ตอนที่ 42 : ลานหญ้าที่ว่างเปล่า
*ลงครั้งแรก 7 ต.ค. 60
แสงแดดยามสายทอแสงลอดยอดไม้สีเขียวขจีจนรอบด้านดูสว่างสดใส ทว่าช่างแตกต่างกับบรรยากาศอึมครึมบนทางเดินดินด้านล่าง ที่สองผู้เล่นกับอีกหนึ่งอสูรติดตามกำลังย่างกรายอยู่ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเดินนำลิ่วด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองเพียงทางเดินตรงหน้า ไม่ใส่ใจอีกสองชีวิตด้านข้างที่ทั้งเดินทั้งวิ่งพยายามก้าวตามให้ทัน เมินแม้กระทั่งคำอธิบายของคนด้านหลังที่เอ่ยขึ้นหมายขอความเห็นใจเป็นระยะ
“อย่าโกรธพี่เลยนะครับ พี่ก็แค่ตามหาสมุนไพรมาปรุงยาตามที่มีคนสั่งไว้เท่านั้นเอง”
ชายหนุ่มผมทองก้าวยาว ๆ มาดักด้านหน้าให้คนตัวเล็กกว่าชะงัก พอดวงหน้าจิ้มลิ้มหันมาสบตาก่อนเดินหักหลบ ก็เร่งเดินขึ้นตีคู่ แล้วรีบอธิบายต่อ
“สมุนไพรตัวสุดท้ายมันหายากน่ะครับ แถมคนสั่งก็สั่งซะเยอะ วัตถุดิบที่เคยตุนไว้เลยไม่พอ ตอนนั้นใกล้จะต้องส่งของแล้วด้วย ในตลาดก็ไม่มีคนขาย พี่ไม่อยากผิดคำพูดกับลูกค้า พอเห็นในฟาร์มคุณแม่ท่านมีอยู่เยอะ แถมเดี๋ยวก็มีผู้เล่นมาช่วยปลูกเรื่อย ๆ อีก พี่ก็เลย... เลยแอบเอามาใช้ก่อนน่ะ”
“ฮึ!”
เมื่อเห็นน้องชายทำเสียงขึ้นจมูก พร้อมทั้งสะบัดหน้าไปอีกทาง ชายหนุ่มชุดขาวก็หน้าเสียแล้วรีบพูดเสริม
“แต่พี่ไม่ได้จะไม่คืนนะครับ แค่... คือ เอ่อ... พี่เล่นอาชีพสายโจร เลยไม่รู้ว่าจะปลูกคืนยังไง กะว่าถ้าหาวิธีได้ก็จะไปปลูกคืนให้อยู่ แค่ตอนนี้ยังหาวิธีไม่ได้เท่านั้นเอง ส่วนแม่ชีท่าน... ก็อย่างที่น้องจาเห็น พอพูดถึงเรื่องสมุนไพรขึ้นมาก็อารมณ์ขึ้น ไม่ฟังเหตุผลอะไรทั้งนั้น พี่เลยไม่ค่อยอยากไปเจอหน้าแกสักเท่าไหร่ แต่... แต่พี่ตั้งใจจะไปปลูกสมุนไพรคืนจริง ๆ นะ น้องจาเชื่อพี่นะครับ”
พูดจบ ชายหนุ่มในชุดขาวก็ส่งสายตาเว้าวอนไปทางน้องชายคนเล็ก หากเป้าหมายกลับไปไม่มีท่าทีว่าจะสนใจ ใบหน้าจิ้มลิ้มยังคงงอง้ำเชิดขึ้นสูง ไม่ชายตามามองพี่ชายแม้เพียงนิด
จะคืนไม่คืนอะไรก็เรื่องของพี่สิ ใครสนกัน แต่... ฮึ่ย! เพราะพี่โจ้แท้ ๆ การเปลี่ยนอาชีพครั้งแรกในชีวิตการเล่นเกมของผมเลยเกือบพัง ดีนะที่คุณแม่ท่านพอแยกแยะออก ไม่ได้ใช้อารมณ์ตัดสินปิดเควสท์ไปเลย แต่ถ้าสุดท้ายถ้าทำตามเงื่อนไขกลับมา แล้วคุณแม่ไม่ยอมเปลี่ยนอาชีพให้ล่ะ มะ..ไม่นะ... ความฝันที่จะเป็นทัพหน้า สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับกองทัพขนปุยของผม ตะ..แต่ แต่ถ้าคุณแม่พูดอย่างนั้น ก็คงจะยังให้โอกาสอยู่... ละมั้ง
