ตอนที่ 32 : คลื่นลมยอดปราการ
*ลงครั้งแรก 18 ก.ค. 60
ภายในห้องศิลาแคบปิดมิดชิด นับสิบชีวิตกำลังซุ่มอยู่อย่างเงียบเชียบ แต่ละคนตรวจตราอาวุธเครื่องสวมใส่ของตน พร้อมที่จะเคลื่อนไหวออกไปสู่ภายนอกทุกเมื่อ ณ บริเวณหน้าห้อง ริมผนังหินอ่อนสีขาว บุรุษผู้นำกลุ่มกำลังมองลอดช่องแสงเล็กบนผนังแกร่ง นัยน์ตาคมกวาดมองสถานการณ์ภายนอกอย่างเคร่งเครียด
ด้านนอกนั้น ชายหนุ่มมองเห็นทางเดินหินอ่อนแคบ ๆ ไร้เงาของราวจับ ทางเดินหินพาดผ่านเวิ้งอากาศว่างเปล่า เชื่อมจากป้อมยอดหอคอยขนาดเล็กที่พวกตนกำลังซ่อนตัวอยู่ไปยังลานกว้างที่มีหอคอยหินอ่อนขนาดใหญ่ตระหง่านอยู่เบื้องหน้า บริเวณลานมีกองทหารยามเดินวนเวียนตรวจตราอย่างเข้มงวด ที่หน้าประตูหอคอยใหญ่ที่เหล่าผู้บุกรุกหมายตา โทรลหน้าตาอัปลักษณ์ที่แม้ดูโง่หากแข็งแกร่ง 4 ตนกำลังยืนเฝ้าระวังอยู่โดยรอบ ข้างกัน นักเวทในชุดคลุมยาวปิดหน้าปิดตา 2 คนยืนคุมเชิงคอยสั่งการฝูงโทรลจากในระยะใกล้
วิหคอัคคีถอนสายตาออกมาอย่างหนักใจ ก่อนจะวาดมือไปในอากาศ เปิด 3 หน้าต่างสนทนาขึ้นเชื่อมต่อหาผู้ร่วมอุดมการณ์
ติ๊ด
“ตี้ 1 เป็นไง รายงานมา”
-ตี้ 1 ยึดยอดหอเหนือได้แล้ว จากตรงนี้เห็นยอดหอกลางชัด ข้างบนนั่นแท่นประดับสัญลักษณ์แน่ ๆ แต่เหมือนนักเวทตัวพ่อจะยืนเฝ้าอยู่ ถ้ามองจากหอกู เราต้องเดินข้ามทางเชื่อมไปลานหน้าหอคอยกลาง แต่ตรงนั้นก็ NPC ยั้วเยี้ย เมื่อกี๊กูเหมือนเห็นโทรลแว้บ ๆ แถวหน้าประตูหอด้วย ทางมึงล่ะโต้-
“ตี้ 2 ของข้าก็ยึดหอตะวันออกได้แล้ว มุมนี้ข้าก็เห็นเหมือนเอ็ง พวกมันใช้โทรลตาเดียว 4 ตัวเฝ้าทางเข้า ดีหน่อยที่เป็นแค่โทรลตาเดียวโง่ ๆ ไม่ใช่โทรลหนาม เล่นไม่น่ายาก ปัญหามีแค่ไอ้ผู้อัญเชิญที่ยืนคุมอยู่ ข้าว่า เราต้องบุกไปรวมกันตรงกลาง แล้วช่วยกันล่อแยกโทรลออกมาถึงจะไหว แต่ไอ้นักเวทตัวพ่อของเอ็ง น่าจะเป็นตัวปัญหา ตี้ 3 ล่ะ เป็นไง”
เคร้งงงง! ปึก ฉัวะ อ้ากกกกกกกกก
เสียงต่อสู้ดังลอดออกมาจากหน้าจอทางขวาที่ฉายใบหน้าของชายหนุ่มผมกระเซอะกระเซิง ชายในหน้าจอเพียงยกไม้เท้าขึ้นสูง ชี้ให้ฝูงซอมบี้ด้านหลังเดินไปในทิศหนึ่ง ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วหันมาตอบคำถาม
-พวกผมถึงยอดหอใต้แล้วพี่ เหลือเก็บกวาด NPC เฝ้าหออีกหน่อย ไม่เกิน 10 นาทีน่าจะเสร็จ ผมยังไม่ว่างดูเลยว่าข้างนอกเป็นไง แต่ตอนนี้เรายึดทางออกได้แล้ว ถ้าพี่สั่งบุก เดี๋ยวผมให้ลูก ๆ วิ่งออกไปช่วยก่อนก็ได้ครับ-
วิหคอัคคีมองลอดช่องแสงแล้วเหลือบตาไปมองป้อมหอคอยทางด้านซ้ายที่ยังดูเงียบสงัด ก่อนจะเอ่ยออกมา
