If You Only Knew ..ยังไม่ชัดเจน (SF มุกพราว)
ทุกช่วงเวลาที่เรา ..ยังคงไม่ชัดเจน หากแม้ว่าดูออกจะรู้ว่า..รักเธอแค่ไหน
ผู้เข้าชมรวม
816
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“ ห๊ะ อะไรนะมุก ” พราวร้องเสียงดังขึ้นมาอย่างแปลกใจกับคำถามแปลกๆ ของฉัน
“ เออ ก็ถามไง ก็แค่อยากรู้ว่าเธออ่ะเคยคิดสงสัยในความรู้สึกจริงๆ ที่เรามีให้กันบ้างมั้ย ” ฉันพยายามเรียบเรียบประโยคที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยคคำตอบที่พอจะขยายความในคำถามแปลกๆ นั่น
“ ทำไมจู่ๆ นึกอะไรแปลกๆ ขึ้นมาล่ะเนี่ย ” พราวยังคงไม่ตอบคำถามของฉันซ้ำยังทำหน้าตางุนงงกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว
“ ก็มันมีคนจิ้นเราไม่น้อยเลยนี่ เธอไม่เคยสงสัยบ้างเหรอว่าอะไรระหว่างเรา ที่ทำให้คนเหล่านั้นจิ้นเราอ่ะ ” ฉันยกมือเกาหัวแก้เก้อกับคำอธิบายแปลกๆ ที่ดูจะเป็นคำถามกลายๆ ทั้งที่ตั้งแต่เปิดปากถามพราวมาแต่ละคำถามยังไม่เคยจะได้คำตอบมาสักครั้ง
พราวหัวเราะกับคำอธิบายกึ่งคำถามของฉันอย่างอารมณ์ดีพร้อมส่ายหัวเป็นพันละวันโบกมือโบกไม้ตอบว่าไม่รู้ถึงเหตุผลข้อนั้น
“ เธออ่ะ ” ฉันส่งค้อนวงโตไปให้คนที่ยังหัวเราะขำขันไม่หยุด
“ ก็เค้าไม่รู้จริงๆ อ่ะเธอ จะให้เค้าตอบว่ายังไงล่ะ จริงๆ เค้าก็สงสัยเหมือนกันนะว่าระหว่างเราเป็นใครกันแน่ที่ทำให้มันเกิดกระแสขึ้นมา ”
“ แล้วเธอคิดว่าไงอ่ะ ” ฉันยังคงซักพราวอย่างจะเอาคำตอบที่เจ้าตัวยืนยันว่าไม่รู้
“ เธอเลยมุก เธออ่ะชอบสร้างกระแส ชอบตอบทวิตบ้าๆ ทำให้ใครเขาคิดกัน ” ฉันทำหน้าเหรอหราใส่คนที่กำลังโยนความผิดมาให้ฉันรับไว้เต็มๆ
“ อะไรล่ะเธอ เค้าก็คุยกับเธอปกตินะ เธอนั่นแหละพราวอย่ามาโทษเค้าให้ยาก ”
“ เห้ย เค้าไปทำอะไรตั้งแต่เมื่อไหร่กัน พูดดีๆ เลยนะ ” พราวหันมาค้อนให้ฉันพร้อมฝ่ามือบางนั่นที่ฝาดลงมาบนหัวไหล่กันให้แสบๆ คันๆ ไปตามรอยแดงของผิวเนื้อที่แผ่ซ่านเป็นรูปฝ่ามือเล็กๆ
“ ก็เธออ่ะ มาทำให้เค้าติดเธอทำไมเนี่ย เธออ่ะทำให้เค้าเสียนิสัย เวลาเค้าทำอะไรเรื่องอะไรก็ต้องมีเธอมาเกี่ยวข้องทุกเรื่องเลย ” ฉันโยนความผิดให้อีกคนอย่างไม่คิดจะเอามาเป็นความผิดของตัวแม้แต่เพียงนิด โทษทุกสาเหตุเรื่องราวว่าเป็นพราวทั้งนั้นที่มาทำให้เธอติดนิสัยต้องมีพราวในทุกเรื่องราวของชีวิต
