ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สายลมห่มดอกไม้ (ติดเหรียญ เริ่มตอน 12)

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 3 นนท์เป็นลูกมีพ่อมีแม่

    • อัปเดตล่าสุด 23 ต.ค. 64


    “นนท์ ขอบใจ” ชูถุงก๊อบแก๊บในมือ และเขย่าน้อยๆ

    “ยินดีครับ จะได้ไม่แย่งของผมใส่อีก” ที่ซื้อมาเงินเขาทั้งนั้น เด็กหนุ่มแอบยิ้ม

    “รอก่อน” เสียงเรียกรั้งดังมาจากทางด้านหลัง และยังคว้าแขนไว้ไม่ให้เดินต่อ

    “ขอข้าตรวจหน่อย” ว่าพลางจรดจมูกลงบนเรือนผมหอมแชมพู

    “! ทำอะไร” 

    รีบเอนศีรษะหนีด้วยความตกใจ ทั้งยังก้าวห่างออกมาจากเขาสองสามก้าว

    “ผมมีพ่อมีแม่นะ เดี๋ยวจับ เดี๋ยวลาก เดี๋ยวกอด นี่มาหอมอีก” 

    ใช้มือผลักหน้าเขาออกจากผมตัวเองเบา และหันไปเข่นเขี้ยวใส่ เพราะทนมาหลายคืนแล้ว

    “อ๋อ แล้วอย่างไร” เสียงถามเรียบๆ ยิ่งดวงตา ยิ่งเรียบนิ่ง

    ‘ยังมีหน้ามาถามอีกเหรอ’ อับจนคำพูดไปพักหนึ่ง

    “นอนห้องใครห้องมัน ห้ามแตะมั่ว” 

    ยิงคิดยิ่งปวดใจ ตนเป็นผู้ชายแมนๆทั้งแท่ง ไม่รู้ทำไมต้องมานั่งหวงเนื้อหวงตัวเหมือนสาวแรกแย้มด้วย แต่ความรู้สึกข้างในมันไหวๆวูบๆยามเขามาแตะมาใกล้ ฉะนั้นการถอยห่างออกมา จึงเป็นการดี

    “ไม่ อย่างอแง กลางคืนยิ่งอันตราย อยากโดนจับกินทั้งเป็นหรือ” 

    ข้อต่อรองถูกตีกลับ อสูรหนุ่มไม่คิดจะทำตาม เพราะยังต้องใช้เด็กหนุ่มอีกมาก

    “กลิ่นกายของเจ้า จะเรียกพวกมันมาหาเจ้า” 

    หลังจากลองดมดูเมื่อครู่ จึงได้กลิ่นเนื้อหอมอ่อนๆมาจากร่างของเด็กหนุ่ม ซึ่งกลิ่นนี้พวกอสูรระดับร่างล้วนชอบนัก

    “กลิ่นอะไร” ‘กลิ่นตัวเหรอ’ ว่าพลางยกแขนตัวเองขึ้นมาดม ซึ่งก็ไม่เห็นจะมีกลิ่นอะไรสักหน่อย

    “ผมอาบน้ำทุกวันเถอะ จะมีกลิ่นตัวได้ยังไง” ดมพิสูจน์จบ จึงหันไปเถียงเขาต่อ  

    “กลินเนื้อของเจ้า อืม ยั่วน้ำลายพวกอสูรนักแล” เสียงขู่นิ่ง ทั้งยังแย้มยิ้มเผยให้เห็นคมเขี้ยวทั้งสองข้าง

    “ผมอยู่ของผมดี ไม่เคยเจอผีหรือปีศาจสักตัว ทำไมผมถึงเนื้อหอมขึ้นมาได้” 

    ใจหนุ่มเต้นตึกๆ ขนกายสแตนอัพในฉับพลัน 

    “ยื่นมือมา เดี๋ยวข้าดูให้” 

    แบมือเชื้อเชิญคอยรับแขนขวาที่เด็กหนุ่มยื่นส่งมาให้ จากนั้นสามปลายนิ้วจึงจรดลงบนข้อมือตรงจุดชีพจร เพื่อส่งกระแสพลังเขาไปตรวจสอบ

    ‘หืม พลังชีวิตของข้า เจ้าเด็กนี่’ 

