คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่๑+ บทบาทตัวละคร
Title: Forgive Me
Author: วริญญา_โว้ย!!!!!
Pairing: Yoonho X Jaejoong
Rate: PG-18 (=______=^^^แล้วเมิงก็กล้าแต่งเนาะ)
Style: Period Drama
Note: คะแนนราชาศัพท์เต็ม๑๐ได้แค่๒ โฮกกกก ถ้าคำไหนใช้ผิดอะไรยังไงก็ขอโทษด้วยนะคะ
“พวกซาอุนก่อกบฏ!!!”ฝ่าพระหัตถ์หนาตบปังลงกับเท้าแขนไม้สลักลวดลายวิจิตร สายพระเนตรแข็งกร้าวจับจ้องที่ร่างบอบบางของเลือดเนื้อของกบฏที่ฟุบหมอบอยู่เบื้องล่าง
“เจ้าบอกว่าเจ้ามิรู้เรื่องงั้นรึแจจุง”สุรเสียงทุ้มถามราวกับเยาะในความคิดของร่างเล็ก
“เจ้าคิดว่าข้าโง่มากนักรึ!!!”ตบเท้าแขนเสียงดังอีกครา ร่างบอบบางสะดุ้งไหวด้วยความกลัวจับใจ
“ข้าไม่รู้...”เสียงหวานสั่นตอบกลับมาทำเอาอารมณ์โกรธยิ่งพุ่งพล่าน
“เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไรแจจุง...ในเมื่อพ่อของเจ้านั่นล่ะที่เป็นกบฏ!!”ตอกกลับมาอีกครั้ง พระโอษฐ์บิดเบี้ยวเหยเกครามองดูร่างบอบบางที่ก้มต่ำจนทั้งร่างจะลงไปกองอยู่กับพื้น
ซาอุน...หมู่บ้านเล็กๆห่างจากวังหลวงไปไม่กี่ร้อยโยชน์เพียงเท่านั้น แต่กลับคิดก่อการกบฏส่งคนเข้ามาปลงพระชนม์ฝ่าบาท...เหยียบพระพักตร์กันยังจะง่ายกว่านั้น
“บอกมาว่าพ่อของเจ้านั้นไปหลบอยู่ที่ใด!!”กระแสเสียงหยาบกร้าวตรัสถาม พยายามให้น้ำเสียงเป็นไปอย่างประณีประนอมเท่าที่สุด หากแต่ความอดกลั้นก็ต้องพังทลายเมื่อไม่มีแม้เสียงใดเอื้อนเอ่ยออกจากริมฝีปากแดงสด
“ทหาร!!พามันไปขังไว้...ในคุกมืด”
นัยน์เนตรกลมป๊อกมองดูพระเชษฐาไต่ความอย่างตื่นเต้นระคนหวาดกลัว
พระพักตร์ที่เคยมีแต่รอยยิ้มให้ตนกำลังบิดเบี้ยวอย่างถึงที่สุดหากแต่ไม่ละไปเลยจากเค้าโครงความหล่อเหลา
เสมองยังพื้นเบื้องล่าง ร่างบอบบางถูกหิ้วปีกสองข้างโดยทหารร่างยักษ์ปลายแถว จุดหมายที่จะพาร่างบอบบางที่เชษฐาตรัสเรียกว่าแจจุงก็คงมิพ้นคุกมืดที่ใครๆก็ปรารภว่ามันน่ากลัวเพียงใด
ไม่มีผู้ใดที่เข้าไปในคุกมืดแล้วจะมีหน้าโผล่ออกมาเยี่ยมมองตะวันได้ มีเพียงความมืดมิดที่เกาะกุมอยู่ทุกอณูของพื้นที่ ถูกทรมาณด้วยการอดอาหารจนค่อยตายไปในที่สุด
โหดเหี้ยมกว่าการประหารให้ตายโดยทันทีเสียอีกสำหรับร่างเล็ก...
แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อนั่นเป็นรับสั่งของฝ่าบาท...รับสั่งของ ชองยุนโฮ
“ท่านพี่”เมื่อทหารนำตัวแจจุงออกไปแล้ว วรกายเล็กจึงเดินเข้าไปหาเชษฐา ยุนโฮหันมองอนุชาก่อนแย้มยิ้มให้น้องรักเพียงคนเดียว
“ว่าอย่างไรจุนซู...มีอะไรจะคุยกับพี่งั้นรึ”ทรงลุกจากเก้าอี้ไม้มายังวรกายเล็กที่ยังไม่พ้นออกมาจากประตูทรงสูงสีทองอร่าม หัตถ์หนาทว่าอบอุ่นสำหรับคนเป็นน้องกอบกุมหัตถ์เล็กๆไว้ ดึงให้มานั่งคุยกันที่โต๊ะยาว
“ข้าว่าท่านพี่ไม่ควรนำแจจุงไปขังที่คุกมืด...มันโหดร้ายเกินไป”ทรงสรวลออกมาเล็กน้อยกับคำกล่าวของอนุชา ลูบพระเกศาหอมฟุ้งอย่างรักใคร่พลางตรัสเช่นทุกครั้ง
“มันก็สมควรกันแล้วมิใช่หรือกับสิ่งที่พวกมันทำ”สมควรงั้นรึ สิ่งใดกันที่เป็นบรรทัดฐานว่าสมควร
“แม้แต่คนที่บอบบางอย่างแจจุงน่ะเหรอ”ถามพลางช้อนตามองเชษฐาด้วยความหวังว่าเชษฐาจะใจอ่อน ลงโทษร่างบอบบางด้วยวิธีอื่นแทนการทรมาณที่แสนจะโหดร้าย
“เจ้าชอบมันรึ?”ยุนโฮเลิกพระขนงขึ้นอย่างแปลกใจ เป็นธรรมดาที่จุนซูจะมาเอ่ยว่าคุกมืดมันแสนโหดร้าย แต่ไม่มีครั้งใดที่เจ้าตัวเล็กแสดงออกว่าต้องการให้ยกโทษให้ถึงเพียงนี้
จุนซูกรอกพระเนตรไปมาเลิกลั่ก จะว่าชอบมันก็ไม่ใช่สงสารมันก็ไม่เชิง คงเป็นว่าถูกชะตากันเสียมากกว่า
“ฮะ...ข้าชอบแจจุง อยากได้แจจุงมาเป็นคนติดตาม”หากแต่ว่าความถูกชะตามันก็มาพร้อมกับคำว่าสงสารนั่นล่ะ
ยุนโฮเหพระพักตร์หนีเป็นเชิงว่ามิทรงเห็นด้วยกับความคิดอนุชาทว่าหัตถ์เล็กก็จับพระพักตร์บึ้งตึงให้หันกลับมามอง
“นะฮะท่านพี่...ข้าขอร้องเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”เสียงหวานออดอ้อนเชษฐา ซุกพระพักตร์ขาวนวลลงกันต้นพระกรใหญ่ล่ำสมชายชาติ
เป็นเชษฐาอย่างยุนโฮที่ต้องถอนพระทัยพยักพระพักตร์ส่งๆไปกับลูกอ้อนอนุชา
ให้ตายเถอะ...พี่ไม่เคยชนะลูกอ้อนเจ้าสักครั้งสิจุนซู
ร่างเล็กที่แย้มพระโอษฐ์มาตลอดเวลาที่ก้าวขาเร็วๆนั้นหอบตัวโยนเมื่อหยุดตรงหน้าประตูคุกมืดซึ่งอยู่ในส่วนใต้ดินของวัง โบกมือให้ทหารสองนายด้านหน้าที่จะทำความเคารพ