“ อ้าว ทำไมเธอโทษเค้ามั่วๆ แบบนี้เลย ” คนแสนดีตรงหน้ากำลังทำหน้าหาเรื่องฉันที่โยนความผิดทั้งหมดให้เจ้าตัวรับไว้เพียงคนเดียวแต่ก็ต้องหยุดระดับความวีนเอาไว้ที่ตรงนั้น เมื่อฉันทำท่าจะกลายร่างเป็นเด็กในร่างผู้ใหญ่
“ ก็เธอชอบดราม่าเพ้อเจ้อ ยึดติดแต่กับเรื่องเก่าๆ ที่ไม่มีวันเอากลับคืนมาได้ ไม่เคยจะมองถึงความเป็นจริงในตอนนี้ว่ามันเป็นยังไง แล้วใคร ใครที่ต้องคอยรับฟัง คอยปลอบใจ คอยอยู่ข้างๆ เธอ เธออ่ะอาการหนักขั้นโคม่ารู้ป่ะ แล้วจะให้เค้านิ่งเฉยดูดายเมินเฉยต่อความรู้สึกเธออ่ะเหรอ ”
“ แบบนั้นมันก็คงไม่ใช่มั้ง เราเป็นเพื่อนร่วมวงเป็นคนที่ทำงานด้วยกันนะเธอจะให้เค้าทำแบบนั้นได้ยังไง ” พราวยังคงพูดประโยคยาวๆ ออกมาต่อเนื่องเมื่อฉันยังทำหน้างอเป็นเด็กเล็กๆ
“ ถ้าจะเป็นแค่นั้น งั้นทำไมไม่จิ้นเค้ากับแฝดบ้างล่ะ แฝดก็เป็นเพื่อนเค้าเหมือนกันนี่ ” ฉันทำหน้างอเป็นเด็กเล็กๆ กับคำตอบที่บอกความสัมพันธ์ที่แสนเหินห่างรู้สึกน้อยใจกับการระบุสถานะความสัมพันธ์นี้
“ แฝดอาจไม่แสดงออกมากเท่าเค้ามั้ง ” พราวยังคงตอบคำถามฉันอย่างใจเย็นแม้ว่าฉันจะกลายร่างเป็นเด็กไม่มีเหตุผลไปแล้วก็ตามที
“ แล้วทำไมเธอต้องแสดงออกมากว่าแฝดด้วยเล่า ทำไมไม่น้อยๆ แบบแฝดบ้าง ”
“ ก็เค้าเป็นห่วงเธอมาก เค้าก็แค่ทำทุกอย่างที่รู้สึก ก็แค่นั้น ” พราวอธิบายยิ้มๆ กับคำตอบที่เต็มไปด้วยความจริงใจที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย
ฉันแอบอมยิ้มกับคำพูดตรงๆ ของอีกคนที่แสดงออกชัดถึงความเป็นห่วงที่แม้ไม่ต้องมีคำพูดมายืนยันฉันก็สัมผัสมันได้ด้วยความรู้สึก ความรู้สึกดีๆ ที่ฉันมีตลอดระยะเวลาที่มีพราวอยู่ข้างกัน
“ พูดจริงป่ะเนี่ยเธอ ” ฉันเอานิ้วไปจิ้มเนื้อนุ่มๆ ตรงต้นแขนขาวๆ นั่นเบาอย่างเหย้าๆ กลบเกลื่อนความดีใจที่เต้นระริกในแววตา
พราวพยักหน้าหงึกหงักเป็นคำตอบ ฉันยิ้มกว้างพร้อมอ้าแขนกว้างดึงพราวเข้ามากอดเอาไว้แน่นพร้อมร้องดังอย่างเด็กน้อยได้ของเล่นชิ้นใหม่ที่ถูกใจ
“ โอ้ย เค้ารักเธอจัง ” ฉันไม่พูดเปล่าแต่กลับเอาหน้าตัวเองไปซบไว้ที่ต้นแขนขาวๆ นั่นอย่างออดอ้อนและเพื่อซ่อนใบหน้าที่ขึ้นสีระเรื่ออย่างคนกำลังเขินอาย ฉันกำลังรู้สึกแบบนั้นจริงๆ รู้สึกอย่างสิ่งที่ปากพูดออกไปและกำลังเขินกับคำๆ นั้นที่พูดออกไป
