ตอนที่ 50 : ศึกชิงตราสัญลักษณ์
“เดี๋ยวพักแถวนี้ก่อนแล้วกัน ขอพี่ดูนิดนึงว่าเราจะไปทางไหนต่อดี”
ชายหนุ่มผู้นำทางเพ่งนัยน์ตาสีเพลิงมองลงไปจากเนินหญ้าสูงที่พวกตนกำลังยืนอยู่แล้วขมวดคิ้วอย่างหนักใจ ก่อนจะยกมือขึ้นวาดไปมากลางอากาศอย่างเคร่งเครียด ต่างจากหนุ่มน้อยชาวนาผู้เดินตามมาทางด้านหลังที่ดั่งได้ยินเสียงสวรรค์ แทบจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นทันที หากเมื่อเหลือบไปสบกับดวงตาใสแจ๋วของปลาตัวน้อยในบอลน้ำก็ชะงัก
ไม่ได้ เราจะทำตัวอ่อนแอเป็นตัวอย่างไม่ดีให้ลูกเห็นไม่ได้!
ด้วยปณิธานอันแรงกล้า เด็กหนุ่มจึงกัดฟันรักษามาด เดินไปยังหินก้อนใหญ่ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลแล้วค่อยทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนล้า
คณะเดินทางที่ประกอบไปด้วยสองคนกับอีกสองตัวออกจากที่พักแรมตั้งแต่รุ่งสาง ก่อนจะเร่งเดินทางเต็มฝีเท้าอย่างไม่หยุดพักสู่รอยต่อระหว่างเขตแดนเมืองเริ่มต้นกับนครทุ่งหญ้า ด้วยเหตุผลที่ว่าสงครามกำลังจะเกิด!?
สงคราม เรื่องด่วนที่เจ้าของนัยน์ตาสีเพลิงกล่าวค้างไว้ในยามค่ำคืน เหตุผลที่ดูจะไม่ค่อยมีเหตุผลจนหนุ่มน้อยชาวนาเกือบจะเอ่ยค้าน หากเมื่อชายหนุ่มอีกคนอธิบายถึงข่าวการค้นพบแท่นอักขระใกล้ที่โล่งกว้างแถบเขตนครทุ่งหญ้าของกิลด์อินทรีดำและการคาดการณ์ของตน ร่างเล็กจึงได้แต่ออกเดินตามอย่างจำยอม
การเดินทางอย่างเร่งรีบยาวนานต่อเนื่องหลายชั่วโมงโดยไม่หยุดพักเป็นเรื่องค่อนข้างสาหัสสำหรับเด็กหนุ่มผู้มีระดับน้อย หลายคราที่เหนื่อยล้าจนอยากเอ่ยปากขอให้หยุด หากดวงตาเทิดทูนของปลาและแรดข้างกายก็ทำให้ฮึดสู้ ยกขวดยาฟื้นฟูอาการเหนื่อยล้าขึ้นกระดกแล้วเชิดหน้าเดินต่อดั่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนในที่สุด ทั้งหมดก็เดินทางมาถึง ‘แนวคลื่นหญ้า’ เขตเนินหญ้าสูงต่ำสลับกันจนเป็นลูกคลื่นใกล้เขตแดนระหว่างเมืองเริ่มต้นกับนครทุ่งหญ้า
“บู้! บู่วววว บู้วววว”
-อ๊ะ! ปะป๊า ดูสิ ป่าสีลูกกวาดล่ะ-
ถ้อยคำแปลกประหลาดทำให้ปะป้าฝึกหัดที่กำลังก้มหน้าก้มตาพักเหนื่อยเหลือบดวงตาสีฟ้าใสขึ้นมองตาม เด็กหนุ่มจึงพบว่าบริเวณที่ตนกำลังพักอยู่เป็นจุดสูงสุดของเนินหญ้าสูงที่เบื้องหน้าค่อย ๆ ลาดลงต่ำจนจรดลำน้ำใหญ่ ลำน้ำสายที่ลากยาวดั่งจะตัดแบ่งแผ่นดินออกเป็นสองส่วน หากสิ่งที่ดูขัดสายตากลับเป็นกลุ่มก้อนกระโจมหลากสีตลอดแนวฝั่งของแม่น้ำ ป่าสีลูกกวาดที่เจ้าแรดตัวไม่น้อยกล่าวถึง
“เห!?”