ดวงตาสีฟ้าใสกลอกขึ้นบน นึกย้อนถึงภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดข้างโรงนา เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้า
แม่ชีชราในชุดสีน้ำเงินเข้มลงไปนั่งหอบหมดแรงอยู่บนพื้นหญ้าหลังจากโดนราชาหมื่นพิษสาดสารพัดยาใส่ เถาวัลย์หนามรอบตัวที่เคยทรงพลังก็แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเหี่ยวเฉา ร่วงไปกองอยู่บนพื้น แม้เถาวัลย์บางส่วนจะพยายามยกตัวชูยอดขึ้นมา ทว่าไม่นานก็ตกกลับไปกองแอ้งแม้งตามเดิม ไม่ไกลกันนัก ตุ่นดินนับสิบนอนหงายท้องน้ำลายฟูมปากกระจัดกระจายอยู่โดยรอบ ให้เสือขาวตัวเล็กเดินเข้าไปเอาเท้าปุยเขี่ยเล่น
หญิงชราหันใบหน้ามาทางชายหนุ่มร่างเล็ก ดวงตาแข็งกร้าวจ้องตรงมานิ่ง ทว่าเหมือนกับตาฝ้าฟางคู่นั้นจะมองผ่านเลยไปยังด้านหลัง ความเงียบอันน่าอึดอัดดำเนินไปหลายนาที จนในที่สุด ร่างบนพื้นก็เค้นเสียงแหบพร่าพูดขึ้นมาอย่างเจ็บแค้น
‘เห็นแก่ความใสซื่อเช่นนักเดินทางหน้าใหม่ ข้าจะเชื่อว่าเจ้าโดนมารพวกนี้หลอกล่อเอาก็ได้ แต่อย่างไร เจ้าก็ต้องพิสูจน์ตนเอง จงไปแก้ไขทุกสิ่งที่เจ้าพวกมารทำเสียหายเอาไว้ซะ เจ้าต้องไปต้อนเหล่าปุยปุยให้กลับมาอยู่ ณ ที่แห่งเดิม และต้องมาปลูกสมุนไพรทดแทนส่วนที่ราชาหมื่นพิษได้ขโมยไป หากทำได้ ข้าจึงจะให้เจ้าเรียนรู้วิถีแห่งธรรมชาติ แต่ถ้าทำมิได้ ก็มิต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก! ข้ายอมลงให้ถึงเพียงนี้ พอใจแล้วใช่ไหม จงมอบยาแก้พิษออกมาซะ!!’
แม้จะไม่น่าพิสมัย ทว่าภาพเหตุการณ์ในหัวของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลก็ยังคงแจ่มชัด
อ่า... ยังไงเควสท์ก็เด้งขึ้นในหน้าต่างเป็นหลักประกันแล้ว ก็หวังว่าคุณแม่ท่านจะรักษาคำพูดละนะ
สีหน้าหมอง ๆ กับดวงตาสีฟ้าดูเหม่อลอย ทำให้อีกสองชีวิตที่พยายามไล่ตามต่างหันมามองอย่างเป็นกังวล ชายหนุ่มผมทองกลอกตาคิดหาทางแก้สถานการณ์เร็วจี๋ แล้วเอ่ยขึ้นมา
“ถ้าห่วงเรื่องพิษ ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ ยาแก้พิษฝีมือพี่ซะอย่าง กลับมาคราวหน้าแม่ชีคนนั้นมีแรงลุกขึ้นมาสอนน้องจาได้แน่นอน!”
