งแต่เกิด อาจจะดูบ้านนอกก็ได้ แบคฮยอนยอมรับว่าเขาเป็นคนประเภทนั้น เพราะทั้งชีวิตตลอดยี่สิบหกปีที่ผ่านมาเขาก็ใช้มันอยู่แค่ที่ปูซาน ไม่เคยได้ออกไปเปิดหูเปิดตาที่อื่นเหมือนใครเขาหรอก
จากจุดที่ยืนอยู่ แบคฮยอนมองเห็นป้ายขนาดใหญ่ที่ระบุชื่อเจ้าของงานเอาไว้อย่างชัดเจน
ปาร์คชานยอลและคิมซอนมี
แบคฮยอนยกยิ้มบางเบาให้กับสองชื่อที่เขาคุ้นเคย สองเท้าเล็กก้าวออกไปตามพื้นพรมสีแดงเลือดหมูอย่างกล้าๆกลัวๆตามประสาคนไม่คุ้นถิ่น เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตพับแขนธรรมดากับกางเกงยีนส์รัดรูปตัวเก่ง แบคฮยอนไม่รู้จะใส่อะไรดีทั้งที่นั่งคิดมาสองสามวัน สุดท้ายก็เลยเลือกเอาชุดเดิมๆที่ใส่แล้วมั่นใจที่สุดแทน
ผู้คนมากหน้าหลายตาพากันเดินขึ้นไปตามขั้นบันไดที่สูงตระหง่านตรงหน้า แบคฮยอนไม่รู้จักใครเลยสักคน แม้กระทั่งเพื่อนสนิทสมัยมัธยมที่คิดว่าชานยอลน่าจะเชิญมาก็ยังไม่พบหน้าเลย ที่เดินสวนกันไปมานี่ก็ใครไม่รู้ เขาไม่รู้จัก และตอนนี้ก็รู้สึกว้าเหว่อย่างมากอีกด้วย
อย่างน้อยก็น่าจะมีใครสักคนสิ
เพื่อนน่ะ ใครสักคนก็ได้..
“ไอ้แบค!”
เหมือนเสียงสวรรค์คุ้นหูดังขึ้น แล้วก็เป็นไปตามคาดตอนที่แบคฮยอนหันกลับไป
เจ้าของเรือนผมสีเงินเดินเข้ามาอย่างตื่นเต้น หากมันเป็นหมาตอนนี้หูกับหางคงตั้งแล้วก็สั่นกระดิกเหมือนได้เจอเจ้าของไปแล้ว แบคฮยอนยิ้มกว้าง เขาตอบรับอ้อมกอดที่แข็งแรงของอีกฝ่าย แม้ไม่ได้เจอกันนานแต่ดูเหมือนโอเซฮุนจะยังตัวเท่าเดิม
“ไม่เจอกันนานนมโตขึ้นเยอะเลยนะ”
“เดี๋ยว พูดดีๆ”
“อะไร กูหมายถึงว่าไม่เจอกันตั้งนาน มึงโตขึ้นเยอะเลยนะ”
“.....”
“คิดอะไรของมึงเนี่ย ลามก” ว่าพลางหัวเราะคิกคักจนแบคฮยอนอยากจะยกเท้าขึ้นลูบหน้ามันสักทีสองที
นอกจากขนาดตัว นิสัยก็ยังกวนเบื้องล่างของไอ้ตี๋นี่ก็ยังเป็นแบบเดิมไม่มีเปลี่ยน
“แล้วมึงมายืนเล่นเอ็มวีอะไรคนเดียวตรงนี้วะ ทำไมไม่เข้าไปในงาน” แบคฮยอนเพิ่งสังเกตเดี๋ยวนั้นเองว่าเซฮุนมันหล่อขึ้นมากโข นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไป เรือนผมสีเงินดูรับกับหน้ามันดี เขาจะพยายามมองข้ามรอยยิ้มน่าถีบของมันไปแล้วกัน
“กูเพิ่งมาเอง” แบคฮยอนปด ความจริงเขามาได้สองชั่วโมงแล้วแต่นั่งๆยืนๆอยู่ตรงล๊อบบี้
“งั้นก็ยังไม่เจอไอ้ชานอะดิ”
คนตัวเล็กพยักหน้า
“งั้นก็ไปหามันพร้อมกัน ต้องถ่ายรูปอะไรอีก เดี๋ยวเสียเวลาแดกของฟรีหมด”
ข้อมือของแบคฮยอนถูกคว้าแล้วก็ลากไปตามทางเดิน เซฮุนยังเป็นประเภทป่าเถื่อนและเอาแต่ใจ นี่ไงเขาถึงบอกว่ามันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย คนตัวเล็กเริ่มมองเห็นเพื่อนสมัยมัธยมบ้างแล้ว เมื่อกี้ที่หน้าห้องบอลลูม คิมจงอินที่เขาจำได้ว่าอยู่ห้องคำนวณก็ยิ้มกว้างให้เขาแล้วทำท่าเหมือนจะเข้ามาทัก แต่ไม่ทันความเร็วของไอ้หัวเงินที่ลากเขาผ่านหน้าไปเสียก่อน
