ตอนที่ 38 : เขินอาย... ลางร้ายของมนุษย์พี่
*ลงครั้งแรก 27 ส.ค. 60
กลิ่นหอมของอาหารที่โชยมาแตะจมูก ทำให้ร่างสูงเพรียวที่เพิ่งเปิดประตูประตูห้องนอนออกมาต้องชะงัก พี่ชายคนโตของบ้านเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ ด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเอานิ้วแตะดันแว่นอย่างใช้ความคิด
หืม... ร้อยวันพันปี ไม่เคยมีใครคิดเข้าครัวนี่ แถมยังเช้าขนาดนี้ ใครตื่นมาทำกับข้าวกันนะ หรือว่า... คุณพ่อ!?
คิดได้ดังนั้น หนุ่มแว่นก็เร่งสาวเท้าไปสู่ห้องครัวของบ้าน หากเมื่อก้าวเท้าผ่านประตูเข้าไปก็ต้องแปลกใจกับภาพที่เห็น
ตรงหน้าของเขา หัวฟู ๆ ของน้องชายคนเล็กในผ้ากันเปื้อนสีเหลืองสดใสลายแมวน้อยติดระบายหลายชั้น กำลังก้ม ๆ เงย ๆ อยู่เหนือหม้อขนาดย่อมบนเตา ข้างกัน หุ่นยนต์แม่บ้านรุ่นล้อเลื่อนขนาดเท่าตัวคนกำลังยืนรับใช้อยู่ ไม่ไกลกันนัก แมวแมนคูนตัวเขื่องกึ่งนั่นกึ่งนอนกระดิกหางเฝ้าดูด้วยความสนใจ
“กลิ่นกับสีน่าจะโอเคแล้วล่ะ คงไม่ต้องชิมแล้วมั้ง ไว้ถ้าพี่ ๆ ตื่นก็ตักเสิร์ฟได้เลยนะมาเรีย”
“รับทราบค่ะ”
“อ๊ะ! พี่โจ้ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
เสียงใสร้องทัก ให้พี่ชายที่มัวแต่ตาลอยเหม่อมองคนน่ารักในชุดสุดโมเอะเริ่มรู้สึกตัว
“อ่อ... อะแฮ่ม เพิ่งมาเมื่อกี๊เองครับ น้องจากำลังทำอะไรอยู่เหรอ”
“ข้าวต้มรวมมิตรสูตรพิเศษครับพี่โจ้ ไหน ๆ ก็มาแล้ว พี่โจ้มาลองชิมหน่อยไหมครับ”
ดวงตากลมโตที่มองมาอย่างคาดหวัง เป็นดั่งมนต์สะกดให้พี่ชายผู้แสนดีตกปากรับคำโดยอัตโนมัติเหมือนละเมอ หากเมื่อหุ่นยนต์แม่บ้านนำชามข้าวต้มมาวางลงตรงหน้า สีแดงเถือกกระแทกตากับก้อนวัตถุประหลาดที่ลอยตุ๊บป่องอยู่เต็มชามก็เล่นเอาเหงื่อซึม แมวอ้วนประจำบ้านเดินนวยนาดเฉียดเข้ามาดม ก่อนจะชะงักกึก สะบัดหน้าหนี แล้ววิ่งหายออกจากห้องไป ทิ้งให้ร่างสูงเพรียวได้แต่มองตามตาละห้อย
“เอ่อ... ทำไมอยู่ ๆ น้องจาถึงมาทำกับข้าวละครับ ที่จริงให้มาเรียทำให้ก็ได้นะ เราจะได้ไม่ต้องลำบาก”
“ไม่ลำบากหรอกครับพี่โจ้ เกมที่พี่จ๋ายให้เล่นมันต้องล่ามอนสเตอร์แล้วเอามาทำอาหารเองน่ะ ผมเลยอยากลองฝึกทำดูบ้าง ที่จริงข้าวต้มรอบนี้ผมก็ยังไม่ได้ทำเองนะ แค่ลองเสนอส่วนผสมแล้วให้มาเรียทำดูเฉย ๆ อยากรู้ว่าในเกม ถ้าเลือกวัตถุดิบประมาณนี้จะออกมายังไง พี่โจ้ลองดูหน่อยสิครับว่ามันโอเคไหม”
