ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอน... สัตยาบันเลือกนาย
การประลองดำเนินมาเกือบครึ่งทาง นักเรียนเกือบครึ่งประลองจนเสร็จสิ้นกันแล้ว แต่ผู้คนยังคงหลั่งไหลกันมาอย่างไม่ขาดสาย มีขบวนแห่เกี้ยวของเหล่าเศรษฐีดัง ๆ มากมาย เข้ามายังลานประลอง หนึ่งในนั้นคือ จางจูผิง หรือ โกจาง พ่อค้าตลาดมืดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในย่านซงฟู่ ซึ่งมาพร้อมกับ จายจูผิง หรือโกจาย น้องชาย เป็นพ่อค้าตลาดมืดที่ยิ่งใหญ่อีกคน แต่ทว่า อิทธิพลของสองคนนี้ กว้างขวางจนกฎหมายไม่สามารถเอาผิดมันได้ ทุกคนต่างรู้ดีว่า สองพี่น้องนี้ค้าอาวุธเถื่อน ยาเสพติด อีกทั้งค้าแรงงานมนุษย์ แต่ทุกครั้งที่มีคำสั่งจับกุมพวกมัน จายจูผิง หรือโกจาย จะสามารถเอาชนะคดีได้ทุกครั้ง แถมยังฟ้องร้องกลับ ข้อหาทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ทำให้เป็นที่เอือมระอาของเหล่ากองปราบ เพราะการบุกไปจับกุมพวกมัน จะต้องเป็นอันเสียเลือดเนื้อทุกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้ ยอซี่ เคยประชุมลับกับขุนพลคนอื่น ๆ เรื่องที่เคลือบแคลงใจ ว่าพระราชาถือหางให้กับสองพี่น้องนี้ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ โกจาง และโกจาย ยังสามารถมาเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ที่ลานประลองได้ แต่ก็เป็นแค่คำสันนิฐานของยอซี่เท่านั้น พวกมันมาพร้อมด้วยทหารส่วนตัวอีกมากมาย บุคลิกท่าทาง เหมือนนักเลง สายตาทุกคู่จดจ้องมายังพวกมัน แต่สายตาของพวกมันกลับจ้องไปยังที่นั่งของ โกริ และ โกโร่ ลูกน้องคนหนึ่งของมัน เดินมากระซิบกับ โกจายผู้พี่ว่า “ลูกพี่ครับ นั่นมันขุนพล โกริ และ โกโร่ ศิษย์สองพี่น้องของวัดเส้าหลิน ฝีมือร้ายกาจนะครับ ลูกพี่ ผมว่าเรา....” โกจายยกมือขึ้นมาปรามก่อนลูกน้องตัวดีจะพูดจบ สายตายังจ้องอยู่ที่เดิม ก่อนจะพูด “ลื้อหาที่นั่งให้อั๊ว อั๊วจะดูการประลอง” พวกมันเดินไปนั่งยังด้านหน้าสุดของลานประลอง ซึ่งยังคงว่างอยู่ 3 4 ที่ เป็นที่นั่งที่ตกแต่งด้วยสีสเปรย์ลวดลายอุบาดว์แลดูรกหูรกตา ดูเหมือนว่าจะจัดไว้สำหรับแขกพิเศษ ซึ่งแน่นอน ไม่ใช่ที่ของพวกมันอยู่แล้ว พวกมันไม่ทันจะนั่งก็มีเสียงกล่าวมาจากด้านข้างของพวกมัน “ที่นั่งนั่น ไม่ใช่ของเจ้า ถอยออกมานะไอเบื้อก.. !” คำพูดที่ห้วน บ่งบอกถึงความดูถูกเหยียดหยาม อีกทั้งน้ำเสียงยียวนกวนประสาท มันช่างรุนแรงเกินกว่านักเลงนอกคอกอย่าง