แบคฮยอนเริ่มมองเห็นไฟซึ่งสว่างกว่าดวงอื่นๆอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก ซุ้มดอกไม้เริ่มปรากฏให้เห็น มันเป็นดอกไม้สีขาวเหมือนอย่างที่หนึ่งในเจ้าของงานชอบ พร้อมกับลูกโป่งสีพาสเทลที่อีกฝ่ายเคยบอกว่าถ้าได้แต่งงานจะเอามาลอยให้เต็มเพดาน เพราะรู้ว่าเจ้าสาวของมันจะต้องชอบลูกโป่งพวกนั้นอย่างแน่นอน
แบคฮยอนรู้สึกยินดีที่ชานยอลได้ทำตามใจต้องการ
แม้ตัวเขาเองจะแพ้ยางลูกโป่งก็ตาม
“มึงแพ้ยางนี่” คนผมเงินหันมาพูดกับเพื่อนซี้
แบคฮยอนเป็นประเภทป่วยง่ายแพ้ง่าย เซฮุนจำได้ว่าตอนนั้นมีงานคริสต์มาสซึ่งลูกโป่งลอยเต็มไปหมด แบคฮยอนเผลอไปสัมผัสมันเข้า ถึงกับต้องลาโรงเรียนสามวันเพราะผื่นแดงเห่อไปทั้งตัว
“ไม่เป็นไร มันลอยอยู่ ยางคงไม่ระเหิดมาโดนกูหรอกมั้ง”
เซฮุนยักไหล่ในขณะที่เราสองคนยืนอยู่บริเวณซุ้มสำหรับถ่ายภาพกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวแล้ว
เขาเห็นคิมซอนมีในชุดเจ้าสาวกำลังยกทิชชู่ขึ้นซับหน้าเจ้าบ่าวของเธอ ชายหนุ่มที่ยืนหันหลังอยู่นั้นเป็นคนที่แบคฮยอนคุ้นเคย เขาจำได้แม้กระทั่งลาดไหล่กว้างที่เขาเคยซบลงไปตอนนั่งรถบัสไปออกค่ายที่ต่างจังหวัด หรือจำได้แม้กระทั่งเส้นผมของอีกคนที่เขาเคยสางเล่นตอนที่มันนอนหนุนตักเขา
แม้จะมีเป็นร้อยคนที่ยืนหันหลังให้ แต่แบคฮยอนก็จำปาร์คชานยอลได้ดีกว่าใคร
“คนเยอะว่ะ หรือเราจะเข้าไปแดกนิดหน่อยแล้วค่อยออกมาถ่ายดีอะ” เซฮุนสะกิดศอกเขาเบาๆ แต่แบคฮยอนก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ถ่ายไปเนี่ยแหละ”
เพราะเขาอาจจะไม่ได้เข้าไปร่วมนั่งแสดงความยินดีกับเพื่อนทั้งสองเหมือนอย่างที่ตั้งใจอีกแล้ว
“โอ๊ะ แบคฮยอน เซฮุน?”
คิมซอนมีอุทานขึ้นมาตอนที่เห็นพวกเขา
เซฮุนส่งยิ้มไปให้หล่อน ในขณะที่แบคฮยอนไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร ในตอนนี้เขาอยากจะหันหลังกลับแล้วเดินออกไปเสียด้วยซ้ำหากเป็นไปได้ ทั้งที่เตรียมตัวมาอย่างดีว่าถ้าหากได้เจอกับคู่บ่าวสาวในวันนี้อีกครั้งเขาจะต้องทำตัวให้แนบเนียนและเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดให้กับสองคนนี้ได้
“มาถ่ายรูปก่อนสิ!”
แต่ตอนนี้มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น
ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะไม่กล้าเข้าหน้าคิมซอนมีเนื่องจากสร้างวีรกรรมพูดเป่าหูเจ้าหล่อนเอาไว้เยอะ
“แบคฮยอนอ่า!”
หรือเป็นเพราะสายตาของคนที่คิดถึงมาตลอดเจ็ดปีซึ่งกำลังมองมานั่นกันแน่
“สีพาสเทล”
“…..”
“ลูกโป่ง.. สีพาสเทล ลอยเยอะๆให้เต็มเพดาน”
“.....”
