ตอนที่ 1 : {SF} dear my best friend [first] ♡
hello my Baekhyun, and hello my Chanyeol
.
.
.
.
ถึง บยอนแบคฮยอน
เป็นยังไงบ้างแบคฮยอน?
ตอนที่เปิดจดหมายฉบับนี้ออกอ่าน แกอาจจะไม่เชื่อแน่ว่านี่คือลายมือของฉัน มันพัฒนาจากเมื่อเจ็ดปีที่แล้วเยอะเลยใช่ไหมล่ะ มันคงเป็นความเคยชินจากการสอนหลานเขียนหนังสือ เจ้าฮันกิของพี่ยูราแปดขวบแล้วนะ โตขึ้นหน้าเหมือนฉันอย่างกับถอดแบบมา แกคงตกใจแน่ถ้าได้เห็น
ที่โซลตอนนี้กำลังเข้าฤดูร้อนที่มีฝนตกชุกเกือบทุกวัน อากาศค่อนข้างแปรปรวนเพราะบางวันอุณหภูมิก็ลดลงจนใจหาย ไม่แปลกหรอกที่ฉันจะป่วยง่าย ..แต่นั่นมันเป็นความสามารถพิเศษของแกนี่นา ป่วยง่าย ขี้หนาว แถมยังชอบนอนอืดบนเตียงทั้งวันอีกต่างหาก
สภาพฉันในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากแกเลยแม้แต่นิด
แล้วแกล่ะยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหม
ฉันจำได้ว่าตอนที่เราไปออกค่ายด้วยกันสมัยเรียนอยู่มัธยมปลายปีสอง อากาศหนาวเหน็บจนแกไข้ขึ้นแทบทะลุปรอท แต่แกเองนั่นแหละที่ไม่ยอมบอกใครจนทั้งค่ายถึงกับปั่นป่วน
หวังว่าแกก็คงจำได้นะ วีรกรรมเปิ่นๆของตัวเองน่ะ
“หน้าแดงๆ ไม่สบายหรือเปล่า” ในตอนที่เราเพิ่งทำกิจกรรมช่วงบ่ายเสร็จ ฉันยกมือจะอังหน้าผาก แต่ตอนนั้นแกกลับเบี่ยงตัวเองออก แถมยังเซจนเหมือนจะล้มอีกต่างหาก
“เปล่า” แล้วก็พูดปดออกมาเต็มคำ ไอ้ฉันก็โง่เสียด้วยสิที่ดันเชื่อคำพูดนั้นของแก
แกเดินโงนเงนเหมือนคนที่กำลังกรึ่มๆจากฤทธิ์ของเหล้า ถ้าเราได้ดื่มกันมาก่อนหน้าฉันคงคิดว่าแกกำลังเมาอย่างแน่นอน ตอนนั้นแกไม่ยอมบอกใครเลยว่าปวดหัวจนแทบระเบิด จนตอนที่กำลังเดินไปโรงอาหารกันนั่นแหละ แกถึงได้ล้มลงไปต่อหน้าต่อตาฉันกับไอ้เซฮุนที่เดินตามหลัง
“แบคฮยอนเป็นลม!” ไอ้เซฮุนตะโกนดังลั่นจนทั้งค่ายวุ่นวาย ผิดกับฉันที่ช็อคไปแล้วและไม่มีเสียงออกมาจากลำคอด้วยซ้ำ สิ่งที่ฉันทำในตอนนั้นก็เพียงแค่วิ่งเข้าไปช้อนแกขึ้นมาแล้วกุลีกุจอไปที่ห้องพยาบาลให้เร็วที่สุดโดยมีพี่สต๊าฟวิ่งนำไป
แล้วแกก็โดนพี่สต๊าฟดุยกใหญ่ที่ไม่ยอมบอกว่าไม่สบาย ส่วนกรรมก็มาตกที่ฉันที่ต้องเป็นคนดูแลแก ในขณะที่ไอ้เซฮุนนั้นชิ่งไปป้อสาว แล้วนี่น่ะเป็นความลับนะ.. ตอนนั้นมันบอกว่าให้ดูแลแกมันยอมดูแลแม่ช้างเพิ่งคลอดลูกยังจะดีเสียกว่า
“ถ้าบอกว่าไม่สบายตั้งแต่แรกก็จบแล้ว” ฉันพูดตอนที่ยัดช้อนข้าวต้มเข้าไปในปากเล็กๆของแก