“จากที่ข้าเห็นก็ไม่น่ามีอะไร ถ้าเอ็งเห็นอะไรแปลก ๆ ทีหลังก็รีบบอกละกัน สรุป! เพื่อไม่ให้เสียเวลา เดี๋ยวข้าจะสั่งบุก เราจะลุยออกไปพร้อมกันทุกด้าน จะได้ไม่โดนนักเวทตัวพ่อของไอ้เอกสอยเก็บทีละคน เดี๋ยวสั่งบุกแล้วให้ทุกตี้วิ่งกระจายกันไป ช่วยกันเคลีย NPC บนลานก่อน ตี้ 1 พอพวกเอ็งเคลียบนลานเสร็จต้องวิ่งล่อลากโทรลกับผู้อัญเชิญของมันออกไป เปิดทางให้ตี้ข้าบุกเข้าหอ ตี้ 3 พวกเอ็งคอยสาปขัดเวทไอ้ตัวพ่อกับปิดทางตัดกำลังเสริม หัวหน้าทุกหน่วยเปิดเสียงในห้องแชทกิลด์ด้วย มีอะไรจะได้พูดรายงานได้ทัน ไป! เรียกรวมเลย เสร็จแล้วรอสัญญาณ”
-เห้ย ๆๆ เดี๋ยว พวกนักดนตรีข้างล่างกล่อมมังกือหลับสนิทแน่นะ ทางเชื่อมมันโคตรแคบแถมไม่มีราวกั้น ไม่ใช่เดิน ๆ ไปมังกือเจือกตื่นมากระพือปีกพัดกูปลิว ไม่ก็สะดุ้งมายิงลูกไฟเล่น ตกไปจากตรงนี้มันไม่ขำนะโว้ย-
ชายในหน้าจอกลางถามขึ้นพร้อมกับทำหน้าสยดสยอง ชายหนุ่มยังสะพรึงกับฤทธิ์เดชของมังกรไฟด้านล่าง ก่อนที่พวกตนจะหาทางกำราบมันได้ไม่หาย จนหัวหน้าปาร์ตี้นักดนตรีต้องพูดขึ้นให้ทุกฝ่ายสบายใจ
-ข้างล่างนี่ มีนักดนตรีร้องกล่อมสลับกัน 2 ชุด ไม่มีปัญหาเรื่องดีเลย์แน่นอน พวกเอ็งวางใจได้-
“งั้นก็ตามนั้น รวมคนที่ประตู รอฟังสัญญาณบุกในช่องแชทกิลด์ ไป ๆๆๆ”
ติ๊ด
“พวกเอ็งได้ยินแล้วใช่ไหม! งั้นก็มารวม อย่าชักช้า ไอ้จ๋าย! ตัวแท้งค์น่ะไปข้างหน้าเลย พระ! ร่ายเกราะคุ้มกันใหม่ให้ทุกคนด้วย ไป ๆๆๆ”
“เอ่อ... พี่โต้ ไม่ขึ้นไปรอบุกข้างหน้าพร้อมพี่จ๋ายเหรอคะ”
นักบวชหญิงด้านข้างถามขึ้นมา แล้วก้มหลบตาทำท่าเอียงอาย
“พี่ไปแน่ครับ ถ้าน้องจะช่วยไม่อู้แล้วร่ายเกราะให้เร็ว ๆ น่ะนะ”
“อ๊ายยย งั้นพี่รีบเอาไปเลยค่ะ เกราะศักดิ์สิทธิ์!! เทวะยาตรา!! พระแม่อำนวยพร!! รีบไปให้กำลังใจพี่จ๋าย บุกตะลุยเคียงข้างพี่จ๋ายให้ถึงยอดเลยนะคะ”
นักบวชสาวรีบร่ายทักษะอย่างว่องไวแล้วเดินหลบออกไปกรี๊ดเบา ๆ กับเพื่อนด้านข้าง ให้หัวหน้ากิลด์หนุ่มยืนงงกับปฏิกิริยาแปลกประหลาดของเหล่าลูกกิลด์
“อะไรของเค้าวะ”
*****-----*****-----*****
“5...... 4...... 3........ 2....... 1....... ไป ๆๆๆๆๆๆๆ”
กองทัพกิลด์หงส์เพลิงวิ่งบุกพร้อมกันจากทั้ง 3 ทิศ ดั่งสายน้ำหลากเข้าสู่ลานกว้างใหญ่ ดาบแกว่งไกว ลูกธนูและเวทมนตร์หลากสีพุ่งเข้าโจมตีอย่างดุดัน ทหารฝ่ายตรงข้ามแม้ไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ตั้งรับอย่างไม่ยอมแพ้ ลูกไฟเวทสีม่วงดูอันตรายจากยอดหอคอยด้านบนพุ่งเข้าสร้างความเสียหายต้อนรับผู้มาใหม่เป็นระยะ
“ไป ๆๆ บุกเข้าไป”
“ว้ากกก โทรลมันตามผมคร้าบ ช่วยด้วยยยย”
“ฮึ่ย! พวกตี้ 1 ไปไหนกันหมด ไอ้จ๋าย! ลากโทรลนั่นไปทิ้งก่อนดิ๊ เฮ้ย! ระวัง! มันเล็งลูกไฟไปฝั่งใต้ หลบ ๆๆๆๆ”
ตู้ม!!
