ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สายลมห่มดอกไม้ (ติดเหรียญ เริ่มตอน 12)

    ลำดับตอนที่ #15 : ตอนที่ 11 คุณลุง

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 65


    ตรู๊ดๆ "อือ จะนอน" คนกำลังหลับส่งเสียงประท้วง

    "ชู่ นอนๆ" 

    มืออุ่นลูบผมคนในอ้อมแขนให้นอนต่อ ส่วนสายตากวาดตาไปทางเจ้าโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงผิดเวลา เพราะยามนี้เที่ยงคืนกว่าเข้าไปแล้ว

    "น้อง พี่เจอเชือกหลายแบบเลยน้อง เชือกคำสาป เชือกผูกใจ” 

    “เชือกล้างแค้น เชือกตัดรัก น้องลองนึกรูปร่างมันอีกที มีตรงไหนเป็นจุดเด่นบ้างไหม" 

    ต้นทางยังไม่ได้พูดสักคำ แต่ปลายสายร่ายยาวเป็นชุดเพราะห่วงน้อง

    "อายุสุ" บอกไปสั้นๆเพียงนั้น

    "..." ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง ยามได้ยินเสียงของต้นสาย

    "โอ้โห ท่านครับ ต้องหลงน้องผมเบอร์ไหน ถึงไปสอยอายุสุมาให้" 

    เสียงแซวเต็มไปด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ส่วนทางต้นสายมีสีหน้าเรียบนิ่ง คิ้วเข้มขยับนิดเดียวเพียงชั่วครู่

    "เห็นนิ่ง เห็นเงียบ แต่สายเปย์ที่แท้ทรู" เมื่อรู้ว่ากำลังพูดอยู่กับใคร เพียงเท่านี้นักเวทย์หนุ่มก็หมดห่วง

    "หุบปาก" หลังปรามกลับไปจบคำ จึงตัดสายทิ้งทันที

    กุกกัก แกร๊กแกร๊ก เสียงจากนอกห้องทำให้คนบนเตียงลืมตาตื่น ‘ใครอยู่ข้างนอก’

    “...” กวาดตามองอีกฟากของเตียง พบเพียงผ้าปูยับย่นส่วนรูมเมทอีกคนหายตัวไปแล้ว

    “พี่ฟัก” เดินออกมาตามเสียงที่กำลังดังกุกกัก จนมาพบกับอสูรตนนี้

    “อรุณสวัสดิ์ครับ” เปิดยิ้มทักทายนายเหนืออีกคน 

    อยู่บ้านใครก็ต้องคล้อยตามเขา และอสูรหนุ่มทำการบ้านมาเป็นอย่างดี วัดได้จากคำทักทายและใบหูเรียวยาวที่ถูกเปลี่ยนเป็นใบหูสั้นๆฉบับฝั่งของโลกสีขาว

    “อรุณสวัสดิ์ครับพี่ฟัก” เด็กหนุ่มหันไปยิ้มรับคำทักทาย

    “ล้างหน้า ล้างตาหลับตาพักสักชั่วครู่” เห็นผมยุ่งๆจึงพอมองออกว่า เจ้าของห้องคงเพิ่งลุกออกจากเตียงมาหมาดๆ

    “เดี๋ยวพี่จะสอนวิธีสื่อสารของมรนาการ นนท์คอยดูและทำตามพี่” 

    “ครับ!” รับคำเสียงลั่นและรีบวิ่งไปจัดการตัวเองตามคำแนะนำทันที

    ผละไปล้างหน้า ล้างตา ปะแป้งหอมๆเพียงไม่นาน เด็กหนุ่มจึงมายืนตาใสเตรียมตัวเข้าบทเรียน

    “9+8+7 เท่ากับ ยี่สิบสี่” หลังว่าจบคำบนฝ่ามือจึงปรากฏแท่งไม้ขาวขุ่นทรงกระบอกขึ้นมาแท่งหนึ่ง ขนาดของมันมีขนาดประมาณนิ้วชี้

    “นนท์จะติดไว้ตรงไหนบนร่างกายได้หมด อ่า พี่เลือกบนฝ่ามือแล้วกัน” 

