คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : วาบหวาม...หวั่นไหว100%
ตอนที่ 3
รูปถ่ายใบใหญ่ถูกติดไว้อย่างโดดเด่นกลางบ้าน
แต่มันกลับถูกจ้องมองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและริษยา
ใบหน้านวลของไพลินฉายชัดไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด
แถมริมฝีปากบางก็แสยะยิ้มอย่างน่าเกลียด
“ทำไม ‘มัน’
ถึงได้กลับมาที่นี่อีกนะ” ไพลินเอ่ยอย่างเคียดแค้น
เธอจงใจใช้คำว่า ‘มัน’ แทนชื่อของเพลงพิณ
ใจจริงหญิงสาวอยากจะตะโกนออกมาให้ดังกว่านี้อีกหลายเท่า
แต่เนื่องจากคนที่สนทนาด้วยคือ...มารดา
“ฉันว่าคราวนี้มันคงไม่เหมือนเด็กเมื่อวานซืนแล้วละ
แกก็อย่าพยายามแสดงท่าทีอะไรให้มากนัก และไม่ต้องทำให้ใครๆ เห็นว่าแกรู้สึกอย่างไร” รตีย้ำด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดไม่แพ้กัน
“รู้แล้วละค่ะ ไพลินจะไม่ยอมให้มันมาแย่งพี่นนท์ไปได้หรอกค่ะ
แม่ก็ระวังไว้นะคะ เดี๋ยวมันจะมาแย่งพ่อไป”
“แกอย่าพลาดมาให้ฉันช่วยก็แล้วกัน!”
ผู้เป็นมารดากล่าวด้วยน้ำเสียงหยันเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าน้ำเสียงที่ลูกสาวตอบกลับมานั้นอวดดีและทะนงในตัวเองมากเกินไป
“ไพลินก็แค่เตือนด้วยความหวังดี
เพราะเห็นว่ามันดูจะมีเล่ห์เหลี่ยมมากขึ้น ไม่ใช่แค่คุณหนูขี้วีนเหมือนเดิม” ไพลินลดเสียงให้อ่อนลง พร้อมกับทำหน้าสงบเสงี่ยมเมื่อถูกคนตรงหน้าดุ
“ฉันว่ามันเริ่มเปิดเกมและท้าทายพวกเราตั้งแต่มันเข้ามาเหยียบบ้านหลังนี้แล้ว
แกรู้ใช่ไหม!”
“แค่รูปใบเดียว ไม่ได้ทำให้มันชนะเราได้หรอกค่ะ”
ไพลินพูดด้วยน้ำเสียงเยาะ ไม่ได้สนใจสักเท่าไรนัก แต่สิ่งที่ทำให้เธอเจ็บใจน่าจะเป็นเรื่องของชานนท์เสียมากกว่า
“แกนี่มันไม่รู้อะไรเลยนะ คิดอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องผู้ชาย!” ผู้เป็นมารดาค่อนขอดทันควัน
“แม่!”
“อย่ามาขึ้นเสียงกับฉันนะ! แกรู้ไหมว่าการที่มันเอารูปถ่ายฉันกับพ่อแกลง
หมายความว่ามันไม่ได้ให้เกียรติอะไรฉันเลย แล้วยังเอารูปของมันขึ้นแทนที่
ก็แปลว่ามันไม่ได้กลัวหรือเกรงใจฉันที่เป็นแม่เลี้ยงของมันเลย แล้วพ่อแกก็คงโอนอ่อนตามเพราะลูกสาวคนโปรดกลับมา” รตีวิเคราะห์ให้ลูกสาวฟังด้วยน้ำเสียงที่ติดจะห้วน
ความเคียดแค้นเหมือนจะมากขึ้นกว่าเดิม
ดวงตากลมโตของไพลินดูจะหรี่ลงไปเมื่อคิดว่าตัวเองนั้นเขลาเกินกว่าเพลงพิณ
เพราะพี่สาวต่างมารดาไม่เคยที่จะคิดหรือทำอะไรแบบนี้ เพลงพิณมักจะชนกันซึ่งหน้า
ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรเลย
‘ยายเพลง!’
ไพลินกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บแค้นเมื่อนึกถึงเพลงพิณเวลานี้เธอไม่มีอะไรสู้หญิงสาวคนนั้นได้เลย
และเมื่อนึกไปถึงยามที่เพลงพิณอยู่ตามลำพังกับชานนท์ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ความเจ็บใจเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
‘ฉันไม่ยอมแพ้แกหรอก!’
“ระวังพี่นนท์ของแกไว้ให้ดีเถอะ ถ้าแกขืนทำอะไรไม่คิด แกเสียเขาไปแน่!”
“ไพลินไม่มีวันปล่อยพี่นนท์ไปให้ยายเพลงเด็ดขาด!” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
และท่าทีก็กลับดูแข็งกร้าวขึ้นมาทันที
“ฉันจะคอยดู!”
ไพลินสะบัดหน้าหนีด้วยความเจ็บใจ
และอดน้อยใจมารดาไม่ได้ ทุกครั้งรตีมักจะเย้าแหย่และพูดจาทีเล่นทีจริง
ไม่เย้ยและหยันเธอเหมือนในครั้งนี้เลย
หญิงสาวทราบดีว่าสาเหตุหลักที่ทำให้รตีเป็นแบบนี้คงหนีไม่พ้นพี่สาวต่างมารดาอย่างแน่นอน
ยิ่งถูกหยามกันตั้งแต่วันแรกที่เพลงพิณกลับเข้ามาอีกครั้ง ยิ่งทำให้รตีหัวเสียและพาลเอากับเธอ
‘เพราะแก...เพลงพิณ!’
เพลงพิณจ้องมองแฟ้มเอกสารนับสิบตรงหน้าด้วยท่าทางอ่อนแรง
แล้วก็เกิดไม่อยากจะอ่านขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ลมหายใจถูกผ่อนออกมาด้วยเสียงอันดังราวกับไปวิ่งมาหลายสิบรอบ
แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนที่อยู่ร่วมห้องเงยหน้าขึ้นมามองเธอเลยสักนิด
“พี่นนท์คะ! พี่นนท์แกล้งกันหรือเปล่าคะ
ทำไมเอกสารมันเยอะขนาดนี้ล่ะ” หญิงสาวโอดครวญขึ้นมาทันทีเมื่อไม่เห็นว่าชานนท์จะรับรู้ถึงท่าทีของเธอ
“โรงแรมของเราสร้างมาตั้งหลายสิบปี มันก็เป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีข้อมูลเยอะแยะ
เพลงก็ทยอยอ่านไปเถอะ” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบเมื่อสบตากับหญิงสาว
เพลงพิณก้มหน้าลงอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
มือบางเอื้อมหยิบแฟ้มขึ้นมาเปิดดูรายละเอียดของงาน โดยไม่รู้เลยว่าชานนท์แอบยิ้มอย่างขบขัน
ชานนท์ลอบมองการกระทำของเพลงพิณเป็นระยะ
แม้ว่าหญิงสาวจะดูเบื่อหน่ายกับกองเอกสารตรงหน้า
แต่ก็ไม่ได้หนีหายหรือไม่ให้ความสำคัญกับงาน พยายามที่จะเก็บรายละเอียดของงานให้ได้มากที่สุด
‘จะอ่านหมดไหมเนี่ย’
“เพลงไม่ต้องรีบอ่านนะ แล้วก็ไม่ต้องอ่านทุกตัวก็ได้ เอาแค่พอรู้ลักษณะงาน
และขั้นตอนการทำงานก็พอ ไม่ต้องท่องทุกตัวอักษรหรอกนะ”
ชานนท์บอกอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเดินมายืนข้างร่างบาง
“เพลงรู้หรอกค่ะ
ใครจะไปจำได้ขนาดนั้น” หญิงสาวบ่นอุบอิบ
“นี่ก็บ่ายโมงแล้ว
เดี๋ยวเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า”
“เพลงยังอ่านเอกสารไม่จบ
เพลงไม่หิวหรอกค่ะ” เพลงพิณเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชด
และมองชายหนุ่มด้วยสายตาหาเรื่อง
“งั้นเพลงก็คงจะไม่ได้กินข้าวเป็นอาทิตย์เลยแหละ”
“พี่นนท์แกล้งเพลง!” หญิงสาวสรุปดื้อๆ เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าอารมณ์ดี ซึ่งมันช่างขัดกับอารมณ์ของเธอเหลือเกิน
“พี่ไม่ได้แกล้ง ไปกินข้าวกันเถอะ” ชานนท์ไม่สนใจคำกล่าวหาของหญิงสาว หนำซ้ำยังดึงข้อมือเล็กอย่างถือวิสาสะ
เพลงพิณพยายามสะบัดข้อมือให้พ้นจากการเกาะกุม
แต่ก็เหมือนจะไม่มีประโยชน์ ยิ่งหญิงสาวพยายามเท่าไร ชานนท์ก็ยิ่งแกล้งเธอมากขึ้นเท่านั้น
“เพลงเจ็บนะ พี่นนท์”
หญิงสาวแหวใส่คนตรงหน้าทันที
“พี่ไม่ได้คิดจะทำอะไรเพลงหรอก
แต่พี่รู้ว่าต่อให้พี่พูดไปเท่าไร เพลงก็คงไม่ฟัง พี่ก็เลยต้องใช้วิธีนี้แหละ” ชานนท์พูดด้วยรอยยิ้มที่ยียวนไม่น้อย ทำให้คนฟังค้อนด้วยความหมั่นไส้
“พี่นนท์รู้ได้ยังไงว่าเพลงไม่ฟัง” หญิงสาวถามเสียงสะบัด
“ไม่รู้สิ แล้วมันจริงไหมล่ะ”
“ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ
เพลงไม่อยากเถียงกับพี่นนท์แล้ว” ใบหน้านวลเชิดขึ้นอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถเถียงสู้ชายหนุ่มตรงหน้าได้ แล้วร่างบางก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชานนท์ไม่ทันระวังตัว จึงเป็นเหตุให้ใบหน้านวลนั้นปะทะเข้ากับอกของเขาเต็มแรง
มือหนาปล่อยข้อมือเล็กโดยอัตโนมัติเพื่อช่วยพยุงไม่ให้หญิงสาวตรงหน้าเสียหลักล้มลงไป
จึงทำให้ทั้งสองยิ่งแนบชิดกันมากขึ้น
ชานนท์ก้มลงมองคนในอ้อมกอดอย่างลืมตัว
เขาเองก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เป็นธรรมดาที่ต้องหวั่นไหวไปกับความใกล้ชิดแบบนี้ มือเรียวบางที่เกาะแขนเสื้อของเขาก็ชะงักไปเช่นกัน
เธอรู้สึกเหมือนกับมีแรงดึงดูดระหว่างเธอกับเขาเสียอย่างนั้น
‘เกิดอะไรขึ้นนะ’
ทันทีที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง
ดวงตากลมโตนั้นก็ฉายแววตระหนก จนหัวใจนั้นเต้นเร็วและแรงกว่าปกติ
ชานนท์เองก็ไม่สามารถอดใจกับความใกล้ชิดตรงหน้าได้
เขาจึงก้มหน้าลงสัมผัสริมฝีปากบางนั้น
ชายหนุ่มบรรจงจุมพิตอย่างอ่อนโยนและอ่อนหวานจนทำให้หญิงสาวในอ้อมกอดไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทักท้วงห้ามปราม
เพลงพิณรู้สึกวาบหวามไปกับสัมผัสอันนุ่มนวลนั้น
และมันก็ชวนให้วาบหวามมากยิ่งขึ้นเมื่อชานนท์เรียกร้องมากกว่าการสัมผัสแค่ริมฝีปาก
สมองของเธอไม่ได้สั่งการให้ต่อต้านเลยสักนิด แต่กลับมีปฏิกิริยาตอบสนองการรุกรานอีกต่างหาก
ชานนท์กอดแผ่นหลังของร่างบางให้แนบชิดมากยิ่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้เขารับรู้เพียงความหวานจากการจุมพิต และกลิ่นหอมจากเรือนร่างนี้ก็ทำให้ชานนท์ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย
ต่อ......................