“ อารมณ์ไหนเนี่ย ” พราวก้มหน้าลงมามองฉันที่เอาแต่ซ่อนแก้มแดงๆ นั่นเอาไว้กับต้นแขนขาวๆของเจ้าตัว
“ อะไรล่ะเธอ ” ฉันเงยหน้าขึ้นมาค้อนอีกคน
“ เห็นมั้ย เธอเลยมุกเธออ่ะชอบเล่นอะไรไม่รู้ แล้วแบบนี้ไม่ใครให้จิ้นยังไงไหว ” พราวไม่พูดเปล่ามือคู่นั้นกำลังแกะหนวดปลาหมึกฉันออกพร้อมดันหน้าฉันให้กลับไปตั้งตรงอยู่ในสภาพเดิม
“ ทำไมอ่ะ แค่นี้ไม่ได้เหรอ เป็นคู่จิ้นเค้านี่อึดอัดใจมากมั้ยล่ะ สิ่งที่เค้าทำมันทำให้เค้าลำบากใจมากมั้ยล่ะ ” แววตาตัดพ้อถูกส่งไปให้อีกคนอย่างน้อยใจ
“ น้อยใจป่ะเนี่ย ” พราวขยับศอกมาสะกิดเบาๆ ที่ต้นแขน พร้อมยิ้มน้อยๆ อย่างรู้ทัน
“ เปล๊า ” ฉันปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่สูงขึ้นอย่างคนกำลังโกหก
“ เค้าจะน้อยใจเธอไปทำไมล่ะ ” คำแก้ตัวที่คิดว่าดูดีที่สุดในความคิดถูกหยิบยกขึ้นมาบังหน้าความน้อยใจเอาไว้ให้มิดชิด
“ เธอก็รู้ว่าเค้าไม่เคยอึดอัดกับอะไรก็ตามที่เป็นเรา เค้าไม่เคยเบื่อกับการต้องดุเธอเวลาเธอทำตัวเป็นเด็ก ไม่เคยเบื่อกับการต้องเป็นห่วงเธอ ไม่เคยเบื่อที่ต้องหัวเราะกับมุกแป้กๆ ของเธอ ไม่เคยเบื่อกับความดื้อของเธอ ไม่เคยเบื่อกับอะไรสักอย่างที่เป็นเธอ ” รอยยิ้มหวานๆ ที่ช่วยยืนยันความจริงในคำพูดทั้งหมดส่งมาให้กันอย่างไม่คิดจะปิดบัง
“ เค้าไม่ได้อยากจะมางอแงกับเธอบ่อยๆ เลยนะ ไม่ได้อยากจะทำอะไรให้เธอต้องลำบากใจเลย แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นเธอ เค้าก็ไม่เคยที่จะควบคุมตัวเองได้เลย เค้าอยากบอกทุกความรู้สึกที่เค้ามีให้เธอรับรู้ไปด้วย เธอทำให้เค้าสบายใจกับการที่มีเธออยู่ ทำให้เค้าอยากจะอ่อนแอเพื่อให้เธอปลอบใจ เธอก็แค่สำคัญกับเค้ามากแค่นั้นเอง ” ฉันก้มหน้าอุบอิบบอกความจริงในใจออกไปให้อีกคนได้รู้ถึงสาเหตุ ที่หลายครั้งฉันชอบทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาที่ต้องคอยให้พราวแก้ปัญหาอยู่ร่ำไป จริงๆ ก็พอจะรู้ตัว ว่าสาเหตุอะไรที่ใครๆ ก็พากันคิดมากกับความสัมพันธ์ระหว่างเราทั้งคู่ที่ดูจะเกินเลยลึกซึ้งมากกว่าคำว่าเพื่อนทั่วไป ต้นเหตุคงไม่ได้มาจากอีกคนหากจะเป็นอะไรที่ทำให้เกิดกระแสจิ้นเหล่านั้นขึ้นมาก็คงจะหนีไม่พ้นตัวฉันเอง ที่มักจะเอาทั้งตัวทั้งใจไปทิ้งไว้ที่พราวอยู่ตลอด หนำซ้ำยังชอบพูดในถ้อยคำกำกวมที่ดูจะสื่อความหมายส่อให้คิดไปไกลลิบ