“ใครมันจะกล้าบอกกัน เห็นกำลังสนุก ฉันไม่อยากให้พวกแกเสียบรรยากาศ” แล้วแกก็เถียงกลับมาอย่างคำไม่ตกฟาก ซึ่งฉันก็ทำเพียงแค่ส่ายหัวอย่างเอือมระอากลับไปให้เท่านั้น
ไม่ใช่ว่ายอมแพ้นะ ฉันเพียงแต่ขี้เกียจจะเถียงกับคนดื้อดึงแบบแก แล้วตอนนี้ผ่านมาตั้งหลายปีนิสัยแกยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหม? ฉันนึกสงสัยจริงๆว่าจะมีใครทนไม้ทนมือแกได้เท่าฉันกับไอ้เซฮุนหรือเปล่า
“ขี้เกรงใจหรือ” ฉันตักข้าวต้มคำสุดท้ายขึ้นมาไว้บนช้อน “แล้วถ้าอนาคตไม่มีฉันอยู่ด้วยแล้ว แกจะทำยังไง”
ฉันจำได้ว่าตอนนั้นแกไม่ได้ตอบอะไรนอกจากอ้าปากรับข้าวต้มจากช้อน พักใหญ่ที่ในห้องพยาบาลต่างก็ไม่มีใครพูดอะไร จนกระทั่งฉันล้างชามใส่ข้าวต้มเสร็จแล้ว แกก็เอ่ยปากบอกบางประโยคที่ทำให้ฉันรู้สึกหมั่นเขี้ยวเหลือเกิน
“ตอนนี้มีแกอยู่ แค่นั้นก็พอแล้วชานยอล”
แล้วในปัจจุบันที่ไม่มีฉันอยู่ด้วยล่ะ แกเป็นยังไงบ้าง?
ฉันเป็นห่วงจากใจจริงและไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีใครดูแลแกได้ดีไปกว่าฉันและแม่ของแกอีกแล้ว คุณน้าคงจะอายุเยอะขึ้น ตอนนี้แกเป็นฝ่ายดูแลท่านแทนแล้วใช่ไหม? หลายปีแล้วที่ฉันไม่ได้กลับไปที่ปูซานเลย แม้ที่นั่นจะไม่ใช่บ้านเกิดของฉันเหมือนที่โซล แต่ก็ใช่ว่าฉันจะเคยอยู่ที่นั่นแค่เดือนสองเดือนเสียที่ไหนล่ะ
หวังว่าในเร็วๆนี้จะได้กลับไป แม้จะไม่ใช่ในฐานะนักเรียนเหมือนอย่างเคยแล้วก็เถอะ แต่การจากลาเป็นเวลานานมากเกินไปมันก็ทำให้ฉันคิดถึงและอยากกลับไปมากเหลือเกิน ฉันเคยคุยกับพี่ยูราเรื่องนี้ว่าอยากจะพาฮันกิไปเที่ยวที่ปูซาน แต่ยัยนั่นเคยโดนคนปูซานหักอกและทำไว้เจ็บแสบเลยเกี่ยงและไม่ยอมไปเสียที
ไว้ฉันจะตะล่อมยูราเอง ยังไงสักวันเราคงจะได้พบกันอีก
เอ้อ แล้วร้านเค้กของเรายังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า
ฉันหมายถึงร้านหน้าโรงเรียนถ้าแกจำได้ คลับคล้ายคลับคลาว่าตอนนั้นเกือบจะได้ปิดไปรอบหนึ่งเพราะปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้า แต่ยังดีนะที่ร้านยังเปิดอยู่จนกระทั่งเราเรียนจบ ถ้าตอนนี้มันยังอยู่ที่เดิม ฉันคาดหวังว่าเราคงจะได้ไปกินเค้กอร่อยๆที่นั่นอีกครั้งหนึ่ง
เพราะฉันจำได้ว่าแกชอบ
“วานิลลา.. ไม่เอาๆ เอาสตรอว์เบอร์รี่ดีกว่า” ตอนนั้นแกบ่นงึมงำจนเจ้าของร้านยกยิ้ม
เอ เขาชื่ออะไรนะ.. ลู่หานใช่ไหม? คนจีน? อ่าใช่.. ฉันจำได้ล่ะว่าเขาชื่อลู่หานและเป็นคนจีน
“สรุปเอาเค้กสตรอว์เบอร์รี่เนอะแบคฮยอน”
“ครับ”