หากยิ่งมองก็ต้องยิ่งแปลกใจ เมื่อกระโจมหลากสีสันนั้นมีเพียงตามแนวของลำน้ำฝั่งที่ตนกำลังยืนอยู่ โดยเฉพาะช่วงใกล้กับสะพานข้าม ป่ากระโจมจะขึ้นแน่นขนัดเป็นพิเศษ ในขณะที่แผ่นดินอีกด้านของลำน้ำกลับดูโหรงเหรง มีเพียงหมู่กระโจมแน่นขนัดที่ตั้งอยู่ในค่ายขนาดใหญ่ซึ่งสร้างจากไม้ ค่ายที่ตั้งแทบจะประจันหน้ากับประตูป้อมอาชาที่เห็นอยู่ไกลลิบ ๆ นอกจากค่ายใหญ่เพียงหนึ่งเดียวแล้ว หนุ่มน้อยก็เห็นเพียงหมู่กระโจมขนาดกลางไม่กี่หมู่ที่ตั้งห่างออกมาเกือบจะถึงริมแม่น้ำ และรถเข็นเหมือนของพวกพ่อค้าจอดกระจายอยู่ประปรายเท่านั้น
ภาพเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่จ้องมองทิวทัศน์เบื้องหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ ทำให้ร่างสูงที่เพิ่งพูดคุยกับสายข่าวเสร็จจุดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก หวนนึกถึงครั้งแรกที่ตนมาเข้าชมสงคราม ณ ที่แห่งนี้ นัยน์ตาสีเพลิงกวาดตามองไปโดยรอบแล้วอธิบายออกมาอย่างอารมณ์ดี
“กระโจมตามแนวแม่น้ำนั่น พวกเขามาตั้งรอดูสงครามกันน่ะ”
คำพูดสั้น ๆ ที่เรียกให้ดวงตาสีฟ้าใสเบิกกว้าง แล้วหันมามองดั่งจะขอให้อธิบายเพิ่มเติม
“พอดีว่าสงครามป้อมอาชามันพิเศษนิดหน่อย ถ้าเป็นเมืองอื่น เวลาตีกันนี่คนนอกแทบจะเข้าไปดูไม่ได้เลย ต้องเข้าไปดูกันในเขตสงคราม นายอาจจะยังไม่รู้ เวลาปกติถึงคนนอกปาร์ตี้จะโจมตีกันได้ แต่ถึงตายก็ไม่ได้เสียค่าประสบการณ์หรือของ แต่มันไม่ใช่กับเขตสงคราม ตายในสงครามที นอกจากเสียเปอร์แล้ว ชุดเกราะที่ใส่อยู่ในตัวยังมีโอกาสสุ่มตก ถ้าตกแล้วเพื่อนเก็บกลับมาให้ได้ก็ดีไป แต่ถ้าเก็บไม่ทันโดนฉกก็ถือว่าซวย ไปดูสงครามแบบใกล้ ๆ เลยไม่คุ้มสุด ๆ แค่ระวังไม่ให้ตัวเองโดนลูกหลงจนเลเวลลดก็ยากแล้ว ยังอาจโดนฝ่ายบุกเข้าใจผิดว่ามาลอบกัดอีก เลยไม่ค่อยมีใครเสี่ยงเข้าไปดูกันเท่าไหร่”
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มเผลอตัวยกมือขึ้นลูบชุดชาวนาที่ใส่อยู่ก็ยิ้มขำ ๆ ก่อนเอ่ยต่อ
“แต่นั่นไม่ใช่กับสงครามป้อมอาชา ป้อมอาชาเป็นเมืองหลวงของนครทุ่งหญ้าก็จริง แต่ดันอยู่ติดเขตแดนเมืองเริ่มต้น ถึงสงครามเริ่มแล้วยังไงฝั่งนี้ของแม่น้ำก็ยังปลอดภัย ไม่ได้เปลี่ยนเป็นเขตสงครามไปด้วย แถมยังใกล้พอที่จะเห็นสงครามชั้นนอกทั้งหมด คนก็เลยมาปักหลักรอดูกันอย่างที่เห็น จนทำให้กิลด์ที่เลือกมาตีเมืองนี้กลายเป็นมีแต่พวกที่ชอบโชว์ของไปแล้ว อ้อ! แต่พวกกระโจมใกล้ ๆ สะพานน่ะไม่ใช่คนดูนะ นั่นพวกพ่อค้า มาหากำไรขูดรีดพวกกิลด์ที่ตีกันโดยเฉพาะ รวมถึงพวกรถเข็นที่จอดอยู่ฝั่งโน้นด้วย”
