ตอนที่ 45 : การฟูมฟักของผู้เป็นพ่อ
*ลงครั้งแรก 17 ธ.ค. 60
“ทีมนักประดิษฐ์ของเราได้ทดสอบโดมกันแสงแบบพกพารุ่นที่ 3 กับแท่นอักขระใกล้เขตนครทุ่งหญ้าแล้ว ยังคงล้มเหลว แต่ทางทีมแจ้งว่าค้นพบเทคนิคที่น่าจะได้ผลแล้วครับท่านราชันย์”
“อืม…”
เสียงตอบกลับนิ่ง ๆ กับบรรยากาศรอบตัวที่เย็นเยียบผิดปกติ ดั่งมีพายุหิมะกำลังตั้งเค้าพร้อมเข้าถล่มตลอดเวลา ทำให้ผู้โชคร้ายที่จับฉลากได้เข้ามารายงานในวันนี้ยืนตัวแข็งเกร็ง ลอบเหลือบตามองสีหน้าของท่านหัวหน้ากิลด์อย่างหวาดระแวง
ยะเยือกมาเลย... เพิ่งจะเริ่มรายงานเอง ยังไม่ทันเข้าเรื่องซีเรียสก็ขนาดนี้แล้ว วันนี้จะรอดไหมเนี่ยตู...
ชายชุดดำกำมือชื้นเหงื่อแน่นขึ้น ดวงตาหรุบลงต่ำแล้วกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว หัวสมองหมุนติ้ว พยายามคัดสรรคำพูดที่นุ่มนวลที่สุดมาเพื่อประวิงเวลาการถล่มของพายุ
“พะ..เพียงแต่ เทคนิคนั้นต้องใช้วัตถุดิบที่ตกจากบอสระดับสูงหลายชนิด ประกอบกับโกดังของพวกเราที่เขต C โดนพวกแก๊งมังกรผงาด..เล่นตุกติก...”
พูดไปก็เว้นจังหวะเหลือบมองสีหน้าผู้ฟังอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ายังคงปกติจึงรีบรายงานต่อ
“สมาชิกแก๊งในกิลด์เกือบทั้งหมดต้องล็อกเอ้าท์ออกไปคุมสถานการณ์ ส่วนพวกสมาชิกวงนอกก็ล็อกเอาท์ไปเรียนหรือทำงานตามปกติ รวมแล้ว ตอนนี้ทีมล่าบอสของเราเหลือกำลังพลไม่พอที่จะล่าบอสไฮเอนด์หลาย ๆ ตัวพร้อมกัน ระหว่างที่ท่านราชันย์กำลังบัญชาการบดขยี้พวกมังกรผงาดอยู่ข้างนอก ยังไม่ล็อกอินเข้าเกมมา ฝ่ายอำนวยการไม่อยากรบกวนท่าน เลยตัดสินใจให้ทีมค้นหาส่วนใหญ่หยุดการค้นหาเอาไว้ก่อน จัดทีมใหม่เสริมเข้าไปในทีมล่าบอส ไปเฝ้าตามจุดเกิดบอสระดับสูงที่เราหมายตาครับ”
เมื่อเห็นคิ้วเรียวของหัวหน้ากิลด์หน้าสวยเริ่มขมวดเข้าหากันทั้ง ๆ ที่ดวงตายังทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง กับไอเย็นที่เพิ่มขึ้นอีกระดับ ผู้รายงานที่สัมผัสได้ถึงการก่อตัวของลางร้ายจึงรีบให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยน้ำเสียงที่ปิดความร้อนรนไม่มิด
“สะ..ส่วนหนึ่งเพราะบอสพวกนั้นมีปาร์ตี้ล่าประจำ นอกจากทีมล่าหลัก เราเลยต้องจัดคนเฝ้าจุดเกิด ทั้งสืบกำลังตี้ล่าบอสฝ่ายตรงข้าม ทั้งสืบเวลาเกิดบอส เพื่อให้ทีมล่าบอสหลักของเราไปแย่งบอสได้ จากวิธีนี้ ฝ่ายอำนวยการคาดว่าเราจะรวบรวมวัตถุดิบทั้งหมดได้ครบภายในหนึ่งเดือนในเกมครับ!”