“ห้าสิบบาทจ้า พี่ลดให้” แกยิ้มกว้างให้พี่ลู่หาน แม้กระทั่งตอนที่เดินกลับมาที่โต๊ะก็ยังไม่วายอวยพี่เขาว่าเป็นคนดีอย่างนู้นอย่างนี้จนฉันอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหยิกปากแกเบาๆ
“ย่าห์! เจ็บนะปาร์คชานยอล!” นอกจากชอบกินจนตัวจะแตก แกยังเป็นประเภทขี้โวยวายอีกต่างหาก ทั้งที่เมื่อกี้น่ะ
“ฉันบีบเบาๆเองนะ”
ฉันบีบไปแค่เบาๆเท่านั้นเอง เมื่อก่อนแกมันขี้เว่อร์ชะมัดเลย
อ้อ.. อันนี้เป็นอีกหนึ่งความลับ
เพราะอีกเหตุผลที่อยากกลับไปกินเค้กที่ร้านอีกเนื่องจากว่ามันเป็นความสุขของแก
ฉันชอบมองเวลาแกกินเค้กทุกชนิดที่อยู่ในร้าน ไม่ว่าจะเป็นเค้กอะไรแกก็ดูจะมีความสุขจนทำให้ฉันยกยิ้มตามได้ตลอด โดยเฉพาะกับเค้กสตรอว์เบอร์รี่ที่แกชอบนักหนา ในขณะที่ฉันกินแล้วรู้สึกเลี่ยน
“เลี่ยนตรงไหนกัน! ลิ้นแกเฝื่อนแล้ว!” พอฉันบอกแบบนั้นทีไร ก็จะโดนแกดุมาแบบนี้ทุกที
ทั้งที่มันเลี่ยนจริงๆ.. ขนาดไอ้เซฮุนยังบอกเลยในตอนที่ฉันซื้อไปฝากมันเพราะโดนแกบังคับ
แต่พอนึกไปนึกมา ฉันลืมไปสนิทว่าแกกับไอ้เซฮุนเป็นคู่กัดที่ไม่สมควรจะจับมานั่งด้วยกันเด็ดขาดหากเป็นไปได้ แม้จะเป็นเพื่อนกันแต่แกสองคนก็ชอบทำตัวเหมือนเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันตลอดเวลาจนฉันเข็ดขยาด เพราะฉะนั้นเวลาเดินด้วยกันสามคนฉันถึงต้องเป็นคนที่อยู่ตรงกลางเสมอ ป้องกันสงครามย่อมๆที่พวกแกชอบก่อ
“ชานยอลจ๋า” แกชอบพูดประโยคนี้ต่อหน้าไอ้เซฮุน เพราะแกชอบเห็นเวลามันเบะปากทำหน้าหมั่นไส้ ซึ่งฉันก็ไม่เห็นว่ามันดูน่าสะใจเหมือนอย่างที่แกบอกตรงไหนเลย
“พูดอะไรของมึง กูจะอ้วก”
และถ้าแกจำได้ เซฮุนเป็นคนเดียวในสามคนที่สามารถพูดคำหยาบกับทุกคนได้ ในขณะที่ฉันกับแก เราไม่เคยพูดแบบนั้นต่อกันและกันเลยสักครั้ง
ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร
“มึงมันขี้อิจฉา เห็นคนรักกันไม่ได้” แกกระชับกอดแขนฉันแน่น ก่อนจะซบหัวหนักๆลงมาที่บ่า “ใช่มั้ยชานยอล"
แต่ฉันคิดว่ามันคงเป็นความรู้สึกดีๆ
ในขณะที่ไอ้เซฮุนทำท่าโก่งคออ้วกแกก็หัวเราะคิกคัก ซึ่งฉันไม่เห็นว่ามันจะน่าขำตรงไหน กลับกัน ฉันคิดว่ามันเป็นท่าทางที่น่าจะยกเท้าขึ้นเสยคางไอ้ผอมกะหร่องนั่นสักรอบนึงดีกว่า
“ไปรักกันไกลๆตีน กูอิจฉา” แล้วสุดท้ายมันก็ยอมรับออกมา ทำให้แกอารมณ์ดีไปหลายวัน
เฮ้อ.. พูดถึงตรงนี้แล้วก็คิดถึงแกขึ้นมาอีกแล้ว ว่าแต่แกรู้หรือยังว่าเซฮุนมันกลับมาแล้วและมาอยู่ที่โซลอย่างถาวร เมื่อวันก่อนฉันเพิ่งเจอมันแล้วมันก็ถามหาแก
ฉันรู้สึกไม่ดีนักหรอกที่ต้องตอบมันกลับไปว่าไม่ได้ติดต่อกับแกมานานมากแล้ว