    ดวงจิตของเด็กหนุ่มไม่มีปัญหา แต่ที่มีปัญหาคือกระแสพลังชีวิตของใครบางคนที่คลอเคลียอยู่ใกล้ๆ และยามนี้กำลังจะยึดกลืนร่างเพื่อปรับระดับให้พลังชีวิตสูงขึ้น

    “เจ้ากำลังถูกบ่มเพาะ” การบ่มเพราะเป็นการปรับระดับชนชั้นให้สูงขึ้น เรียกได้ว่ากำลังถูกอัพเกรดก็ว่าได้

    “พูดภาษาคนได้ไหม ผมไม่เข้าใจ” ยิ่งฟังยิ่งงง คิ้วเข้มชักขมวดยุ่ง

    “รากฐานเจ้าเป็นมนุษย์ แต่ด้วยพลังชีวิตของเจ้าถูกข้ากระตุ้น ทำให้เปลี่ยนสถานะในระดับที่สูงขึ้น ลางทีอาจจะสูงกว่ารากเดิมเป็นเท่าตัว ขึ้นอยู่การกระทำที่เจ้าทำมาจากอดีต”

    “ว้าว ผมจะเป็นเหมือนคุณเหรอ จะเสกลม เสกน้ำ ได้ใช่ไหม” 

    ตาโตเป็นไข่ห่านแล้วตอนนี้ ทั้งยังยิ้มแก้มปริไม่มีหุบ เรื่องแฟนตาซี หรือไซไฟเด็กหนุ่มชอบนักแล

    “เดี๋ยวก่อน คุณมากระตุ้นผมตอนไหน” มองหน้าออกแนวสงสัย เพราะชักฉุกคิดได้แล้วว่าที่ถูกปีศาจตามล่า เพราะแกนี่เอง

    “ข้าไม่ได้ให้ แต่ดูท่า เจ้าจะดูดจากข้าไป” 

    จบคำจึงลองลากเด็กกำลังโมโหเข้ามาจุ๊บเบาๆหนึ่งที แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะโดนดูดพลังชีวิตไปแม้แต่น้อย นั่นทำให้อสูรหนุ่มชักเริ่มสงสัย ว่าเจ้าเด็กนี่ ขโมยพลังชีวิตของข้าไปได้อย่างไร

    “อือ ปีศาจลามก” หลังมือรีบปาดเช็ด ทั้งยังขยี้ซ้ำอีกทีด้วยความโมโห

    ‘นนท์เป็นลูกมีพ่อมีแม่นะ’ 

    ทุกคืนที่ให้กอดจูบก็เพราะมันรู้สึกดี จึงคิดง่ายๆว่าก็แค่ช่วยคลายเหงาให้กันและกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่ จะมาจูบมั่วแบบนี้ไม่ได้

    “อย่างอแง ยื่นหน้าผากมา” 

    นิ้วชี้กวักเรียกเบาๆ ทั้งสายตายังแย้มยิ้มออกแนวกำลังจะเล่นสนุก

    “งอแงไปใช้กับสาวๆโน้น ผมแมนทั้งแท่ง อย่าใช้คำนี้” 

    แม้จะเถียงขาดใจ แต่ก็ยอมยื่นหน้าไปหา เพราะเกรงเขาเป็นทุนเดิม

    ปลายนิ้วชี้ตวัดเช็นต์อะไรสักอย่างบนหน้าผากครู่หนึ่ง สัมผัสเย็นๆของปลายนิ้วทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กๆ

    “ข้ามีงานด่วน ตราภู่ดำไว้ก่อน ห้ามถอดต่างหูเป็นอันขาด” ว่าจบร่างตรงหน้าจึงหายวับไปในทันที 

    “ภู่ดำอะไร แอบมาเขียนอะไรบนหน้าผากคนอื่นเขา หา” 

    รีบวิ่งไปหากระจก และใช้สองมือช่วยเปิดเรือนผมหน้าขึ้น เพื่อมองหาสิ่งแปลกปลอมบนหน้าผาก

    “ไม่เห็นมีอะไร” 

    สิ่งที่เห็นในกระจกเป็นหน้าผากเนียนเรียบของตัวเอง และไม่มีริ้วรอยแปลกๆอะไรสักรอย

                   กรุ๊งกริ๊ง เสียงกระดิ่งที่หน้าประตูร้านดอกไม้ส่งเสียงเตือน เพราะกำลังมีใครบางคนเปิดประตูเข้ามา