มือหนาชี้ไปยังป่ากระโจมแน่นขนัดเชิงสะพานหินหนึ่งเดียวที่ข้ามลำน้ำเชื่อมระหว่างสองดินแดน ก่อนนัยน์ตาสีเพลิงจะไล่มองไปยังทุ่งหญ้าโล่งอีกฝั่งน้ำ แล้วส่งเสียงดังในลำคอด้วยความประหลาดใจ
“หืม… รอบนี้พวกพันธมิตรลงทุนซื้อป้อมค่ายจุดเกิดมาตั้งหน้าเมืองเลยเหรอ คงจะหวังเอาไว้มาก”
“ป้อมนั่นมันอะไรเหรอครับ พี่คิม”
“ปกติในสงคราม ถ้าฝ่ายบุกตายก็ต้องไปเกิดในกระโจมที่ตั้งไว้ในเขตจุดเกิดของระบบน่ะ อย่างพวกกระโจมที่กระจุกอยู่ใกล้ ๆ ริมแม่น้ำนั่นไง แต่ถ้าไม่ได้ตั้งกระโจมหรือกระโจมโดนทำลาย พอตายแล้วก็ต้องเด้งกลับไปเกิดเมืองอื่นนอกเขตสงคราม ไม่แน่ว่ากว่าจะถ่อกลับมาถึง สงครามอาจจะจบไปแล้วก็ได้ เพราะงั้นการป้องกันกระโจมเลยสำคัญ ปกติก็จะใช้คนผลัดกันเฝ้า แต่ถ้าลงทุนใช้เงินจริงซื้อของแคชอย่างป้อมค่ายจุดเกิดนั่นก็อีกเรื่อง มันก็เหมือนจุดเกิดชั่วคราวที่ให้เฉพาะคนในกิลด์ที่สร้างค่ายตั้งกระโจมเกิดได้นั่นแหละ ดีกว่าก็ที่มีกำแพงล้อมโดนตีแตกยาก แถมยังเลือกตั้งให้ใกล้แค่ไหนก็ได้ แต่ก็นะ… ของดีมันก็แพง”
ชายหนุ่มผมดำทำหน้าเหมือนกินยาขมเมื่อนึกถึงราคาอันแสนหฤโหดของค่ายที่ว่า ก่อนเสียงเฮดังลั่นจากอีกฟากของลำน้ำจะดึงความสนใจของทั้งคู่ไป
“ดูเหมือนน่าจะใกล้เริ่มแล้วล่ะ”
*****-----*****-----*****
ชายหนุ่มร่างสูงในชุดนักบวชเก่า ๆ จนยากจะคาดเดาสีดั้งเดิมก้าวไปหยุดยืน ณ กลางทุ่งหญ้าเวิ้งว้างว่างเปล่าเบื้องหน้า เหวี่ยงตะบองเหล็กในมือขวาขึ้นพาดบ่า ให้ลูกตุ้มหนามปลายตะบองโผล่ไปทางเบื้องหลังของตน มือหนาข้างซ้ายยกขึ้นเท้าสะเอว คอที่มีเปียเดี่ยวยาวพันทบอยู่หลายรอบเอียงน้อย ๆ ให้แลดูทั้งขี้เกียจและกวนบาทาไปพร้อม ๆ กัน
ท่ายืนอันเป็นเอกลักษณ์จนแม้กระทั่งคนที่ไม่เคยรู้จักแต่เคยได้ยินสมญานามก็คาดเดาได้ ว่าบุคคลตรงหน้านั้นคือ ‘ยันต์แปดทิศ’ หัวหน้ากิลด์ ‘พันธมิตร’ ผู้เลื่องชื่อ หนึ่งในตำนานของเกมผู้พิสูจน์ให้โลกรู้ว่า นักบวชหาใช่เพียงอาชีพอ่อนแอที่ต้องรอคนมาปกป้องไม่ หากสามารถเป็นกำลังรบเคียงบ่าเคียงไหล่และสนับสนุนผู้อื่นได้ในคราวเดียว
ชายหนุ่มกลางทุ่งหญ้าเงยหน้าขึ้นจับจ้องประตูเมืองที่ห่างออกไปด้วยดวงตาทอประกายกล้าขัดกับท่าทางดูเอื่อยเฉื่อย ทว่าเมื่อดวงตาคมเหลือบเห็นเวลาในหน้าต่างโปร่งใสที่ตนจงใจเปิดค้างทิ้งไว้ หนุ่มร่างสูงก็ยกมือขึ้นแตะปุ่มรูปไมโครโฟนในช่องสื่อสาร บิดคอซ้ายขวาอีกเล็กน้อยแล้วกลับหลังหันมาเผชิญหน้ากับผู้คนนับพันเบื้องหน้าตน
“พี่น้องเอ้ย!”