น่าขันชะมัดที่เราไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของกันและกัน อาจเป็นเพราะว่าเราสนิทกันมากเกินจนลืมเรื่องนั้นไป ฉันมีเพียงแค่ที่อยู่ที่แกยัดใส่มือมาให้ในตอนที่ฉันกำลังจะนั่งรถไฟเพื่อกลับมายังโซล
แม้ว่าตอนนี้จะไม่รู้แล้วว่าแกยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า แต่จดหมายฉบับนี้.. ฉันหวังว่ามันจะถึงมือแกไม่ช้าก็เร็วนะแบคฮยอน
อ้อ.. ประเด็นสำคัญที่นอกเหนือจากเรื่องที่ฉันส่งจดหมายมาหาเพราะคิดถึง มันยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก ด่วนมาก และเป็นเรื่องที่ฉันยินดี
ฉันกำลังจะแต่งงาน
ทาด้า! ข่าวดีไหมล่ะ มันเป็นเรื่องราวดีๆที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้า ถ้าแกจำยัยซอนมีตัวแสบที่ตามจีบฉันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่มัธยมปลายปีสามได้ แกจะต้องตกใจแน่เพราะตอนนี้ยัยนั่นจีบฉันติดแล้ว
ก็ไม่เชิง.. แต่ฉันเองก็เห็นมุมน่ารักของยัยนั่นเยอะแล้วเหมือนกัน และคิดว่ายัยตัวแสบคงเหนื่อยมากกับการวิ่งตามฉันมาเกือบจะสิบปีดีดัก ฉันตอบรับขอเป็นแฟนหล่อนไปเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว ซอนมียิ้มทั้งน้ำตาแถมยังกระโดดกอดฉันแรงจนแทบจะล้มคะมำไปด้วยกันทั้งคู่
ได้ฤกษ์แต่งงานแล้วล่ะ ดีใจกับฉันไหมแบคฮยอน?
หวังว่าจะได้เจอแกที่งานแต่งงานของฉันนะ!
ปาร์คชานยอล
ถึง ปาร์คชานยอล
สวัสดีอีกครั้งในรอบเจ็ดปีคุณโยดา
แกถามคำถามมาเยอะจัง! ฉันตอบไม่หมดหรอกนะ!
ฉันจะไม่ตอบคำถามพวกนั้นหรอก แต่สิ่งที่ฉันจะทำคือเขียนจดหมายหาแกอีกครั้ง และจำไว้ว่านี่ไม่ใช่การตอบจดหมายกลับ แต่มันคือ ‘เขียนจดหมายส่งถึง’
แกจำมาริได้ไหม? แมวของเรา
มันเพิ่งตายไปเมื่อเดือนที่แล้ว
แต่อายุมันยืนมากๆเลยนะ จากตอนแรกที่เราสองคนไปเจอมันตรงหน้าร้านต๊อก สภาพมันสกปรกแม้จะเป็นสีขาวทั้งตัว สิ่งที่น่าสนใจคือตาสีฟ้าของมัน ลูกแมวกำพร้าแม่ที่แกอาจจะลืมมันไปแล้วแต่ฉันยังคงเลี้ยงมันอยู่ แม้ว่าไม่กี่อาทิตย์ถัดมาหลังจากที่เราเจอมันแกจะย้ายกลับไปโซลแล้วก็เถอะ
แต่ฉันก็ไม่คิดเลยว่าแกจะไม่มีโอกาสได้กลับมาหามันอีกครั้งหนึ่ง
แม้ฉันจะไม่ใช่แมว.. แต่ฉันคิดว่าฉันสัมผัสความรู้สึกของมาริได้ ฉันรู้ว่ามันกำลังรอให้เจ้าของอีกคนกลับมาหา โดยที่ไม่รู้เลยว่าเจ้าของของตัวเองนั้นไปมีแมวตัวอื่นหรือยัง แต่ยังไงก็ยังคงรอ
บางทีแกอาจจะมีแมวใหม่แล้วหรือเปล่านะ?
