ตอนที่ 16 : {SF} (happy) new year - 1
เหมือนจะรู้จักกันดี
.
.
.
ตีหนึ่งสามสิบหกนาที
ร่างสูงใหญ่เดินอย่างงัวเงียมาจนถึงหน้าห้องพักหมายเลข 461 มือหนาควักคีย์การ์ดขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ของตัวเองก่อนจะรูดลงไปที่ประตู เสียงเตือนดังขึ้นหนึ่งครั้งก่อนระบบปลดล็อคอัตโนมัติจะทำงาน ขายาวเดินเข้าไปในห้องพักขนาดกลางที่มีห้องน้ำและห้องครัวในตัว มีเตียงสองเตียงตั้งอยู่คนละฝั่ง ดังนั้นคงไม่ต้องบอกว่ามันเป็นห้องพักสำหรับสองคน
เขาถอดรองเท้าออกเป็นอันดับแรกก่อนจะถอดถุงเท้าแล้วยัดใส่ในรองเท้าเป็นอันดับถัดมา พาร่างที่เกือบจะไร้สติของตัวเองเดินมายังส่วนด้านในของห้อง ในเวลาที่ง่วงงุนขนาดนี้เตียงนอนคงเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถดึงดูดความสนใจของเขาได้ ร่างสูงลากสังขารตัวเองไปยังเตียงฝั่งขวาที่ถูกปูด้วยผ้าปูที่นอนสีน้ำตาล กำลังจะทิ้งตัวลงนอน หากแต่สายตาดันไปสะดุดกับร่างของใครบางคนที่ยังนั่งอยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือเสียก่อน
ฝั่งตรงข้ามเตียงของเขาเป็นเตียงที่ถูกปูด้วยผ้าปูสีขาวสะอาด ข้างเตียงมีโต๊ะเขียนหนังสือที่หันหน้าเข้าฝาผนังและตอนนี้กำลังถูกใช้งาน ร่างเล็กๆนอนฟุบลงไปกับโต๊ะพร้อมกับจอแมคบุ้คที่ยังคงเปิดค้างเอาไว้ หน้าจอไม่ปรากฏอะไรนอกจากภาพของเจ้าตัวที่กำลังยิ้มแฉ่ง ซึ่งเขาเองก็เคยเห็นมันมาหลายครั้งแล้ว
ชานยอลชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าเขาควรจะทำอย่างไรกับเพื่อนร่วมห้องที่กำลังนอนอยู่ตรงนั้นดี เพราะวันนี้อากาศก็หนาวอยู่พอสมควร บางทีการเอาผ้าห่มไปคลุมให้อีกคนก็คงไม่ใช่เรื่องแย่นัก หรือไม่ก็เรียกให้มานอนบนเตียงดีๆ เพราะขืนยังนอนท่านี้ต่อไปวันรุ่งขึ้นอีกคนจะต้องปวดที่ต้นคออย่างแน่นอน
ชานยอลลังเล แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไม่ทำทั้งสองช้อยส์ แล้วตัดใจเดินมานอนบนเตียงของตัวเองแทน แทบจะไม่ต้องข่มตาให้หลับ เพราะเขาง่วงมากเพียงแค่หลับตาก็สามารถจมดิ่งสู่ห้วงนิทราได้สบายๆอยู่แล้ว
อย่าถามเลยว่าทำไมชานยอลถึงใจร้ายแล้วไม่ยอมช่วยเหลือเพื่อนร่วมห้องให้ได้นอนอย่างอบอุ่นอย่างที่รูมเมทที่ดีทั่วไปควรจะทำ อันที่จริงแล้วความลังเลของเขามันเกิดขึ้นเพราะความไม่สนิทใจ แม้จะอยู่ห้องเดียวกันมาตั้งสองปีเต็มแต่ก็ดูเหมือนความสัมพันธ์ของเราจะยังคงที่
มันไม่ใช่คำว่าเพื่อน.. เขากับอีกฝ่ายยังห่างไกลจากคำนั้นอยู่มาก เขารู้แค่เพียงไม่กี่เรื่องในตัวของอีกคนทั้งที่เราอยู่ด้วยกันมาสองปีแล้ว ใกล้กันยิ่งกว่าเขากับคนในครอบครัวซะอีก แต่ก็ดูเหมือนว่าเราห่างไกลกันจริงๆ สิ่งที่ชานยอลรู้ก็มีเพียงแค่อีกฝ่ายชื่อแบคฮยอน เรียนอยู่คณะวิศวกรรมศาสตร์(ดูจากหนังสือที่อีกคนใช้เรียน) มีพี่ชื่อแบคบอมแล้วก็หมาชื่อชิโร่(เคยได้ยินเวลาอีกคนเฟสทามหาคนที่บ้าน)
อย่างถัดมาที่แสดงถึงความห่างไกลคือเราคุยกันอาทิตย์ละสามคำเท่านั้น
คำแรกคือตอนเช้าวันจันทร์ที่เจอกันหลังจากพากันแยกย้ายกลับบ้านไปเมื่อวันเสาร์อาทิตย์ ไม่เขาก็อีกฝ่ายจะเป็นคนทักทายก่อน แล้วหลังจากนั้นฝ่ายที่ถูกถามก็จะยิ้มแล้วพยักหน้า เป็นการจบบทสนทนา
คำต่อมาคือตอนที่รูมเมทของเขาทำกับข้าวกินทุกเช้าวันพุธ(ซึ่งชานยอลก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเช้าวันพุธ) ก่อนจะเอ่ยปากถามเขาว่า ‘กินด้วยกันไหม’ และแน่นอนว่าเขาก็ยิ้มแล้วส่ายหัวปฏิเสธไปตามมารยาท เป็นการจบบทสนทนา