คำพูดที่ดูจะสื่อถึงหลายความหมายในคำๆ เดียว คำพูดที่นอกจากเจ้าของคำพูดก็คงไม่อาจมีใครจะรู้และเข้าใจในทุกถ้อยคำที่ตั้งใจสื่อความนัยออกไป หากแต่จะมีใครเข้าใจในการกระทำเหล่านั้นได้ มันก็กลายเป็นเพียงจินตนาการเล็กๆ ของเหล่าแฟนคลับเท่านั้นในสายตาผู้คนทั่วไป
“ นี่เธออินกับกระแสคู่จิ้นป่ะเนี่ย ” พราวหัวเราะคิกคักอย่างขบขันกับคำพูดของฉันที่ดูไม่ใช่ฉัน
“ ตลกมากป่ะเธอ ” ถามคนที่หัวเราะเสียงขุ่นพอๆ กับอารมณ์ที่แสดงออกชัดทางแววตา
“ ก็ฮา ” ดูท่าทางอีกคนยังคงไม่รู้ตัวถึงยังได้ยิ้มร่าอยู่แบบนั้น
“ มากมั้ย ” ฉันถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นจนไม่เหลือเค้าของการล้อเล่นอีก
“ เธอ ” พราวเรียกฉันด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ แววตาละห้อย
“ เค้าจริงจังนะเธอ เค้าแค่อยากรู้ว่าเธอเคยสงสัยในความรู้สึกที่เรามีต่อกันบ้างมั้ย ” ความจริงจังที่ไม่บ่อยนักที่ฉันจะใช้มันกับเรื่องอะไรถูกหยิบมาใช้กับเรื่องที่ไม่เคยมีใครคิดอะไรจริงจัง
“ ไม่รู้สิเธอ เค้าไม่เคยสงสัยหรือเคลือบแคลงในความห่วงใยที่เค้ามีให้เธอ เค้าไม่เคยสงสัยในสิ่งที่เค้าทำอะไรลงไปเพื่อเธอ เค้ารู้แค่เค้าอยากทำก็ทำ ไม่ได้ทำเพื่อเอาใจเธอหรือเอาใจใคร แต่เค้าทำเพราะใจเค้า ”
“ บางทีเค้าก็ไม่รู้หรอกว่าเค้ารู้สึกยังไงกับความสัมพันธ์ระหว่างเราที่ใครมอง แต่เชื่อมั้ยเค้าไม่เคยคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรให้มันมากขึ้นหรือต้องการให้มันลดลงกว่านี้สักนิด ” ฉันอธิบายอย่างที่ใจคิด ไม่ใช่อยากจะพูดอะไรให้มันเข้าใจยากเพียงแต่ฉันรู้สึกกับมันอย่างนั้นจริงๆ
“ เค้าก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงอะไรมัน ไม่เคยคิดว่าจะต้องทำตัวห่างกับเธอมากขึ้น ไม่เคยคิดกังวลกับสิ่งที่ใครจะมองเราแบบนั้น สิ่งเหล่านั้นมันไม่ได้แยกความรู้สึกเค้าออกจากเธอเลยสักนิด แต่กลับกันมันกลับทำให้เค้าเข้าใจอะไรๆ ได้ดีมากขึ้น บางทีเค้าก็เพิ่งเข้าใจว่าทำไมเค้าต้องคอยไปวุ่นวายกับทุกเรื่องของเธอ เพิ่งเข้าใจว่าทำไม เค้าต้องห่วงเธออะไรขนาดนั้น เพิ่งเข้าใจว่าทำไม ”