เสียงฟังดูกวนบาทาดังก้องผ่านทางช่องสนทนาสำหรับทุกกิลด์ที่ร่วมเป็นพันธมิตร ให้ผู้เล่นนับพันที่ยืนจับกันเป็นกลุ่มก้อนเรียงต่อกันหลวม ๆ เป็นแนวหน้ากระดานยาวขนานกับกำแพงเมืองเงียบเสียงลง หยุดกิจกรรมที่กำลังทำอยู่แล้วหันมามองผู้พูดเป็นตาเดียว เมื่อเห็นว่าทุกฝ่ายพร้อมฟัง หนุ่มนักบวชกลางทุ่งหญ้าก็เอ่ยต่อ
“เมื่อหลายเดือนก่อนถ้าพี่น้องยังจำได้ ไอ้ป้อมข้างหน้าเนี่ย พวกเราเคยมาร่วมบุกตีอย่างสมศักดิ์ศรี เสียทั้งเหงื่อเสียทั้งยาเสียมานาไปไม่รู้เท่าไหร่ พวกเราถึงช่วยกันยึดป้อมจากพวกกิลด์ ‘มหาชัย’ มาได้ ข้าคนนึงล่ะที่ยังจำความภูมิใจในวันนั้นได้ดี!”
“เชี่ย! พี่กูทำเท่อีกแล้ว”
หนุ่มน้อยนักธนูคนหนึ่งในฝูงชนด้านหลังบ่นออกมากับเพื่อนนักบวชข้าง ๆ เสียงเบา
“เหอะน่า ก็แค่นาน ๆ ที เห็นช่วงนี้พี่แกเล่าว่าติดซีรี่ส์หนังสปาต้าร์งอมแงม ให้แกระบายออกซะบ้าง จะได้ไม่เหลืออารมณ์ค้าง ๆ มาลงที่พวกเราไง เห้ย! พี่แกมองมาทางนี้แล้ว”
หนุ่มน้อยทั้งสองรีบยืดตัวตรงเชิดหน้า เมื่อนัยน์ตาคมที่ไล่มองแนวยาวของกองทัพผู้เล่นจากปลายสุดฝั่งหนึ่งพาดผ่านมาถึงพวกตน จวบจนดวงตาคู่นั้นมองไล่เลยไปเด็กหนุ่มทั้งสองจึงได้ลอบถอนหายใจแล้วเหลือบมองไปรอบ ๆ อย่างหวาด ๆ จึงได้เห็นแววภาคภูมิบนใบหน้าของผู้คนมากมายรอบข้าง จนเสียงพูดเดิมดังขึ้นอีกครั้ง ทั้งคู่จึงหันกลับมามองหัวหน้ากิลด์ในชุดนักบวชโทรม ๆ ที่กำลังผายมือไปยังกำแพงเมืองใหญ่ด้านหน้าของทั้งหมด
“และข้าก็จำได้ดี ว่าตอนที่พวกเราครอบครองเมืองนี้มันคุ้มค่าแก่การพยายามแค่ไหม วันเวลาที่พวกเราออกกฎได้ตามใจ ได้ภาษีเมืองมาแบ่งกันเป็นค่ายาค่าอาหาร จะเลือกตั้งร้านที่ไหนก็ได้ ขอใช้คลังโอนเงินโอนของได้ไม่อั้น เวลาอยากจะใช้อาชาลมกรดไปเก็บเลเวลไกล ๆ ก็ไม่ต้องรอต่อคิวแถมไม่ต้องจ่ายตัง ที่สำคัญ ได้กินซาลาเปาฟรี!”