ส่วนคำสุดท้ายก็คือตอนเย็นวันศุกร์ คงเป็นวันที่เราสองคนได้คุยกันเยอะที่สุดแล้วล่ะมั้ง เพราะถ้าหากแบคฮยอนถามมาว่า ‘วันนี้กลับบ้านไหม’ เขาก็จะตอบว่า ‘ไม่กลับ’ หรือบางทีก็ ‘กลับ’ ก่อนจะถามไปตามมารยาทว่า ‘แล้วนายกลับหรือเปล่า’ แล้วก็รออีกฝ่ายตอบกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มเท่านั้น
เป็นการจบบทสนทนา
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม.. ชานยอลเคยแอบคิดอยู่ว่าแบคฮยอนคงเป็นประเภทพูดน้อย แต่เขาก็รู้ว่าตัวเองคิดผิดถนัดเมื่อแอบได้ยินตอนที่อีกฝ่ายเฟสทามหาพี่ชาย แบคฮยอนพูดจ้อชนิดที่ว่าเขาไม่เคยได้ยินรูมเมทคุยเยอะขนาดนี้มาก่อน แล้วก็ชัดเจนเข้าไปใหญ่เวลาที่อีกคนคุยโทรศัพท์กับเพื่อนสนิท
แบคฮยอนไม่ได้เป็นคนพูดน้อย แต่แบคฮยอนแค่ไม่สนิทใจจะคุยกับเขาต่างหาก
เอาล่ะ.. แต่จะโทษแค่รูมเมทของเขาอย่างเดียวมันก็ไม่ถูก
เพราะชานยอลเองก็ไม่สนิทใจที่จะคุยกับอีกฝ่ายเหมือนกัน
“ปีใหม่นี้กูไปอังกฤษนะ”
ทั้งโต๊ะพากันทำตาเหลือกเมื่อได้ยินเพื่อนสนิทอย่างจื่อเทาเอ่ยบอกถึงแผนเที่ยวช่วงปีใหม่ อีกไม่กี่วันนี้ก็จะเป็นวันปีใหม่อยู่แล้ว และแน่นอนว่าแต่ละคนก็มีแผนในการเที่ยวไม่เหมือนกัน
“เชี่ย ไปได้ไงวะ ทำไมไม่ชวนกูบ้าง!” โอเซฮุนเอ่ยถามก่อนจะทำหน้างอ ชานยอลรู้ดีว่าไอ้นี่เป็นพวกชอบเที่ยว แถมยังมีความใฝ่ฝันอยากจะไปเที่ยวฝั่งยุโรปอีกต่างหาก
“ถึงมันชวนแล้วมึงมีตังไปกับมันหรือไง”
“ไอ้ชาน มึงดูถูกกูมากไปละนะ” เซฮุนหันมามองเขาตาเขียวปั้ด “เห็นกูหน้าตาซกมกแบบนี้แต่กูก็มีตังในบัญชีไม่น้อยนะครับ”
“เท่าไหร่”
“แปดร้อย”
หลังจากนั้นหัวไอ้เซฮุนก็โดนประทับด้วยฝ่ามือพิฆาตคนละทีสองทีข้อหากวนประสาทเกินเหตุ ชานยอลส่ายหัวเบาๆแล้วทำหน้าที่ผู้ฟังที่ดี นั่งฟังพวกเพื่อนสี่ห้าคนในกลุ่มพูดถึงแผนวันปีใหม่ตัวเองไปเรื่อยๆ เขาแทบจะยกมือขึ้นมากุมขมับในตอนที่ไอ้จงอินบอกว่า ‘กูจะไปฟูลมูน จะไปส่องนมฝรั่ง’ ไม่น่าเชื่อว่าจงอินเด็กหงิ๋มสมัยปีหนึ่งจะมาไกลได้ถึงขนาดนี้
“แล้วมึงอะไอ้ยอล”
“กูหรอ.. กูทำไมวะ” ชานยอลชี้นิ้วเขาหาตัวเองก่อนทำหน้างง
“ปีใหม่มึงไปไหน”
“อ่อ.. กูว่าจะอยู่หอว่ะ ขี้เกียจ”
“ห้ะ อย่างมึงเนี่ยนะอยู่หอ” ลู่หานทำตาเหลือก “ปกติกูเห็นมึงออกเที่ยวทุกเทศกาล แล้วนี่เป็นอะไรอะ แดกอะไรมาผิดป่าวเนี่ย”
ชานยอลหลุดหัวเราะให้กับใบหน้าแตกตื่นของพวกเพื่อนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไอ้ลู่หานที่ตาโตๆของมันแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า แต่ก็จริงของมันนั่นแหละ ปกติแล้วชานยอลเป็นพวกขาเที่ยว เขาเที่ยวเป็นว่าเล่นไม่ว่าจะเทศกาลอะไรก็แล้วแต่
แต่ตอนนี้มันไม่มีอารมณ์นี่หว่า
“เพิ่งโดนทิ้งมา มึงคิดว่ากูจะมีอารมณ์ไปเที่ยวไหนหรอ”
สิ้นคำพูดของเขาทั้งโต๊ะก็พากันเงียบเป็นเป่าสาก ไอ้ลู่หานเก็บตาเหลือกๆของมันเข้าที่ก่อนจะนั่งเจี๋ยมเจี้ยมอย่างสงบปากสงบคำ ความจริงชานยอลก็ไม่ได้โกรธอะไรพวกมันหรอก เขาคงทำตัวปกติเกินไปพวกมันถึงลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้ไม่กี่อาทิตย์เกิดเรื่องอะไรกับเขาบ้าง
“เฮ้ย.. โทษนะมึง” ลู่หานว่าเสียงอ่อย
“ไม่เป็นไร กูไม่ซีเรียส” ชานยอลตอบกลับไปบ้าง “พวกมึงคุยกันต่อเลย อย่ากร่อยดิวะ”
“อะ.. เอ้อ! งั้นมาคุยกันต่อเหอะ!”