ลงท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง ดั่งจะเพิ่มความมั่นใจให้ทั้งผู้ฟังและตนเอง หากคิ้วเรียวที่ยังไม่คลายตัวลง กับนิ้วยาวที่กำลังลูบไล้ไปตามผมเปียสีเงินดั่งกำลังครุ่นคิดของอีกฝ่าย ไร้สัญญาณให้พูดต่อ ผู้รายงานโชคร้ายจึงทำได้เพียงนิ่งรอด้วยหัวใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ
“เรื่องนี้ ฝ่ายวางแผนเห็นชอบแล้วรึยัง”
“ท่านเสนารับทราบแล้ว และไม่ได้ขอให้แก้ไขอะไรครับ”
“อืม…”
“ตะ..แต่ถ้าท่านราชันย์อยากจะปรับแผนเพิ่มเติมอะไร ทีมที่จัดใหม่ก็ยังไม่ได้ออกเดินทาง พร้อมให้ท่านปรับแก้แผนได้ทุกเมื่อครับท่าน”
“ไม่เป็นไร ให้เป็นไปตามนั้น”
เมื่อคิ้วเรียวของผู้ยิ่งใหญ่เริ่มคลายตัวลง ชายชุดดำจึงมีโอกาสได้ลอบถอนหายใจ หากคำถามสวนกลับอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวในเรื่องที่อยากเลี่ยง ก็ทำให้ผู้รายงานโชคร้ายถึงกับสะอึก
“แล้วทางทีมสะบั้นเมฆาล่ะ”
อึก!!
นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนหน่วยข่าวผู้มีประสบการณ์จะตั้งสติได้ สูดลมหายใจเข้าลึกปรับอารมณ์ แล้วกล่าวรายงานต่อโดยพยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ
“ล่าสุด ทีมของท่านรองสะบั้นเมฆาสามารถฝ่าฝูงเสือจนค้นพบเส้นทางที่คาดว่าจะนำไปสู่แท่นอักขระได้แล้ว แต่ก็เจออุปสรรคใหญ่... เหมือนว่าบริเวณแท่นอักขระจะเป็นรังของบอสพยัคฆ์ขาวเทพารักษ์ เลเวล 150 ที่เอ่อ... กำลังมีลูกอ่อนครับท่าน”
กรึบ...
ดวงตาทรงอำนาจสีทองที่ตวัดจ้องมองมาด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกทำให้ผู้น้อยต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก จนดวงตาคู่นั้นมองหันกลับไปจึงรายงานขึ้นต่อ
“บอสตัวนี้เป็นบอสระดับสูงที่ยังไม่มีใครเคยฆ่าได้ จากการประเมิน ระดับความโหดน่าจะพอ ๆ กับ ‘กฤษณามายา’ แห่งป่ามายา หรือ ‘อัคนีเก้าหาง’ แห่งเวิ้งอสูร ท่านรองแจ้งมาว่า ความสามารถของทีมล่าบอสกิลด์เรายังไม่สามารถล้มบอสระดับนี้ ขอเวลาพักเพิ่มเลเวลทีมล่าบอสหลักกับทดสอบหาข้อมูลบอสตัวนี้อีกสักนิด หลังจากนั้น อาจจะขอความร่วมมือรวมทีมล่าบอสของทั้งพันธมิตรมาลองล่าดู หรืออย่างน้อยก็ช่วยเบนความสนใจ เคลียทางเพื่อเข้าเก็บแสงอักขระครับ”
“อืม...”
ความนิ่งเงียบยาวนานในอาการครุ่นคิด ให้ชายชุดดำลอบมองอย่างลุ้น ๆ แล้วเผลอกลั้นลมหายใจเมื่ออยู่ ๆ อีกฝ่ายก็เงยหน้า ปราดนัยน์ตาสีทองกลับมาทางตน
“บอกสะบั้นเมฆา ต้องการอะไรเพิ่มให้รีบแจ้ง มีงบให้ไม่อั้น แต่ชื่อทีมแรกที่ขึ้นว่าล้มบอสตัวนั้นได้ ต้องเป็นชื่อกิลด์เราเท่านั้น!”
“ครับท่านราชันย์!”
“แล้วพวกปีกแดงกับเงาอัคคี มีอะไรเคลื่อนไหวไหม”
“ก่อนคืนเดือนมืดที่แล้ว สมาชิกกิลด์เราพบเงาอัคคีอยู่กับแมวตัวเล็กที่ชื่ออัศวินสามสีกับ..เฮือก!”