“มีทหาร NPC วิ่งมาเสริมจากหอตะวันตกครับ”
“ตี้ 3 พ่อเอ็งมาหาฝั่งหอตะวันตก รีบไปต้อนรับ ไป ๆๆๆ”
ความโกลาหลวุ่นวายดำเนินไปได้พักใหญ่จนทัพของนักผจญภัยค่อย ๆ ขนาบเข้ามาใกล้หอคอยจากทุกด้าน อยู่ ๆ ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น วงเวทสีเขียวอ่อนขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นล้อมรอบหอคอยใจกลางและขยายกว้างขึ้นจนกินพื้นที่บนลานทรงกลมทั้งหมด ให้กองทัพฝ่ายบุกได้ตื่นตระหนก เลือดในกายเย็นเฉียบ
“ขัดเวท! ร่ายคำสาป! ทำอะไรสักอย่างสิโว้ย พระ! ร่ายเกราะใหม่ให้ทุกคนอีกชั้น”
“มันร่ายเวทวายุหอบฟ้า เวทโบราณ ขัดไม่ได้พี่!”
นักเวทคนหนึ่งเอ่ยถึงชื่อเวทใหญ่ตระกูลสายลมที่ทุกคนรู้จักกันดี ‘วายุหอบฟ้า’ เวทมนตร์อาณาเขตกว้างที่อัญเชิญสายลมทรงพลังมาพัดหอบทุกชีวิตให้ปลิวไปตามทิศทางที่ผู้ร่ายกำหนด พร้อมกับทำค่าความเสียหายในระดับหนึ่ง
“เวร! ทุกคนตั้งรับ หาที่หลบเกาะกันให้แน่น เตรียมปั๊มยารัว ๆ”
แม้จะรู้ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิด ทว่า มันช่างดูสิ้นหวังสำหรับผู้บุกรุก ในเมื่อลานนั้นเป็นเพียงลานหินขัดมันโล่งไร้ที่กำบัง ขอบลานตัดเรียบสู่เวิ้งอากาศว่างเปล่าไร้ราวกั้น หอคอยที่ดูจะพอหลบพายุได้ก็อยู่ห่างออกไป มีเพียงทางเดินหินเล็ก ๆ เป็นตัวเชื่อมเท่านั้น เหล่าผู้เล่นทำได้เพียงวิ่งเข้าหาเพื่อนร่วมชะตากรรมใกล้ตัว เหนี่ยวกายเกาะกันแน่น พยายามถ่วงน้ำหนักของกลุ่มตนให้มากที่สุดแล้วสวดอ้อนวอนในใจ
กรึ๊บ!
ขุนพลเท้าไฟกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากแล้วหันไปมองรอบด้าน ชายหนุ่มวิ่งล่อโทรลร่างยักษ์มาจนถึงขอบลาน ไร้ผู้เล่นรอบข้างหรือที่กำบังใด ๆ ชวนให้หดหู่ ร่างในชุดเกราะวาดมือไปมาในอากาศ ต่อสายหาน้องชายสุดที่รัก หวังจะสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย
ติ๊ด
-ครับ พี่จ๋าย-
“น้องจาจ๋า... พะ..พี่จ๋ายรักน้องจานะ พี่จ๋ายขอโทษ ฮือ....”