คำอธิบายฟังดูมีเหตุผล แต่ทำให้พี่ชายคนโตต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอ มือเรียวยกช้อนคนสสารประหลาดในถ้วยแล้วลองตักยกขึ้นมาดูใกล้ ๆ ทำท่าเหมือนกำลังสนใจหนักหนา
“ที่จริงพี่ก็เล่นเกมนั้นนะ เราไม่ต้องทำอาหารเองก็ได้ ซื้อจากพวก NPC ในเมืองเอา พกง่ายเก็บได้นานด้วย พี่ว่าถ้าน้องจาซื้อตุนติดกระเป๋าไว้น่าจะ... สะดวกกว่า”
“อ๊ะ! พี่โจ้ก็เล่นเกมนี้ด้วยเหรอครับ งั้นผมก็มีคนให้ถามเพิ่มนอกจากพี่จ๋ายแล้วสิ แต่พอดีคนที่ผมเดินทางด้วย เขาชอบล่าม่อนแล้วเอามาทำอาหารเองตลอดน่ะ ผมเลยยังไม่เคยต้องซื้ออาหารตุนเลย จริง ๆ แล้ว ทำเองก็ดูน่าสนุกดีนะครับ”
ว่าที่คุณหมอวางช้อนลงเนียน ๆ แล้วหันมาพูดกับน้องชายอย่างจริงจัง ดั่งเรื่องที่กำลังพูดนั้นเป็นสิ่งที่แสนจะสำคัญ
“ถ้าเดินทางกันเยอะ ๆ ล่ามาทำอาหารกินเองก็อาจจะคุ้มกว่า แต่ถ้าเราเดินทางคนเดียวหรือแค่กลุ่มเล็ก ๆ ซื้อมาเลยจะปลอดภัยกว่านะครับ ไม่ต้องห่วงว่ากลิ่นตอนทำอาหารจะล่อมอนสเตอร์เข้ามาใกล้ แล้วยังไม่ต้องคอยกลบร่องรอยกองไฟให้เสี่ยงต่อการถูกคนที่ไม่ชอบหน้าสะกดรอยเจอด้วย ว่าแต่... คนที่น้องจาเดินทางด้วยนี่ใครครับ พี่รู้จักไหม”
“เพื่อนพี่จ๋าย ชื่อ ‘พี่คิม’ ครับ ผมเพิ่งเคยเจอในเกม ไม่แน่ใจว่าพี่โจ้จะเคยเจอรึเปล่า สูง ๆ หน่อย ผมสั้นสีดำ กับตาสีแดง อ่า... แต่ลักษณะในเกมกับนอกเกมอาจจะไม่เหมือนกันนี่เนอะ”
พูดพลางน้องน้อยก็เงยหน้าเหลือบตาขึ้นบน ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากอย่างครุ่นคิด
“อืม... พี่ว่าพี่พอจะเดาออก เพื่อนจ๋ายคนนั้นน่าจะพอพึ่งพาได้อยู่ แต่เราก็ต้องตุนอาหารไว้เผื่อฉุกเฉินเองด้วย ไม่มีใครคอยช่วยเราได้ตลอดเวลา เข้าใจไหมครับ”
“งั้นเดี๋ยวถ้าผมกลับเข้าไปจะซื้อไว้เยอะ ๆ เลย ว่าแต่ พี่โจ้จะไม่ชิมสักหน่อยเหรอครับ ถึงมันจะไม่จำเป็น แต่ผมก็อยากรู้อะ ว่าพวกส่วนผสมที่ลองเลือกไปมันโอเคไหม”
หนุ่มแว่นลอบกลืนน้ำลายเอื๊อก แล้วเหลือบตาลงมองในชามอีกครั้ง
“แล้วน้องจาใส่อะไรไปบ้างล่ะครับ พี่อาจจะ... พอแนะนำได้อยู่นะ”
“ผมลองใส่พวกวัตถุดิบที่น่าจะหาได้ในเกม ก็เลยใส่เนื้อปลาสับ ไข่นกกระทาหั่น เนื้อสันใน เพิ่มข้าวโพด แตงกวากับเห็ดหูหนูให้ดีกับสุขภาพ ผมอยากให้มันหวาน ๆ เค็ม ๆ หน่อยเลยใส่บ๊วยเค็มลงไปด้วย แล้วก็ใส่พริกแกงกับขิงให้เผ็ดกับหอมขึ้นอีกนิดน่ะครับ พี่โจ้ว่ามันโอเคไหม ลองชิมสักหน่อยสิครับ”
“อ่า... มันก็...”