พูดแล้วก็ส่งรอยยิ้มสดใส หวังให้น้องชายคลายใจ ทว่าชายหนุ่มเป้าหมายที่เหลือบมาเห็นกลับส่งเสียงในคอกลับอย่างไม่สบอารมณ์
“ฮึ่ย!”
พิษน่ะหายแน่ แล้วความเชื่อใจล่ะ ไหนจะความเอ็นดูที่ควรจะมีอีก มันก็หายตามไปด้วยน่ะสิ อนาคตในสายอาชีพผมจะดับวูบก็เพราะพี่โจ้คนเดียว!
เมื่อเห็นผู้เข้าชิงอีกคนแก้ไขความอึมครึมที่แผ่ออกมารอบตัวหนุ่มร่างเล็กไม่สำเร็จ เสือขาวขนฟูจึงลองดูบ้าง
“โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แฮ่ ฮึ่มมมมมมมมมมมมมมมมมมม”
-เจ้าเลิกเป็นห่วงยายแก่ไร้เหตุผลนั่นเถอะน่า มีอย่างที่ไหน ข้ายังไม่ได้กินสัตว์เลี้ยงของนางสักตัว กลับมาว่าข้าว่าเป็นมารร้าย ไร้เหตุผลสิ้นดี-
เมื่อเห็นดวงตาสีฟ้าใสสนใจเหลือบลงมามอง พยัคฆ์ตัวน้อยเลยลำพองแล้วเอ่ยต่อ
“ฮึ่มมมมมมมมมมมมม แฮ่ โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก กรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร ฮึ่มมมม!”
-ส่วนเจ้าปุยปุยอะไรนั่นก็ใจเสาะไม่เข้าเรื่อง แค่เห็นข้าฟัดกับหมาหน้าขนไม่กี่แผลก็ตื่นตูม ตกใจวิ่งหนีหายกันไปเอง กัดก็ยังไม่ได้กัด ขนหางสักเส้นยังไม่ตกถึงท้อง ไม่ทันได้ทำอะไรก็มาหาว่าข้าว่าเป็นมารร้าย ให้เจ้าต้องไปต้อนพวกมันกลับมา ไร้เหตุผลที่สุด!-
“ฮึ่ย!”
เมื่อเห็นหนุ่มผมน้ำตาลส่งเสียงเหมือนจะไม่พอใจ ร่างลายทางก็วิ่งเข้ามาพันแข้งพันขา เอาตัวถูไถขาเรียวที่กำลังก้าวเดิน แล้วเงยหน้าช้อนสายตาขึ้นอ้อน
“แฮ่ ฮึ่มมมมมมม โฮกกกกกกกกกกก”
-เจ้าไม่เห็นต้องทำตามที่นางว่าเลยนี่นา ข้าไม่ผิดนี่ ไปเที่ยวที่อื่นกันดีกว่า ทุ่งดอกไม้ที่พวกเจ้าเคยพูดว่าจะไปไง นะ ไปนะ-
กิริยาอาการคลับคล้ายคลับคลาชวนให้นึกถึงแมวที่บ้าน ทำให้อารมณ์หงุดหงิดของร่างเล็กค่อย ๆ คลาย ชะลอฝีเท้าลง แล้วช้อนอุ้มเสือน้อยขึ้นแนบอกอย่างอ่อนใจ
“เฮ้อ~”
ตรรกะแมว ๆ อย่างนี้ คงต้องสอนกันอีกเยอะ ที่เจ้าอ้วนอัศวินชอบจ้องมาแล้วก็วิ่งมาพันแข้งพันขา มันมีตรรกะพิสดารอะไรแบบนี้ในหัวรึเปล่าเนี่ย
คิดไปก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเกาคางเสือตัวน้อยอย่างแผ่วเบา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันยามจ้องมองใบหน้าเคลิ้ม ๆ ของเสือขาวในอ้อมแขน ทางด้านคุณพี่ เมื่อเห็นน้องชายเริ่มหายหงุดหงิดแต่กลับสนใจเพียงแค่เสือขาว ชายผมทองก็กล่าวขึ้นให้อีกฝ่ายหันมาหาตนบ้าง หากทำให้หนุ่มผมสีน้ำตาลชะงัก
“พี่เห็นด้วยกับเสือน้อยนะครับน้องจา”
“หะ..หา เห็นด้วยที่ เอ่อ... พี่โจ้รู้เหรอครับว่าเสือน้อยพูดอะไร”
“อ้าว ไม่ใช่บอกให้พักทานข้าวเที่ยงเหรอครับ พี่เดาจากท่าทางเอาน่ะ เหมือนเจ้าอ้วนตอนอ้อนขออาหารเด๊ะเลย แล้วนี่ก็เลยเที่ยงมาแล้วด้วย”
“โฮกกกกกกกกก!”