-ฮะ!?-
ติ๊ด
พลันวงเวทสีเขียวก็เปล่งประกายสว่างจ้า สายลมรุนแรงจากเบื้องบนที่พุ่งตรงลงสู่ยอดหอคอยกลางลานตามคำอัญเชิญ ก่อนจะพัดลู่ตามยอดปลายแหลมลงสู่พื้นลานเบื้องล่าง พร้อมกับพัดกวาดผู้บุกรุกผู้อ่อนแอให้ปลิดปลิวไปตามแรงลม ผู้เล่นบางส่วนที่อยู่ใกล้ตัวหอและเกาะกันได้เป็นกลุ่มใหญ่ก็แค่ปลิวไปใกล้ขอบเหว หากแต่กลุ่มที่อยู่ไกลออกไปก็โดนพัดปลิวตกหายไปยังเวิ้งอากาศว่างเปล่ารอบลาน และหนึ่งในนั้นก็รวมถึงรองหัวหน้ากิลด์ผู้ปลงตก
“แว้กกกกกก......”
*****-----*****-----*****
“ฮะ!?”
ติ๊ด
สายที่อยู่ ๆ ก็ตัดไป โดยไม่รอให้พูดคุยกันรู้เรื่อง ทำให้ชายหนุ่มร่างเล็กเป็นกังวล
“ทำไม... พี่จ๋ายจะเป็นไรไหมอะ”
“ถ้านายยังไม่รู้ พี่นายมันเป็นพวกติงต๊อง แถมยังตื่นตูมเกินกว่าเหตุ อีกอย่าง ในเกมนี้อย่างมากก็แค่ตายแล้วก็ไปเจอกันที่จุดเกิด ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า”
“ถ้าอย่างงั้น... ก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
“ฉันว่า นายเอาเวลาไปคิดเรื่องของตัวเองดีกว่า”
ชายหนุ่มผมดำที่กำลังย่างเนื้อเตรียมอาหารเย็นอยู่ตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ ทำให้อัศวินสามสีก้มหน้าลงครุ่นคิดกับตัวเองเงียบ ๆ มือเรียวลูบไล้ไปบนขนของร่างเสือขาวบนตัก ลูกเสือที่ตั้งแต่บาดเจ็บสลบไปก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา
“นายว่า... ผมจะเก่งได้จริง ๆ เหรอ”
เสียงที่ถามออกมาอย่างลังเล จนนัยน์ตาสีเพลิงละจากเนื้อย่างตรงหน้าขึ้นมามอง ก่อนจะเอ่ยให้อีกฝ่ายได้คิด
“นายอาจจะยังไม่รู้ แต่เล่น ๆ ไป พวกเราไม่ว่าใครก็มีจุดแข็งของตัวเอง มันเป็นบางอย่างที่ทำได้ดีกว่าคนอื่นจนกลายเป็นจุดยืนให้คนอื่นมาพึ่ง อย่างพี่ชายนาย ถึงจะติงต๊อง คิดอะไรไม่เคยทันชาวบ้าน ตีใครก็ไม่เข้า แต่ก็เห็นอย่างนั้นก็เป็นตัวแท้งค์อันดับหนึ่งของกิลด์ ทนไม้ทนมือรับหน้ารับดาเมจ โหดแค่ไหนก็ทน ฉันเห็นหลายคนแล้วที่อยากจะไปแทนที่จ๋าย แต่พอลองแท้งค์ ๆ ไป เจ็บตัวมากเข้าก็ไม่เห็นยอมเป็นต่อกันสักคน”
นัยน์ตาคมเหลือบมองดวงหน้าเล็กที่คิ้วขมวดแต่ดวงตากลอกไปมาอย่างครุ่นคิด ก็จุดรอยยิ้มที่มุมปากแล้วเอ่ยต่อ
“น้องคนหนึ่งในกิลด์ที่ฉันรู้จัก อ่อนแอ... โดนอะไรสะกิดนิดหน่อยก็ตาย โจมตีก็ไม่ได้ ทำได้แค่เดินตามรักษาใส่บัพ[1]ให้คนอื่น แต่อยู่ ๆ ไปก็บัพได้จังหวะขั้นเทพจนใคร ๆ ก็ต้องการตัว ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่งานซ้ำ ๆ ดูน่าเบื่อแท้ ๆ แต่ก็เห็นน้องคนนั้นยิ้มร่าได้ทั้งวัน หรืออย่างฉัน ถึงจะตีแรงตีไกล แต่ก็อย่างที่นายเห็น พอศัตรูมากันเยอะ ๆ ฉันก็ทำอะไรไม่ได้หรอกนะ ถ้าไม่มีนายทำให้พวกนั้นติดสตัน[2]ก่อน พวกเราก็คงไม่รอด”
“อ่า...”