ใจชื้นขึ้นมานิดหน่อยเมื่อจงอินกู้สถานการณ์เอาไว้ได้ ชานยอลนั่งเงียบแล้วทำหน้าที่ฟังอีกครั้งเพราะเขาพูดไม่ทันพวกมัน เลยได้แต่นั่งขำให้กับมุกของไอ้เซฮุนที่ขยันเล่นเหลือเกิน แถมยังคอยปรามไอ้จงอินที่พูดแต่เรื่องลามกเป็นระยะอีกด้วย
“ไอ้ยอล งั้นเอางี้มั้ย” เซฮุนพูดขึ้นมา “ไหนๆปีใหม่นี้กูกับลู่หานก็ไม่ได้ไปไหน มึงเองก็ไม่ได้ไปไหน”
“........”
“กูสองคนขอไปเคานต์ดาวน์ที่ห้องมึงได้ป่ะ”
คำถามนั้นทำเอาชานยอลชะงักเล็กน้อย เขาหันไปมองหน้าเซฮุนพร้อมกับเครื่องหมายคำถามที่แปะอยู่กลางหน้าผาก ไอ้บ้านี่มันนึกครึ้มอะไรของมัน
“เอาจริงหรอวะ”
“จริง!” ลู่หานแทรกขึ้นมา “อยู่บ้านเฉยๆแล้วเคานต์ดาวน์กับจอทีวีมันน่าเบื่ออะมึง ให้พวกกูไปบ้านมึงเหอะนะ อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อน”
ชานยอลเข้าใจดีว่าการเคานต์ดาวน์กับจอทีวีมันน่าเบื่อมากแค่ไหน เขาก็เคยเป็นอย่างนั้นอยู่ปีนึงสมัยเรียนมัธยม ถึงแม้ว่าเสียงจากพิธีกรจะบิ๊วอารมณ์ขั้นรุนแรงแต่มันก็ยังไม่อิน มันไม่สะใจเท่ากับการได้อยู่กับเพื่อนหรือคนจำนวนมากแล้วร่วมกันนับเคานต์ดาวน์ ดังนั้นเขาจึงรู้ถึงอารมณ์ของเพื่อนสนิทไส้แห้งทั้งสองคนที่ไม่มีเงินไปเที่ยว ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาเลยถ้าพวกมันจะไปที่ห้องของเขา
ที่บอกว่าไม่มีปัญหาคือชานยอลนะ
แต่รูมเมทเขาเนี่ยสิ
“คือ..”
“.........”
“กูต้องลองถามเมทก่อนอะ ว่าจะอยู่ห้องหรือเปล่า”
“เมท?” ลู่หานทำหน้างง “ทำไมต้องถามวะ มึงก็ชวนมาแดกด้วยกันดิ ไม่เห็นจะยากเลย”
“กูก็ว่าจะทำแบบนั้นอยู่หรอก.. ถ้ากูสนิทกับเขาอะนะ” ชานยอลตอบเสียงอ่อย
“เออว่ะ กูลืมไปเลยว่ามึงไม่สนิทกับเมทมึง”
ชานยอลไม่รู้จะพูดอะไรต่อจากนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับรูมเมทมันไม่ได้เฉียดเข้าใกล้คำว่า ‘คนกันเอง’ เลยแม้แต่นิดเดียว เขายังต้องคอยเกรงใจอีกคนอยู่ตลอดไม่ว่าจะทำอะไร จนบางทีก็เหมือนเรากลายเป็นคนไม่รู้จักกัน หรือบางครั้งเขาก็ต้องขออนุญาตอีกคนก่อนเพราะติดเกรงใจเนื่องจากว่าเราไม่ได้สนิทกันเหมือนเพื่อนที่จะทำอะไรก็ได้
“งั้นมึงไปคุยกับเมทก่อนแล้วกัน ได้เรื่องยังไงมาบอกกู โอเค๊”
ชานยอลพยักหน้าให้กับคำพูดของลู่หานที่มันสมเหตุสมผลและควรจะเป็นอย่างนั้น
เห็นทีเขาคงจะได้คุยกับรูมเมทเป็นประโยคยาวๆหนแรกก็คราวนี้
สองทุ่มยี่สิบเอ็ดนาที
ชานยอลใช้คีย์การ์ดรูดเข้าห้องแบบเดิมไม่มีผิดเพี้ยน ถอดรองเท้าและยัดถุงเท้าไว้ที่เดิม แขวนกระเป๋าไว้ตรงที่แขวนเหมือนเดิม หากแต่คราวนี้คงจะแปลกไปจากเดิมเพราะเขาไม่ได้ง่วงกลับมาบ้านเหมือนอย่างทุกวัน เรียกได้ว่าตาสว่างเพราะมีเรื่องต้องให้ทำ
ทีวีส่วนกลางถูกเปิดเอาไว้พร้อมกับร่างเล็กๆของรูมเมทที่นั่งอยู่ตรงโซฟา ชานยอลพาร่างของตัวเองเดินไปนั่งที่โซฟาตัวนั้นบ้าง อีกฝ่ายหันหน้ากลับมามองเขานิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แบคฮยอนหันหน้ากลับไปมองจอทีวีดังเดิมพร้อมกับหัวเราะให้กับมุกตลกเป็นครั้งคราว