    “เป็นยังไงนนท์ ชีวิตข้าวใหม่ปลามัน” ผู้มาใหม่อยู่ในชุดสบายๆออกแนวออกมาจ่ายตลาดแบบชิวๆ เป็นกางเกงขาสั้นใส่สบายและเสื้อยืด

    “พี่หนึ่ง มันไม่มีอะไร” เสียงเข้มออกแนวไม่ชอบใจ แต่ไม่รู้ว่าพูดยังไงให้รุ่นพี่ยอมฟัง

    “จริงเหรอ นอนห้องใคร ห้องมัน” เสียงโยนหินถามทางน้ำเสียงสูงๆ มาจากความมากประสบการณ์ของรุ่นพี่

    “ห้องเดียวกันครับ” ทางนี้ก็พาซื่อบอกเขาหมด 

    “แยกเตียง” ถามย้ำไปอีกหน่อย

    “เตียงเดียวกันครับ แต่ไม่มีอะไร นอนใครนอนมัน” ก็มีแค่กอดจูบบ้างนิดหน่อย เท่านั้นเอง

    ‘น้องครับ ห้องเดียวกัน เตียงเดียวกัน เขาเรียกมีครับน้อง’ 

    ทำไมไม่แยกห้อง หรือว่า น้องกำลังถูกหลอกกินหรือเปล่า เพราะพวกมรนากร ถนัดนักในการกินคนเป็นๆแบบมีชีวิต

    คนพี่มองหน้ารุ่นน้องอีกที ก็ยังไม่เห็นความอิดโรย ประเด็นนั้นจึงตกไป

    “เอาน่าๆ เออใช่ นี่ใบสมัคร” ซองเอกสารสีน้ำตาลถูกวางลงบนเคาต์เตอร์คิดเงิน

    “จำได้ใช่ไหม พี่เคยบอกว่า ถ้าน้องช่วยงานพี่ พี่จะช่วยให้น้องได้เข้าสังกัดเวทย์” 

    ชายหนุ่มอ้างถึงตอนที่หลอกรุ่นน้องเข้าแดนอื่น เพื่อตามหาแฟนสาวเมื่อครั้งก่อน 

    “พี่หนึ่ง พูดตรงนี้จะดีเหรอ” 

    มันไม่ใช่เรื่องที่น่าพูดในที่สาธารณะ เด็กหนุ่มมองซ้ายขวาออกแนวระแวง หากคนอื่นได้ยินเข้า เขาจะพาเราไปโรงบาลบ้าไหม

    “ไม่ต้องห่วง พี่ร่ายเวทย์จำกัดพื้นที่แล้ว ไม่มีใครได้ยินเรา” 

    รุ่นพี่หยักคิ้วให้หนึ่งจึก ทั้งยังทำสายตาเหนือๆส่งให้

    “สุดยอดเลยพี่หนึ่ง” ดวงตาสีน้ำตาลเจือดำเป็นประกายวิบวับ 

    การกระทำของรุ่นพี่ ยิ่งทำให้เด็กหนุ่มยิ่งศรัทธาในตัวรุ่นพี่ขึ้นไปอีก

    “เรื่องง่ายๆ เดี๋ยวพี่สอนให้น้อง กรอกข้อมูลซะ” 

    “ครับพี่” 

    รีบแกะซองเอกสาร และใช้ปากกากรอกข้อมูลไล่ข้อมาเรื่อยๆ แรกๆก็ยังพอกรอกได้ แต่หลังๆชักจะไม่แน่ใจ คิ้วเข้มขมวดยุ่งจนคนกำลังรอเอกสารหัวเราะขันน้องเบาๆ 

    “น้องครับ จริงจังอะไรป่านนั้น ไหนติดข้อไหน” คนพี่เดินอ้อมเคาน์เตอร์เข้าไปหา

    “ถนัดสายไหน ดิน น้ำ ลม ไฟ หิน แร่ มิติ” กรอกไม่ถูก เพราะทำไม่เป็นสักสาย

    “กรอกดินไปก่อน ไม่เป็นไรมันแก้ได้” 