โกจาง โกจาย จะรับได้ จึงหันตามเสียง ๆ นั้น ปรากฏเป็นชายรูปร่างผอม หนวดเครารุงรัง สวมเสื้อหนังแขนยาว มีหมวกHood ที่ทำจากขนสัตว์ กางเกงหนังขายาว ลักษณะการแต่งตัวแบบนี้ดูๆ ไปแล้ว ก็ไม่ยากที่จะคาดเดา เพราะนี่คือเครื่องแบบของ 6 ขุนพลแห่งพระราชา ชื่อว่าชุดฟินิกส์ สองพี่น้องนักเลงรู้ดี เพราะพวกมันเคยหนีการจับกุมของขุนพลมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ชายคนนี้พวกมันไม่เคยเห็นหน้า จึงถามกับชายผู้นั้นว่า “เจ้าสวมชุดฟินิกส์เช่นนี้ เจ้าคือใครวะ” ชายคนนั้นเปลี่ยนสีหน้าเป็นร่าเริง พร้อมกระโดดอย่างลิงโลดแล้วตั้งท่าราวกับว่านักข่าวมาสัมภาษณ์ตนก็ไม่ปาน “เป็นคำถามที่ดีมาก ข้าคือ โจเซฟ บาบิโลน ขุนพลสุดหล่อในการควบคุมพิเศษของพระราชา ยังไงหละ” สองพี่น้องได้ฟัง อีกทั้งเห็นท่าทางประกอบการพูด ก็เกิดอาการอึ้งไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าขุนพลแห่งพระราชา จะมีคนไม่สมประกอบอยู่ในทีมด้วย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะด้านหลังที่มันสะพายอยู่ คือ ปืนไฟขนาดใหญ่ ที่ดูน่าเกรงขามมาก ขืนพูดอะไรไม่เข้าหูบุคคลเช่นนี้ มีหวังได้ตายเร็วแน่ จึงถามเปลี่ยนประเด็นออกไปว่า “แล้วที่นั่งตรงนี้ เว้นไว้ทำไมเหรอครับ ท่านขุนพล” โจเซฟ ได้ฟังก็หัวเราะชอบใจ แล้วชี้ไปยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ ทั้ง 3 ตัวนั่น สองพี่น้องหันมองตาม เห็นเป็นกระดาษติดข้อความอยู่ด้านหลัง เขียนไว้ว่า “ที่นั่งทั้งหมดนี้ เป็นของท่านขุนพลโจเซฟ หากผู้ใดบังอาจมานั่ง จะต้องได้รับโทษ เป่ากระหม่อม สถานเดียว ลงชื่อ โจเซฟ บาบิโลน” เมื่อสองพี่น้องได้อ่าน ก็เกิดความเอือมระอาในความปัญญาอ่อนและบ้าพลังของขุนพลติ๊งต๊องคนนี้ “เช่นนั้น ข้าไม่นั่งที่ของท่านก็ได้ แต่ข้าจะขอยืนดูตรงนี้ได้หรือไม่” โจเซฟได้ฟังจึงตอบกลับไป “ข้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ว่าแต่เจ้าไปซื้อหนมให้ข้าหน่อยดิ พึ่งกลับมาจากการทำภารกิจที่เกาะเสือยังไม่กินไรเลย” สองพี่น้องได้ยินคำว่าพึ่งกลับมาจากเกาะเสือ ก็เกิดความสนใจในเกาะดังกล่าว หมายจะเข้าไปทำการค้าอาวุธเถื่อนที่นั่น เพราะที่เกาะเสือเป็นแหล่งที่อยู่ของโจรรับจ้าง จึงเรียกลูกน้องให้ไปซื้อขนมตามที่โจเซฟบอก จากนั้นจึงชวนคุย “แล้วท่านไปทำอะไรที่เกาะเสือเล่า ข้าได้ข่าวมาว่าเกาะนั้นตอนนี้โจรชุมเต็มไปหมด” โจเซฟได้ฟังก็ตอบกลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “ไอ้ควายเอ๊ย