“พี่ว่า...เราพอเท่านี้เถอะ”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงพร่า ร่างบางสั่นไหวไปกับการกระทำเมื่อครู่ของชานนท์
บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมเธอจึงปล่อยให้เขาทำอะไรได้มากมายขนาดนี้ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่ถึงวัน ชานนท์เองก็รู้สึกไม่ต่ างกัน เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย
เขาปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปนานเกินกว่าที่ควรจะเป็น “เพลงว่า...เราไปทานข้าวกันดีกว่า” หญิงสาวเอ่ยทำลายความเงียบและความอึดอัด
เธออยากจะออกไปให้พ้นจากห้องนี้โดยเร็ว ชานนท์พยักหน้าและหันหลังให้เธอ
แต่ก่อนที่จะก้าวเดินต่อไป ริมฝีปากหนาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิวราวกับพูดกับตัวเอง
“พี่ขอโทษนะ...” เพลงพิณมองแผ่นหลังกว้างอย่างนิ่งงัน
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวสามารถรับรู้ได้ว่าชานนท์ไม่ได้รังเกียจหรือมองเธอในแง่ลบนัก “พี่นนท์พาเพลงไปทานอาหารร้านอร่อยๆ
แถวนี้หน่อย” หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ เพราะไม่อยากให้บรรยากาศระหว่างเธอกับเขานั้นดูอึมครึมไปกว่านี้ ชานนท์ยิ้มรับน้อยๆ
แม้ว่าเรื่องเมื่อครู่นี้จะทำให้รู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก แต่ชายหนุ่มก็พอจะสดชื่นขึ้นมาบ้างเมื่อหญิงสาวตรงหน้าไม่ได้โกรธหรือด่าทอในการกระทำที่ล่วงเกินนั้น “พี่นนท์เป็นเจ้ามือเลี้ยงเพลงด้วยนะคะ” “ได้สิ”
ชายหนุ่มรับคำพร้อมกับพยักหน้าให้กับหญิงสาวที่เดินมายืนเคียงข้าง ตอนนี้เขาจะยอมตามใจหญิงสาวทุกอย่าง
เพื่อไม่ให้เธอกับเขาเกิดความหมางเมินกันอีก ชานนท์ขับรถพาหญิงสาวมายังร้านอาหารติดถนนใหญ่
ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานเท่าไรนัก บรรยากาศภายในร้านค่อนข้างเรียบหรู กั้นเป็นสัดส่วนด้วยกระจกใสสีชา
บริเวณด้านนอกมีกระถางต้นไม้ประดับอยู่ประปราย หญิงสาวเลือกที่นั่งติดกระจกซึ่งสามารถมองไปยังถนนที่คลาคล่ำไปด้วยรถราได้
ที่นั่งที่เธอเลือกเป็นเก้าอี้กึ่งโซฟา และโต๊ะที่วางคั่นกลางระหว่างเขากับเธอก็เป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมสีขาว
มีแจกันปักดอกกุหลาบแดงวางอยู่กลางโต๊ะอย่างสวยงาม “เพลงสั่งอาหารได้ตามสบายเลยนะ” ชานนท์เปิดหัวข้อสนทนาด้วยน้ำเสียงสดใส “ค่ะ” เพลงพิณยิ้มพลางหยิบเมนูขึ้นมาดู รายการอาหารตรงหน้าชวนให้ลิ้มลองไปเสียทุกอย่าง พนักงานเสิร์ฟเดินเข้ามาหาพร้อมกับกระดาษจด
“ปูผัดผงกะหรี่
กุ้งอบวุ้นเส้น ต้มยำทะเล ปลาสามรส ทอดมันปลากราย แกงจืดสาหร่ายทะเล ปีกไก่ทอด
ยำปลาดุกฟู แล้วข้าวเปล่าโถหนึ่งค่ะ ขอน้ำส้มคั้น และก็...เอ่อ...พี่นนท์ดื่มน้ำอะไรดีคะ” หญิงสาวสั่งอาหารยาวเหยียดและปิดท้ายด้วยการถามชายหนุ่มตรงหน้า “เอากาแฟเย็นแล้วกันครับ” พนักงานเสิร์ฟเดินกลับไปด้วยสีหน้างงงวย