    ท่านอาจารย์หยิบแท่งสื่อสารขึ้นมาวางบนฝ่ามืออีกข้าง จากนั้นกดแท่งยาวๆลงบนผิวเนื้อจนจมหายไปทั้งแท่ง ทำให้เด็กหนุ่มมองตามตาโตด้วยความตื่นเต้น

    “เจ็บไหมพี่ฟัก” ถือวิสาสะจับมือคุณครูพลิกซ้ายขวาเพื่อมองหาเลือดหรือเศษเนื้อที่ถูกแท่งยาวทิ่มแทง แต่กลับไม่เห็นสักแผล 

    “ไม่เจ็บครับ” ยิ้มนุ่มส่งกำลังใจให้

    “มาครับ ลองเรียกแท่งสื่อสารดู” พยักเพยิดให้อีกฝ่ายลองทำตามบ้าง

    “พี่ฟัก ทำไมต้อง 9+8+7 ด้วย” ก่อนทำตามคำเขา ขอถามคำถามก่อน มันดูน่าสงสัย มีด้วยหรือที่ร่ายเวทย์เป็นการบวกตัวเลข

    “อ่า นายท่านเห็นว่าน้องไม่ถนัดวิชาเลขครับ อยากช่วยฝึก” อธิบายเพียงเท่านั้น ก็ทำให้ลูกศิษย์พอจะรู้แล้วว่าทำไมภาษาเวทย์ถึงกลายเป็นวิชาเลข

    “พี่อนิล!!!” ได้แต่ตะโกนลั่นห้องด้วยความเคือง

    “9+8+7” ถึงจะเคืองภาษาเวทย์ แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่จะได้ลองร่ายคาถา จึงรู้สึกตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน 

    “เท่ากับอะไรนะพี่ฟัก” เมื่อครู่คำหลังคืออะไรลืมไปเสียแล้ว

    “บวกดูครับ” สีหน้ารอลุ้นมาก เพราะนี่เป็นจุดประสงค์หนึ่งของนายท่านที่คิดจะฝึกวิชาเลขให้เด็ก

    “9+8+7 เท่ากับ ยี่สิบสาม” ยกนิ้วขึ้นมานับ แต่ดันนับพลาดไปหนึ่งนิ้ว ภาษาเวทย์จึงนิ่งเงียบ

    “ลองใหม่ไม่ใช่ยี่สิบสาม” ทางนี้ก็เป็นกำลังใจและมองหน้าน้องแบบคาดหวัง เอาใจช่วยให้น้องนับนิ้วถูก

    “9+8+7 เท่ากับยี่สิบสี่” แท่งขาวขุ่นปรากฏขึ้นบนมือขวา เจ้าตัวจึงหยิบมันขึ้นมามองจ้องด้วยความตื่นเต้น เพราะนี่แปลว่า ตนใช้เวทย์กับเขาได้ด้วย

    “พี่ฟัก นนท์มีพลังเวทย์ เป็นผู้วิเศษ” สายตาเป็นประกาย ทั้งริมฝีปากยังเปิดยิ้มกว้าง ฮาฮาฮา 

    ‘หวยงวดหน้า เดี๋ยวเจอพี่’

    “ครับ เราเรียกว่ากำลัง กำลังไม่มีรูปร่าง ใช้เป็นแหล่งกำเนิดเวทย์” 

    “กำลังใช้สื่อสาร ใช้ต่อสู้ แต่ไม่อาจใช้กับอนาคต” 

    ‘อนาคตใช้ไม่ได้ เฮอ เลขท้ายสามตัวของพี่ก็ใช้ไม่ได้!’ สีหน้าหมองลงชั่วครู่ก่อนจะกลับมาเป็นปกติอีกครา

    “กำลังสามารถถูกกลืนกินหรือเติมเพิ่มล้วนได้หมด ยิ่งมีกำลังมาก เวทย์หรืออาคมยิ่งแกร่ง” 