“นะ”
ดวงตากลมโตมองมาอย่างเว้าวอน ทำให้พี่ติดน้องไม่กล้าทำลายความฝันของเด็กหนุ่ม ลอบกลืนน้ำลายลงคอ หันกลับมาเผชิญหน้ากับข้าวต้มสูตรพิสดารอย่างกล้าหาญ มือเรียวตักข้าวต้มประหลาดสีแดงเถือกขึ้นมา แล้วจ่อช้อนเข้ากับปากของตนพร้อม ๆ กับคิดในใจ
เอาน่า... เพื่อน้อง ถ้ามีอะไรยาแก้ท้องเสียในห้องก็น่าจะเอาอยู่!
*****-----*****-----*****
“เฮ้อ...”
“พี่โจ้ไม่เป็นไรแน่นะครับ เป็นเพราะข้าวต้มของผมใช่ไหม”
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลช้อนมองพี่ชายข้าง ๆ ที่นั่งอ่อนระโหยโรยแรงพิงพนักโซฟาอย่างเป็นห่วง ท่าทางที่แฝงไปด้วยความรู้สึกผิดนั้นทำให้พี่ชายคนดีต้องรีบพูดปลอบใจ
“ไม่ ไม่ใช่หรอกครับ ช่วงนี้ท้องพี่ไม่ค่อยดีอยู่แล้วน่ะ แถมยังกินผิดเวลา กินเช้าเกินไปจะถ่ายบ่อยหน่อยก็ไม่ผิดปกติอะไรมาก ไม่ใช่เพราะข้าวต้มของน้องจาหรอกครับ”
ตอบแล้วก็ส่งรอยยิ้มที่คิดว่าจริงใจที่สุดให้กับน้องน้อย หวังให้อีกฝ่ายเชื่อแล้วคลายความกังวลลง
“เหรอครับ แต่พี่โจ้ดูเหนื่อย ๆ นะ นาน ๆ จะได้หยุดพักทั้งทีก็ต้องมาเป็นอย่างนี้อีก แย่จัง”
“แค่หยุดแล้วได้อยู่กับน้องจา พี่ก็หายเหนื่อยแล้วครับ”
พูดไป ใบหน้าเรียวก็เผยรอยยิ้มเอ็นดู แล้วยกมือขึ้นลูบหัวน้องชายคนเล็กอย่างแผ่วเบา
“แต่ถ้าตอนนี้ได้นอนหนุนตักใครสักคนระหว่างดูโทรทัศน์ด้วย... ก็จะดีมาก ๆ เลยล่ะ”
“งั้น! พี่โจ้นอนตักผมได้เลยครับ ตรงนี้เลย”
ชายหนุ่มตัวเล็กย้ายหมอนอิงออกไปวางด้านข้าง แล้วตบที่ตักของตนเองอย่างกระตือรือร้น จนพี่ชายคนดียิ้มแป้นแล้วเอนตัวหนุนนอนลงอย่างมีความสุข
รายการทีวีช่วงสายฉายละครรักโรแมนติคเฉกเช่นทุกวัน ดำเนินเรื่องไปจนถึงฉากที่พระเอกนอนหนุนตักนางเอกในสวนสาธารณะเขียวขจี ฉากคุ้น ๆ ที่ทำให้น้องชายตัวน้อยต้องขมวดคิ้ว
“พี่โจ้ครับ แค่นอนหนุนตักกัน ทำไมนางเอกต้องหน้าแดงเหมือนเขินขนาดนั้นด้วยล่ะ ขนาดพี่โจ้หนุนตักมาตั้งนาน ผมยังไม่เห็นจะเป็นอย่างนั้นเลยนี่”
“หืม... ก็การนอนหนุนตักมันใกล้ชิดกัน ถึงเนื้อถึงตัว ถ้าเรารู้สึกกับอีกฝ่ายแบบคนรัก พอได้เข้าใกล้คนที่รัก ระบบประสาทอัตโนมัติก็จะทำงานให้รู้สึกตื่นเต้น หัวใจเต้นเร็ว สมองหลั่งสารเคมีให้เส้นเลือดที่แก้มและลำคอขยายมากกว่าปกติ จนหน้าแดง เลยรู้สึกร้อนที่หน้าครับ ส่วนท่าเขินอายที่ชัดโอเวอร์ขนาดนั้น... น่าจะแอคติ้งล้วน ๆ”
ชายหนุ่มร่างเล็กเงียบไป ในใจประหวัดไปถึงอาการร้อนที่หน้าครั้งล่าสุด อยู่ ๆ ภาพดวงตาพราวระยับล้อแสงดาวที่จ้องตรงมา กับคำเรียกหาเสียงหวานก็ผุดขึ้นในหัว ‘ที่รัก’ ใบหน้าเล็กร้อนขึ้นอีกครั้งอย่างไม่ทันตั้งตัว จนต้องสะบัดศีรษะแรง ๆ
ไม่มีอะไรหรอกน่า พี่โจ้ก็บอกอยู่ว่ามันเกิดจากสารเคมีจากสมอง คงแค่บังเอิญเท่านั้นแหละ
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ น้องจา”
“อะ..เอ่อ... อ้อ! พอดีผมมีคำถามน่ะครับ”
“ครับ?”