เพราะอาหารที่สั่งนั้นดูจะมากมายเกินกว่าที่คนสองคนจะจัดการได้หมด “ทานหมดเหรอ เพลง” ชานนท์เอ่ยถามพลางยิ้ม “เพลงคิดว่าไม่หมดหรอกค่ะ
เพลงแค่อยากทาน เพราะอยู่ต่างประเทศไม่ค่อยได้ทานอะไรอย่างนี้เลย
แต่ถ้าพี่นนท์เลี้ยงไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรค่ะ เพลงจ่ายเองได้”
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองใจเล็กน้อย ผิดกับในใจที่ยิ้มอย่างนึกสนุก เพลงพิณรู้ดีว่าชานนท์จะไม่มีทางยอมขัดใจหรือทำในสิ่งที่จะทำให้เธอหงุดหงิดและไม่พอใจเลยสักนิด
เพราะเขาคงรู้สึกผิดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มากทีเดียว “พี่ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย
เพลงจะสั่งเยอะกว่านี้ก็ได้นะ ตามสบาย” ชานนท์เอ่ยพลางยิ้มให้คนตรงหน้าอย่างจริงใจ
และดูท่าว่าเขาเองจะผ่อนคลายและสบายใจไม่น้อย “กรุงเทพฯ
เจริญขึ้นเยอะเลยนะคะ” “เพลงไม่ได้กลับมานานเลยหรือ” “หลายปีเลยแหละ
ประมาณห้าปีแล้วมั้งคะ” เพลงพิณพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สดใสเหมือนเดิม
ดวงตากลมโตก็พลอยหม่นลงไปด้วย แต่มันก็เป็นเพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น ชานนท์สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น
แต่เขาก็ไม่ได้ปริปากหรือพยายามซักไซ้อะไรต่อ “ไปเรียนที่นั่นสนุกไหม
พี่เคยไปเที่ยว แต่ไม่บ่อยเท่าไหร่น่ะ ไว้วันหลังเราไปเที่ยวกันดีกว่านะ เพลงจะได้เป็นไกด์ให้พี่ด้วย” ชายหนุ่มชวนคุย ทำเหมือนไม่เห็นปฏิกิริยาบางอย่างของร่างบางตรงหน้า “ได้ค่ะ แต่เพลงว่าบ้านเราก็สวยไม่แพ้กันนะคะ
เอาไว้เราไปเที่ยวในเมืองไทยกันดีกว่าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแจ่มใสอย่างพยายามจะไม่ทำตัวเองให้เศร้าหมอง อาหารถูกทยอยนำมาเสิร์ฟบนโต๊ะทีละจาน
หญิงสาวจึงหยุดการสนทนาและหันมาจัดการอาหารตรงหน้าแทน มือเรียวบางที่ง่วนกับการตักอาหารเข้าปากนั้นดูน่าเอ็นดูไม่น้อยเลย ชานนท์ตักอาหารให้หญิงสาวบ้างเป็นบางครั้ง
เขามองใบหน้านวลอย่างเพลินตา และรู้สึกชอบใจในท่าทางไร้มารยาของเพลงพิณ
เธอไม่ได้เสแสร้งหรือเขินอายกับการตักกุ้งคำโตหรือแกะเนื้อปลาชิ้นใหญ่เข้าปากเลย “ท่าทางจะอร่อยนะ” ชานนท์เอ่ยล้อเมื่อเห็นว่าหญิงสาวไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเคี้ยวหรือวางช้อนส้อมลงเลย เพลงพิณพยักหน้าอย่างไม่เก้อเขินสักนิด
แถมยังส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างอารมณ์ดี ชานนท์ไม่คิดว่าหญิงสาวที่ดูเชื่อมั่นในตัวเอง
ท่าทางเชิดรั้นและดื้อดึงเหมือนคนเอาแต่ใจตัวเองจะกลับกลายเป็นเด็กน้อยที่แสนจะน่ารักและเรียกรอยยิ้มจากเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ความคิดเห็น