    เห็นน้องยังใหม่ ฝั่งครูพี่เลี้ยงจึงพยายามอธิบายแบบง่ายๆเพื่อให้น้องเข้าใจ

    “เวทย์กับอาคมต่างกันยังไงครับ” ยิ่งคุยกับท่านอาจารย์ ยิ่งถูกคอ จึงกล้าซักกล้าถาม

    “...” อีกฝ่ายเงียบไปครู่ เพราะกำลังเรียบเรียงเนื้อหาเพื่อให้ลูกศิษย์เข้าใจ

    “อาคมเป็นภาษาเก่า ทุกถ้อยคำต้องตรงตามลำดับถึงจะใช้งานได้ ส่วนเวทย์เป็นภาษาใหม่ จะถูกคิดขึ้นมาตามความถนัดของผู้ใช้เวทย์ เวทย์แยกเป็นของใครของมัน ไม่อาจใช้ภาษาเดียวกันมาเรียกเวทย์เดียวกันได้”

    “ผมพอนึกออกพี่ อาคมก็เหมือนสูตรเลขที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้” 

    ฟังคำเขาอธิบายและพยายามคิดตาม ซึ่งมันเป็นสิ่งใหม่ที่เจ้าตัวสนใจอยากจะเรียนรู้เป็นทุนเดิม ทุกถ้อยคำของคุณครู เด็กหนุ่มจึงเก็บไว้หมดไม่หลุดรอดสักคำ

    “ใช่ครับ ถ้าพี่อยากได้น้ำแข็ง พี่จะพูดว่าเยือกแข็ง นี่เป็นภาษาเวทย์ของพี่ น้องจะมาใช้ตามไม่ได้” อสูรหนุ่มพยายามยกตัวอย่าง

    “โห พี่ แบบนี้ไม่ตีกันตายเพื่อแย่งภาษาเวทย์หรือครับ ผมอยากได้น้ำแข็งเหมือนกัน ผมจะทำยังไง” เสียงขัดถามขึ้นมา

    “ไม่ครับน้อง เราใช้อาคมไงครับ นานทีถึงจะใช้เวทย์” 

    คุณครูจงใจที่จะไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า กว่าจะสร้างเวทย์ด้วยตนเองขึ้นมาแต่ละอย่าง มันไม่ใช่ง่าย จึงทำให้ผู้ใช้เวทย์ส่วนใหญ่มักจะใช้อาคมแทนเวทย์

    “อ๋อ” พยักหน้าด้วยความเข้าใจ ทั้งมองคนพี่ด้วยความเลื่อมใส

    “…!!!” กัดฟันยอมวางแท่งทรงกระบอกไว้ในฝ่ามืออีกข้าง และค่อยๆกดมันลงไปจนจมหายไปในฝ่ามือ ด้วยสีหน้าตื่นๆ

    “ไม่เจ็บจริงด้วย” เรียกได้ว่าไม่รู้สึกถึงผิวสัมผัสเลยสักนิด รู้สึกเพียงลมเย็นๆพัดผ่านฝ่ามือไปเท่านั้น

    ‘ได้ยินข้าไหมขอรับ’ คุณครูส่งเสียงทักไปก่อน

    ‘ได้ยินครับ’ เสียงภายในหัวดังชัด ทั้งยังแสดงอารมณ์ของผู้พูดได้ชัดเจน

    ‘วันนี้เรียนเพียงนี้ก่อน’

    ‘ครับ’ รับคำเสียงใส ทั้งรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจสุดๆ เพราะความแฟนตาซีที่เคยได้แต่มองดู ตอนนี้ลอยมาอยู่ในกำมือแล้ว

    นายเหนือสั่งให้ตนสอนเวทย์เล็กๆน้อยให้น้อง และยังไม่ต้องสอนการควบคุมที่ยากและใช้กำลังมากๆ ขอแบบเรียกได้ง่ายๆไม่ต้องเปลืองแรง ผู้น้อยจึงเลือกเวทย์สื่อสารขึ้นมาสอนเป็นบทแรก

    “ข้าวเช้าครับน้องนนท์” 

    ข้าวเช้าที่ว่าเป็นข้าวคลุกกระปิหอมๆโรยหน้าด้วยหอมสับและกุ้งแห้ง เสิร์ฟมาพรอ้มน้ำซุบอุ่นใส่ถ้วยกระเบื้องและโรยหน้าด้วยใบผักชีสี่ถึงห้าใบ