“ที่ฉันอยากจะบอกก็คือ แต่ละคนก็มีบางอย่างที่ทำได้ดีในขณะที่คนรอบ ๆ ทำไม่ได้ หรืออีกกรณีก็คือดันไปชอบงานที่ไม่มีคนอยากทำ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าของนายจะเป็นแบบไหน แต่ถ้าหาเจอแล้วฝึกไปให้สุดทาง สุดท้าย นายก็จะเก่งในแบบของนายเอง เกมนี้น่ะ ไม่ได้มีไว้เล่นคนเดียว ทุกคน ทุกอาชีพ ก็มีจุดอ่อนกันทั้งนั้น ต้องหาคนอื่นมาช่วยกันอุดรอยรั่ว ถ้านายรู้จักตัวเองแล้วฝึกให้ดี ก็ต้องมีสักที่ละที่เขาต้องการนาย”
“แล้ว... อย่างผมนี่ จะเล่นสายไหนดีอะ”
“แล้วนายอยากเล่นอาชีพอะไรล่ะ”
“นะ..”
ชั่วขณะหนึ่ง ชายหนุ่มผมน้ำตาลอยากจะตอบว่านักเวท แต่ภาพความเสียหายทางเวทมนตร์ -1 บนหัวของศัตรูทั้งกลุ่มยังคงติดตา จึงทำได้แต่กลืนคำพูดลงคอแล้วตอบอ้อมแอ้ม
“ไม่รู้สิ... แบบไหนจะเหมาะอะ”
“อืม... ถ้าถามฉัน สายแมลงสาบอย่างนายถ้าไม่เน้นแท้งค์...”
“ก็บอกว่าไม่ใช่แมลงสาบไงเล่า! แมวน่ะแมว!”
“เออ ๆ แมวก็แมว ถ้าไม่เล่นแท้งค์สายชนก็แท้งค์สายหลบหลีก พลังโจมตีติดดินอย่างนี้ไม่ใช่ตัวทำดาเมจหลักแน่ ๆ ถ้าจะเล่นอัศวินหรือสายโจรก็ต้องหาคนมาร่วมตี้แล้วนายเป็นตัวล่อ ถ้าเป็นสายผู้ใช้พืช ผู้ฝึกสัตว์ หาสัตว์เลี้ยงมาทำดาเมจแล้วนายชนก็ได้ หรือถ้าอยากเล่นแนวหลังจริง ๆ ผู้อัญเชิญกับจอมเวทสายสาปของสายนักเวทก็พอไหว แต่ระยะยาวฉันว่านายจะมีมานาไม่พอใช้ หรือจะเล่นพ่อค้าแบกไอเทมเยอะ ๆ ใช้ไอเทมทั้งโจมตีเองทั้งสาปเองก็โอเค แค่เปลืองตังหน่อย จริง ๆ ตัวเลือกก็เยอะอยู่แหละ ก็แล้วแต่นายละนะว่าอยากเล่นแบบไหน”
“อ่า... ก็ไม่รู้สิ แต่ผมก็อยากเป็นแนวหน้าอยู่นะ”
“งั้นก็ดู ๆ ไปละกัน ไม่ต้องรีบ เดินหาเควสท์อย่างงี้ เดี๋ยวเจอตัวอ่อน ๆ ฉันจะให้นายลองชนดูเลย”
“อืม”
สัมผัสขยุกขยิกบนตักทำให้ใบหน้าน่ารักก้มลงมามองแล้วก็ต้องเผยยิ้มกว้าง เมื่อเสือตัวเล็กค่อย ๆ ขยับตัวแล้วปรือตาลืมขึ้น
“ฮึ่ม แฮ่.....”
-แง่ม ๆๆ กลิ่นอะไรน่ะ หอมมม.....”
“อธิราช นายฟื้นแล้ว!”
ชายหนุ่มตัวเล็กอุทานเสียงดังขึ้นด้วยความดีใจ ก่อนอีกฝ่ายจะตอบกลับเป็นคมเขี้ยว งับเข้าที่มือให้เจ็บจนน้ำตาเล็ด แม้ว่าจะไม่มีค่าความเสียหายขึ้นมาเลยก็ตาม
“โอ๊ย!”