อยู่ ๆ ลมเย็นยะเยือกวูบหนึ่งก็พัดผ่านร่าง พร้อมกับความเย็นที่เพิ่มขึ้นอีกหลายระดับ จนผู้รายงานในชุดดำสะดุ้งเฮือกแล้วเผลอยกมือขึ้นกอดแขนตัวเอง
“รายงานต่อสิ”
“คะ.. ครับ มีคนพบเงาอัคคี อัศวินสามสี กับนายพลอสูรเต็มเหนี่ยว ถะ..แถวป่าทางใต้ของเมืองเริ่มต้น พวกเราสงสัยว่าบริเวณนั้นอาจจะเป็นที่ตั้งของแท่นอักขระ แต่เข้าตรวจสอบแล้วก็ไม่พบ คาดว่าพวกนั้นจะแค่พะ..พบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลสัตว์อสูรหายากทะ..ทั่วไปครับ ละ..ล่าสุด สายข่าวรายงานว่าเงาอัคคีออฟไลน์ออกไปตามปกติ ส่วนพวกปีกแดง ก็กำลังวุ่นวายกับการจัดระเบียบเมือง มะ..ไม่มีแนวโน้มว่าจะเข้ามาสะ..สนับสนุนเงาอัคคีครับท่าน”
รายงานไป ชายชุดดำก็ปากสั่นฟันกระทบกันกึก ๆ จากอุณหภูมิที่ลดลงต่ำผิดธรรมชาติ ต่างจากหัวหน้ากิลด์หน้าสวยที่ยังคงนั่งนิ่งอย่างสง่าไร้ท่าทีผิดปกติ หากยังไม่ทันรายงานต่อ ประตูบานใหญ่ทางเข้าเดียวของห้องก็เปิดออกผาง ให้อากาศอุ่นภายนอกไหลทะลักเข้ามา พร้อมกับการปรากฏตัวของชายวัยกลางคนร่างท้วมในชุดคลุมกำมะหยี่สีเขียวแมลงทับแบบนักเวทชั้นสูง ใบหน้าเชิดจมูกรั้นกับเสียงดังอย่างไม่เกรงใจใครเป็นเอกลักษณ์ จนหัวหน้ากิลด์หน้าสวยต้องตวัดดวงตาคมกริบไปปราม ทว่าดูจะไม่ได้ผล
“อะไรกัน เพิ่งเข้าเกมมาไม่เท่าไหร่ก็ปล่อยไอเย็นแข็งแช่คนอื่นเล่นอีกแล้วเหรอครับ ท่านราชันย์ ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จนปล่อยให้ไอเวทรั่วไหลบ่อย ๆ อย่างนี้มันไม่ดีนา เดี๋ยวจะส่งผลต่อการควบคุมพลังเวทในระยะยาว กระผมก็เรียนตั้งหลายทีแล้วว่าให้ท่านไปทำเควสท์สกิล ‘อาณาเขตเยือกแข็ง’ ให้เสร็จสักทีก็ไม่เชื่อ”
“ท่านก็รู้ว่าผมไม่มีเวลาไปฝึกในถ้ำน้ำแข็งเป็นเดือน ๆ อย่างนั้น ท่านเสนา”
น้ำเสียงเย็นเรียบแทบจะแช่แข็งคนฟังถูกส่งไปให้ผู้มาใหม่ หากผู้มีภูมิคุ้มกันอย่าง ‘เสนานคร’ เสนาธิการแห่งกิลด์อินทรีดำ กลับไม่มีท่าทีว่าจะสะดุ้งสะเทือน ยังคงเดินเข้ามาในห้องอย่างมั่นใจ แล้วทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาว่าง ๆ ตรงข้ามท่านหัวหน้ากิลด์เจ้าของห้องอย่างไม่รอคำเชื้อเชิญ ก่อนมือป้อมจะยกมือลูบแขนตนเองเบา ๆ
“อูยยย เย็นจริง ออกมาซิ ‘เปลว’”