    “จากร้านริมสระใช่ไหมครับ” มองไปทางข้าวเช้า และถามออกมาด้วยเสียงเรียบนิ่ง 

    ‘เก็บเสื้อเก็บผ้าไปอยู่ร้านเขาเลย ไปนอนบ้านเขาเลย ไป!’ ความตื่นเต้นถูกแทนที่ด้วยความขุ่นมัวในใจเข้าแทนที่

    “ครับ” ทางนี้แค่รับฝากนายมา เลยไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเคือง

    “ฮึ ผมไม่อยากกิน พี่ฟักเชิญตามสบายครับ” ว่าจบจึงผละไปเตรียมตัวเพื่อเตรียมออกไปทำงาน

    “เดี๋ยวนนท์” เป็นครั้งที่สองแล้วที่ถูกเทเช่นนี้ บางทีอาจจะถึงเวลาที่จะต้องบอกนายท่านสักที 

    วันนี้ร้านดอกไม้ออเดอร์ค่อยข้างน้อยทำให้พนักงานคนเดียวในร้านมีเวลานั่งคิดอะไรเงียบๆ

    ‘ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าหายตัวไปอยู่ไหน เหอะ’ 

    ‘ชอบเขามาก ไปอยู่กับเขาสิ จะมาทนอยู่กับเราทำไม’

    กริ๊ง กริ๊ง เสียงกระดิ่งดังเตือนจากหน้าร้านว่ากำลังมีลูกค้า

    “สวัสดีครับคุณพี่” 

    ลูกค้าท่านนี้มีผมขาวโพลนประกายสีเงินทั้งศีรษะทำให้ยิ่งขับเน้นดวงตาสีฟ้าครามให้เด่นขึ้นมา และอายุอันนามดูท่าจะแก่กว่าพ่อ 

    “รับต้นไหนดีครับ” ตัดเรื่องส่วนตัวพักไว้ก่อนและหันมารองรับลูกค้า

    “ลุงอยากได้ดาวเรืองสักสามต้น” ว่าพรางมองไปทางกลุ่มดาวเรืองที่กำลังออกดอกชูช่อเหลืองอร่าม

    “ครับ คุณลุงนั่งรอสักครู่ครับ” หลังจัดหาที่ทางให้ลูกค้านั่งรอ พนักงานคนเดียวในร้านจึงเดินแยกไปแพ๊คต้นดาวเรือง

    สองขากำลังจะก้าวไปเตรียมของแล้ว แต่ปลายหางตากลับเห็นมือของลูกค้าที่ทับซ้อนกันอยู่ เงามือใสๆแต่พอมีสีสันแบบจางๆซ้อนทับอยู่บนมือที่มีเนื้อหนัง ยามเห็นภาพนั้น เด็กหนุ่มจึงรีบเดินไวๆเพื่อไปตั้งหลังทางหลังร้าน

    ‘ตัวอะไรอีกแล้ว’ 

    ยิ่งคิดใจยิ่งสั่น แต่ก็ยังอยากดูให้ชัดว่าเงาบางๆที่เห็นเพียงครู่ เขามีหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ ครั้นคิดจบจึงหาซอกหลีบมุมหนึ่ง จากนั้นจึงแอบชะโงกมองสำรวจลูกค้า

    ใบหน้าดูคุ้นตาเหมือนคนรู้จัก และเรือนผมยาวสลวยสีดำบนกลางหลัง อีกทั้งใบหูยังเรียวยาวเป็นแบบฉบับเดียวกับรูมเมจ ยามคิดจบว่าเหมือนรูมเมจ จึงรีบมองหน้าคุณลุงแปลกหน้าอีกครั้ง และนั้นยิ่งตอกย้ำว่าทั้งสองดูคล้ายกัน ต่างเพียงแค่สีตาเท่านั้น เพราะของรูมเมจจะมีเฉดที่เข้มกว่า

    “ดาวเรืองสามต้น จัดส่งที่ไหนครับ” 

    พยายามทำใจดีสู้เสือ ออกมารับรองอมนุษย์แปลกหน้าที่ยังไม่รู้ว่าเขาคือพันธุ์อะไร เพื่อให้เขาออกจากร้านไปให้ไวที่สุด