แม้จะนั่งแบบไม่ได้คุยกันเพราะไม่สนิทแต่ชานยอลก็ไม่ได้สัมผัสถึงคำว่าอึดอัดเท่าไหร่นัก เขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นและแบคฮยอนเองก็เช่นกัน น่าแปลกแต่เขาก็ไม่ได้คิดจะหาคำถาม
ชานยอลหายใจเข้าลึกจนเต็มปอดประมาณสองครั้ง เขาถูมือกับกางเกงยีนส์สีซีดอย่างประหม่า อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้อยากจะมานั่งดูทีวีอะไรนี่หรอก ปกติเขาจะเดินเข้าห้องน้ำอาบน้ำแล้วนอนเล่นโทรศัพท์บนเตียงหรือไม่ก็นั่งทำงาน นั่งแกะคอร์ดเพลงไปเรื่อยๆ
แต่วันนี้มันไม่ใช่
“เอ่อ.. แบคฮยอน”
เป็นครั้งแรกที่ชานยอลได้มองหน้าอีกฝ่ายใกล้ๆชัดๆแบบนี้ในตอนที่แบคฮยอนหันมามองหน้าเขาอย่างตกใจ แล้วก็มีความสงสัยอยู่เต็มเปี่ยมเคลือบไว้ทั้งใบหน้า อีกคนเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะถามว่าเขาเรียกทำไม
“คือเรามีเรื่องจะถามนิดหน่อยน่ะ”
“อื้อ.. มีอะไรหรอ”
ชานยอลยิ้มบางๆให้อีกฝ่ายที่ตอนนี้ก็ยิ้มให้เขาเช่นกัน ชานยอลพอจะรู้ดีว่าแบคฮยอนเป็นคนอารมณ์ดีแล้วก็น่าจะมองโลกในแง่ดีด้วย ดูจากพวกของสะสมแล้วก็ไลฟ์สไตล์ในชีวิตรวมทั้งตอนที่เฟสทามหาคนที่บ้าน แบคฮยอนชอบเล่นมุกตลกจนเขาเผลอขำไปตั้งหลายที
“ปีใหม่นี้กลับบ้านหรือเปล่า”
“........”
“.........”
“อืม.. ไม่น่าจะกลับหรอก พ่อกับแม่ไปเที่ยวต่างประเทศน่ะ เราขี้เกียจไป”
ชานยอลพยักหน้าเบาๆเป็นการตอบรับคำ เห็นทีปีนี้ไอ้เซฮุนกับไอ้ลู่หานคงจะชวดเสียแล้วในเมื่อรูมเมทของเขาอยู่ที่ห้อง ชานยอลเกรงใจแบคฮยอนจริงๆอย่างที่บอก เขาคงไม่ให้พวกเพื่อนมาทำห้องเละเทะแล้วก็ส่งเสียงดังในขณะที่อีกฝ่ายยังอยู่ในห้องแน่ ยิ่งประเภทลิงค่างแบบไอ้เซฮุนกับไอ้ลู่หานนั่นยิ่งแล้วใหญ่
“ชานยอลถามแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า”
“อ่อ..” ชานยอลยกยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก คือเพื่อนเราอยากมาเคานต์ดาวน์ที่นี่น่ะ ถ้าแบคฮยอนอยู่ห้องเราก็เกรงใจ เพื่อนเรามันเสียงดัง”
“นี่ขนาดไม่มีอะไรนะเนี่ย” แบคฮยอนหัวเราะนิดหน่อยหากแต่ดวงตาเล็กๆนั่นปิดจนกลายเป็นสระอิ “ไม่ต้องเกรงใจหรอก ห้องนี้ก็เป็นของชานยอลครึ่งนึงนะ ไม่ใช่ของเราทั้งหมดซะหน่อย”
น้ำเสียงสดใสทำให้ชานยอลผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้เขาจะไม่ได้อึดอัดอยู่แล้วตั้งแต่แรกแต่นี่มันก็ดีอยู่ไม่น้อยที่ได้ลองคุยกับแบคฮยอนด้วยประโยคยาวๆดูบ้าง ซึ่งก็ดูเหมือนความคิดของเขาที่มีต่อแบคฮยอนจะถูกต้องไปซะหมด เพราะอีกคนดูมีอารมณ์ขันแล้วก็สดใสจริงๆ
“แต่เพื่อนเรามันซนเหมือนลิงเลยนะ แบคฮยอนจะไม่รำคาญหรอ”
เจ้าของร่างเล็กๆทำท่านึกโดยการกรอกตามองเพดาน สักพักก็เปลี่ยนมามองหน้าเขาแล้วส่ายหัว
“ไม่หรอก ..ถ้าได้รู้จักกับเพื่อนของชานยอลก็ดีเหมือนกัน”
“........”
“อันที่จริงเราก็อยากรู้จักชานยอลให้มากกว่านี้นะ ชานยอลคิดว่ายังไง?”