“ช่าย!!”
“ใช่แล้ว ซาลาเปา!!”
เสียงตะโกนโหวกเหวกสนับสนุนจากฝูงชนทำให้คนกลางทุ่งหญ้ายิ้มกว้างแล้วกวาดตามองไปรอบ ๆ
“เหอะ ๆๆ ดูเหมือนคนกิลด์เราจะติดใจซาลาเปาของพ่อครัวประจำป้อมกันจริงจัง นี่เรามาสู้เพื่อซาลาเปาเหรอวะเนี่ย”
“แต่มันก็อร่อยจริง ๆ นะ”
“อะ..เอ่อ...”
คำพูดพร้อมตาลอยเพ้อ ๆ ของเพื่อนสนิททำให้หนุ่มนักธนูหันไปมองหน้าเหวอ
“แล้วพวกมันก็มา ไอ้พวกม้าดำ พวกมันประกาศศึกเหมือนจะสู้อย่างขาวสะอาด แต่กลับใช้วิธีสกปรกเล่นงานเรา ตียึดเมืองไปอย่างหน้าด้าน ๆ ให้พี่น้องเราเสียทั้งเมือง เสียทั้งของ เสียทั้งความรู้สึก อภัยให้ไม่ได้!”
“ไอ้พวกม้าชั่ว!!”
“ยอมไม่ได้ พวกมันต้องชดใช้!!”
“ช่าย มัน ไอ้พวกขี้โกง!!”
เสียงตะโกนก่นด่าโหวกเหวกจากฝูงชน จนนักบวชกลางทุ่งหญ้าด้านหน้าต้องยกมือขึ้นสูงเหนือหัวขึ้นระงับ ก่อนจะกลับหลังหันเผชิญกับประตูเมืองใหญ่ แล้วแกว่งไกวตะบองในมือตนไปมา
“แต่วันนี้แหละพี่น้องเอ้ย พวกเราจะบุกอย่างขาวสะอาด บุกถล่มพวกมัน ทวงสิ่งที่ควรเป็นของพวกเราคืนมา ให้มันรู้ว่าที่ป้อมอาชานี่ มีแต่กิลด์ที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรีอย่างพวกเราเท่านั้นที่คู่ควร ไอ้กิลด์ขี้โกงปลิ้นปล้อนอย่างพวกมันสมควรระเห็จออกไป พี่น้องเอ้ย จงหยิบดาบจับอาวุธขึ้นมา แล้วร่วมสู้อย่างกล้าหาญ แสดงให้โลกรู้ว่าพวกเราคู่ควร แล้วจบศึกนี้ พวกเราจะไปกินซาลาเปาฟรีในเมือง!!!”
เฮ!!!
กองทัพผู้เล่นฝ่ายบุกก็ส่งเสียงเฮดังลั่นพร้อมกับสารพัดอาวุธที่ยกชูขึ้นเหนือหัว เปลี่ยนบรรยากาศให้กลายเป็นฮึกเหิมไปในชั่วอึดใจ พอดีกับเสียงประกาศเริ่มกิจกรรมสงครามชิงตราสัญลักษณ์ประจำป้อมอาชาและการนับถอยหลังที่ดังกึกก้อง เมื่อสิ้นเสียงสัญญาณสุดท้าย คลื่นฝูงชนกลุ่มใหญ่ก็ออกวิ่งถาโถมเข้าหากำแพงเมืองแข็งแกร่ง ดั่งกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่พัดเข้าทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้า
*****-----*****-----*****
ตรุ่ง ตรุง ตรุ่ง ตรุ๊ง
/ ประกาศจาก Spirit of Adventure Online