ข้าจะไปทำอะไรก็เรื่องของข้า เอ็งเกี่ยวอะไรด้วยวะ แล้วอีกอย่าง คนอย่างข้าไม่เคยกลัวโจรหน้าไหนทั้งนั้น รวมถึงเอ็งด้วย ถ้าพูดมากข้าจะยิงให้ไส้แตก แล้วจะหาว่าไม่เตือน ” สองพี่น้องได้ฟังยิ่งสนใจ จึงคิดจะหลอกถามข้อมูลจากขุนพลผู้นี้ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากกล่าววาจาใด โจเซฟก็ชิงตัดบทด้วยการคว้าปืนสั้นจากสะเอวขึ้นมาจ่อหัว โกจาง ผู้พี่ แล้วกล่าว “พูดกับปืนข้าดีกว่าไหม ไอ้เบื้อก” เป็นการจบบทสนทนาที่รวดเร็ว แล้วเรียบง่าย ไร้ปัญหา...
การประลองก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ จนจบการแข่งขัน โฆษกขึ้นมากล่าวชื่อคู่ต่อไป เป็นการต่อสู้ระหว่าง ซันจิ และ คิมูริ ซึ่งเป็นคู่ที่มีผู้ให้ความสนใจมากที่สุด เหล่ากองเชียร์ต่างส่งเสียงโห่ร้องอย่างชอบใจ เมื่อรู้ว่าหนูน้อยซันจิ จะลงแข่งในอีกสักครู่ แต่โฆษกกลับทำลายความรู้สึกของคนดู ด้วยการบอกว่า จะขอพักการประลองไว้ก่อน เนื่องจากผ่านไปครึ่งทางของการประลองพอดี ต่อไปจะเป็นการเปิดคัมภีร์สัตยาบัน ให้กับนักเรียนที่แข่งเสร็จและมีเจ้านายในสังกัดเรียบร้อยแล้วซึ่งเป็นการตั้งปฏิญาณตนของนักเรียนว่าจะเป็นทหารองค์รักษ์ที่ภักดีต่อเจ้านาย โดยกระทำต่อหน้าเทพเจ้ากวนอู เทพแห่งความซื่อสัตย์ เพื่อให้พระองค์เป็นสักขีพยาน และทำพันธะผูกพันธุ์กับต้นสังกัดใหม่อย่างเป็นทางการ โดยคัมภีร์สัตยาบัน ผู้ใช้จะต้องเขียนชื่อตัวเองและเจ้านายในคัมภีร์พิเศษที่ทำขึ้นโดยโรงเรียนนาฏศิลป์ โรงเรียนเก่าแก่แห่งเกาะใต้ มันจะมีฤทธิ์สะกดจิตให้คนผู้นั้นไม่สามารถถอนคำพูดของตัวเองได้ แม้จะมีสติสัมปชันยะครบถ้วนก็ตาม พวกเขาจะจงรักภักดีต่อเจ้านายของตน โดยไม่มีข้อแม้ จนกว่าจะเผาหรือทำลายคัมภีร์นั้นทิ้ง ถือเป็นสิ่งที่ศักดิ์ศิษย์ที่กระทำสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เสียงกลองลั่นเป็นจังหวะถี่รัวประสานกับเสียงบทสวดของหลวงจีนที่มาร่วมพิธีสัตยาบัน ทำให้บรรยากาศในงานประลอง ดั่งต้องมนต์สะกด ทุกคนต่างเงียบเสียงและให้ความสำคัญกับการทำพิธีเป็นอย่างยิ่ง นักเรียนทหารคนแรกพร้อมด้วยผู้ที่เป็นว่าที่เจ้านายของทหารคนนี้ย่างก้าวขึ้นสู่ลานประลอง ที่เนรมิตเป็นลานพิธีกรรมสัตยาบัน ตัวแทนหลวงจีนผู้ที่ดูอาวุโสที่สุดในบรรดาทั้งหมดคาดว่าน่าจะเป็นเจ้าอาวาสมาเป็นตัวแทนในการทำพิธี “ชื่อของเจ้านาย” หลวงจีนผู้นั้นกล่าวด้วยเสียงที่แหบแห้งและแผ่วเบา “บินยามิน” พ่อค้าผู้ชนะการประมูลกล่าว คำพูดของหลวงจีน และพ่อค้าถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ด้วยตัวมันเองไม่ต้องมีใครมาขีดเขียน หรือใช้ปากกาแต่อย่างใด พิธีดำเนินไปจนใกล้จะเสร็จสิ้นพนักงานที่คุมความเรียบร้อยและคอยอำนวยความสะดวกในการทำพิธี เริ่มเก็บอุปกรณ์ประกอบพิธีต่าง ๆ กัน เพื่อเตรียมสนามประลองในรอบต่อไป แต่ยังไม่ทันจะเตรียมสนามประลองเสร็จสิ้น เกิดเสียงลั่นปืนไฟดังขึ้น 1 นัด ผู้คนต่างแตกตื่นวิ่งหลบหนีกันอย่างวุ่นวาย ณ เวลาเดียวกัน บริเวณด้านบนหลังคาของเรือนรับรองที่ขุนพลโกริ และแขกผู้มีเกียตินั่งอยู่ มีโจรโพกผ้าดำ 6 คน ปรากฏขึ้นพร้อมกับปืนไฟกึ่งอัตโนมัติในมือ แล้วระดมยิงลงมาใส่ผู้คนที่ร่วมชมการประลองล้มตายบาดเจ็บไปหลายคน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก อย่างกับได้วางแผนไว้เป็นอย่างดี โจเซฟ ที่นั่งชมการประลองอยู่ด้านล่าง ใช้เก้าอี้เป็นที่กำบังกระสุนปืนที่ระดมยิงลงมา ในขณะเดียวกันก็คว้าปืนสั้นข้างเอวออกมายิงตอบโต้ด้วยความคล่องแคล่ว เวลาผ่านไปพอเกือบ 5 นาที โจเซฟยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ เหตุการณ์เริ่มยุ่งเหยิง เมื่ออีกทางฝั่งของหอคอย มีโจรติดอาวุธเหมือนกัน มาเพิ่มอีก 3 คน ทำให้ตอนนี้โจเซฟตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูเพียงลำพัง เขาพยายามใช้เก้าอี้ที่วางเรียงรายอยู่ข้างกายเป็นที่กำบัง และใช้สัญชาติญาณส่วนตัวในการจับตำแหน่งของศัตรูยิงตอบโต้โดยไม่ต้องเล็ง อนึ่งเพราะศัตรูใช้ปืนกึ่งอัตโนมัติ แล้วกระหน่ำยิงจากรอบด้าน ทำให้เขาไม่มีเวลาพอที่จะเล็งและยิง แต่สิ่งที่เขาทำก็เกิดผล เมื่อหนึ่งในศัตรูด้านหลังขยับตัวไปตรงกับแสงแดดที่ส่องผ่านมา ทำให้เกิดเงาของร่างมาประทะกับโจเซฟ ทำให้เขารู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของศัตรูทางด้านหลัง เขาพยายามเอี้ยวตัวกลับหลังโดยไม่ให้ลำตัวล้นออกนอกเก้าอี้ทางด้านหน้าแล้วใช้เวลาเสี้ยววินาทีลั่นไกไปยังเงาดำที่พาดผ่านตัวเขามาเมื่อครู่ กระสุนแทรกผ่านอากาศทะลุกลางศีรษะของศัตรูอย่างแม่นยำ ทำให้ตอนนี้เท่ากับว่า เขามีศัตรูทางด้านหน้า 6 คน และด้านหลังอีก 2 คน แต่ระหว่างที่เขากำลังจะหันหลังกลับเกิดเสียหลักล้มลงทำให้ลำตัวเอนออกนอกเก้าอี้ ศัตรูที่รออยู่ด้านหน้าทั้ง 6 คน ลั่นไกเข้าใส่ทันที ห่ากระสุนที่ระดมยิงลงมากระทบเก้าอี้และผืนทรายทำให้เกิดฝุ่นคลุ้งกระจายปกคลุมทั่วบริเวณ โจรทั้งหมดที่ซุ่มอยู่ด้านบนหยุดยิงเพื่อรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นมีเสียงบุคคลผู้หนึ่งกล่าวขึ้นจากในหมอกควันนั้น “เกือบไปแล้วนะครับ”