“คือว่า ถ้าคนรู้จักของพี่โจ้ที่เป็นผู้ชาย มีคนรักเป็นผู้ชายด้วยกัน พี่โจ้จะรู้สึกยังไงอ่าครับ”
“หืม... ทำไมถึงอยากรู้ล่ะ มีอะไรรึเปล่า”
พี่ชายผู้แสนดีลากเสียงยาว ละสายตาจากโทรทัศน์จอยักษ์ แล้วพลิกตัวนอนหงายให้เห็นหน้าน้องชายชัด ๆ จนผู้โดนหนุนตักเริ่มร้อนรน
อ่า... แย่ละสิ หมอนั่นบอกว่าไม่ให้ถามพี่ ๆ นี่นา หรือว่าจะเป็นความลับหว่า
“เอ่อ... ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่.. ผมแค่... อ้อ! ผมเพิ่งไปเจอคู่รักที่เป็นผู้ชายทั้งคู่มา เวลาพวกเขาอยู่ด้วยกัน ผมไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงดี เลยอยากรู้ว่าปกติคนอื่นเขาทำกันยังไงน่ะ”
นัยน์ตาเรียวหลังกรอบแว่นหรี่ลงเล็กน้อย เงียบไปสักพัก ก่อนคำถามต่อไปจะถูกส่งออกมาอย่างใจเย็น
“ที่เราบอกว่าไปเจอนี่ คือเจอในเกม... ใช่รึเปล่า”
“ใช่ครับ”
“แล้วคู่รักที่เราเห็นนั่น เขามีท่าทียังไงบ้างล่ะ แบบมีท่าทางแสดงความรักอะไรให้เราเห็นรึเปล่า หรือยังไง”
“อ่า...”
ดวงตากลมโตเหลือบขึ้นมองบน ในหัวนึกถึงท่าทางระหว่างตนกับเพื่อนของพี่ชายในค่ำคืนที่เพิ่งเลยผ่าน ภาพที่นึกออกชวนให้ใบหน้าเล็กก้มลงต่ำ พอบังเอิญสบตาเข้ากับพี่ชายบนตักก็กระอักกระอ่วนจนต้องหันไปมองทางอื่น ก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้ม หากพวงแก้มที่ขึ้นสีชมพูจาง ๆ ก็ไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของผู้มีประสบการณ์กว่า
“ที่เห็นก็... โอบไหล่ โอบเอว... อุ้มกัน เอ่อ... แล้วก็โอบคอกันน่ะครับ”
“ที่ว่าอุ้มกันนี่อุ้มแบบไหน มีใครเห็นบ้างครับ”
“เอ่อ... อุ้มแบบที่... แบบที่พระเอกอุ้มนางเอกเมื่อกี๊น่ะครับ ผม.. ผมแค่ไปแอบเห็นเขาอุ้มกันเฉย ๆ นะ ตอนนั้นน่ะรอบ ๆ ไม่มีคนอื่นอยู่เลย”
รังสีเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากร่างพี่ชาย กับสายตาที่มองตรงมานิ่งดั่งอ่านออกทุกความคิดจิตใจ ทำให้หนุ่มน้อยหลบตาวูบแล้วหันไปหันมาอย่างร้อนรน ให้ใบหน้าน่ารักร้อนยิ่งขึ้นกว่าเดิม จนเจ้าตัวต้องรีบอธิบายเพิ่ม
“แต่ก็ไม่ได้อุ้มหรือโอบกันบ่อยนะครับ เพิ่งเริ่มทำเมื่อไม่นานมานี้ แล้วก็ไม่ได้ทำในที่ที่มีคนอื่นเยอะ ๆ ด้วย เอ่อ... แต่ผมรู้จักสองคนนั้นนะ พะ..พี่โจ้ว่า ถ้าพี่โจ้เจอคนรู้จัก มาเป็นคนรักกันเองอย่างที่ผมเจอ พี่โจ้จะรู้สึกยังไงครับ”
น้องชายคนเล็กเหลือบตามองพี่ชายอย่างเกรง ๆ จนพี่ใหญ่ของบ้านต้องถอนหายใจยาว ปลดบรรยากาศหนักอึ้งลง เหม่อมองตรงไปยังอากาศว่างเปล่าตรงหน้า