    ‘เห็นข้ารึ’ เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหัว แต่เจ้าตัวทำเนียนว่าไม่ได้ยิน

    “ขอที่อยู่ด้วยครับคุณลุง” หันมาส่งยิ้มการค้า แม้ปากจะสั่นนิดๆก็ตาม

    ‘รู้หรือไม่ มรนาการเช่นเราตรวจสอบได้ว่าเจ้าได้ยินหรือไม่ได้ยิน’ เสียงในหัวยังไล่ต้อน

    “...” ‘มรนาการ พันธุ์เดียวพี่อนิล’

    ‘หน้าตาก็คล้ายกัน อาจจะเป็นพี่น้องกันก็เป็นได้’ ยังพยยามตีเนียนว่าไม่รู้ไม่เห็น และส่งยิ้มไปคอยที่อยู่

    “เฮ้ย” สัมผัสชื้นบนจมูกและกลิ่นคาวเป็นกลิ่นของเลือดกำเดาที่ไหลทะลักออกมาจากจมูก

    “เจ้าได้ยินข้า” 

    ครานี้ถ้อยคำออกจากปากของคุณลูกค้าแบบชัดถ้อยชัดคำ และรูปลักษณ์ฉบับลุงที่ลวงตามาหายลับไปทันตา เหลือเพียงใบหน้าคล้ายคลึงกับรูมเมจและดวงตาสีฟ้าเข้มที่มองจ้องนิ่งๆทางคุณพนักงาน

    สิ่งแรกที่ทำเป็นการมุดลงใต้โต๊ะเก็บเงิน เพื่อหวังกางกั้นไม้ให้อีกฝายเข้ามาใกล้ ใจหนึ่งเต้นระทึกเพราะยังไม่ชินกับการเจอกับพวกชนต่างสายพันธุ์ที่ช่วงนี้เจอบ่อยเหลือเกิน

    ‘ตัวอะไร พันธุ์อะไร จะมากินผมอีกแล้วใช่ไหม!’ 

    ครั้งล่าสุดเพิ่งเจอยักษ์ไปหมาด ครานี้เด็กหนุ่มจึงพอมีภูมิคุ้มกันอยู่บ้าง และสิ่งต่อไปที่ทำคือการพยายามคลานหนีให้พ้นสายตาของคุณลูกค้า

    ‘ตัวผมหอมยั่วน้ำลายจริงๆใช่ไหมครับ ไหนว่าตีตราแล้วจะไม่หอมแล้วไง’

    “จะคลานอีกนานไหม ข้าจะได้ช่วยลาก ลุกขึ้นมา” คุณลูกค้ายังไม่ขยับ และยืนปักหลักอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์

    “ออกมา” เสียงสั่งนิ่งๆ แต่มือที่เคาะอยู่บนโต๊ะอยู่เป็นจังหวะสั้นยาวอยู่บนโต๊ะออกแนวข่มขู่

    “ครับ” 

    ยอมลุกขึ้นมาประจันหน้า ทั้งที่ขายังสั่น แต่ที่กล้าสุกขึ้นมาสู้ตาอีกฝ่าย เป็นเพราะความรู้สึกลึกมันบอกว่าเขาไม่อันตราย ทั้งยังพึ่งพาได้

    “ฮึ เจ้านี่เอง” ‘สายสัมพันธ์ครั้งเก่ากำลังจะผูกขึ้นอีกครั้ง’

    “ครานี้อย่าหนีหน้าไปอีกเล่า” 

    ยามนึกหวนถึงเรื่องราวครั้งเก่า และศึกเดือดเก่าก่อนทำให้หลุดคำพูดเตือนออกมา ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่อาจเข้าใจมันได้

    “ครับ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสัย ‘เขารู้ได้ยังไงว่าเราเพิ่งหนีออกจากบ้าน’ 

    ‘จงมาเป็นผู้น้อยของลูกข้าเสียโดยดี’

    ‘ฮึ แต่ดูท่าครานี้ เขาไม่อยากได้เจ้าเป็นผู้น้อย’

    สายสัมพันธ์ที่ถูกตัดขาด ด้ายแดงที่ลาลับไปครั้งนั้น ยามนี้ กลับมาแล้ว 

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×