“ตอนนั้นเจ้าสาวของฉันคงจะกรี๊ดแล้วก็ยิ้มดีใจแน่ๆ”
“.....”
“เพราะใครๆก็ชอบลูกโป่งทั้งนั้น”
คำพูดของชานยอลลอยเข้ามาในสมองอีกครั้งเมื่อแบคฮยอนเหลือบตามองไปยังเพดานที่มีแต่ลูกโป่ง สลับกับมองหน้าคิมซอนมีในชุดเจ้าสาวซึ่งยิ้มกว้างและดูมีความสุขอยู่ไม่ไกล
คิมซอนมีเป็นพวกชอบของน่ารักสวยๆงามๆ เพราะเจ้าตัวเป็นพวกสาวหวาน สีที่ชอบมักจะเป็นพวกสีอ่อนๆ แบคฮยอนรู้เพราะดูจากกระเป๋าสะพายเอย พวงกุญแจห้อยโทรศัพท์เอย รองเท้าเอย หรือแม้แต่ต่างหูรูปกระต่ายสมัยเรียนมัธยมปลาย ทุกอย่างของซอนมีล้วนเป็นสีชมพูอ่อน ฟ้าอ่อน และสารพัดสีอ่อนๆทั้งสิ้น
ตอนนั้นเองที่แบคฮยอนทบทวนและเข้าใจได้ว่าเจ้าสาวในอนาคตที่ปาร์คชานยอลอยากให้เป็นคนนั้นคือใคร
ไม่ใช่เขาที่ไม่ถูกกับยางลูกโป่งเสียหน่อย
“แบคฮยอน!” เสียงเซฮุนตะโกนทำให้แบคฮยอนสะดุ้ง “ยืนเป็นหุ่นมาดามทุสโซ่เลยมึงนี่ ไปถ่ายรูปกันได้แล้ว”
เซฮุนทำหน้ามุ่ยแล้วแบคฮยอนก็รู้ดีว่าเป็นเพราะมันหิวข้าว คนตัวเล็กได้แต่เดินไปตามแรงชักจูง เขาไม่ได้มองหน้าปาร์คชานยอลเลยด้วยซ้ำ แม้จะรู้ว่าเพื่อนสนิทนั้นมองมาที่เขาอยู่นานแล้ว
เสียงชัตเตอร์ถ่ายรูปดังขึ้นสองสามรอบ แบคฮยอนทำได้แค่ยิ้มแกนๆไปให้กล้องเท่านั้น จนกระทั่งช่างภาพบอกว่าการถ่ายภาพเสร็จสิ้น
“ดีใจที่มึงมานะไอ้ฮุน” ชานยอลตบบ่าเซฮุนดังแปะ “แกด้วยนะแบคฮยอน”
ก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้กับเขา
แบคฮยอนทำได้เพียงยิ้มกลับไปเท่านั้น เขามองเห็นความสุขที่ล้นออกมาทางแววตาของชานยอลซึ่งมองมาด้วยความรู้สึกแบบเดิม ชานยอลยังเป็นเหมือนเดิม ผมสีดำสนิททำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงต้องเคยย้อมผมสีอ่อนเหมือนที่เขาเดาเอาไว้มาก่อน แต่กำลังจะแต่งงานเลยต้องทำสีผมให้ดูเรียบร้อย
เขารู้ว่าไอ้โยดาของเขามีความสุขมากแค่ไหนกับวันสำคัญในวันนี้ เจ้าตัวแสดงออกอย่างชัดเจนว่ารักใคร่เจ้าสาวของตัวเองแค่ไหนและดีใจแค่ไหนที่ได้หล่อนมาเป็นภรรยา
แบคฮยอนก็มีความสุข เขามีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นชานยอลมีความสุข
แม้ความสุขของชานยอลจะไม่ได้มีเขาประกอบอยู่ในนั้นอย่างที่เคยวาดฝันเอาไว้ก็ตาม
“ไม่คิดเลยว่าแกจะมาจริงๆเหมือนที่บอกในจดหมาย” ชานยอลยิ้มแซว “แต่ก็ขอบใจมากนะ”
แบคฮยอนเพียงแค่พยักหน้ากลับไปเท่านั้น เซฮุนชวนชานยอลคุยด้วยท่าทางทะเล้นที่ทำให้แบคฮยอนยิ้มขำตามได้ไม่ยาก ภาพวันเก่าๆในตอนที่พวกเราสนิทกันเหมือนตังเมลอยเข้ามาในสมองของแบคฮยอน แน่นอนว่าเขาโหยหาวันเวลาเหล่านั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าเราคงไม่สามารถจะกลับไปยืนตรงนั้นได้อีกแล้ว
“เข้าไปรอกันข้างในก่อนนะ เดี๋ยวไปหาที่โต๊ะ” ชานยอลพยักเพยิดหน้าเป็นเชิงเชิญชวน
แต่แบคฮยอนกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ดีกว่า”
“….”