สิ้นเสียง ปีศาจไฟสีดำลายแดงขนาดเล็กเจ้าของนาม ‘เปลว’ ก็แหวกหลุมดำมืดมิดออกมาจากอากาศอันว่างเปล่า แล้วลอยมายืนรอรับคำสั่งบนที่เท้าแขนของโซฟา
“ขอลูกไฟสักลูกซิ เอาอุ่นจัด ๆ เลยนะ”
เมื่อได้ลูกไฟสีทองคอยแผ่ไออุ่นให้สมดังตั้งใจ ชายวัยกลางคนก็วกกลับมายังบทสนทนาที่คั่งค้าง
“ถ้าท่านตั้งใจจะทำจริง ๆ ก็ใช่จะไม่มีทาง ท่านไม่คิดจะทำเองซะมากกว่า ตัวกระผมก็ได้แต่แนะนำละนะ ใครจะไปบังคับท่าน ‘ราชันย์ปีกนิล’ ผู้ยิ่งใหญ่แห่งกิลด์อินทรีดำได้ ว่าแต่... ปล่อยไอเย็นขนาดนี้ เรื่องอะไรอีกละ อะฮ่า! หรือว่าจะเรื่องแมวสามสีนั่น กระผมก็เรียนท่านแล้ว ถ้าท่านคิดจะเลี้ยงแมวสักตัวไว้ในแก๊งก็ไม่มีใครว่าหรอก ห้องว่างของเราเยอะแยะ แถมไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ท่านเสียสักนิด ออกจะเข้ากันดีกับหน้าหวาน ๆ ของท่านด้วยซ้ำ กระผมไม่เข้าใจเลย ท่านจะเสียเวลาตามหาตามจับแมวมาเลี้ยงในเกมทำไม”
เนื้อความที่ทำให้ดวงหน้าหวานสะบัดหันมาหาแทบจะในทันที นัยน์ตาสีทองหรี่มองนิ่งเนิ่นนาน ก่อนจะตวัดกลับไปมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างบานใหญ่
“แมวที่ผมสนใจ ใช่ว่าจะเป็นแมวทั่วไปตัวไหนก็ได้ แมวธรรมดา ๆ ข้างนอกจะสู้แมวที่มีร่างเหมือนมนุษย์ได้ยังไง จริงไหมครับ ท่านเสนา”
“หือ... อย่างงั้นเหรอ ผมตกข่าวเองสินะ น่าสนใจ... น่าสนใจจริง ๆ”
“ว่าแต่... ท่านเสนาอุตส่าห์ให้เกียรติมาเยือนถึงนี่ คงไม่ใช่แค่จะมาเตือนผมเรื่องไอเวทหรอกมั้ง”
“อ้อใช่! แต่เอ..เหมือนคนจากฝ่ายอำนวยการจะรายงานท่านค้างอยู่ กระผมว่าให้ทางนั้นรายงานให้เสร็จก่อนจะดีกว่า เชิญ!”
เมื่อได้รับสายตากระตุ้นเตือนจากเสนาธิการประจำกิลด์ ผู้รายงานที่ยังทำหน้าที่ไม่ลุล่วงจึงได้สติ แล้วกล่าวรายงานต่อ
“อะแฮ่ม... ส่วนเรื่องสุดท้ายที่ฝ่ายอำนวยการอยากแจ้งให้ท่านทราบ เป็นเรื่องบุคคลเฝ้าระวังที่ท่านเคยแจ้งไว้ครับ เมื่อสามวันก่อนในเกม สายข่าวของเรารายงานว่า มีผู้พบมายารัตติกาลราชาหมื่นพิษครับมาด้อม ๆ มอง ๆ แถวตลาดเมืองเริ่มต้น ใกล้ลานหน้าประตูใหญ่ของป้อมกลางเมือง แล้ววันถัดมา มายารัตติกาลก็ใช้ทุ่งศิลาจำแลงออกปล้นกลางตลาดเมืองระ..หะ!? เหวออออออออ”
กริ๊ก!