ชานยอลนั่งนิ่งแล้วพิจารณาประโยคสองแง่สองง่ามที่อีกคนหมายถึง เขามองเข้าไปในดวงตาตกๆของคนตรงหน้าก็ไม่พบกับแววตากรุ้มกริ่มเหมือนอย่างเวลาที่ไอ้จงอินพูดเรื่องลามก หากแต่สิ่งที่อีกคนส่งมาให้ก็มีแต่ความจริงใจเท่านั้น
“ดีสิ” ชานยอลเอ่ยตอบแค่นั้นก่อนจะยกยิ้มให้กับอีกคนที่ส่งยิ้มมาก่อนอยู่แล้ว เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คงเป็นเพราะได้คุยกันอย่างเปิดอกกับรูมเมทเป็นครั้งแรก
หรืออาจจะเป็นเพราะรอยยิ้มนั้นจากแบคฮยอน
“ถ้างั้นเดี๋ยวเราโทรบอกเพื่อนก่อนนะ มันต้องดีใจแน่ๆ”
แล้วแบคฮยอนก็หันมายิ้มอีกครั้ง ทำเอาชานยอลรู้สึกโล่งจริงๆ
เขาจะสรุปเอาเองว่าอาการของเขามันเป็นเพราะรอยยิ้มของแบคฮยอนก็แล้วกัน
สามสิบเอ็ดธันวาคม สามทุ่มยี่สิบแปดนาที
“โว้วๆๆ มารับขวดนี่ไปที”
แบคฮยอนทำหน้าตาเหรอหรามองไปยังประตูที่ถูกเปิดด้วยรูมเมทร่างสูงของเขา แต่กลับมีใครก็ไม่รู้ยื่นขวดบรรจุแอลกอฮอล์ให้กับเขาพร้อมกับเอ่ยเร่งให้ไปช่วยหิ้ว แบคฮยอนทำตามอย่างไม่อิดออด สองคนนี้คงจะเป็นเพื่อนกับชานยอลที่จะมาขอเคานต์ดาวน์ด้วยกันคืนนี้
“พูดกับเขาดีๆสิมึง” คนตัวเล็กกว่าเอ่ยบอก “อ่า.. นายคือรูมเมทของชานยอลใช่มั้ย”
แบคฮยอนพยักหน้าตอบรับคำถาม
“เราชื่อลู่หานนะ ส่วนไอ้นี่เซฮุน มันปากหมา ถ้าพูดอะไรแปลกๆออกมาก็อย่าไปถือสามันมากเลยนะ”
“อ้าว มึงด่ากูทำไมวะ”
“หุบปาก” ลู่หานเอ่ยปรามก่อนจะหันมาพูดกับเขา “ยังไงวันนี้ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะแบคฮยอน เราสัญญาว่าจะเงียบให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
แบคฮยอนหันไปมองรูมเมทที่ยืนอมยิ้มอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ท่าทางชานยอลคงจะไปพูดเป็นเชิงให้เพื่อนเกรงใจเขาแน่ๆ จริงๆแล้วแบคฮยอนไม่ได้เครียดอะไรหรอกถ้าจะมีคนมาบุกห้อง อยากทำเละแค่ไหนเขาก็ไม่ว่า เพราะเพื่อนของรูมเมทก็ถือเป็นเพื่อนของเขาเหมือนกัน เรื่องทำความรู้จักกันแบคฮยอนไม่เคยกลัวอยู่แล้ว
“ในครัวมีเตาไฟฟ้านะ เดี๋ยวเราไปเอาออกมาให้แล้วกัน” แบคฮยอนเอ่ยบอกก่อนจะเลี่ยงตัวออกมาที่ห้องครัวขนาดย่อมภายในห้อง เขย่งเอื้อมมือหวังจะเปิดตู้ด้านบนที่เขาจำได้ว่าตัวเองเป็นคนเอาเตาปิ้งย่างไฟฟ้ามาใส่ไว้แต่ไม่เคยได้ใช้
แต่แบคฮยอนเตี้ยเกินไป เขาเอื้อมไม่ถึง
เขย่งแล้วเขย่งอีกจนเมื่อยขาและดูเหมือนใครบางคนจะสังเกตเห็น แขนยาวๆนั่นเอื้อมเปิดตู้ก่อนจะคว้าเอาเตาปิ้งย่างไฟฟ้าออกมายื่นให้เขาอย่างสบายๆ แล้วกลิ่นแบบนี้ก็คงไม่ต้องบอกว่าใคร ปาร์คชานยอลคนเดิมนั่นแหละ
“เขย่งไม่ถึงก็น่าจะเรียกนะ เราจะได้ช่วย”
ร่างเล็กหันไปยิ้มแหยๆให้กับคนที่เหมือนกำลังด่าเขาเตี้ยอยู่กรายๆ แต่ช่างเถอะ แบคฮยอนไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยหรอก แค่อีกคนเข้ามาช่วยเขาก็ดีใจมากอยู่แล้ว
“ช่วยเราล้างผักนะ ส่วนหมูเดี๋ยวเราหั่นให้ ไอ้สองคนนั้นกำลังวุ่นวายกับเหล้าอยู่น่ะ”