‘ยันต์แปดทิศ’ ในนามของกิลด์พันธมิตรและเหล่าพันธมิตร ประกาศสงครามแห่งศักดิ์ศรีขอเข้าชิงตราสัญลักษณ์ประจำป้อมอาชา แห่งนครทุ่งหญ้า จาก ‘ดาบศักดิ์สิทธิ์’ แห่งกิลด์อาชาทมิฬและเหล่าพันธมิตร ผู้ปกครองดินแดนปัจจุบัน เขตแดนนครทุ่งหญ้าทั้งหมดจะถูกประกาศให้เป็นพื้นที่สงครามซึ่งกินระยะเวลานาน 3 วันเต็มในเกม ขอให้ผู้เล่นผู้ไม่เกี่ยวข้องและไม่ประสงค์จะเข้าร่วมสงครามทั้งหมดใช้ปุ่ม ‘ลี้ภัยสงคราม’ ในหน้าต่างตัวละครเพื่อออกจากพื้นที่ในทันที และแล้วก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย สงครามชิงตราสัญลักษณ์ประจำป้อมอาชา แห่งนครทุ่งหญ้า จะเริ่มในอีก 10 วินาทีต่อจากนี้... เริ่มนับถอยหลัง
10
9
8
7
6
5
4
3
2
1
สงครามชิงตราสัญลักษณ์ประจำป้อมอาชา เริ่มขึ้น ณ บัดนี้/
สิ้นเสียงจากระบบ คลื่นจุดเล็ก ๆ ก็เคลื่อนซัดเข้าหากำแพงเมืองจากทุกด้าน ให้หนุ่มน้อยผมสีน้ำตาลที่เข้าใจมาโดยตลอดว่ากลุ่มก้อนหลากสีเป็นแนวยาวรายล้อมป้อมอาชานั้นเป็นแนวของทุ่งดอกไม้ต้องเพ่งตาดวงตาอสูรของตนมอง หากเมื่อพินิจดี ๆ ดวงตาสีฟ้าใสก็ต้องเบิกกว้าง เมื่อสิ่งที่ตนเห็นกลับเป็นภาพพลังมวลชนอันยิ่งใหญ่ที่กำลังถาโถม หาใช่แนวดอกไม้อย่างที่คิด พลังแห่งความสามัคคีของแนวแถวหลากสีที่พุ่งปะทะคลื่นกองทัพสีดำที่พุ่งออกมาจากประตูป้อมใหญ่ทำให้ยากที่จะละสายตา ประกอบกับวงเวทเรืองแสงและลูกไฟหลากสีสันที่แต่ละฝ่ายเริ่มระดมยิงกันจากแนวหลัง ก็ยิ่งทำให้ร่างเล็กอยากจะเข้าไปเฝ้ามองร่วมลุ้นใกล้ ๆ หากชายหนุ่มข้างกายกลับเอ่ยดับฝันขึ้นมาซะก่อน
“ปะ เราไปต่อกันเถอะ สงครามเริ่มแล้ว ทางคงสะดวกละ”
“หะ!?”
“ก็ไปหาแท่นอักขระที่เราคุยกันไว้ไงครับ”
“บู่วว บู้วววว”
-ไปเที่ยวต่อแล้ว ๆ-
“ง่ะ งือ...”
แล้วทั้งหมดเริ่มออกเดินทางต่ออย่างกระฉับกระเฉง เว้นแต่เพียงหนุ่มน้อยชาวนาที่เดินคอตก เหลือบมองภาพฉากสงครามเบื้องหลังตาละห้อย
*****-----*****-----*****
“น้องจา เก็บหางลงมาสิครับ เดี๋ยวพวกนั้นก็เห็นกันพอดี”
พูดไม่พอ มือหนายังถือวิสาสะเอื้อมมือมาคว้าหางที่ตั้งของคนที่นั่งซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้ด้วยกัน แล้วลากมือรูดจากกึ่งกลางทางที่ตั้งชี้สู่ส่วนปลาย ก่อนจะตวัดดึงปลายหางฟูเข้าหาตน ให้คนที่โดนลูบหางถึงกับสะดุ้ง เผลอแอ่นอกเชิดใบหน้าขึ้นสูง หลุดร้องออกมาเสียงดัง ร่างสั่นสะท้านขนลุกชันไปทั้งตัว
“อะ..อ๊าาาาาาา ยะ..อย่าลูบอย่างงั้นสิครับ มัน… มันรู้สึกแปลก ๆ อ่า”
“ชู่วววว เบา ๆ สิ เดี๋ยวพวกนั้นก็ได้ยินหรอก”
“งือออออ…”
เด็กหนุ่มผมน้ำตาลขวัญกระเจิงจนตัวสั่น รีบหันไปคว้าหางตนกลับมากอดอย่างหวงแหน จึงไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนมุมปากร่างสูง