ในชั่วเสี้ยววินาที ไอเย็นหนาแน่นแผ่ออกจากร่างหัวหน้ากิลด์หน้าสวย แล้วแผ่ลามขยายจนทั่วทั้งห้องปกคลุมไปด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ผู้รายงานโชคร้ายที่ตั้งตัวไม่ทัน โดนไอเยือกแข็งพัดผ่านจนกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งทั้ง ๆ ที่ปากยังอ้าค้างด้วยความตกใจ ส่วน ‘เสนานคร’ เสนาธิการประจำกิลด์ นั่งขดตัวกอดปีศาจเพลิงของตนเอาไว้บนโซฟาตัวนุ่มอย่างไร้มาด ปากก็พึมพำสั่งการเร่งปีศาจของตนให้เพิ่มไออุ่นขึ้นอีก ก่อนจะพยายามหาทางเอาตัวรอดจากสถานการณ์วิกฤติ โดยการส่งเสียงเรียกสติตัวการที่กำลังนิ่งจมจ่ออยู่ในห้วงความแค้น
“ทะ..ท่านราชันย์ ท่านราชันย์คร้าบ ดะ..ได้สติหน่อยเถ้ออออ”
“หืม... ขอโทษที ผมคิดถึงอะไรเก่า ๆ เพลินไปหน่อย”
หน่อยของท่านนี่นานเป็นสิบนาทีเลยนะท่าน ป่านนี้คนคงแข็งไปครึ่งกิลด์แล้วมั้ง
จนไอเย็นทั้งหมดถูกขจัดไป เสนาธิการประจำกิลด์ถึงได้ถอนลมหายใจออกอย่างโล่งอก แล้วปรับมาดของตนให้กลับมาเป็นปกติ
เฮ้อ... เกือบไปแล้วไง คราวหน้าก่อนเข้าห้องนี้ ตูจะเรียก ‘เปลว’ ออกมาสแตนบายก่อนเลย
“ท่านเสนา เชิญว่าธุระของท่านมาเลยดีกว่า”
“อ้อ! พอดีกระผมได้รับคำสั่งจากนายใหญ่ให้นำข้อความมาส่งต่อถึงคุณชาย”
“เชิญ”
ดวงตาคมกริบสีทองพิมพ์เดียวกับผู้มีอำนาจสูงสุดของแก๊งที่จ้องตรงมา ทำให้ชายวัยกลางคนผู้รับใช้แก๊งมานานรับรู้ถึงสัญญาณ เก็บซ่อนทุกอารมณ์ขันแล้วเปลี่ยนเข้าสู่โหมดจริงจัง
“นายใหญ่ฝากกระผมมาเรียนขอให้คุณชายออกไปเก็บกวาดเรื่องยุ่ง ๆ ด้านนอกให้เรียบร้อยด้วยครับ”
“ถ้าอย่างนั้น คงต้องรบกวนท่านเสนากลับไปบอกคุณพ่อว่า ผมได้วางแผนสั่งงานทุกอย่างทิ้งไว้เรียบร้อยหมดแล้ว คงไม่ต้องให้คุณพ่อมาเป็นกังวล”
“คุณชายอาจจะเข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนไป เก็บกวาดที่นายใหญ่หมายถึง คือการลงพื้นที่ควบคุมอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันความผิดพลาดทุกอย่าง ส่วนมากเรื่องใหญ่ก็เกิดจากความผิดพลาดเล็ก ๆ ทั้งนั้น นั่นยังไม่รวมถึงหน้าที่รับหน้าหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายเป็นกลางและฝ่ายไม่ประสงค์ดีที่พวกตำแหน่งรอง ๆ ทำแทนไม่ได้ คุณชายคงพอทราบว่าการปะทะครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ค่อนข้างใหญ่ พวกเราไม่สามารถปิดข่าวได้หมด ยิ่งเรื่องเกิดที่โกดังบริษัทฉากหน้าของเรา ธุรกิจฉากหน้าต้องได้รับผลกระทบแน่ ๆ ในฐานะที่คุณชายกำลังเรียนรู้ที่จะขึ้นเป็นนายใหญ่ผู้ควบคุมแก๊งทั้งหมด ท่านจึงเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะให้คุณชายได้เรียนรู้การรับมือเรื่องพวกนี้”
ชายวัยกลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีทอง ก่อนจะเน้นย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถึงนายใหญ่จะเห็นด้วยที่คุณชายใส่ใจเรียนรู้การบริหารแก๊งในเกม แต่มันก็เทียบไม่ได้กับการบริหารงานจริงข้างนอก ท่านยังเปรยให้กระผมฟังว่า ถ้าคุณชายยังควบคุมสถานการณ์แค่นี้ให้สมบูรณ์ไม่ได้... ท่านก็อาจจะเลื่อนการมอบตำแหน่งหัวหน้าแก๊งออกไป ขอคุณชายพิจารณาอีกทีด้วยครับ”
จ้องตากันเนิ่นนานท่ามกลางบรรยากาศกดดัน ในที่สุดผู้อ่อนวัยกว่าก็ถอนสายตาออกมาก่อน แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เจือความไม่พอใจ
“ฮึ! ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเรื่องทางนี้ ก็ฝากท่านเสนาช่วยดูแลด้วยแล้วกัน”
พูดจบ ร่างสูงเพรียวก็สลายกลายเป็นแสงออกจากเกมไป ทิ้งให้เสนาธิการประจำกิลด์ถอนหายใจเฮือก ยกมือขึ้นปาดเหงื่อด้วยความโล่งอก
“เฮ้อ... รอดด้วยว่ะตู นึกว่าจะโดนสายตาพิฆาตสาปให้เป็นหินซะแล้ว ตาดุด้วยกันทั้งพ่อทั้งลูก ฟ้าผ่าสิ!”