“ไม่ต้องหรอก ท่านพี่ให้มาพาตัวคิมแจจุงไป”นายทหารมองหน้ากันอย่างงงงวยจนพระพักตร์งามต้องง้ำควานหาเอาม้วนกระดาษมาโยนใส่หน้าซื่อบื้อของทหารสองนายนั้น
“ทีนี้จะเปิดแล้วเอาตัวแจจุงออกมาได้หรือยัง”คนซื่อบื้อพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ไขกุญแจอันใหญ่แล้วคนหนึ่งจึงหายเข้าไปในความมืดมิดพร้อมตะเกียงที่ให้แสงสว่าง สักครู่จึงออกมาพร้อมกับร่างปวกเปียกของคนที่ต้องการ
“ส่งตัวมาให้ข้า”ยื่นพระหัตถ์ไปรับร่างบอบบางมาไว้กับองค์ ย่นพระขนงอย่างสงสัยกับน้ำหนักตัวที่แสนจะเบาหวิวราวกับเป็นเพียงร่างไร้เนื้อไร้กระดูก เป็นเพียงหนังห่อโครงร่าง
ประคองร่างที่รู้สึกตัวทว่าหมดเรี่ยวแรงมาจนขึ้นจากส่วนใต้ดิน สั่งให้ทหารนำน้ำมาให้ร่างปวกเปียกที่ยังเรียกสติตัวเองกลับมามิครบถ้วน
๒ปีต่อมา
พระโอษฐ์หนาสรวลดังลั่นกับท่าทางของอนุชาที่แสดงให้เห็นถึงว่าท่ารำถวายของนางกำนัลเมื่อคืนวานมันน่าชวนขันมากเพียงไร หน้าท้องแบนราบพยายามจะขยับเช่นเดียวกับที่นางกำนัลคนนั้นทำได้
“อ่า...ที่นางเรียกว่าระบำหน้าท้องมันต้องขยับได้มากกว่านี้นาท่านพี่”คนที่ทำไม่สำเร็จแก้ตัวด้วยความเซ็งๆที่ทำเท่าใดก็ไม่คล้ายสักนิดกับนางกำนัลคนนั้น
“พี่ว่าเจ้ายิ่งทำยิ่งตลกนะจุนซู”อนุชาอมลมเต็มแก้มด้วยความงอนจนเชษฐาต้องดึงนาสิกโด่งรั้นนั่นอย่างหมั่นไส้
“มาคุยเรื่องคนติดตามเจ้าบ้างดีกว่า ๒ปีมานี่พี่ยังมิเห็นมันจะติดตามเจ้าไปที่ใดสักแห่ง”ทรงถามถึงแจจุงที่อนุชาช่วยชีวิตให้มาเป็นคนติดตามแต่ดันกำชับให้อยู่แต่ในเพียงห้องบรรทม
“ท่านพี่ก็ทรงทราบว่าหากออกมาข้างนอกพวกทหารก็จะทำให้แจจุงหวาดกลัว...อยู่แต่เพียงในห้องบรรทมนั่นล่ะเป็นการดีแล้ว”ร่างบอบบางเมื่อครั้งฟื้นมาก็หวาดกลัวทหารตัวยักษ์พวกนั้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ อาจเป็นเพราะฝังใจจากการถูกพวกนั้นจับไปในคุกมืดก็เป็นไปได้ ทางออกที่ดีคือให้อยู่แต่เพียงในห้องบรรทมเท่านั้น จนบัดนี้ผิวขาวนวลกลับเปลี่ยนไปเป็นซีดขาวไร้สีเลือดเพราะไม่ค่อยได้ออกไปพบกับแสงสว่างด้านนอกสักเท่าใด