ชานยอลพูดรวดเดียวกะไม่ให้เขาได้ถาม ซึ่งแบคฮยอนเองก็ไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็ทำตามคำสั่งอีกคนอย่างไม่อิดออด ถึงเราจะเปิดใจพูดคุยประโยคยาวๆกันมากขึ้นแล้วแต่ก็ยังไม่ได้สนิทกันอยู่ดี คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่เราส่งคนจะได้ใช้คำว่าสนิทใจร่วมกัน
จัดการเรื่องวัตถุดิบในการปิ้งย่างเรียบร้อยแล้วเราก็ใช้พื้นที่ริมระเบียงซึ่งค่อนข้างกว้างพอที่จะให้มนุษย์เพศชายสี่คนเข้าไปนั่งได้เป็นที่สำหรับการฉลองปีใหม่ครั้งนี้ เซฮุนดื่มเอาๆอย่างกับพวกคอทองแดง แบคฮยอนเห็นแล้วก็ร้อนคอแทน เขาเองก็เป็นประเภทชอบดื่มแต่แพ้แอลกอฮอล์เลยแตะมันไม่ได้
ส่วนชานยอล.. เขาไม่เคยรู้เลยว่าอีกฝ่ายก็ดื่มเก่งไม่แพ้กัน
“ตอนเด็กๆกูเคยโดนแม่ตีด้วยคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์” เซฮุนเอ่ยขึ้น ท่าทางเริ่มกรึ่มๆแล้ว
“เชี่ย อย่างโหด ไปทำอิท่าไหนวะ” โดยมีลู่หานเป็นลูกคู่อย่างสม่ำเสมอ
“ติดเกมอะดิ ไม่หลับไม่นอนติดต่อกันห้าวัน โหดสัส” พูดเองเออเองจนเพื่อนๆหลุดขำ เซฮุนใกล้จะเมาเต็มทีแล้วในขณะที่ลู่หานผู้ดื่มแบบจิบๆเล็กน้อยไม่ได้แสดงอาการเมาอะไร
แต่คนที่นั่งข้างแบคฮยอนนี่สิ ดื่มเอาๆแต่ไม่เห็นมีท่าทางว่าจะเมาเลย
“เดี๋ยวก็เมาหรอก” แบคฮยอนเอ่ยบอกคนที่นั่งข้างๆ ในขณะที่ทั้งลู่หานและเซฮุนพากันร้องเพลงอะไรก็ไม่รู้ที่เขาฟังไม่ค่อยได้ศัพท์
“เราไม่เคยเมาอยู่แล้ว ดื่มบ่อยจนชินน่ะ”
“อือ.. เราได้กลิ่นบ่อยๆเวลาชานยอลกลับมาห้อง”
“........”
“อย่าดื่มบ่อยเลยนะ ไม่ดีหรอก”
แบคฮยอนเห็นว่าชานยอลยิ้มจนแก้มบุ๋มก่อนจะเอื้อมมือมาวางไว้บนศีรษะเขาแล้วตบปุๆสองที นั่นทำเอาคนที่ถูกกระทำต้องยกยิ้มกลับไปอย่างช่วยไม่ได้
“เข้าใจแล้วครับ ทีหลังจะไม่ให้ได้กลิ่นเลย”
แถมยังขยี้ผมเขาจนฟูฟ่องอีกต่างหาก
สนิทกันแล้วหรือไงเนี่ย
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะเผลอแป้บเดียวก็ปาเข้าไปห้าทุ่มห้าสิบแปดนาทีซะแล้ว
“เฮ้ยมึงหลบ กูจะยืนตรงนี้ กูจำได้ว่าพลุมันจะขึ้นมาตรงนั้น” เซฮุนที่เมาไปแล้วเรียบร้อยเอ่ยบอกก่อนจะชี้โบ๊ชี้เบ๊ไม่รู้เรื่อง แต่จากตรงนี้ก็มองเห็นพลุจริงๆนั่นแหละ เพราะหอพักของเราอยู่ไม่ไกลจากจัตุรัสที่จัดงานเท่าไหร่นัก
“ชานยอล มึงตั้งกล้องยัง”
“อ้าว กูต้องเป็นคนถ่ายหรอ”
“เออดิ ห้องใครคนนั้นถ่ายโว้ย” ลู่หานเอ่ยบอก “นายด้วยแบคฮยอน เอามือถือขึ้นมาถ่ายเลย”
แบคฮยอนทำหน้างงในคราวแรก แต่พอเห็นชานยอลยกมือถือขึ้นมาถ่ายจริงๆเขาก็เลยเอาบ้าง สองคนข้างหน้าไปเอาเก้าอี้จากในครัวมานั่ง ในขณะที่เขากับชานยอลยืนอยู่ด้านหลังและคอยเก็บภาพ
นี่มันหน้าที่ของเจ้าของห้องจริงๆหรอ
“เฮ้ยๆ นับถอยหลังแล้ว มึงได้ยินป่ะ”
เสียงจากใจกลางจัตุรัสดังมาถึงตรงนี้จนแบคฮยอนได้ยินชัดเจน เขายกยิ้มอย่างรู้สึกตื่นเต้นจนใจพองคับอก ร่างเล็กๆหันไปมองคนข้างๆที่กำลังถือโทรศัพท์อย่างตั้งใจ และรอยยิ้มกว้างที่ใบหน้าของอีกฝ่ายก็ดูจะตื่นเต้นไม่แพ้กัน
เมื่อเริ่มนับถอยหลัง แบคฮยอนจึงเริ่มเอ่ยขอบคุณในใจตั้งแต่ตอนนั้น
“6”
ขอบคุณสำหรับสองปีที่ผ่านมานะ
“5”
ขอบคุณที่ผ่านเข้ามา
“4”
ขอบคุณที่ยอมมาคุยกับเรานะ
“3”
เหมือนกับฝันเลย.. ขอบคุณนะ
“2”
ขอบคุณนะ..