    อันที่จริงไม่ว่าเด็กหนุ่มจะกรอกอะไรก็จะถูกเส้นยักษ์ลากเข้ามาอยู่ใต้ปีกตนทั้งนั้น ที่ให้กรอกเอกสาร ก็เพื่อทำเป็นพิธีเท่านั้นเอง

    “ครับ” รุ่นน้องก็เชื่อฟัง วงข้อดินตามคำแนะนำของรุ่นพี่

    “ข้อต่อไปครับ สังกัดที่เลือก มัชฌิมา อาคเนย์ อุดร”  

    “เลือกมัชฌิมา สังกัดเดียวกับพี่” ปลายนิ้วจิ้มจึกแนะนำให้น้องวงข้อนี้

    “ครับพี่หนึ่ง” รุ่นพี่ว่าอะไร รุ่นน้องก็ว่าตาม

    ส่วนข้อที่เหลือก็เป็นข้อมูลทั่วไป เช่นเบอร์โทรศัพท์ และที่อยู่ที่ติดต่อได้ เด็กหนุ่มนั่งไล่กรอกไปทีละข้อๆ จนครบทุกข้อ

    “ยินดีด้วยนนท์ ขอต้อนรับเข้าสำนักเวทย์อย่างเป็นทางการ” 

    ตบบ่ารุ่นน้องหนักๆ และค้างไว้ตรงนั้นพักหนึ่งเพื่อปล่อยกระแสพลังชีวิตเข้าร่างน้อง

    “หนักครับพี่หนึ่ง โอ๊ย” 

    กระแสพลังชีวิตสายใหม่เข้าไปแย่งที่กับกระแสพลังสายหนึ่งที่กำลังจะหลอมรวมกับพลังชีวิตของเจ้าของร่าง สายที่สามที่เข้ามาใหม่ทำให้เจ้าพลังชีวิตของรากแท้ตื่นตระหนก และเริ่มต่อต้านพลังชีวิตทั้งสองสายอย่างสุดกำลัง ทำให้การหลอมรวมหยุดชะงักลง หากพลังชีวิตเจ้าแรกพูดได้ เขาคงจะกล่าวว่า 

    “กว่าจะล่อลวงพลังชีวิตจากรากแท้ยอมโอนอ่อนได้ ข้าเปลืองแรงพอดู ขัดคอข้าโดยแท้”

    “รอปรับกระแสพลังจนสมบูรณ์ น้องจะถูกอัพสถานะเป็นชาวเวทย์ และใช้เวทย์ได้” 

    อนิจจาเจ้าของพลังที่แบ่งพลังชีวิตให้รุ่นน้องไม่รู้เลยว่า ยามนี้ พลังชีวิตทั้งสามสายกำลังแบ่งพื้นที่ยืนกันคนละฝั่ง เพื่อกันท่ากันอยู่ สายไหนจะรวมกับสายไหน สายไหนจะถูกกลืนกินต้องรอลุ้นกันอีกที

    “ขอบคุณครับพี่หนึ่ง” 

    เด็กหนุ่มไม่คิดเลยว่า อยู่ดีๆจะเข้าโหมดชีวิตแฟนตาซีแบบง่ายดายอะไรขนาดนี้ ต้องยกความดีความชอบให้เพื่อนสาม การได้รู้จักกับเธอทำให้เจออะไรมหัศจรรย์ในชีวิตมากเหลือเกิน

    “ชาวเวทย์ต้องทำอะไรบ้างครับ” ไหนๆจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ต้องถามแนวทางไว้ก่อน

    “อันดับแรก น้องจะมีชีวิตยืนยาว ไม่ป่วย ไม่แก่ ถูกฆ่าตายได้อย่างเดียว” 

    “!” ยามถึงคำว่าตาย คนฟังแอบสะดุ้ง

    “เตรียมใจส่งคนในครอบครัวมีละคนๆได้เลย น้องจะอยู่นานมาก ถ้ายังไม่ถูกฆ่าตายไปก่อน” 

    รุ่นพี่ใจดีแนะแนวทางให้ฟังหรือจะขู่น้องใหม่ก็สุดรู้   

    “งานของเราควบคุมทุกมิติ ทุกดินแดน ไม่ให้กล้ำกลายโลกสีขาว” 

    “โลกสีขาว คือโลกของเรานี่แหละ” 