“ไยเจ้าไม่ให้มันออกมาข้างนอกบ้างเล่าจุนซู พี่อยากเห็นใบหน้าของมันนักว่าจะเหมือนกับเมื่อ๒ปีก่อนอยู่รึไม่”ตรัสถามเล่นๆ หวนถึงใบหน้าเมื่อครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ได้เห็น ความทรงจำลางเลือดจดจำเพียงได้ว่าใบหน้าขาวนวล รูปร่างอ้อนแอ้นผิดชายและริมฝีปากสีแดงจัดเท่านั้น รายละเอียดอื่นๆมันเลือนรางเสียจนหายไปจากสมองในที่สุด
ใครอีกคนที่ถูกพูดถึงกำลังนั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่างห้องบรรทมเจ้าชายองค์เล็ก นัยน์ตาโศกจ้องมองยังฝูกนกกระจิบตัวจ้อยที่พากันบินมาจิกกินเอาเมล็ดข้าวสวยที่นางกำนัลมาโยนไว้ข้างๆวัง
เป็นเพียงสัตว์เดียรัจฉานเฉกนกยังมีอิสระมากมาย บินไปที่ใดตามแต่ใจต้องการ
แต่เกิดเป็นคนแท้ๆกลับต้องจำกัดเนื้อที่ ไปที่ใดก็เจอแต่ความทรงจำอันเลวร้าย
กลัว...กลัวทหารพวกนั้น กลัวจับใจ รังเกียจทุกสัมผัสหยาบกร้านที่ลูบไล้ลงบนผิวกาย ความทรมาณที่ถูกบังคับให้กลืนกินส่วนขยายกึ่งกลางกายของพวกนั้น
มันให้เขาทำเรื่องทุเรศนั่นในคุกมืดอันแสนน่ารังเกียจ ใช้ความมืดนั้นเป็นประโยชน์ส่วนตัวที่แสนน่าขยะแขยง
เพียงนึกหวนถึงมันความขมขื่นก็ประทุจนอยากจะสำรอกออกมาเสียเดี๋ยวนี้
หากแต่ว่าบานประตูกลับถูกเปิดออกเสียก่อนที่อาหารมื้อเช้าจะขย้อนออกมาเพราะความทรงจำในทางทุเรศที่อยากจะลืมมันไปเสีย วรกายเล็กของเจ้าชายองค์น้อยเดินแย้มพระโอษฐ์มาตั้งแต่ทหารด้านหน้าเปิดประตูให้ตรงดิ่งมาทางแจจุงที่อยู่ริมหน้าต่าง พระหัตถ์เล็กคว้าหมับเอาข้อมือเล็กดึงให้ไปด้วยกัน
“ไปที่ใดกัน?”จุนซูมิทรงตอบอะไร เปิดประตูแล้วออกปากไล่ทหารไปให้พ้นหน้าเพราะเห็นว่าร่างบอบบางด้านหลังตนเอาแต่หลบหน้าเจ้ายักษ์เฝ้าประตู
“จัดการเอาทหารตลอดทางเดินไปอุทยานออกไปที่อื่นด้วย เห็นแล้วเหม็นขี้หน้า”ตรัสสั่งกับทหารอีกรายที่เหลือ มันวิ่งออกไปตามคำสั่งแต่โดยดี จัดการไม่ให้มีทหารเหลือแม้สักคนตลอดทางเดินที่ว่าจะไปเป็นอุทยาน
“ท่านอยากชมสวนงั้นรึ”แจจุงเอ่ยถาม คนตัวเล็กพยักหน้าลงเบาๆ
“ข้าอยากให้เจ้าเห็นแปลงดอกไม้ของข้า”กระแสเสียงใสว่า แย้มพระโอษฐ์ให้กับร่างบอบบางที่เดินตามกันมาติดๆ