“1”
“ชานยอล เราช..”
“Happy New Yearrrr!!”
เสียงตะโกนของลู่หานและเซฮุนรวมทั้งเสียงพลุกลบเสียงของแบคฮยอนไปจนหมด แต่นั่นแหละที่เขาต้องการ ชานยอลกดถ่ายรูปรัวก่อนจะหันมามองหน้าเขา คงเพราะสงสัยว่าเขาจะจ้องทำไมนักหนา
ชานยอลคงไม่ได้ยินหรอก
“เมื่อกี้แบคฮยอนพูดอะไรกับเราหรอ”
ใช่.. ชานยอลไม่ได้ยิน
“อ๋อ.. เปล่า” แบคฮยอนยิ้มจนตาปิด “เราจะบอกว่าปี 2015 ที่ผ่านมานี้เราเคยแอบจิ๊กขนมในตู้เย็นของชานยอลไปเยอะเลยอะ ไม่โกรธนะ”
แต่แบบนั้นแหละ.. ดีแล้ว
“เรื่องแค่นี้เอง ไม่โกรธหรอก” ชานยอลเอ่ยพร้อมกับกลั้วหัวเราะในลำคอ “แต่ต้องชดใช้โดยการซื้อมาให้เรากินเยอะๆเลยนะ”
“อื้อ!” แบคฮยอนพยักหน้ารัว และนั่นเรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
สุดท้ายแล้วรอยยิ้มของชานยอลกับแบคฮยอนก็ตรงกัน เพราะเขายิ้มให้กัน
แบคฮยอนบอกกับตัวเองในตอนนั้น
ว่าแค่นี้ก็เกินพอ
“ขอบคุณมากนะ วันนี้สนุกมาก”
ลู่หานเอ่ยบอกขณะที่เขากับชานยอลเดินมาส่งที่หน้าห้อง แบคฮยอนรู้สึกสงสารลู่หานขึ้นมาจับใจเมื่อเห็นร่างโย่งๆของเซฮุนในอ้อมแขนของอีกฝ่าย ลู่หานต้องหิ้วปีกคนเมาไปที่รถด้วยตัวเอง แค่คิดก็ลำบากแทนแล้ว
“เฮ้ย ไม่ต้องทำหน้าจะร้องไห้หรอกแบคฮยอน เราสบายมาก”
“มึงแน่ใจนะว่าจะไม่ให้กูไปส่งที่รถ” ชานยอลเอ่ยถาม เพราะก่อนหน้านี้อาสาไปแล้วรอบหนึ่งแต่ถูกปฏิเสธกลับมา
“ไม่เป็นไร กูรับมือกับไอ้นี่บ่อย มึงไปอาบน้ำนอนเถอะ”
“.......”
“เราไปก่อนนะแบคฮยอน ฝากดูไอ้ยอลมันด้วยล่ะ”
แบคฮยอนได้ยินเสียง ‘ฮึ้บ’ ในตอนที่ลู่หานกระชับตัวเซฮุนแล้วเดินออกไปตามโถงทางเดิน เขากับชานยอลมองจนกระทั่งลับสายตาและดูเหมือนว่าลู่หานจะสามารถรับมือได้อย่างที่บอกจริงๆ เราสองคนจึงเดินกลับเข้ามาในห้องกันอีกครั้ง
“เดี๋ยว.. เราไปอาบน้ำก่อนนะ” แบคฮยอนเอ่ยบอกชานยอล พอกลับมาอยู่กันสองคนอีกรอบก็เริ่มทำตัวไม่ถูกอีก เขาเพิ่งมานึกขึ้นได้ว่าไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องบอกอีกคนเลยว่าจะอาบน้ำ
“อื้อ.. เอาสิ” และแน่นอนว่าต้องได้รับคำตอบแค่นั้นกลับมาอย่างไม่ต้องสงสัย
แบคฮยอนคว้าเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน้ำแล้วใช้เวลาอยู่ในนั้นเพื่อทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ความจริงแล้วเขารู้สึกดีจนแทบบ้าที่ได้คุยกับรูมเมทดีๆสักที เขารู้อยู่แล้วว่าชานยอลไม่ใช่คนหยิ่งหรือมนุษย์สัมพันธ์แย่ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆในตอนที่อีกคนมาชวนเขาคุย
ตอนนั้นแบคฮยอนแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลยว่าชานยอลเรียกชื่อเขา
ก๊อก ก๊อก
ห้องน้ำอยู่ติดกับประตูแบคฮยอนจึงได้ยินเสียงเคาะประตูชัดเจน แต่ตอนนี้ฟองสบู่ยังเต็มตัวเขาอยู่คงออกไปเปิดประตูให้ไม่ได้ ดังนั้นเสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นก็คงเป็นฝีมือของชานยอล แต่เสียงน้ำที่ไหลอยู่มันดังเกินกว่าที่เขาจะได้ยินว่าใครเป็นคนมาเคาะห้อง
แบคฮยอนเดาว่าอาจจะเป็นลู่หานที่ลืมของไว้ หรือไม่ก็แบกเซฮุนไปไม่ถึงรถแล้วมาตามชานยอลให้ไปช่วยหิ้วอีกแรง
ถัดมาอีกสิบห้านาทีคนตัวเล็กก็อาบน้ำแต่งตัวเสร็จ แบคฮยอนสำรวจใบหน้าตัวเองอีกครั้งในกระจก ความจริงแล้วเขาก็เบื่อหน้าจืดๆของตัวเองไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าควรจะเสริมแต่งอะไรในเมื่อเป็นผู้ชาย แถมผมสีดำสนิทก็ยิ่งทำให้เขาดูจืดเข้าไปอีก
แต่ก็อย่างที่บอก แบคฮยอนไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงให้ตัวเองไม่จืดชืดเหมือนอย่างตอนนี้
คนตัวเล็กเปิดประตูห้องน้ำแล้วเช็ดเท้าลงกับพรมเช็ด มืออีกข้างก็ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กขยี้ผมสีดำที่เปียกน้ำของตัวเองอย่างเบามือพร้อมกับเดินไปยังห้องนั่งเล่น
แต่กลับต้องชะงักเมื่อเห็นร่างของคนสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟา
“ฮึก.. เราขอโทษ”
แบคฮยอนรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างบีบรัดอยู่ในร่างกายของเขา และมันกำลังทำให้เขาหายใจไม่ออก ในตอนที่ชานยอลกำลังกอดพร้อมกับลูบหัวใครบางคนที่เขาก็รู้จักดี
“ไม่ร้องนะ.. ไม่ร้องนะมินอา”
คิมมินอา.. เธอเป็นแฟนเก่าของชานยอล
“ยอล.. ฮึก.. ไปส่งเราที่บ้านได้มั้ย”
“.......”