หลังออกจากเนินหญ้า แทนที่จะออกตามหาแท่นอักขระอย่างที่หนุ่มน้อยชาวนาคิด ผู้นำทางนัยน์ตาสีเพลิงกลับพาทั้งหมดมาซ่อนตัวหลังพุ่มไม้หนาใกล้กับกระโจมสีดำหมู่หนึ่งที่ตั้งห่างออกมาจากกลุ่มกระโจมอื่น แล้วรออยู่นิ่ง ๆ หากรอแล้วรอเล่า ดวงตาสีฟ้าใสก็ทำได้เพียงเฝ้ามองกลุ่มคนในชุดดำที่เหมือนกำลังมีปาร์ตี้ชมสงครามตามปกติ ไร้วี่แววว่าจะเกี่ยวกับแท่นอักขระอย่างที่อ้าง เฝ้ามองไปพลางก็เด็ดใบไม้เล่นไปพลางจนพุ่มไม้ด้านหลังเกือบโล้น แต่ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความเบื่อหน่ายจากการรอคอยผสมกับความหงุดหงิดที่ไม่ได้ชมสงครามอย่างที่หวัง ทำให้ร่างเล็กถามออกมาอย่างอดรนทนไม่ไหว
“พี่คิมครับ สรุปว่าเรารออะไรกันแน่อ่า”
“บู้ว! บู่ววว บู้วววววววว”
-อ๊ะ! พี่ชาย เจ้าสองขาพวกนั้นมันเดินมาทางนี้แล้ว-
หนุ่มน้อยผมสีน้ำตาลทำหน้ามุ่ยแล้วเงียบเสียงลง เมื่อเจ้าแรดตัวไม่น้อยที่คอยสอดสายตาระวังภัยตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดร้องเตือนออกมา เสียงเตือนทุ้มต่ำของแรดด้านข้างทำให้ชายหนุ่มร่างสูงเมินคำถามแล้วหันมองตาม นอกจากหมู่กระโจมสีดำสนิทกับผู้คนที่กระจุกยืนกันเป็นฉากหลังแล้ว ไม่ไกลจากพุ่มไม้ที่ทั้งหมดกำลังซ่อนตัวอยู่มากนัก ชายร่างใหญ่ในชุดคลุมสีดำสองคนกำลังเดินมุ่งหน้าใกล้เข้ามา แม้ทั้งคู่จะสวมชุดคลุมยาวปกปิดจนไม่สามารถระบุหน้าตาหรืออาชีพได้ หากเข็มกลัดแวววาวสลักเสลารูปปีกนกสีดำบนพื้นสีเงินกลางอกกลับบ่งบอกตัวตนของผู้มาใหม่ได้เป็นอย่างดี
“นั่น... เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ พวกปีกดำส่งคนเดินมาทางนี้ เป็นไปได้ว่าจะเป็นพวกที่มันสั่งให้เฝ้าแท่นอักขระ พี่ว่าถ้าเราตามพวกนี้ไปก็น่าจะหาแท่นเจอ”
นัยน์ตาสีเพลิงจับจ้องพิจารณาผู้มาใหม่ จวบจนรู้สึกถึงสัมผัสเปียกชื้นที่ดุนดันฝ่ามือ ชายหนุ่มร่างสูงจึงลูบบนศีรษะหยาบก่อนเอ่ยชมเสียงเบา
“เก่งมาก หนูน้อย”
คำชมที่ทำให้แรดตัวเขื่องผู้นอนหมอบอยู่บนพื้นหญ้าเบนหน้าหลบอย่างเอียงอาย แล้วทำตาลอยอย่างเคลิ้ม ๆ ส่วนเจ้าของแรดตัวจริงได้แต่กลอกตาขึ้นสูงแล้วถามในสิ่งที่ตนค้างคาใจ
“ผมไม่เห็นเข้าใจเลย อีกตั้งนานกว่าจะถึงคืนเดือนมืด ถึงหาแท่นเจอก็เก็บแสงไม่ได้ แล้วเราจะรีบมาทำไม สู้ไปรอดูเค้าตีกัน หรือไม่ก็ไปหาคุณเสือ บอกข่าวดีว่าคุณตาอยากเจอยังจะดีกว่า”
“ก็ถ้าเรามาเวลาอื่นคงโดนขัดขวางจนไม่มีทางหาเจอน่ะสิครับ ช่วงสงครามที่มีคนเยอะจนวุ่นวายอย่างนี้น่ะเหมาะที่สุดแล้ว ชู่ววว…”