“ที่นั่น...ข้าปลูกดอกไม้ไว้มากกว่าสิบชนิดเชียว ข้าว่าเจ้าต้องชอบกว่าการจมอยู่แต่เพียงในห้องสี่เหลี่ยมเป็นแน่”เลี้ยวแยกไปทางซ้ายจากที่เจอทางสามแพร่ง ก้าวเร็วๆไม่เท่าใดกลิ่นหอมหวานก็ลอยมาแตะจมูก
“อ๋า...กุหลาบน่ะ”เสียงใสว่าแจ้วๆกับชื่อดอกไม้ประหลาดที่แจจุงเองก็ยังไม่เคยพบเจอ สีสันมากมายเริ่มปรากฏเมื่อเดินเข้าใกล้กับอุทยานมากขึ้นเรื่อยๆ พลันเมื่อสิ้นสุดทางเดินที่ทอดยาว ดวงตากลมโตก็ต้องเบิกกว้าง ริมฝีปากแดงฉ่ำเผยอยกยิ้มจนกว้างกับภาพที่ได้เห็น
มันมิใช่เพียงดอกไม้แต่มีทั้งต้นและดอกกอปรกันกลายเป็นสวนสวยงาม กลีบดอกบางชนิดสีแดงสดเบ่งรับแสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาเนื่องจากเวลาเที่ยงวัน
“นั่นไงล่ะ...กุหลาบ”พระหัตถ์เล็กผายไปยังเจ้าดอกกลีบแดงที่เตะตาตั้งแต่แรกเห็น กลีบของมันสดและสวยกว่าดอกอื่น
แจจุงยื่นมือไปหมายจะจับเอากลีบดอกสีสดทว่ากลับต้องร้องสะดุ้งเพราะส่วนคมแหลมตำเข้าปลายนิ้วเรียวขาวจนเลือดสีสดซึมออกมาหยดลงกับพื้นเป็นดวง
“หว๋า...ซุ่มซ่ามจริงเลยเจ้าน่ะ รอข้าที่นี่นะ ข้าจะไปเอาผ้ามากดแผลให้”ยังไม่ทันจะยกมือขึ้นห้าม วรกายเล็กก็พรวดพราดออกไปเสียแล้ว
เท้าเล็กขยับหนีแสงแดดจัดที่ลามเข้ามายังที่ร่ม กลัวว่าถ้าหากแสงจ้าโดนผิวซีดขาวมันจะแสบสักเพียงใด
“กลัวอะไรกะอีแค่แสงแดด...”สุรเสียงทุ้มต่ำดังอยู่เบื้องหลังทำให้ต้องหัวขวับกลับไปมองแต่กลับเป็นว่าใบหน้าหน้าขาวกลับชนเข้าจังๆกับพระอุระกว้าง แจจุงลนลานถอนหนีออกมา สองขาไร้เรี่ยวแรงทันทีเมื่อรู้ว่าคนที่หันกลับไปชนเป็นใคร
ความหวาดกลัวในใบหน้าเคร่งขรึม บิดเบี้ยวด้วยโทสะยังมากล้นจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์หล่อเหลาของฝ่าบาทเช่นยุนโฮ
“หลบหน้าข้ารึ...เจ้า!!เงยหน้าขึ้นมา”พระหัตถ์หยาบกร้านบีบคางมนบังคับให้เงยหน้าขึ้นมอง อยากรู้นักว่าความทรงจำเกี่ยวกับใบหน้าเจ้าที่ข้าลืมหายมันจักเป็นเช่นไร
เพียงแค่แรกสบตา...ดั่งว่ามัดใจ
ใบหน้าขาวซีดแต่ไม่ละไปจากความหวานช้อยกว่าอิสตรี ดวงตาสีรัตติกาลกลมโตรับกับสันจมูกโด่งสวยและริมฝีปากแดงสด
นี่น่ะหรือความทรงจำที่ขาดไป
เหตุใดกัน...เหตุใดจึงลืมได้ลง