หลังอารมณ์คลายลง ชายกลางคนผู้รอดชีวิตจึงได้มีโอกาสกวาดสายตามองไปรอบห้อง เมื่อสบเข้ากับประติมากรรมน้ำแข็งของบุรุษผู้โชคร้าย ใบหน้าท้วมก็บิดเบี้ยวด้วยความสยดสยอง แล้วร้องสั่งเสียงดังลั่น
“เห้ย! ข้างนอกน่ะมีใครอยู่ไหม เข้ามาเก็บกวาดในนี้หน่อยซิ เร็ว ๆ นะเว้ย”
อา... ฝากดูแลเรื่องทางนี้..ไม่น่ายาก ว่าแต่ เรื่องทางนี้มันรวมเรื่องตามหาแมวตัวนั้นด้วยรึเปล่าวะเนี่ย...
*****-----*****-----*****
ฮัดชิ่ว!
“หวะ..เหวออออ เฮ้อ... เกือบไป”
ชายหนุ่มผมน้ำตาลจามออกมาอย่างรุนแรง จนไข่ใบใหญ่ในกองผ้าบนโต๊ะด้านหน้าถึงกับโคลงไปมาเกือบกลิ้งหล่นจากโต๊ะ เคราะห์ยังดีที่มือเรียวยังไวพอจะรับเอาไว้ได้ทัน
“โอว... ขอองค์เทวาจงรักษา ระวังหน่อยสิลูก ถึงเด็กคนนั้นจะยังไม่ลืมตา แต่ก็มีชีวิตจิตใจรับรู้ได้ ถ้าหากลูกทำเขาหล่น อย่างดีก็คงฟักออกมาเป็นเด็กขี้หวาดระแวง แต่หากโชคร้าย เขาอาจกลัวจนไม่ยอมออกมาง่าย ๆ ก็ได้นะลูก”
“ขนาดนั้นเลยเหรอครับคุณแม่! ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูกนะ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น พ่อจะดูแลหนูอย่างดีเลย รีบออกมาหาพ่อเร็ว ๆ นะลูกรัก”
ชายหนุ่มรีบเอ่ยปลอบไข่ใบใหญ่เสียงนุ่ม มือเรียวเล็กรีบยกขึ้นลูบเปลือกไข่ลายสีเขียวมิ้นท์สลับน้ำตาลอ่อนอย่างทะนุถนอม
“จะว่าไป คุณแม่ครับ ผมนั่งใส่พลังให้น้องไข่ตามที่คุณแม่สอน นี่ก็วันเต็ม ๆ แล้วยังไม่ฟักเลย ผมทำอะไรผิดรึเปล่าครับคุณแม่”
“แล้วตอนที่ลูกส่งพลังเข้าไป ลูกได้รับรู้ถึงวิถีแห่งธรรมชาติรึยังล่ะ”
“หะ!? วิถีแห่งธรรมชาติ ยังไงอ่าครับ”
“แม่เองก็บอกลูกไม่ได้ เพราะวิถีที่แต่ละคนเรียนรู้ได้นั้นแตกต่างกัน บางคนยามสัมผัสเปลือกไข่ก็รับรู้ถึงความอบอุ่นภายใน บางคนก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหว บางคนก็ได้ยินเสียง ขอเพียงลูกตั้งใจส่งพลังตามที่แม่เคยสอน แล้วเปิดใจเปิดประสาทสัมผัสให้กว้าง ลูกก็จะรับรู้ถึงวิถีแห่งธรรมชาติในแบบของลูกเอง”
มือเรียวเล็กตรงเข้าโอบไข่ใบใหญ่อีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าใสจ้องไข่ตรงหน้าตั้งสมาธิอย่างแน่วแน่ก่อนจะค่อย ๆ ปรือปิดลง พร้อมจินตนาการว่ากำลังส่งพลังแห่งชีวิตของตนผ่านฝ่ามือทั้งคู่
ก็ส่งพลังแล้ว แล้วไงต่อนะ เปิดใจเปิดประสาทสัมผัสงั้นเหรอ อืม...