-ข้าไม่เห็นแก่กินขนาดนั้นซะหน่อย เจ้าโง่!-
“เฮ้อ~”
*****-----*****-----*****
“ที่นี่เหรอ เสือน้อย”
ดวงตาสีฟ้าใสกวาดมองไปรอบ ๆ แล้วถามขึ้นอย่างลังเล ด้านหน้าของเขาเป็นลานหญ้าโล่งกว้าง มีดอกไม้เล็กสีขาวแซมกระจัดกระจายไปทั่ว ดูเหมือนทุ่งดอกไม้มากกว่าลานเลี้ยงสัตว์ รอบด้านมีรั้วพุ่มไม้สีเขียวเข้มเตี้ย ๆ กั้นบอกอาณาเขต เว้นเพียงริมลานด้านหนึ่งซึ่งไร้แนวพุ่มไม้ เนื่องจากอยู่ชิดติดกับธารน้ำใส ใจกลางลานมีสิ่งก่อสร้างทำจากไม้ประกอบกันง่าย ๆ แลดูคล้ายแบบจำลองขนาดเล็กของเครื่องเล่นที่มักพบตามสนามเด็กเล่น รั้วพุ่มไม้ด้านหน้าที่พวกเขากำลังยืนอยู่มีประตูไม้เตี้ย ๆ ดั่งเป็นทางเข้าสู่ลาน ทว่าแม้ประตูลานหญ้าจะปิดเอาไว้ตามปกติ หากด้านในกลับไม่มีสิ่งมีชีวิตใด ๆ อยู่เลย
“แฮ่ โฮกกกกกกกกกก แฮ่ ฮึ่มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม โฮกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
-ไม่ผิดแน่ ตรงริมน้ำนั่น รอยเลือดหมาขนยาวที่ข้าขย้ำขามันเมื่อหลายวันก่อนก็ยังอยู่ นึกถึงแล้วก็โมโห เจ้านั่นมันบังอาจขัดขวางการกิน… อะแฮ่ม การทำความรู้จักสิ่งมีชีวิตใหม่ของข้า รอยเล็บบนท่อนไม้เอียง ๆ นั่นก็ของข้าเอง ตอนนั้นข้ากะจังหวะตะปบเจ้านั่นผิดไปหน่อย แล้วยังกลิ่นเขียว ๆ ปะแล่ม ๆ ของเจ้าพวกตัวกลมที่เหลืออยู่นี่อีก เอาเป็นว่า... แถวนี้ ไม่ผิดที่แน่นอน!-
“กลิ่นเขียว ๆ ปะแล่ม ๆ งั้นเหรอ”
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทำจมูกฟุดฟิดหันหน้าดมกลิ่นไปรอบ ๆ ก่อนคิ้วเรียวจะขมวดมุ่นเข้าหากัน ร่างเล็กย่อตัวลงนั่ง ชันเข่าข้างหนึ่งให้ตั้งขึ้น ใบหน้าน่ารักก้มหน้าลงในระดับใกล้เคียงกับเสือขาวที่กำลังนั่งสะบัดหางไปมา แล้วดมกลิ่นไปรอบ ๆ อีกครั้ง ทว่ายิ่งดมก็ยิ่งทำให้คิ้วเรียวขมวดแน่นกว่าเดิม
ก็มีแต่กลิ่นหญ้าธรรมดาผสมกับกลิ่นดอกไม้นิดหน่อยนี่นา แล้วไอ้กลิ่นเขียว ๆ ปะแล่ม ๆ นี่มันเป็นยังไงละเนี่ย เฮ้อ… ช่างเถอะ
“แล้วนายพอจำได้ไหมว่าพวกปุยปุยมันหนีไปทางไหน”
“ฮึ่มมมมมมมมมมมมมมม แฮ่ กรรรรรรรรรรรรรรรรรรร ฮึ่ม!”