“ก็ไม่รู้สินะ พี่คงต้องไปเห็นเอง แต่ถ้าถามแบบทั่ว ๆ ไป พี่คิดว่าก็คงจะตกใจล่ะมั้ง ยิ่งถ้าสองคนนั้นไม่เคยมีท่าทีว่ารักชอบผู้ชายด้วยกันมาก่อน อยู่ ๆ ไปเห็น ก็ต้องมีอึ้งบ้างแหละ ถึงตอนนี้การมีคนรักเพศเดียวกันจะไม่แปลกเท่าไหร่ แต่ถ้าให้พูด ยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมชาติ”
นิ่งเหม่อไปอีกนิด ประกายบางอย่างก็ฉายวาบผ่านเข้ามาในดวงตา หนุ่มแว่นจึงหันมามองน้องน้อยแล้วเอ่ยขึ้น
“จริงสิ วันนี้พี่ว่างทั้งวัน เดี๋ยวพี่เข้าไปเล่นเกมด้วยดีกว่า ไม่ได้เข้าไปเล่นนานแล้ว จะได้ช่วยแนะนำน้องจาเรื่องอาหารด้วยไงครับ ดีไหม ยิ่งถ้าได้เจอคู่รักคู่นั้น พี่จะได้ตอบน้องจาชัด ๆ เลย”
รอยยิ้มของพี่ชายยังคงอ่อนโยนเหมือนเคย หากหนุ่มน้อยกลับรู้สึกได้ถึงความเด็ดขาดแปลก ๆ ที่แฝงอยู่ในดวงตาคู่นั้น จนต้องเกร็งไปทั้งร่าง
*****-----*****-----*****
ติ๊ด!
-ครับพี่โจ้-
“จ๋าย เรื่องที่น้องห่วงมันเกิดขึ้นแล้ว พี่..พี่ไม่น่าชะล่าใจเลย”
สีหน้าเป็นกังวลปนขมขื่นผิดวิสัยของพี่ชาย ทำให้ปลายสายรีบถามกลับอย่างร้อนรน
-เกิดอะไรขึ้นเหรอครับพี่ เจ้าอัศวินมันหนีออกจากบ้านเหรอครับ ผมว่าละ เห็นมันนอนจ้องเฝ้าหน้าประตูอยู่ทุกวัน คิดแล้วเชียวว่ามันต้องกำลังหาทางหนีไปหาเจ้าสีสวาดบ้านข้าง ๆ ไม่ต้องห่วงนะพี่ ผมต้องไปลากคอมันกลับมาแน่นอน!–
คำตอบฉะฉานอย่างมั่นใจแต่ห่างไกลไปคนละเรื่อง ทำให้ว่าที่คุณหมอที่กำลังครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียดอยู่ถึงกับเอ๋อ จ้องหน้าน้องชายคนรองด้วยสายตาว่างเปล่า ต่อบทสนทนาไม่ถูก
“มะ..ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกับเจ้าอัศวิน พี่หมายถึงเรื่องน้องจาต่างหาก”
-หา!? งั้นแสดงว่าน้องจาเริ่มเสียงแตกแล้วเหรอครับ! ผมกำลังกลัวอยู่เลย ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ ไม่นะ เสียงหวาน ๆ ใส ๆ ที่ร้องเรียกพี่จ๋ายครับ พี่จ๋ายอย่างโน้น พี่จ๋ายอย่างนี้ ผม..ผมยังไม่พร้อม ผมยังทำใจไม่ได้ ม่ายยยยยยย-
เสียงลากยาวโหยหวนพร้อมกับมือที่เริ่มยกขึ้นดึงทึ้งผมบนหัวตัวเอง ทำให้พี่ชายเอ๋อไปเป็นรอบที่สอง แถมแนวคิดของน้องยังเข้ามากวนใจ ทำเอาเกือบเสียศูนย์
“เรื่องเสียงแตกหนุ่มนั่น... ทำไม่พี่ไม่เคยคิดถึงมาก่อนนะ น้องจาก็อายุ 13 แล้วด้วยสิ ใกล้เวลาแล้ว น่ากลัว น่ากลัวจริง ๆ แต่... ไม่ ไม่ใช่ ปัญหาของเราตอนนี้ไม่ใช่เรื่องนั้น แถมจะว่าไป น่าห่วงกว่าแค่เรื่องเสียงแตกซะอีก เรื่องเกี่ยวกับเกมที่นายกลัวแล้วขัดขึ้นมาในวันเกิดน้องจาน่ะ จำได้ไหม วันนี้พี่คุยกับน้อง มันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ มีไอ้หนุ่มที่ไหนก็ไม่รู้มาทำน้องเราเขินอย่างกับสาวน้อย แถมที่พี่ตะล่อมถาม ยังมีการโอบไหล่ โอบเอว โอบคอ ไปจนถึงอุ้มท่าอุ้มเจ้าสาว!”