การประลองก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ จนจบการแข่งขัน โฆษกขึ้นมากล่าวชื่อคู่ต่อไป เป็นการต่อสู้ระหว่าง ซันจิ และ คิมูริ ซึ่งเป็นคู่ที่มีผู้ให้ความสนใจมากที่สุด เหล่ากองเชียร์ต่างส่งเสียงโห่ร้องอย่างชอบใจ เมื่อรู้ว่าหนูน้อยซันจิ จะลงแข่งในอีกสักครู่ แต่โฆษกกลับทำลายความรู้สึกของคนดู ด้วยการบอกว่า จะขอพักการประลองไว้ก่อน เนื่องจากผ่านไปครึ่งทางของการประลองพอดี ต่อไปจะเป็นการเปิดคัมภีร์สัตยาบัน ให้กับนักเรียนที่แข่งเสร็จและมีเจ้านายในสังกัดเรียบร้อยแล้วซึ่งเป็นการตั้งปฏิญาณตนของนักเรียนว่าจะเป็นทหารองค์รักษ์ที่ภักดีต่อเจ้านาย โดยกระทำต่อหน้าเทพเจ้ากวนอู เทพแห่งความซื่อสัตย์ เพื่อให้พระองค์เป็นสักขีพยาน และทำพันธะผูกพันธุ์กับต้นสังกัดใหม่อย่างเป็นทางการ โดยคัมภีร์สัตยาบัน ผู้ใช้จะต้องเขียนชื่อตัวเองและเจ้านายในคัมภีร์พิเศษที่ทำขึ้นโดยโรงเรียนนาฏศิลป์ โรงเรียนเก่าแก่แห่งเกาะใต้ มันจะมีฤทธิ์สะกดจิตให้คนผู้นั้นไม่สามารถถอนคำพูดของตัวเองได้ แม้จะมีสติสัมปชันยะครบถ้วนก็ตาม พวกเขาจะจงรักภักดีต่อเจ้านายของตน โดยไม่มีข้อแม้ จนกว่าจะเผาหรือทำลายคัมภีร์นั้นทิ้ง ถือเป็นสิ่งที่ศักดิ์ศิษย์ที่กระทำสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เสียงกลองลั่นเป็นจังหวะถี่รัวประสานกับเสียงบทสวดของหลวงจีนที่มาร่วมพิธีสัตยาบัน ทำให้บรรยากาศในงานประลอง ดั่งต้องมนต์สะกด ทุกคนต่างเงียบเสียงและให้ความสำคัญกับการทำพิธีเป็นอย่างยิ่ง นักเรียนทหารคนแรกพร้อมด้วยผู้ที่เป็นว่าที่เจ้านายของทหารคนนี้ย่างก้าวขึ้นสู่ลานประลอง ที่เนรมิตเป็นลานพิธีกรรมสัตยาบัน ตัวแทนหลวงจีนผู้ที่ดูอาวุโสที่สุดในบรรดาทั้งหมดคาดว่าน่าจะเป็นเจ้าอาวาสมาเป็นตัวแทนในการทำพิธี “ชื่อของเจ้านาย” หลวงจีนผู้นั้นกล่าวด้วยเสียงที่แหบแห้งและแผ่วเบา “บินยามิน” พ่อค้าผู้ชนะการประมูลกล่าว คำพูดของหลวงจีน และพ่อค้าถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์ด้วยตัวมันเองไม่ต้องมีใครมาขีดเขียน หรือใช้ปากกาแต่อย่างใด พิธีดำเนินไปจนใกล้จะเสร็จสิ้นพนักงานที่คุมความเรียบร้อยและคอยอำนวยความสะดวกในการทำพิธี