    ยามพูดถึงเนื้องานของตน สายตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

    “สุดยอด” ยิ่งฟังเด็กหนุ่มยิ่งฮึกเฮิม และอยากเหลือเกิน ที่จะเดินตามรอยเท้าของรุ่นพี่

    “พาพ่อกับแม่ไปด้วยไม่ได้เหรอครับ” เพราะความสนิทเป็นทุนเดิม จึงกล้าร้องขอ

    “ไม่ได้ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติ แต่น้องมีคุณสมบัติ” 

    คุณสมบัติที่ยังตรวจไม่ได้ว่ามาจากอะไรกันแน่ อาจจะเป็นพลังชีวิตที่สะสมไว้ตั้งแต่ชาติเก่าๆ

    “ครับ” เสียงรับคำเศร้าๆ

    “น้องจะถูกเลื่อนระดับจากมนุษย์ขึ้นเป็นชาวเวทย์ อ่า พี่ขออธิบายแบบระบบเกมส์แล้วกัน จะได้เข้าใจง่าย”

    “น้องถูกอัพเรเวลจากหนึ่งขึ้นเป็นสอง และจะไม่มีวันกลับไปสู่เรเวลหนึ่ง” 

    “ข้อดีคือไม่ว่าจะมาเกิดใหม่กี่ครั้ง น้องก็ยังเป็นชาวเวทย์ ไม่มีทางเป็นสายพันธุ์อื่น ไม่มีทางเกิดเป็น หมู หมา เป็ด กา ไก่ นอกจากชาวเวทย์เท่านั้น” 

    “แต่จะเกิดแดนใดก็แล้วแต่เบื้องบนเขา” 

    เสียงเข้มการันตรีหนักแน่น ว่าอยู่กับพี่น้องสบายแน่นอน

    “พี่หนึ่ง” สองมือเกาะต้นแขนรุ่นพี่ไว้แน่น ยิ่งฟังเด็กหนุ่มยิ่งอึ้ง และสำนึกบุญคุณของรุ่นพี่เหลือเกิน รุ่นพี่คิดเผื่อตนไปถึงโลกหน้าเลยทีเดียว

    “อย่าเพิ่งได้ใจไป ถ้าน้องทำผิดร้ายแรง เช่น ฆ่าคนบริสุทธิ์ เป็นชู้เขา ทำผิดต่อบ้านต่อเมือง”

    “ทุกอย่างที่พี่พูดมาเป็นศูนย์ทันที และไม่มีโอกาสใหม่เป็นครั้งที่สอง น้องจะถูกลดระดับ จะไปเกิดเป็นอะไรก็สุดรู้” 

    คำหลังว่าออกมาพร้อมรอยยิ้มอันตราย และดูน่าสะพรึงเป็นที่สุด

    “โอ้โห ต้องไปหาข้อมูลแล้วครับว่าอะไรอันตรายบ้าง” 

    ใบหน้ายุ่งๆยามคิดตามคำรุ่นพี่ เพราะไม่รู้ว่าอะไรบ้างที่เข้าข่ายร้ายแรง

    ตุบ! “เด็กบ๊อง เอาน่า หักอกสาวๆอันนี้ไม่ถือว่าร้ายแรง”

    “ไม่ฆ่าคนอื่น ไม่เป็นชู้เขา ไม่กระทำเรื่องอันตรายต่อคนหมู่มากก็พอ” 

    ตบหลังเรียกกำลังใจเด็กคิดมากไปหนึ่งที

    “ตอนนี้ น้องเรียนให้จบมหาลัยก่อน แล้วค่อยมาเริ่มงานกับพี่” 

    ยามนั้นกระแสกำลังที่แบ่งให้ไป คงจะรวมเข้ากับพลังชีวิตของเจ้าของร่างเข้าพอดี 

    “เวลาออกไปทำงาน ก็บอกที่บ้าน ว่าได้งานที่ต่างประเทศ” 

    คนแนะแนวทางแอบขำกับคำแก้ตัวที่สดๆเองเหมือนกัน เพราะแท้จริงนั้น ยิ่งกว่าไปต่างประเทศอีกน้อง บางที อาจจะต่างโลก ต่างมิติเลยก็ว่าได้ 

    “ครับพี่หนึ่ง” ทางนี้ก็เชื่อฟังเสียงใส พี่ว่าอะไร น้องว่าตามไปหมด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×