“ฉันต้องกลับแล้ว”
แบคฮยอนยิ้มให้กับเพื่อนสนิทเป็นหนสุดท้าย
เพราะเพียงแค่ได้เห็นเพื่อนยังเหมือนเดิม ได้เห็นว่าดวงตะวันของเขายังคงสดใสเหมือนเดิม
เท่านั้นก็เพียงพอ
งานเลี้ยงเลิกราแล้ว และปาร์คชานยอลกับคิมซอนมีกำลังนั่งอยู่ในห้องหอของตัวเอง
แม้ตามละครหรือหนังภาพยนตร์ทั่วไปจะมีฉากสวีทสำหรับการเข้าห้องหอครั้งแรกสำหรับคู่บ่าวสาว แต่สำหรับชานยอลและซอนมี เราต่างก็รู้ดีว่าเราเหนื่อยเกินกว่าที่จะมาทำเรื่องอย่างว่ากันแล้ว ตอนนี้ทั้งคู่ต่างก็อยากนอน อยากจะหลับไปทันทีหากเป็นไปได้
ซอนมีนั่งเช็ดเครื่องสำอางอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้ง ในขณะที่ชานยอลยกยิ้มให้หล่อนผ่านกระจก
“ยิ้มอะไร?”
“มีความสุขน่ะ” ชานยอลหัวเราะในลำคอ “ไม่น่าถาม”
เขาเดินเข้าไปจับไหล่ของภรรยาหมาดๆ ซอนมีเองก็ยกยิ้มให้เขาผ่านทางกระจก แต่แววตาของหล่อนมันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่หนักใจและรู้สึกอยากจะพูด
“มีอะไรหรือ” แล้วแน่นอนว่าชานยอลก็เอ่ยถาม
ซอนมียิ้มบางๆ หล่อนเดินจูงมือสามีให้มานั่งที่เตียงด้วยกัน มือสองข้างของหญิงสาวกอบกุมมือขวาของชานยอลเอาไว้ ก่อนที่จะยกยิ้มอีกครั้ง
“ฉันมีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังน่ะ”
“.....”
“วันนี้เจอหน้าแบคฮยอนก็เลยนึกขึ้นได้” คราวนี้ซอนมียิ้มจนตาปิด
และชานยอลรู้สึกฉงน
ร้อยวันพันปีคิมซอนมีไม่เคยพูดถึงเพื่อนสนิทของเขาทั้งแบคฮยอนและเซฮุนทั้งที่ก็เรียนด้วยกันมา แต่คราวนี้ชานยอลคิดว่าหล่อนอาจจะพูดถึงในเรื่องที่แบคฮยอนได้สารภาพกับเขาผ่านทางจดหมายไปแล้ว ซึ่งถ้าเป็นเรื่องนั้นจริง ชานยอลจะหัวเราะแล้วบอกให้เธอยกโทษให้แบคฮยอนซะ
เพราะแบคฮยอนน่ะ
“แบคฮยอนน่ะ.. เคยชอบนายนะ”
ใจดี.. จะตาย..
ชานยอลชะงักรอยยิ้ม เขาจ้องมองลงไปในแววตาของหญิงสาวที่ไม่ได้มีท่าทีปิดบังอะไร ซอนมีหัวเราะเบาๆก่อนจะก้มลงหลุบสายตามองมือที่กอบกุมกันอยู่
“ตอนนั้นแบคฮยอนเอาแต่เดินเข้ามาบอกฉันว่าให้เลิกยุ่งกับนาย”
เรื่องนี้ชานยอลรู้ เพราะแบคฮยอนเล่าให้เขาฟังหมดแล้ว
“พูดแล้วพูดอีกว่ายังไงนายก็จะไม่มีวันรับรักฉัน”
“….”
“ฉันถามหาเหตุผล ก็ไม่มีคำตอบ แบคฮยอนไม่ตอบคำถามนั้นเลย”
“.....”
“จนกระทั่งวันนั้น.. วันที่แบคฮยอนเอาแต่ร้องไห้แล้ววิ่งมาหาฉัน”
“…..”
“แล้วก็พูดว่า”
‘ช่วยเลิกชอบชานยอลทีได้ไหม’
‘มันกำลังจะชอบเธอแล้วนะ’
‘ทั้งๆที่ฉันน่ะ..’
“ฉันน่ะ.. ชอบมันยิ่งกว่าใครๆ”
“....”