อ้อ.. แล้วก็ ยินดีด้วยกับการแต่งงานที่กำลังจะมาถึงนะชานยอล
ไม่คิดเลยว่าเจ้าสาวของแกจะเป็นซอนมีจริงๆ ตอนนั้นแกยังแสดงท่าทางรำคาญหล่อนแทบตายแม้คนที่แกรำคาญจะเป็นถึงดาวโรงเรียน สวย เพอร์เฟ็คจนไม่มีใครกล้าปฏิเสธ แต่แกกลับเป็นผู้กล้าคนนั้น แล้วสุดท้ายแกเองนั่นแหละที่ตกหลุมพราง
ใช่ไหมล่ะ
ฉันว่าแล้วเชียว หล่อนเหมาะสมกับแกยิ่งกว่าอะไร
รู้สึกผิดจังที่ตอนนั้นฉันไม่ได้สนับสนุนให้แกคบกับซอนมีอย่างจริงๆจังๆ แถมฉันยังเคยพูดจิกกัดว่าที่ภรรยาของแกไปหนหนึ่งด้วย หล่อนอาจจะเกลียดฉันจนถึงตอนนี้ก็ได้นะ
ฉันจะมีหน้าไปงานแต่งแกกับหล่อนได้ยังไงเนี่ย!
“ชานยอลไม่ชอบผู้หญิงขี้ตื๊อหรอกนะ” ฉันบอกหล่อนไปแบบนั้นเพราะรู้สึกรำคาญ ตอนนั้นแกไม่อยู่และไปไหนสักที่ ฉันเลยไม่เกรงใจและพูดออกไปแบบเต็มที่ “โดยเฉพาะเธอ.. ชานยอลไม่มีวันชอบเธอหรอก”
หล่อนหน้าเสียไปเลยในตอนที่ฉันพูด เพราะฉันสนิทกับแกที่สุด ฉันนึกว่าซอนมีคงเข้าใจว่าเพื่อนสนิทของแกมาพูดออกโรงแบบนี้แล้วคงไม่มีหวังอะไรอีก แต่หล่อนก็ยังคงไม่เข้าใจ เพราะวันถัดมาฉันก็ยังเห็นซอนมีเดินตามแกเป็นเงาอยู่เหมือนเดิม
“เลิกยุ่งกับชานยอลสักทีได้ไหม”
“อะไรของนายนักนะแบคฮยอน!”
“ชานยอลน่ะ..”
“.....”
“เชื่อสิว่าเขาไม่มีวันชอบเธอ”
แต่สุดท้ายแกก็ไปชอบหล่อน.. แล้วฉันควรจะทำหน้ายังไงเข้าไปในงานแต่งแกดีล่ะชานยอล?
นึกมาถึงตรงนี้ฉันคิดว่าคงจะไม่ได้ไปงานแต่งของแกแน่ๆ หรือถ้าไป.. ก็อาจจะเอาซองไปให้ เสร็จแล้วก็รีบกลับบ้าน ฉันจะไม่มีวันอยู่ให้แกหรือซอนมีทันเห็นหน้าฉันหรอก มันน่าอายจะตายไป
“ฉันขอให้เธอเลิกยุ่งกับชานยอลซะ” นั่นเป็นอีกประโยคติงต๊องที่ฉันพูดตอกหน้าเธอ “เชื่อสิว่าชานยอลรำคาญเธอ เขาไม่อยากอยู่ใกล้เธอนักหรอก”
ซอนมีทำหน้ายุ่งเหมือนจะด่าว่าฉันเป็นตัวสาระแน ก็ไม่แปลกหรอก ฉันมันตัวสาระแนจริงๆนี่นา
“นายสติเพี้ยนหรือไงถึงได้ชอบพูดจาแบบนั้น” ยัยนั่นทำปากยื่นแถมยังขมวดคิ้วอีกต่างหาก
“ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าชานยอลไม่ได้ชอบเธอ”
“....”
“ฉันเป็นเพื่อนหมอนั่น แล้วฉันก็รู้ดี”
“....”