“ ทำไม ” ไม่มีคำพูดไหนที่จะแทนใจฉันได้ดีไปกว่าคำนี้ในตอนนี้ที่กำลังสงสัยกับหัวใจคนๆ นี้
“ ทำไม ทำไมเธอถึงไม่รู้ในเมื่อใครๆ เขาก็ยังรู้ ” พราวย้อนฉันด้วยคำตอบแปลกๆ ที่ต้องใช้สมองประมวลผลเพื่อที่จะเข้าใจมันได้ หากแต่เมื่อประมวลผลเรียบเรียงประโยคเหล่านั้นเท่าไหร่ สมองที่เคยเข้าใจอะไรง่ายๆ ก็กลับกลายเป็นแค่เพียงก้อนเนื้อเล็กๆ ที่ไม่อาจทำหน้าที่ประมวลผลอะไรได้อีก
“ จะงงอีกนานมั้ยเธอ ” พราวกระเซ้าฉันยิ้มๆ ที่ยังทำหน้างง
“ ก็งงอ่ะ ”
“ เค้าก็รู้เท่าๆ ที่เธอรู้นั่นแหละ เค้าอาจยังไม่รู้และหาคำไหนมาอธิบายกับมันได้ แต่เค้ารู้ รู้แค่ว่าเค้าพอใจกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเราในตอนนี้ ” ฉันกำลังยิ้มให้พราว ยิ้มอย่างที่พราวกำลังยิ้มให้ฉัน และสบตาคู่นั้น ตาคู่นั้นที่ภายในดวงตาท่วมล้นไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ที่คงจะไม่มีคำพูดคำไหนที่จะอธิบายมันให้ใครเข้าใจได้ หากแต่มันกลับทำให้ฉันเข้าใจเพียงแค่มองตาคู่นั้นมันเป็นอะไรที่เราทั้งคู่ต่างก็รู้ว่ามันคืออะไร อะไรที่เชื่อมเราทั้งสองคนเอาไว้ อะไรที่ใจเราคิดตรงกัน
“ เค้าเข้าใจแล้ว เค้าเข้าใจเธอแล้ว เธอเองก็เข้าใจเค้าใช่ไหม ” คำพูดง่ายๆ ที่แม้จะฟังยังไงก็คงไม่มีอะไรที่ลึกซึ้งมากไปกว่านั้น มันคงจะไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจคำนั้นนอกจากคนที่เข้าไปนั่งในใจกันและกัน
“ อือ ”
พราวตอบรับสั้นๆ กับความนัยประโยคนั้นที่แฝงไปด้วยอะไรมากมายอย่างคนกำลังเขินอาย แก้มแดงๆ นั่นถูกซ่อนให้พ้นสายตาเอ็นดูของฉันโดยการเบี่ยงหลบไปอีกทาง ฉันไม่คิดจะแกล้งอีกคนโดยการจ้องผิวหน้าเนียนใสกับแก้มแดงๆ ให้คนถูกมองเขินอายเพิ่มขึ้นเท่าไรนัก เพราะความร้อนที่กำลังลามเลียผิวแก้มอยู่ในตอนนี้ก็คงจะทำให้แก้มฉันขึ้นสีจัดไม่ต่างจากคนที่หลบหน้ากัน แม้สมองจะสั่งการร่างกายได้ช้าลงหากแต่หัวใจกลับสั่งการให้ฉันเลื่อนมือไปกอบกุมมือบางนั่นเอาไว้ มันไม่ใช่การยึดเหนี่ยวหรือรัดตรึงความรู้สึกระหว่างเราเอาไว้ หากแต่มันเป็นแค่การวางหัวใจลงบนมือของอีกคนที่เป็นที่ตั้งของหัวใจ
ผลงานอื่นๆ ของ Super Bear ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Super Bear
ความคิดเห็น