“แบคฮยอนพูดแบบนั้นล่ะ”
ชานยอลรู้สึกหายใจติดขัด หัวสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะแล้วในไม่ช้าภาพของเพื่อนสนิทก็แล่นเข้ามาในหัว
วันนี้ที่เห็นแบคฮยอน เขาดีใจจนอยากจะวิ่งเข้าไปกอดอีกฝ่ายแรงๆเหมือนอย่างที่เคยทำ แบคฮยอนยังตัวเล็กเหมือนเดิม ผมสีน้ำตาลแบบเดิมเหมือนไม่เคยไปยุ่งอะไรกับมันเลย เสื้อเชิ้ตพับแขนกับกางเกงยีนส์รัดรูปก็ไม่ได้ช่วยทำให้แบคฮยอนดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเท่าไหร่นัก
ที่สำคัญ ดวงตาของแบคฮยอนก็ยังเหมือนเดิม หางตาตกๆกับรอยยิ้มเหมือนลูกหมาแบบที่เขาชอบ
มันยังเหมือนเดิม
“ฮะๆ” ซอนมีหัวเราะเบาๆ หล่อนช้อนตามองเขาแล้วยิ้มให้บางๆ “รู้ไหมว่าตอนนี้นายทำหน้ายังไงอยู่”
ชานยอลขมวดคิ้วบางๆ
เขาไม่รู้หรอก
เพราะแม้กระทั่งเงาของตัวเองในสายตาของซอนมีที่ชัดเจน เขาก็มองไม่เห็นเช่นกัน
“แย่จังนะ.. ฉันมันแย่จริงๆที่ไม่ยอมบอกนายตั้งแต่เมื่อเจ็ดปีที่แล้ว”
“.....”
“เพราะตอนนี้ฉันมองเห็นแบคฮยอนในตาของนายเต็มไปหมด”
เพราะสิ่งเดียวที่เขาอยากจะมองเห็น
“เหมือนอย่างเมื่อเจ็ดปีที่แล้วไม่มีผิดเลย”
ไม่ใช่คนตรงหน้าเสียหน่อย
แรงกระชับที่บีบลงมาเบาๆยังมือข้างขวาของเขาทำให้ชานยอลต้องเสตาหลบไปทางอื่น แม้ความรู้สึกสับสนที่ประดังประเดเข้ามาในใจจะมากมายแค่ไหน
แต่มันก็นำมาซึ่งความรู้สึกผิด
“ทั้งที่รู้ว่าจริงๆแล้วนายน่ะไม่ได้สนใจฉันเสียหน่อย”
“....”
“แต่ฉันก็ยังจะตื๊อนายอยู่ได้”
ชานยอลไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไปกับความรู้สึกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ภรรยาของเขาพูดออกมา
“ฉันรั้งนายไว้นานเกินไปแล้วหรือเปล่านะ ปาร์คชานยอล?”
มันเป็นประโยคเดียว ที่ทำให้เขาต้องตัดสินใจ
2 เดือนถัดมา
ปูซาน, เกาหลีใต้
.
แบคฮยอนเรียงโปสการ์ดหน้าร้านให้เป็นระเบียบในเวลาแปดโมงเช้า เริ่มจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงเต็มทีจึงทำให้นักท่องเที่ยวหนาตามากกว่าปกติ วันนี้ร้านของเขาคึกคักและคับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างชาติ
บ้านของแบคฮยอนเปิดร้านขายโปสการ์ดและของที่ระลึกมาได้สักพักแล้ว ร้านของเราอยู่ติดริมทะเล แบคฮยอนชอบทะเลโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาตอนกลางคืนที่แสงของดวงจันทร์จะกระทบกับผิวน้ำจนมีดวงจันทร์สองดวงลอยอยู่ นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาไม่อยากจากปูซานไปไหน
แบคฮยอนเรียงโปสการ์ดใบสุดท้ายให้เข้าที่ ร่างเล็กในคราบผ้ากันเปื้อนสีเหลืองสดเดินเข้ามาในร้าน หากเสียงเรียกแหลมๆของเด็กสาวกลับฉุดรั้งเขาไว้เสียก่อน
“พี่แบค!!” บยอนโบรัมเอ่ยเรียกเสียงใส “มีจดหมายมาส่งแน่ะ!”