-ไม่รู้สิ ตอนนั้นข้ากำลังฟัดกับหมาหน้าขนอย่างเมามัน หันมาอีกที พวกมันก็หายหัวกันไปหมดละ พูดแล้วก็แค้น กำลังจะขึ้นขย้ำหลังเจ้าหมาขนยาวได้แล้วเชียว ดันโดนดูดเป็นแสงหายไปซะได้ ฮึ่ย!-
พูดจบก็ทำท่าฮึดฮัด หากทำให้อีกฝ่ายจ้องกลับอย่างปลง ๆ ดวงตาสีฟ้าใสกวาดมองรอบด้านอีกครั้ง ก่อนหันไปหาพี่ชายอย่างขอความเห็น
“ครับ? เอ่อ… พี่เดาว่ากลิ่นหายไปจนเสือน้อยหาไม่เจอใช่ไหม แต่อย่าถามพี่นะว่ากลิ่นเขียว ๆ ปะแล่ม ๆ เป็นยังไง คือ… พี่เล่นเผ่าเอลฟ์น่ะครับ จมูกไม่ได้แยกแยะดีเหมือนพวกอสูร”
เอลฟ์ผมทองยิ้มแหย ๆ ตอบกลับน้องชาย ทว่าทำให้เสือขาวในบทสนทนาขัดขึ้นอย่างไม่พอใจ จ้องหน้ากลับเขม็ง
“แฮ่ม โฮกกกกกกกกก แฮ่ โฮกกกกก ฮึ่ม!”
-ชิชะ เจ้าเบื๊อกนี่จะดูถูกข้ามากเกินไปแล้ว กลิ่นผ่านไปไม่กี่วันแค่นี้ มีรึที่อธิราชคนนี้จะตามรอยไม่ได้!-
“คือ… เสือน้อยบอกว่าถึงกลิ่นจะจางไปหน่อย แต่ก็พอตามได้อยู่น่ะครับ”
“อ้อ! งั้นก็ง่ายเลย แค่ให้เสือน้อยดมกลิ่นตามรอยให้ เราก็หาปุยปุยเจอแล้ว”
“แฮ่มมมมมม! กรรรรรรรรรรรรรรร!!”
-ข้าไม่ใช่หมานะเฟร้ย! นี่เจ้าริอ่านเอาเผ่าพันธุ์ชั้นสูงเช่นข้าไปเปรียบกับเจ้าลิ้นห้อยชั้นต่ำพวกนั้นเรอะ!!-
จากที่แค่จ้องหน้า ก็เปลี่ยนเป็นลุกขึ้นมาพองขนคำรามใส่ ให้เอลฟ์ชุดขาวมองกลับอย่างงง ๆ ส่วนมนุษย์คนเดียวที่เข้าใจทุกสิ่งได้แต่มองทั้งคู่ แล้วถอนหายใจยาวอย่างปลงตก
เฮ้อ… กลิ่นเขียวปะแล่ม ๆ ใช่ไหม แค่ตามหากลิ่นคล้าย ๆ อย่างนี้ให้เจอ คงง่ายกว่าให้สองคนเลิกเขม่นกันละมั้ง…
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ดีนะที่แม่ชีท่านใจดี~