“อยู่กับเรานะ อย่าไปไหนอีกเลยได้มั้ย” มินอาร้องไห้อย่างน่าสงสาร “เรารักยอลนะ เราขอโทษ”
เธอพร่ำพูดแต่คำนั้นจนแบคฮยอนรู้สึกเจ็บปวดแทน ชานยอลเองก็กอดเธอแล้วก็โยกตัวเธอไปมาพร้อมกับบอกว่าไม่เป็นไรอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งดวงตากลมโตของรูมเมทหันมาเห็นเขา คิ้วคมขมวดมุ่นอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
ดังนั้นสิ่งเดียวที่แบคฮยอนพอจะทำให้ชานยอลได้ก็มีแค่นี้
‘ไปส่งเธอที่บ้านสิ’
เขาขยับปากบอกอย่างไร้เสียงพร้อมกับยกยิ้มให้อีกฝ่ายที่มองมาอย่างขอความคิดเห็น
‘ไปเถอะ.. เธอกำลังไม่โอเคนะ’
‘………’
‘มินอากำลังต้องการชานยอลนะ’
แบคฮยอนยิ้มอีกครั้งอย่างยืนยันว่าเขาคิดอย่างนั้นและชานยอลควรจะไปส่งหญิงสาวที่บ้านจริงๆ ชานยอลดูเหมือนจะลังเลในคราวแรก แต่เขาก็ยังทำหน้าที่ของสุภาพบุรุษและคอยปลอบประโลมหญิงสาวอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
“ครับ.. เดี๋ยวชานยอลไปส่งมินอาที่บ้านนะ”
จนในที่สุดเสียงทุ้มก็เอ่ยบอกอย่างยินยอม
“ฮึก..”
“ไม่ร้องไห้แล้วนะครับ ป่ะ.. กลับบ้านกันเนอะ”
ท่าทางอ่อนโยนของชานยอลทำให้แบคฮยอนยกยิ้มออกมา ยิ่งตอนที่อีกฝ่ายประคองมินอาเพื่อที่จะพาไปส่งบ้านก็ยิ่งทำให้แบคฮยอนรู้สึกว่าทั้งคู่เหมาะสมและน่ารักเหลือเกินหากได้กลับมาคบกัน
“เดี๋ยวเราไปส่งมินอา..” ชานยอลเอ่ยบอกเขา “แล้วก็อาจจะไม่กลับ”
“.......”
“ยังไงเจอกันพรุ่งนี้นะ”
แบคฮยอนยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายเหมือนเดิม ก่อนจะกระซิบบอกมินอาเบาๆว่า ‘ไม่ร้องไห้แล้วนะครับ’ ซึ่งนั่นก็ทำให้หญิงสาวยิ้มให้เขาเช่นกัน ทั้งสองคนพากันเดินออกไปจากห้องแล้ว หลงเหลือทิ้งไว้เพียงแบคฮยอนที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
พร้อมกับหัวใจอันแสนเหวอะหวะของตัวเอง
“คนหล่อกับคนสวยก็ต้องคู่กันมั้ยล่ะ คิดบ้าอะไรอยู่นะแบคฮยอน”
และถ้อยคำปลอบใจตัวเอง.. ที่ดูเสแสร้งเหลือเกิน
เพราะตอนนี้เขาดันร้องไห้เสียแล้ว
TALK :
สมมติถ้าให้จบแค่ตรงนี้ จะมีคนด่าแม่เรากี่คน (10 คะแนน)
แฮปปี้นิวเยียร์ 2016 นะจ๊ะทุกคน มีความสุขมากๆน้า ชงชานแบคกับเราไปนานๆเนอะ ศิลปินเค้ามาจัดให้ตั้งแต่วันแรกของปีเลยอะ ยอมเลย วีแอพทำให้เรามีความสุขขข
เม้นท์กับติดแท็กเถอะ อยากอ่าน ♥
#น้ำผึ้งมะนาวCB
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หึ...กูจาร้องไห้