“ของพี่หรอ”
“ใช่สิ ของพี่นั่นแหละ” โบรัมน้องสาวของเขายิ้มกว้าง “ทายซิใครส่งมา”
แบคฮยอนขมวดคิ้วเล็กน้อย บยอนโบรัมเป็นเด็กสดใสที่ชอบแกล้งพี่ชายของตัวเองซึ่งก็คือเขา “มาถามแบบนี้พี่จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ”
“ย่าห์ เดาสักหน่อยสิ”
“ไม่อะ” แบคฮยอนส่ายหัวอย่างเอือมระอา “เอามาได้แล้วเร็ว พี่ต้องเข้าไปทำงานต่อนะ”
โบรัมย่นจมูก แต่สุดท้ายก็ยอมวางจดหมายลงบนมือของเขาที่ยื่นออกไปรับ
“หนูว่าพี่ต้องดีใจแน่”
โบรัมยิ้มกว้างจนแบคฮยอนเห็นฟันของเธอเกือบครบทุกซี่
“เพราะนั่นน่ะ จ่าหน้าซองว่าส่งโดยปาร์คชานยอลล่ะ”
แบคฮยอนแกะจดหมายที่ส่งมาจากโซลอย่างทะนุถนอม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามือของเขาไม่ได้สั่นในตอนที่หยิบกระดาษเอสี่แผ่นสีขาวออกมา เขารู้สึกดีใจที่อย่างน้อยชานยอลก็ยังส่งจดหมายมาให้ ไม่ได้ลืมเขาไปในตอนที่ตัวเองมีครอบครัวแล้ว
แค่นี้ก็ยังดี
‘ถึง บยอนแบคฮยอน
สวัสดีแบคฮยอน
ตอนมัธยมปลายปีสุดท้ายที่แกถามฉันว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปได้ไหม จำได้ไหมว่าฉันตอบแกไปว่าอะไร
“ได้เสมอถ้าแกต้องการ”
แกคงคิดว่าฉันพูดจาเพ้อเจ้อถึงได้หัวเราะออกมาแบบนั้น บอกฉันซ้ำๆว่ายังไงมันก็คงไม่มีทางเป็นจริงไปได้หรอก ความจริงแล้วฉันไม่ได้คิดจะล้อเล่นหรอกนะ ถึงแม้ว่าตอนนั้นฉันจะหัวเราะตามน้ำกับแกไปด้วยก็ตาม
เพราะทุกครั้งที่แกคิดถึงฉัน ได้โปรดเชื่อเอาไว้ว่าฉันเองก็คิดถึงแกเหมือนกัน’
แบคฮยอนยกยิ้มออกมา เขารู้สึกว่าไม่ได้ยิ้มแบบนี้มานานแล้ว แน่ล่ะ เพื่อนของเขามันปากหวานและคารมดีจนสาวๆต้องเหลียวหลัง ไม่อย่างนั้นคิมซอนมีดาวโรงเรียนคนสวยคนนั้นจะตามติดหนึบมันหรือ
‘จากวันที่แต่งงานก็ผ่านมาราวๆสองเดือนแล้ว
คิมซอนมีดูแลฉันอย่างดีและไม่มีขาดตกบกพร่อง ทุกเช้าฉันจะได้รับกาแฟใส่นมแบบที่ชอบโดยฝีมือของหล่อน แล้วมื้อเย็นตอนกลับมาจากทำงานก็จะมีอาหารที่ฉันชอบวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ แม้รสชาติมันจะไม่ได้เรื่องแต่ฉันก็ชื่นชมในความพยายามของหล่อนจริงๆ’
ความรู้สึกยินดีแทรกซึมเข้ามาในหัวใจดวงเท่ากำปั้นของแบคฮยอน เขายกยิ้มบางๆขณะที่อ่านจดหมายของเพื่อนสนิทไปด้วย มันถือเป็นเรื่องราวดีๆที่มีคนดูแลชานยอลได้ รายนั้นทำอาหารไม่ได้เรื่องและไม่คิดแม้แต่จะแตะ แต่ถ้าคิมซอนมีคิดอยากจะทำอาหารแม้รสชาติจะไม่ได้เรื่อง แต่แบคฮยอนคิดว่าสักวันหนึ่งหล่อนจะทำได้ดี
เหมือนอย่างเขาที่ตอนแรกก็ทำอาหารไม่เป็นหรอก แต่สุดท้ายก็พยายามทำสปาเก็ตตี้ครีมซอสให้ชานยอลได้ชิมเป็นคนแรก
แต่ไอ้บ้านั่นไม่รู้หรอกนะว่าเขาต้องหมดสปาเก็ตตี้ไปตั้งกี่ห่อกว่าจะได้รสชาติดีแบบที่มันชอบอย่างนั้นออกมา
ไม่มีเหตุผล.. เขาก็แค่อยากทำ
‘แต่นั่นมันก็แค่สองอาทิตย์แรกเท่านั้นเองแบคฮยอน’
สองอาทิตย์แรก?