-เห้ย! ใคร เจ้านั่นมันเป็นใครครับพี่ ผมจะไปกระทืบมัน!-
“พี่ก็ไม่รู้ รู้แต่น้องไปเจอมันในเกม พี่กำลังจะเข้าไปสืบอยู่ เส้นสายในเกมเราเยอะกว่าพี่ ฝากสืบจากทางนั้นด้วยก็แล้วกัน แล้วก็ระวัง จัดการเงียบ ๆ อย่าให้น้องระแคะระคาย เดี๋ยวรู้แล้วน้องจะเสียใจ”
-ครับพี่! เชื่อมือผมได้เลย หน้าไหนก็ตามที่คิดล่อลวงน้องจาไปจากอกพวกเรา มันจะต้องไม่ตายดี!!-
“พี่โจ้ ผมล้างจานเสร็จแล้วครับ พี่โจ้จะเข้าเกมเลยไหม”
เสียงใส ๆ ของน้องชายตัวเล็กลอยมาแต่ไกล ให้พี่ชายทั้งสองได้แต่สบตาแล้วพยักหน้าให้กันยืนยันพันธกิจ ก่อนพี่ชายคนโตจะกดตัดสายก่อนน้องน้อยจะเดินเข้ามาในห้อง แล้วทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พี่ก็ว่าจะเข้าเลยครับ เราล่ะ”
“ผมก็อยากเข้าเลยนะ ผมรู้สึกเหมือนว่าจะลืมอะไรไปสักอย่าง แต่นึกไม่ออก”
“งั้นเข้าไปแล้วเจอกันที่ลานหน้าประตูใหญ่ ป้อมกลางเมืองเริ่มต้นละกัน ในเกมพี่ชื่อ ‘มายารัตติกาล’ นะครับ ถ้าเจอก็ทักได้เลย”
“ครับพี่!”
*****-----*****-----*****
อีกทางด้านหนึ่ง ณ โต๊ะประจำของแก๊งซ่าขาใหญ่ แห่งคณะวิทยาศาสตร์สาขาคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ปึง!
“ไอ้คิม! สายบอกมาว่าน้องจาของกรูโดนล่อลวง สารภาพมา! อะไร! ยังไง! ทำไม!!”
และแล้วในวันนั้นก็เกิดปรากฏการณ์หายาก อยู่ ๆ แก๊งซ่าขาใหญ่ประจำคณะ ที่มักจะคอยยิงคำถามก่อกวนอาจารย์ผู้สอนแล้วตบมุกกันเอง ให้เพื่อน ๆ ทั้งห้องได้ฮาครืนเสมอ กลับหายตัวกันไปยกกลุ่ม!? ส่งผลให้บรรยายกาศในห้องเรียนคาบบ่ายของวันดูเงียบเหงา จนนักศึกษาพากันไปเฝ้าพระอินทร์มากกว่าครึ่งห้อง ให้อาจารย์ประจำวิชาได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ
พวกมันหายหัวไปไหนกัน ไวรัสซอมบี้แพร่เต็มห้องแล้วเนี่ย กลับมาเถอะ คราวหน้าสัญญาเลยว่าจะไม่ขัดเวลายิงคำถามตบมุกอีกแล้ว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โพสแล้วชิ่งหนีด้วยความเร็วแสง
ปล.ไปถามกับเจ้าตัวเลย เขาก็เนียนสิจ๋าย
ถ้าสังเกตดีๆ เจ้าตัวเองก็ยังไม่เคยลองชิมเลยนะ
#ไรท์เปลี่ยนชื่อนิยายหรอคะ? จำแทบไม่ไดเลย