เป็นเพราะแจจุงไม่เคยเงยหน้าเมื่อครั้งนั้นหรือเป็นเพราะพระองค์เองที่ไม่สำเหนียกถึงความงามของลูกกบฏคนนี้
ดวงตากลมใสสั่นระริกยามเมื่อพระพักตร์คมเข้มลดเลื่อนลงต่ำมาหากัน เบนหน้าหลบด้วยความหวาดกลัวหากแต่พระหัตถ์แกร่งก็ยังบังคับให้มองดู
“ท่านพี่!!”เสียงขุ่นดังจากด้านหลังทำให้ต้องทรงละออกจากร่างบอบบางอย่างโดยด่วน พระพักตร์ขรึมตีปูเลี่ยนเมื่ออนุชามองมาอย่างจับผิด
“ท่านพี่จะทรงทำอะไรแจจุง”วรกายเล็กเคลื่อนมายืนบังคนติดตามที่ยังคงทรุดกายอยู่ที่พื้น นัยน์เนตรกลมมองเชษฐาด้วยสายพระเนตรจับผิดอย่างเห็นได้ชัด
“พี่ก็เปล่าเสียหน่อย แค่จะพิศดูเสียนิดว่ามันเปลี่ยนไปจากเมื่อ๒ปีก่อนมากน้อยเพียงไร”ฝ่าบาทตีหน้าเข้มหันหลังทำท่าว่าจะเดินหนีไปเสียจากตรงนั้น แต่ก็มิวายหันกลับมามองเสี้ยวหน้าหวานเพียงครู่หนึ่ง
“อ้าว!! นิ้วเจ้าเลือดหยุดไหลแล้วนี่นา”จุนซูเอ่ย พลิกนิ้วเรียวสำรวจดูรอยที่หนามกุหลาบตำ
“แต่ถึงอย่างไรก็ต้องพันผ้าไว้อยู่ดี”เสียงเล็กๆว่า จัดการพันเศษผ้าที่อุตส่าห์ไปหยิบมาจากห้องบรรทม พันเข้ากันนิ้วมือเรียวสวยของแจจุง
“ขอบพระทัย...อ๊ะ!!!”
เสียงร้องหลงทำให้ยุนโฮที่ยังมิไปไหนไกลหันกลับมามอง พระหัตถ์หนากำแน่น เฉกเช่นเดียวกับพระทนต์ที่ขบกันจนขึ้นสันนูน
“จุนซู!!”
พระกรหนาปัดเอาร่างของคนที่รองรับวรกายอนุชาไว้ให้ออกห่าง สีแดงสดเปรอะเปื้อนไปทั่วแผ่นหลังของจุนซู ซึ่งรอยแผลเกิดจากธนูดอกใหญ่ปักเข้ากึ่งกลาง
อัสสุชลของคนเป็นเชษฐาหลั่งรินทั้งที่ไม่เคยหลั่งให้ใคร แต่ตอนนี้กลับไหลง่ายดายให้กับวรกายเล็กในอ้อมกอด
“จุนซุ...พื้นมาคุยกับพี่”โอษฐ์เอ่ยไป พระหัตถ์ก็ดึงลูกธนูออก ปลายหัวโลหะยังย้อมด้วยเลือดเนื้อเดียวกับพระองค์พลางฉีกภูษาที่อนุชาสวมใส่จนขาดวิ่นเผยให้เห็นรอยแผลที่ถูกเลือดกลบหากแต่เขียวช้ำจนกลายเป็นสีม่วงในที่สุด
...ยาพิษ...
“ทหาร!!!อยู่ที่ใดกันหมด“เพียงครู่เดียวหลังเสียงตวาด ทหารร่างยักษ์ก็กรูกันเข้ามา หนึ่งในนั้นมองร่างบางที่ลนลานออกไปหลบอยู่หลังเสาสายตาประเมิน
แจจุงจำได้...มัน!! มันที่เป็นคนพาเขาเข้าไปในคุกมืดแล้วทำทุเรศกับเขา มัน!!