‘คิมซอนมีเป็นคนที่มีความพยายามสูงจริงๆ ฉันชื่นชมหล่อนมาโดยตลอด แม้กระทั่งอาหารเย็นมื้อสุดท้ายที่ซอนมีทำให้ฉันกิน
มันคือเมนูสปาเก็ตตี้ครีมซอส’
แบคฮยอนรู้สึกอุ่นวาบไปทั้งหัวใจเมื่อได้อ่านประโยคดังกล่าว
‘คิมซอนมียกยิ้มให้ฉันบางๆในตอนนั้นแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา จนกระทั่งฉันกินสปาเก็ตตี้จานนั้นเสร็จ หล่อนก็เอ่ยออกมาจนฉันแทบจะร้องไห้ตรงนั้น
“บางทีฉันก็ควรจะปล่อยนายไปได้แล้ว”
“....”
“สปาเก็ตตี้นั่นอร่อยไหม” หล่อนยกยิ้มอย่างจริงใจมาให้ “เพื่อนสนิทของนายบอกมาน่ะว่าฉันควรจะทำยังไงเพื่อให้นายถูกใจมากที่สุด”
“....”
“แล้วฉันก็เลือกมันมาเป็นเมนูสุดท้าย”
“....”
“สำหรับชีวิตคู่ของเรา”
“เลิกกันเถอะชานยอล”
หล่อนว่าอย่างนั้น’
แบคฮยอนมือสั่นจนแทบจะทำกระดาษร่วงหล่นลงพื้น
เมนูสปาเก็ตตี้ครีมซอสนั่นเป็นของเขาเอง
วันสุดท้ายของการเป็นนักเรียนมัธยมปลาย คิมซอนมีเดินเข้ามาถามเขาว่าควรจะทำอาหารอะไรให้ชานยอลกินดี เผื่อวันหนึ่งได้เป็นเจ้าสาวของชานยอล หล่อนจะทำอาหารที่ชานยอลชอบให้ชานยอลทานในวันสำคัญ
ทั้งที่คิมซอนมีน่ะรู้ดี
รู้ว่าเขากำลังรู้สึกยังไง
ตอนนี้แบคฮยอนกำลังสับสนและตกใจไปพร้อมๆกันที่เรื่องมันดำเนินมาถึงขั้นนี้ เขาคิดว่าระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาจะทำให้ชีวิตคู่ของซอนมีและชานยอลเป็นไปได้ด้วยดี พร้อมทั้งอีกใจหนึ่งที่รู้สึกสงสารคิมซอนมีขึ้นมาเหลือเกิน
‘เอาล่ะ รู้นะว่าแกกำลังด่าฉันในใจ แต่ขอสาบานอย่างสัตย์จริงว่าฉันไม่ได้ทำตัวเละเทะจนซอนมีรับไม่ไหวแล้วรีบขอเลิกแน่นอน ฉันไม่ได้แย่ถึงขั้นนั้นนะ แถมหน้าที่การงานก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ด้วย
แต่ทุกอย่างมันเป็นเพราะแก’
เพราะฉัน.. งั้นหรอ?
‘ฉันเคยบอกเรื่องหนึ่งกับคิมซอนมีในตอนนั้นที่เราไปค่าย ช่วงเช้าวันหนึ่งหล่อนเอาแต่เดินตามฉันเป็นเงาชนิดที่ไม่อยากให้ห่างกาย ฉันรำคาญและรู้สึกสงสารหล่อนไปในเวลาเดียวกัน แต่สุดท้ายหล่อนก็ควรจะได้รู้เรื่องสำคัญ ฉันจึงตัดสินใจพูดออกไป
“ฉันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว” พอฉันพูดจบคิมซอนมีก็ทำหน้าตาผิดหวังออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“......” หล่อนเงียบ แล้วฉันก็เห็นแล้วว่าหล่อนกำลังจะร้องไห้
“เธอควรจะตัดใจ-”
“ใครหรอ”
“.....”
“ใครคือคนที่นายชอบหรอ”
พอฉันบอกออกไปว่าใครคือคนที่ชอบ ซอนมีก็เดินหายไปเลย
ไม่มาตามเกาะแกะฉันเป็นอาทิตย์ แต่ก็นะ สุดท้ายแล้วคิมซอนมีก็ยังเป็นคิมซอนมีคนเดิม ผ่านไปไม่นานหล่อนก็ตามมาเกาะหนึบฉันเหมือนเดิมอยู่ดี
ฉันคิดว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้หล่อนหายไป.. ไม่ใช่เรื่องที่แกไปโกหกเธอว่าฉันชอบเซฮุนนั่นหรอก’
แบคฮยอนนึกสงสัยขึ้นมาฉับพลันว่าใครกันที่ชานยอลชอบในสมัยมัธยมปลาย
เขาไม่เห็นว่ามีใครจะเข้าข่ายหรือน่ารักจนสะดุดตาชานยอล ในขณะเดียวกันเพื่อนสนิทของเขาก็ไม่เห็นจะเคยบอกอะไรเขาเลย
เขาควรจะโกรธชานยอลดีไหมนะ
‘สงสัยอยู่ใช่ไหมล่ะว่าใครคือคนที่ฉันชอบ?’