“กรรรรรรรร...”
-เจ้าเป็นใคร ทำไมรู้จักชื่อข้า จะว่าไปกลิ่นนี้นี่มัน...-
“ชื่ออธิราชงั้นเหรอ ลิเกชะมัด เสือน้อย ถ้านายยังไม่อยากอดมื้อนี้ก็แหกตาดูรอบ ๆ ให้ดี แล้วก็ขอโทษแมวโง่ตัวนั้นด้วย”
ชายหนุ่มผมดำพูดขึ้นอย่างระอา ก่อนจะยกเนื้อย่างไม้โตขึ้นโบกไปโบกมาเป็นตัวอย่าง
“แฮ่... ฮึ่ม... โฮกกกก”
-แมวโง่..หรือว่า... เจ้าเปี๊ยก อะ... ขอโทษละกัน จบนะ แต่เจ้ากลิ่นหอม ๆ อันนั้นต้องเป็นของข้า-
เสือขาวตัวน้อยหันมามองสำรวจและขอโทษชายหนุ่มร่างเล็กเพียง ก่อนที่จะกระโจนเข้าหาเนื้อย่างจานใหญ่ใกล้กองไฟที่เงาอัคคีเพิ่งปิ้งเสร็จใหม่ ๆ ด้วยความเร็วแสง
“มะ..ไม่เป็นไร อ๊ะ! ไม่สิ รอด้วยยยย”
แล้วความชุลมุนของศึกแย่งชิงอาหารเล็ก ๆ ก็เกิดขึ้น ให้พ่อครัวจำเป็นต้องกลับมานั่งกลุ้มใจ
“เฮ้อ... มีพวกกระเพาะครากมาเพิ่มอีกตัว มื้อต่อ ๆ ไปงานหนักแน่เลยเรา”
*****-----*****-----*****
ร่างในชุดเกราะหนักปลิดปลิวขึ้นไปในอากาศก่อนจะร่วงลงตามแรงโน้มถ่วงสู่พื้นเบื้องล่าง ทว่าด้วยความสูงของหอคอยที่พวกตนใช้เวลาในการบุกขึ้นไปหลายวัน ช่วงเวลาหลอนประสาทในการร่วงหล่นจึงเนิ่นนานดั่งชั่วกัปชั่วกัลป์ หากก่อนที่ร่างใหญ่ในชุดเกราะมันวาวจะได้กระแทกกับพื้นเบื้องล่าง พื้นผิวนุ่มนิ่มบางอย่างก็โฉบมารองรับร่างเอาไว้
ปุ!
“แอ้ก! อะ ทำไมไม่เจ็บ กรูยังไม่ตาย... ยังไม่ตายใช่ไหม.....”
ชายหนุ่มในชุดเกราะค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนมือหนาจะขยำกำขนนกขนาดยักษ์สีแดงเพลิงบนพื้นด้านข้างขึ้นมาดูใกล้ ๆ
“อ๊ะ!! ขนนี่มัน... ไอ้โต้! กรูรักเมิงงงงงงง”
และในวันนั้น กิลด์หงส์เพลิงก็มีประเด็นร้อนเกิดขึ้นใหม่ เมื่อรองหัวหน้ากิลด์ประกาศบอกรักท่านหัวหน้ากิลด์ที่เคารพท่ามกลางสถานการณ์ขั้นวิกฤติ คำบอกรักนั้นชัดเจน และเผยออกผ่านทางช่องแชทของกิลด์ให้สมาชิกทุกคนได้เป็นพยานรับรู้ หากทว่า ยังไม่มีคำตอบรับจากท่านหัวหน้า ผู้ที่ยังอยู่ในร่างอสูรหงส์วายุอัคคีตัวใหญ่ ทำให้เหล่าสมาชิกต้องลุ้นติดตามผลการบอกรักของคู่นี้กันต่อไป
*****-----*****-----*****
หมายเหตุ
[1] บัพ (Buff) การเพิ่มความสามารถบางอย่างให้กับคนใดคนหนึ่งแบบชั่วคราว
[2] สตัน (Stun) สถานะผิดปกติ ที่มีอาการมึนงง สับสน ขยับตัว และใช้ทักษะไม่ได้
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ชอบสกิลการมโนของลูกกิลจัง
ต่อออออ