“จะมัวรอช้าอันใด นำน้องข้าไปที่ห้องสิ แล้วตามหมอหลวงมาให้เร็วด้วย จุนซูถูกยาพิษ”สุรเสียงสั่ง ทหารซึ่งมากันเพียงตัวเปล่าจึงจำต้องแบกวรกายเล็กขึ้นบ่าของคนหนึ่งไปให้เร็วที่สุด สองในนั้นแยกออกไปตำหนักหมอหลวงเพื่อตามตัวมาและช่วยถือตัวยาถอนพิษชนิดต่างๆ
ดวงตากลมโตสั่นไหวกับภาพทหารมากมาย เนื้อตัวสั่นเทิ้มกับใบหน้าของ มัน ที่จำได้เป็นอย่างดีว่าเป็นคนเดียวกันกับคนในครั้งนั้น หากแต่ความวูบไหวอ่อนแอกลับถูกปัดทิ้งไปเมื่อรู้สึกได้ถูกแรงสั่นไหวเพียงเล็กน้อยจากพุ่มสนข้างกาย
แล้วเรียวปากงามก็ต้องอ้าค้างเมื่อใบหน้าที่แสนคุ้นเคยผลุบอยู่ภายในกอสน ชายหนุ่มยกนิ้วขึ้นจุ๊ที่ริมฝีปากซีดเซียวเป็นเชิงว่าไม่ให้ตกใจไป หน้าขาวสะบัดมองยุนโฮที่ออกห่างไปแล้วก่อนจะเรียกชื่อคนรู้จักเสียงไม่เบานัก
“ยูชอน!...เจ้าออกมาจากคุกมืดได้อย่างไร?”
หากแต่มันเป็นเพียงระยะไม่เท่าใดที่วรกายใหญ่โตห่างออกไป เสียงหวานที่ดูตกใจนั่นจึงเข้าสู่โสตประสาทของยุนโฮเสียเต็มๆ รอยยิ้มเย็นกระตุกจากมุมโอษฐ์หนา
...กบฏก็คือกบฏ จะพ่อหรือลูก เลือดกบฏก็ยังเป็นเลือดของกบฏ...
“เมื่อครู่เจ้าพูดอันใดรึ...คิมแจจุง”
TBC in Part II
บทบาทตัวละคร
ชองยุนโฮ
ฝ่าบาทผู้ทรงเหี้ยมโหด รบกับแคว้นเมืองใดก็กำเพียงชัยชนะไว้ในกำมือ ถูกลอบปลงพระชนม์ครั้งแรกโดยคิมทงฮว่าแต่ไม่สำเร็จจึงจับคิมแจจุงไว้ในฐานกบฏ
คิมแจจุง
ลูกชายคนเดียวของคิมทงฮวาที่กบฏต่อแผ่นดิน ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการกบฏทั้งสิ้น ได้จุนซูช่วยเหลือไว้ แต่เมื่อจุนซูถูกลอบปลงพระชนม์...ชีวิตของคิมแจจุงก็เปลี่ยนไป
คิมจุนซู
อนุชาของฝ่าบาทยุนโฮผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของเชษฐา ช่วยชีวิตของแจจุงไว้จากการถูกจองจำในคุกมืด ถูกลอบปลงพระชนม์โดยยูชอน
ปาร์คยูชอน
มือสังหารที่ทำงานผิดพลาดซ้ำกันถึงสองครั้ง ครั้งแรกเขาไม่สามารถปลงพระชนม์ฝ่าบาทได้ และครั้งที่สองเขากลับสังหารผู้ที่เป็นที่พึ่งของน้องชายบุญธรรม ความจริงแล้วไม่ได้ต้องการที่จะฆ่าคน
คิมทงฮวา
เผ็นผู้นำในการก่อกบฏและลอบปลงพระชนม์ฝาบาทในครั้งแรก แต่ที่ทำไปก็เพราะต้องการให้ชาวบ้านในหมู่บ้านตนเองไม่อดตายจากความไร้น้ำใจของฝ่าบาท
ปาร์คเยจิน
มารดาของยูชอน นางรักคิมทงฮวามาก และทำทุกอย่างเพื่อเขาแม้แต่บังคับลูกชายให้กลับไปในวังวนที่แสนโสมม
คิมจองอึน
นางกำนัล เป็นคนที่แจจุงเรียกว่าเพื่อน คอยช่วยเหลือแจจุงเท่าที่จะทำได้เสมอ
ความคิดเห็น