ใช่ สงสัยมากด้วย
‘แกจำลูกโป่งที่ลอยอยู่เต็มงานแต่งของฉันได้ไหม
อาจจะซับซ้อนหน่อยแต่สีพาสเทลพวกนั้นมันมีความหมาย เหมือนอย่างที่ฉันเคยบอกแกว่าเป็นใครก็ต้องชอบลูกโป่ง แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่หรอก อย่างเช่นแกไง อย่างแกคงจะชอบลูกโป่งไม่ได้เพราะแกแพ้มัน
ฉันจำได้หรอกน่า แกเคยโดนลูกโป่งแล้วผื่นขึ้นเต็มตัวเลยไม่ใช่หรือไง
ตอนนั้นแกถามฉันว่าอยากให้งานแต่งงานในฝันเป็นไปในรูปแบบไหน
“สีพาสเทล”
“พาสเทล?”
“ใช่”
เพราะฉันคิดว่าสีพาสเทลมันน่ารัก
“ผู้หญิงทุกคนชอบสีพาสเทลกันทั้งนั้น”
แล้วมันก็เหมาะกับแกเหลือเกิน
“แต่นั่นมันเป็นสีของผู้หญิง แกไม่คิดจะคุมโทนสีเทาแบบที่แกชอบหรอ”
“ถามอะไรของแกน่ะ” ฉันยกมือขึ้นเขกหน้าผากแกไปหนึ่งที ข้อหาถามคำถามไม่คิด “สีเทามันขมุกขมัว.. เดี๋ยวชีวิตคู่ของฉันก็ไม่ราบรื่นน่ะสิ”
แต่ความจริงแกไม่ชอบสีเทาใช่ไหมล่ะ นั่นล่ะสาเหตุที่แท้จริง
“ลูกโป่ง.. สีพาสเทล ลอยเยอะๆให้เต็มเพดาน”
ฉันตอบกลับไปแบบนั้น เพราะกลัวแกจะโยงจนจับได้
“.....”
“เพราะใครๆก็ชอบลูกโป่งทั้งนั้น”
ทั้งที่ความจริงแล้ว คำว่าลูกโป่งในงานแต่งไม่เคยมีอยู่ในหัวของฉัน นับตั้งแต่วันที่รู้ว่าแกแพ้ยางของมัน’
แบคฮยอนยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปากของตัวเองเอาไว้พร้อมกับน้ำตาที่คลอเต็มทั้งสองหน่วยตา ความรู้สึกสับสนทำให้เขารู้สึกชาวาบไปทั้งตัว
แบคฮยอนไล่สายตาอ่านไปเรื่อยๆทีละตัวอักษรราวกับจะซึมซับความรู้สึก
‘เอาล่ะบยอนแบคฮยอน’
พร้อมกับหัวใจดวงเล็กที่อบอุ่นเหมือนถูกโอบกอดเอาไว้
‘ถึงตอนนี้ ก็ได้เวลาอันสมควรที่ฉันจะบอกความจริงซึ่งเก็บมาตลอดเจ็ดปีเสียที’
เหมือนอย่างตอนนั้นที่เขาได้มองตากับชานยอล
‘ฉันจะเขียนมันผ่านทางตัวอักษรไปแค่ครั้งเดียว’
แล้วในตอนนี้เขาก็รู้แล้ว
‘แล้วถ้าแกอยากได้ยินจากปาก ก็รีบเข้าโซลมาหาฉันด่วนเลยเข้าใจไหม’
ว่าสิ่งที่เขาอยากจะบอก
‘ฉันน่ะ..’
คือเขาน่ะ
‘รักแกตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันแล้ว บยอนแบคฮยอน’
รักปาร์คชานยอลมากเหลือเกิน
END
งงตรงไหนบอกได้ทันทีนะคะ เพราะเราเชื่อว่าต้องมีคนงงแน่ๆ 5555555 จะตามอธิบายให้ค่ะ
ประเดิม SF เรื่องแรก จริงๆแล้วมันเป็นความรู้สึกที่อยากเขียนแนวจดหมายบ้าง
อยากให้จินตนาการถึงยุคที่เรายังไม่มีไลน์ การติดต่อไม่ทันสมัยเหมือนอย่างตอนนี้นะคะ
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ เรื่องใหม่จะตามมาในไม่ช้า
อ้อ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ดีๆด้วยค่ะ น่ารักจังเลยย ><
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อยู่ๆก็ฟูขึ้นมาจนล้นห้อง55555
ตั้งเเต่เรื่องต้องดวงใจเเล้ว!!!!!
555555ตื่นเต้นดีชอบมัคๆเลย