เปิดประสาทสัมผัสจนถึงขีดสุดอยู่นานหลายนาที หากอัศวินสามสีก็สัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า ทว่า ช่วงวินาทีก่อนที่จะถอดใจล้มเลิกไป เสียงแผ่วเบาเป็นจังหวะก็กลับผุดขึ้นมาท่ามกลางความนิ่งเงียบ
ตุ้บ ๆ ... ตุ้บ ๆ ... ตุ้บ ๆ ...
หืม อ๊ะ! นั่น... หรือว่า!
ตริ๊ง
/ ภารกิจ เรียนรู้วิถีแห่งธรรมชาติ (สำเร็จ)
ท่านสัมผัสได้ถึงวิถีแห่งธรรมชาติภายในไข่ปริศนา
ท่านได้รับทักษะ ‘เสียงแห่งชีวิต’ /
“คุณแม่คร้าบ ผมได้ยินแล้ว ในน้องไข่ ผม.. ผมได้ยินเหมือนเสียงหัวใจเต้นเลยครับ คุณแม่!”
“ชู่ววว เบาเสียงหน่อยสิ เดี๋ยวเด็ก ๆ พวกนี้ก็ตกใจกันหมด”
แม่ชราเอ็ดเสียงเบาก่อนจะผายมือไปรอบ ๆ ที่ซึ่งมีไข่ต่างลวดลายต่างขนาดหลายสิบใบวางอยู่บนกองผ้านุ่ม บางใบก็มีผู้เล่นมือใหม่นั่งส่งพลังให้อย่างทะนุถนอม
“อ่า... ขอโทษครับ แล้วถ้าผมรับรู้ถึงวิถีแห่งธรรมชาติได้แล้ว ต้องทำยังไงต่อละครับ”
“หากลูกรับรู้ได้แล้ว ขั้นต่อไป... ก็มีเพียงรอ”
“หะ!?”
“รอให้เด็กคนนั้นพร้อม จนอยากออกมาสู่โลกภายนอกเอง”
“แล้วผมต้องรอนานเท่าไหร่ละครับ คุณแม่”
“ข้อนั้น... ก็ตอบยากนะ มันขึ้นอยู่กับตัวเด็กแต่ละคน อย่างที่แม่เคยเจอ เร็วสุด เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ยอมออกมา ส่วนช้าที่สุด ลูกเห็นไข่ใบใหญ่ตรงมุมห้องนั่นไหม”
แม่ชีชราชี้มือไปยังไข่ใบใหญ่ที่สุดในห้อง ใบซึ่งถูกวางแยกทิ้งไว้ต่างหากอย่างโดดเดี่ยวบนผ้านวมผืนหนา ดั่งเป็นไข่อภิสิทธิ์ในสถานที่แห่งนี้
“ไข่ใบนั้น ก็มีนักเดินทางอย่างลูกนี่แหละมาส่งมอบพลังชีวิตให้ไว้ แต่เพราะไข่ใบใหญ่มาก เขาเลยเคยพลาดทำหล่นหนหนึ่ง แม่ก็พยายามปลอบพยายามสื่อสารกับเด็กคนนั้นแล้วนะ แต่นี่ก็ผ่านไปสิบเดือน เด็กคนนั้นก็ยังไม่ยอมออกมาเลย ทั้ง ๆ ที่ถ้าออกมาน่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งมากแท้ ๆ แต่พวกเราก็ทำได้เพียงแค่รอ... ส่วนนักเดินทางคนนั้น หลังผ่านเดือนที่ห้าก็ถอดใจ เอ่ยปากยกไข่ให้พวกเราและไม่เคยกลับมาที่นี่อีก ช่างเป็นเรื่องน่ารันทดซะจริง ขององค์เทพเทวาจงอำนวยพรให้ทั้งสองด้วยเถิด”
สะ... สิบเดือน น้องไข่ พ่อยังไม่เคยทำหนูหล่นนะ อย่าให้พ่อต้องรอนานขนาดนั้นเลย พ่อขอร้อง...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รอลุ้นอยู่น้า~