“ชานยอลชอบเซฮุน เธอไม่รู้หรอ”
ความลับน่ะ.. บทสนทนาเมื่อครู่มันเป็นความลับของฉันเอง
เผื่อว่าแกจะจำได้ มีช่วงหนึ่งที่ซอนมีไม่เข้าใกล้แกเลย ซึ่งสาเหตุมันก็เป็นเพราะฉันเอง จนกระทั่งไอ้เซฮุนเปิดตัวว่าคบกับผู้หญิงห้องสามนั่นแหละหล่อนถึงได้ตามติดแกเป็นเงาอีกครั้ง แถมยังมองหน้าฉันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
แล้วฉันก็ไม่ถูกกับยัยนั่นมานานแล้ว แกอาจจะไม่รู้ข้อนี้ก็ได้
เฮ้อ.. แต่เอาเถอะ ตอนนี้ยัยบ้านั่นอาจจะลืมหน้าหมาๆของฉันไปแล้ว เพราะฉะนั้นฉันคิดว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่ฉันจะไปโผล่หัวอยู่ในงานแต่งของแก
ปัดเรื่องซอนมีออกไปเถอะ ฉันขี้เกียจจะพูดถึงว่าที่ภรรยาของแกต่อแล้ว
ร้านเค้กเป็นเรื่องเดียวที่ฉันอยากจะตอบคำถาม
ขอแสดงความยินดีกับแกอีกครั้งด้วย เพราะร้านเค้กยังอยู่ที่เดิม
พี่ลู่หานคนจีนที่แกบอกคิดจะปิดร้านทิ้งหลายครั้ง ฉันไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรแต่พี่เขาดูไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่ แล้วตอนนี้พี่ลู่หานที่ชอบยิ้มและร่าเริงอยู่เสมอคนนั้นก็ไม่มีแล้วล่ะ ที่แกบอกว่าเขาจะปิดร้านเพราะปัญหาเศรษฐกิจฉันก็คิดว่าไม่ใช่ ข่าวลือหนาหูว่าพี่เขาคิดจะปิดร้านคราวนั้นเพราะอกหักต่างหาก
ฉันไม่ได้สนิทกับพี่เขาขนาดนั้น ไม่กล้าจะไปเสาะถามตื้นลึกหนาบางหรอก แม้จะสงสัยก็ตาม
“ชานยอลล่ะ” พี่ลู่หานถามขึ้นในเช้าวันหนึ่ง จำได้ว่าตอนนั้นฉันกำลังจะไปรายงานตัวเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนแกกลับโซลไปได้สองอาทิตย์กว่าๆแล้ว
“อ่า.. กลับโซลไปแล้วครับ”
พี่ลู่หานทำท่าทางตกใจอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงใบหน้าที่เคลือบความฉงนด้วย “ไม่ได้เป็นคนปูซานหรอกหรอ?”
“เปล่าครับ ชานยอลเป็นคนกรุงโซล แต่ย้ายมาเรียนมัธยมปลายที่นี่” แล้วฉันก็ตอบคลายความสงสัยไป ซึ่งพี่ลู่หานก็ไม่ได้ติดใจอะไร
แต่พอนึกๆดูแล้วแกก็หายไปนานเหมือนกันนะชานยอล
นาน.. พอมานับดูวันเวลาที่แกย้ายกลับไปก็นานมากๆ สักประมาณเจ็ดปีแล้วที่เราไม่ได้เจอ ไม่ได้คุย ไม่ได้ทำอะไรร่วมกัน หรือแม้แต่ได้มองเห็นปลายเส้นผม
ฉันไม่ได้เจอแกมานานแล้ว ผมยังเป็นสีน้ำตาลเข้มธรรมชาติเหมือนเดิมไหม?
ขอเดาว่าไม่ ก๋ากั่นแบบแกต้องเปลี่ยนสีผมไปสิบกว่ารอบแล้วแน่ๆ
แม้การนับระยะเวลาของฉันมันจะดูยาวนานในความเป็นจริง แต่สำหรับความรู้สึก ฉันคิดว่ามันเพิ่งจะผ่านไปไม่นานเท่านั้นเอง
วันที่เราไปค่ายกันตามที่แกเล่า วันที่เรากินเค้กด้วยกัน วันที่ฉันกัดกับเซฮุนแล้วก็มีแกคอยช่วยปราม
หรือย้อนไปแม้กระทั่งวันที่ฉันเจอแกครั้งแรกตอนสิบปีที่แล้ว
“ชานยอล..”
ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม
“อื้อ”
“ชื่อแปลกจัง เราแบคฮยอนนะ”
“ก็แปลกเหมือนกันนั่นแหละ”
วันนั้นเราเถียงกันอยู่นานว่าใครชื่อแปลกกว่ากัน แต่แกก็แพ้ เพราะฉันเถียงสุดใจขาดดิ้น เมื่อก่อนฉันดื้อด้านเหมือนอย่างที่แกกล่าวหาไม่มีผิดเลย
เวลาผ่านไปเร็วจังนะชานยอล ใจหายแปลกๆนะว่าไหม
แล้วพบกันใหม่ที่งานแต่งของแกนะ
บยอนแบคฮยอน
TBC. person part
TALK :
ขอบคุณที่หลงเข้ามานะคะ ♡
#น้ำผึ้งมะนาวCB
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

#อินจัด