เมื่อเห็นชายในชุดคลุมดำเคลื่อนเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มนัยน์ตาสีเพลิงจึงส่งสัญญาณให้คู่สนทนาเงียบเสียงลง ก่อนที่สองคนกับอีกหนึ่งตัวจะยิ่งหมอบลงต่ำ พยายามทำเหมือนไม่มีตัวตน จวบจนร่างในชุดคลุมเดินเลยผ่านไปจึงสานต่อบทสนทนาโดยที่สายตาไม่ได้ละออกจากเป้าหมาย
“ถึงเราจะยังเก็บแสงไม่ได้ ก็ยังได้ดูหาลู่ทางสำหรับตอนเก็บแสงจริงไงครับ สงครามน่ะ เดี๋ยวก็มีตีกันอีก จะมาดูทีหลังอีกกี่รอบก็ได้ ส่วนเควสท์บอสเสือนั่น ยังไงช่วงนี้ก็ห้ามไปส่งเควสท์เด็ดขาดเลยนะ นั่นน่ะ ไพ่ตายของพวกเราเลย”
“ไมอ่า ถึงพี่จะไม่ชอบคุณตาแต่พี่จะใจร้ายกับเค้าไม่ได้นะ คุณตากับคุณเสือออกจะน่าสงสาร ไม่รู้ล่ะ ยังไงผมก็ต้องช่วยให้สองคนนั่นให้มาเจอกันให้ได้!”
ท่าทางมุ่งมั่นกับดวงตาแข็งกร้าวพร้อมชน จนชายหนุ่มผมดำที่เหลือบมามองต้องลอบถอนหายใจ ส่ายหัวเบา ๆ ก่อนอธิบายต่อ
“พี่ก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้ส่งเควสท์เลยสักหน่อย แค่ไม่ใช่ตอนนี้ สองคนนั่นน่ะไม่ได้เจอกันมาหลายสิบปี เจอช้าไปอีกนิดก็คงไม่เป็นไร แต่น้องจาลองคิดดูสิ ถ้าบอสเสือของน้องจาไม่ได้เลี้ยงลูกเฝ้าแท่นอักขระอยู่ที่นั่น ป่านนี้พวกปีกดำคงเก็บแสงอันนั้นได้ไปนานแล้ว”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงขมวดคิ้วครุ่นคิดแต่ยังไม่ปักใจเชื่อ ผู้มีประสบการณ์จึงเพิ่มเหตุผลเข้าไปเพื่อโน้มน้าว
“แล้วถ้าบอสเสือไม่อยู่ที่รังแล้วเจ้าพวกนั้นยกโขยงบุกเข้าไป แม่เสือของน้องจาอาจจะรับมือไม่ไหว อาจจะโดนฆ่าเอาของดรอป ส่วนลูกเสือขาวตัวอื่นก็อาจจะโดนพวกนิสัยไม่ดีจับมาเป็นสัตว์เลี้ยงก็ได้นะครับ สู้รอให้เราทำเควสท์ประดับสัญลักษณ์ให้จบ ขึ้นครองเมืองให้ได้ก่อนแล้วค่อยไปส่งเควสท์ของคุณตา เราก็ได้ประโยชน์ ส่วนครอบครัวเสือก็ปลอดภัย พี่ว่าอย่างนี้น่าจะดีกว่านะ”
น่ะ..นั่นสิ ผมลืมคิดไปเลยว่าพวกคุณเสืออาจจะโดนพวกนั้นเล่นงาน ถ้างั้นยิ่งปล่อยไว้นานก็ยิ่งอันตราย ผะ..ผมต้องรีบจบเควสท์ให้เสร็จเร็วที่สุดให้ได้
ดวงตาสีฟ้าใสที่จับจ้องแผ่นหลังคนชุดดำที่เดินห่างออกไปโชนแสงกล้า โดยไม่ได้สังเกตว่าชายหนุ่มผมดำด้านข้างเหลือบมามองแล้วยกยิ้มเอ็นดูขึ้นที่มุมปาก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เดี๋ยวมันจะต้องมีฉากพี่คิมรูดหางน้องแน่ๆ
พี่คิมคิดอะไรกะน้องจาอ้ะป่าว