เริ่มเก็บอุปกรณ์ประกอบพิธีต่าง ๆ กัน เพื่อเตรียมสนามประลองในรอบต่อไป แต่ยังไม่ทันจะเตรียมสนามประลองเสร็จสิ้น เกิดเสียงลั่นปืนไฟดังขึ้น 1 นัด ผู้คนต่างแตกตื่นวิ่งหลบหนีกันอย่างวุ่นวาย ณ เวลาเดียวกัน บริเวณด้านบนหลังคาของเรือนรับรองที่ขุนพลโกริ และแขกผู้มีเกียตินั่งอยู่ มีโจรโพกผ้าดำ 6 คน ปรากฏขึ้นพร้อมกับปืนไฟกึ่งอัตโนมัติในมือ แล้วระดมยิงลงมาใส่ผู้คนที่ร่วมชมการประลองล้มตายบาดเจ็บไปหลายคน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก อย่างกับได้วางแผนไว้เป็นอย่างดี โจเซฟ ที่นั่งชมการประลองอยู่ด้านล่าง ใช้เก้าอี้เป็นที่กำบังกระสุนปืนที่ระดมยิงลงมา ในขณะเดียวกันก็คว้าปืนสั้นข้างเอวออกมายิงตอบโต้ด้วยความคล่องแคล่ว เวลาผ่านไปพอเกือบ 5 นาที โจเซฟยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ เหตุการณ์เริ่มยุ่งเหยิง เมื่ออีกทางฝั่งของหอคอย มีโจรติดอาวุธเหมือนกัน มาเพิ่มอีก 3 คน ทำให้ตอนนี้โจเซฟตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูเพียงลำพัง เขาพยายามใช้เก้าอี้ที่วางเรียงรายอยู่ข้างกายเป็นที่กำบัง และใช้สัญชาติญาณส่วนตัวในการจับตำแหน่งของศัตรูยิงตอบโต้โดยไม่ต้องเล็ง อนึ่งเพราะศัตรูใช้ปืนกึ่งอัตโนมัติ แล้วกระหน่ำยิงจากรอบด้าน ทำให้เขาไม่มีเวลาพอที่จะเล็งและยิง แต่สิ่งที่เขาทำก็เกิดผล เมื่อหนึ่งในศัตรูด้านหลังขยับตัวไปตรงกับแสงแดดที่ส่องผ่านมา ทำให้เกิดเงาของร่างมาประทะกับโจเซฟ ทำให้เขารู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของศัตรูทางด้านหลัง เขาพยายามเอี้ยวตัวกลับหลังโดยไม่ให้ลำตัวล้นออกนอกเก้าอี้ทางด้านหน้าแล้วใช้เวลาเสี้ยววินาทีลั่นไกไปยังเงาดำที่พาดผ่านตัวเขามาเมื่อครู่ กระสุนแทรกผ่านอากาศทะลุกลางศีรษะของศัตรูอย่างแม่นยำ ทำให้ตอนนี้เท่ากับว่า เขามีศัตรูทางด้านหน้า 6 คน และด้านหลังอีก 2 คน แต่ระหว่างที่เขากำลังจะหันหลังกลับเกิดเสียหลักล้มลงทำให้ลำตัวเอนออกนอกเก้าอี้ ศัตรูที่รออยู่ด้านหน้าทั้ง 6 คน ลั่นไกเข้าใส่ทันที ห่ากระสุนที่ระดมยิงลงมากระทบเก้าอี้และผืนทรายทำให้เกิดฝุ่นคลุ้งกระจายปกคลุมทั่วบริเวณ โจรทั้งหมดที่ซุ่มอยู่ด้านบนหยุดยิงเพื่อรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นมีเสียงบุคคลผู้หนึ่งกล่าวขึ้นจากในหมอกควันนั้น “เกือบไปแล้วนะครับ”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น